Wednesday, 18 June 2025
NEWS FEED

ก.พลังงาน รุดตรวจสอบกรณีบุกรุกพื้นที่ ‘เขื่อนคิรีธาร’ พบแอบปลูกทุเรียนกว่า 260 ไร่ ขีดเส้น 30 วัน ให้ออกจากพื้นที่

กระทรวงพลังงาน นำสื่อมวลชนลงพื้นที่เขื่อนคิรีธาร จังหวัดจันทบุรี หลังพบการบุกรุกพื้นที่โครงการฯ ปลูกทุเรียน กว่า 260 ไร่ พบไม่ใช่ทุนจีน ได้รับฟังเสียงชาวบ้านพร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เวลาออกจากพื้นที่ 30 วัน ก่อนดำเนินคดีผู้บุกรุก พร้อมเดินหน้าปรับปรุงพื้นที่เพื่อบริหารจัดการน้ำและผลิตไฟฟ้าอย่างยั่งยืน

(26 ก.พ. 68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนกรมป่าไม้ ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) และส่วนปกครองจังหวัดจันทบุรี และคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่โครงการไฟฟ้าพลังน้ำคิรีธาร จังหวัดจันทบุรี เพื่อตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่โครงการหลังพบการใช้พื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะกลางอ่างเก็บน้ำ(เกาะร้อยไร่) ซึ่งมีขนาดกว่า 260 ไร่ โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาข้อสรุป พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการให้เกิดความถูกต้องและป้องกันการบุกรุกซ้ำในอนาคต

ดร.หิมาลัย กล่าวว่า ได้มีการร่วมประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พพ. กรมป่าไม้ ส.ป.ก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกร่วมกัน และได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยพบการบุกรุกพื้นที่เพื่อทำการเกษตรและปลูกพืชเศรษฐกิจ อาทิ ทุเรียน ในหลายจุด ซึ่งพบว่าไม่ใช่ทุนจีนแต่อย่างใด โดยพื้นที่การบุกรุกบางส่วนอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและบางส่วนเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. ที่ต้องตรวจสอบสิทธิ์ ที่ผ่านมาทาง พพ.ได้แจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับผู้บุกรุกพื้นที่บริเวณเกาะร้อยไร่ 262 ไร่ และพื้นที่โดยรอบโครงการฯ 17 ราย  21 แปลง 

“การบุกรุกพื้นที่รัฐเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวต้องหมดไป กระทรวงพลังงานและภาครัฐ จะดำเนินการถึงที่สุด ใครทำผิดต้องรับผิด เขื่อนคิรีธารไม่ได้เป็นเพียงโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ แต่เป็นแหล่งน้ำสำคัญของประชาชน การใช้พื้นที่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและประเทศชาติ ทั้งนี้ ได้มีการรับฟังเสียงประชาชน โดยประชาชนที่ได้รับเอกสารสิทธิ์จากราชการ จะดำเนินการเยียวยา ส่วนประชาชนที่เข้าใจผิดในการเข้าใช้พื้นที่ กระทรวงพลังงานจะให้เวลา 30 วันในการออกจากพื้นที่ก่อนจะดำเนินคดีหากพบว่ายังมีการบุกรุกอยู่”  ดร.หิมาลัย กล่าว

นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน  กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมา พพ. ได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่และแจ้งผู้บุกรุกพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ถึงปัจจุบัน ได้ติดตาม ตรวจสอบและประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่เขื่อนคิรีธาร มีการลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับกรมป่าไม้ โดย พพ. มีหนังสือขอยกเลิก หรือเพิกถอนสิทธิการครอบครองที่ดินบางส่วนจาก ส.ป.ก. และแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกที่ไม่มีเอกสารสิทธิ โดยการดำเนินคดีและมาตรการต่าง ๆ จะเป็นไปตามกรอบกฎหมาย พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำที่เป็นพลังงานสะอาด และบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ พพ. ยังเตรียมเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าพลังน้ำคิรีธารให้สามารถเพิ่มน้ำต้นทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า

ตม.เชียงใหม่ จับหนุ่มใหญ่ชาวอังกฤษ หลังพบอยู่เกินวีซ่า แอบอยู่ในไทยกว่า 25 ปี

(26 ก.พ. 68) ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. จึงได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัด ให้ดำเนินการสืบสวน ปราบปราม จับกุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับขบวนการนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ช่วยเหลือซ่อนเร้นคนต่างด้าวให้พ้นจากการจับกุม หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และการอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) ในการนี้ พล.ต.ต.สราวุธ คนใหญ่ ผบก.ตม.5 จึงสั่งการให้ ทุกหน่วยในสังกัด กวดขัน จับกุมคนต่างด้าวที่กระทำความผิด และปราบปรามอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อประชาชน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นคง และรักษาความสงบเรียบร้อยให้แก่ประชาชน

ตม.จว.เชียงใหม่ โดยการอำนวยการของ พ.ต.อ.สุรชัย เอี่ยมผึ้ง ผกก.ตม.จว.เชียงใหม่ มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ งานสืบสวนปราบปรามฯ ทำการสืบสวนเพื่อจับกุมคนต่างด้าว ซึ่งได้กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 หรือความผิดตามกฎหมายอื่น 

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.68 พ.ต.ต.สุธีรเทพ โพธิ์นฤมิต สว.ตม.จว.เชียงใหม่ นำทีมชุดสืบสวน ตม.จว.เชียงใหม่ บูรณาการกำลังร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.5 ออกตรวจสอบสถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำความผิดในพื้นที่รับผิดชอบบริเวณ ถ.ระแกง ต.ช้างคลาน อ.เมือง จว.เชียงใหม่ ผลการตรวจสอบ สามารถจับกุมคนต่างด้าว สัญชาติบริติช จำนวน 1 ราย ข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (9,135 วัน)” จึงทำการแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามกฎหมายให้ทราบ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและรอดำเนินการผลักดันส่งกลับประเทศต้นทางต่อไป 

โดยคนต่างด้าวรายดังกล่าวให้การรับสารภาพว่าตนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.43 โดยการยกเว้นการตรวจลงตรา (ผ.30) ซึ่งเมื่อครบกำหนดอนุญาตแล้ว ไม่ได้มาดำเนินการยื่นขออยู่ต่อในราชอาณาจักรตามระยะเวลาที่กำหนด พยายามหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ โดยพักอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร 13 ปี ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นระยะเวลา 12 ปี และได้ทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ ภายหลังถูกเจ้าหน้าที่สืบสวน ตม.จว.เชียงใหม่ สืบสวนติดตามจับกุมได้ในที่สุด

สองนักแสดงนำจาก 'The White Lotus ซีซั่น 3' โดนตกไปอีกคู่ หลังแวะไปเยี่ยมชม 'หมูเด้ง' ฮิปโปแคระที่โด่งดังที่สุดในโลก

ใครจะแบนก็แบนไป แต่สำหรับสองนักแสดงนำจาก The White Lotus ขอแวะไปกรี๊ด 'หมูเด้ง' ก่อน

เมื่อวันที่ (25 ก.พ. 68) ที่ผ่านมา ช่องยูทูป HBO Max ปล่อยคลิปสุดน่ารักของนักแสดงนำในซีรีส์ดัง 'The White Lotus ซีซั่น3' นั่นคือ แซม นิโวล่า (Sam Nivola) กับ ซาร่าห์ แคทเธอรีน ฮุค (Sarah Catherine Hook) เดินทางไปเที่ยวสวนสัตว์เขาเขียว ที่จังหวัดชลบุรี

แน่นอนว่า เป้าหมายของสองนักแสดงดังก็คือ การแวะไปชม 'หมูเด้ง' ซุปตาร์สาว ฮิปโปแคระที่โด่งดังที่สุดในโลก โดยทั้ง แซม และ ซาร่าห์ ต่างหลงใหลความน่ารักของหมูเด้ง โดนตกไปทั้งคู่ และยังได้รับเสื้อหมูเด้งกลับไปเป็นที่ระลึก

ทั้งนี้ ซีรีส์ดังระดับโลก The White Lotus Season 3 ยกกองมาถ่ายทำในเกาะสมุย กับภูเก็ต ของประเทศไทย เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา และกำลังออกฉายทางช่อง HBO Max

“พล.ต.ท.สำราญฯ” และคณะ ร่วมประชุมกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ติดตามสถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน 

(26 ก.พ. 68) ตามที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดำเนินการเชิงรุกตรวจสอบพฤติกรรมกลุ่มคนต่างด้าว กรณีที่ปรากฎข้อมูลข่าวสารว่ามีกลุ่มคนต่างด้าวมีพฤติกรรมที่อาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมืองก่อความวุ่นวายหรือความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ ตลอดจนการรวมกลุ่มแสดงออกหรือจัดกิจกรรมในลักษณะที่กระทบภาพลักษณ์และความมั่นคงของประเทศ ในพื้นที่่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน นั้น     

วันนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 10.30 น. พล.ต.ท.สำราญ  นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน รอง ผบช.ภ.5 , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ทรงกริช ออนตะไคร้ ผบก.ภ.จว.แม่ฮ่องสอน , พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.สส.สตม. และ พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 ได้เข้าร่วมประชุมติดตามสถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อรับทราบสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหา ณ ห้องประชุม โรงแรมมอนทีส รีสอร์ท อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นางออร์นา ซากิฟ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย , นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย , นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง , นายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน , นางอาภรณ์ แสงโชติ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอปาย , นายชัยวิชช์ สัมมาชีววัฒน์ อุปนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวอำเภอปาย ตลอดจนหน่วยราชการต่างๆ ,องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ประกอบการในพื้นที่เข้าร่วมประชุม 

จากนั้น พล.ต.ท.สำราญฯ ได้เดินทางไปยัง สภ.ปาย เพื่อประชุมในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับฟังสภาพปัญหา และเพิ่มเติมมาตรการในการปฏิบัติ โดยเน้นมาตรการบังคับใช้กฎหมาย บูรณาการกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รักษาไว้ซึ่งอัตลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวของอำเภอปาย และวางมาตรการในการรักษาความปลอดภัยความสงบเรียบร้อย เพื่อให้เกิดดุลยภาพระหว่างความต้องการในการเสนอขายในการท่องเที่ยวและความต้องการของนักท่องเที่ยวโดยเร่งด่วน และในส่วนการต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ อ.ปาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความ ปลอดภัยจากการกระทำความผิดอาชญากรรมทุกประเภท สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน อีกทั้ง ประชาสัมพันธ์โดยบูรณาการร่วมกับทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ในการให้ความรู้ทั้งนักท่องเที่ยวอิสราเอล นักท่องเที่ยวสัญชาติอื่น ตลอดจนชุมชนชาว อ.ปาย และประชาชนในภาพรวม เพื่อให้ทราบสถานการณ์ที่แท้จริงต่อไป

สมุทรปราการ-EEP Group จำลองเหตุการณ์ซ้อมดับเพลิงไฟใหม้บ่อขยะและการอพยพผู้ได้รับผลกระทบแบบบูรณาการระดับจังหวัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ศูนย์บริหารจัดการขยะชุมชนแบบครบวงจรแพรกษาใหม่ โดยกลุ่มบริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด (EEP Group) ร่วมกับหน่วยงานระดับจังหวัดสมุทรปราการ จัดโครงการชักข้อมดับเพลิงไฟไหม้บ่อขยะขั้นรุนแรง และการอพยพผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อเตรียมความพร้อมและเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับเหตุการณ์ภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 

โดยได้รับเกียรติจากนาย อำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ประธานในพิธี พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ แก้วเสนา ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ นายวัฒนา สาคร หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยจังหวัดสมุทรปราการ คณะผู้บริหารเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ข้าราชการตำรวจ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมสังเกตการณ์และร่วมในกิจกรรมซักซ้อมแผนดับเพลิงไฟไหม้บ่อขยะในครั้งนี้

ซึ่งมีการบูรณาการระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจร กิจกรรมซักซ้อมในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อฝึกทักษะและเตรียมความพร้อมให้กับเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่ภาครัฐ เจ้าหน้าที่ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้บ่อขยะขั้นรุนแรง รวมถึงการอพยพผู้ได้รับผลกระทบอย่างปลอดภัย โดยการซักซ้อมในครั้งนี้เป็นการจำลองสถานการณ์จริงในระดับความรุนแรงขั้นสูง 

โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ จังหวัดสมุทรปราการ เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และ บริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด โดย บริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด เป็นศูนย์ปฏิบัติการควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุการณ์ และกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ เป็นศูนย์อำนวยการเหตุฉุกเฉิน กิจกรรมในครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น 

โดยเฉพาะการซักซ้อมไฟไหม้บ่อขยะซึ่งเป็นหนึ่งในภัยพิบัติที่มีความเสี่ยงสูง การเตรียมความพร้อมและการฝึกซ้อมในครั้งนี้จะช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โครงการนี้ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด (EEP Group) ในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน พร้อมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือในระดับจังหวัดในการเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินในอนาคต หากมีข้อสอบถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ :
ฝ่ายสื่อสารองค์กร กลุ่มบริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จำกัด
โทรศัพท์ : 061-656-2489
อีเมล์:[email protected]

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ทอ.ทดสอบนำเครื่องขับไล่ Gripen บินขึ้นลงถนนหลวง 26 - 27 กุมภาพันธ์นี้

กองบิน 56 แจ้งว่า จะมีการทดสอบการขึ้นลงของเครื่องบิน Gripen บนถนนทางหลวงในจังหวัดสงขลาในวันที่ 26 และ 27 กุมภาพันธ์ 2568 โดยจะมีการปิดถนนบางช่วงเพื่อการฝึกซ้อมในกิจกรรมสำคัญด้านความมั่นคงดังกล่าว

ตามประกาศจากเฟซบุ๊กแฟนเพจ Hi Songkhla ระบุว่าในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 (วันซ้อม) จะมีการทดสอบการลงของเครื่องบิน Gripen บนถนนหน้า ภาค 9 ตั้งแต่เวลา 10:00-11:00 น. ซึ่งจะทำให้มีการปิดถนนในช่วงเวลาดังกล่าว

ส่วนในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 (วันจริง) การปิดถนนจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 09:00-12:00 น. โดยการจราจรจะได้รับผลกระทบที่ถนนเพชรเกษม (เส้น 4287) บางช่วง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.ทุ่งตำเสาจะเป็นผู้รับผิดชอบการปิดถนนชั่วคราว โดยมีเส้นทางการอ้อมดังนี้

ผู้ที่ต้องการเดินทางไปสตูล จะต้องเลี้ยวซ้ายที่แยกไฟแดงหูแร่ แล้วตรงไป จากนั้นเลี้ยวขวาก่อนถึงโรงเรียนบ้านนาแสน มุ่งหน้าตรงไปจนออกบ้านฉลุง

ผู้ที่ต้องการเข้าตัวเมืองหาดใหญ่ จะต้องเลี้ยวขวาที่แยกทางเข้าบ้านฉลุง มุ่งหน้าตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายก่อนถึงโรงเรียนบ้านนาแสน จากนั้นเลี้ยวขวาที่แยกไฟแดงหูแร่

ตลอดเส้นทางจะมีป้ายเตือนและเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกในการจราจรให้กับผู้ใช้เส้นทาง

ประชาชนและผู้เดินทางในพื้นที่ควรติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและเตรียมตัวเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ได้รับผลกระทบจากการฝึกซ้อมดังกล่าว

ผบ.ตร. สั่งระดมกวาดล้างต่างด้าวกระทำผิดกฎหมายทั่วประเทศ 18 – 24 กุมภาพันธ์ 2568 จับกุมกว่า 9,500 ราย กำชับปฏิบัติการต่อเนื่อง

(26 ก.พ.68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งการให้ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปชก.ตร.) โดยมี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ให้ทุกหน่วยระดมกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่รับผิดชอบ ในห้วงระหว่างวันที่ 18 – 24 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมุ่งเน้นจับกุมการกระทำความผิดของคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และคนต่างด้าวถูกหลอกลวง หรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ นั้น 

ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปชก.ตร.) สรุปผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วประเทศระหว่างวันที่ 18 – 24 กุมภาพันธ์ 2568 มีการจับกุมรวมทั้งสิ้น 9,532 ราย แบ่งเป็น จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 207 ราย , ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง 6,239 ราย , Over stay 875 ราย , เพิกถอนการอนุญาต 120 ราย , ทำงานโดยผิดกฎหมาย 463 ราย และอื่นๆ 1,628 ราย โดยผู้ต้องหาเป็นสัญชาติไทย 564 ราย , เมียนมา 4,879 ราย , ลาว 1,699 ราย , กัมพูชา 1,376 ราย เวียดนาม 103 ราย และอื่นๆ 911 ราย  

โดยในจำนวนนี้มีการจับกุมรายสำคัญหลายราย อาทิ การสกัดจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซุกระเบิดสังหารชนิดขว้างและคีตามีน กว่า 1 กิโลกรัม และยาเสพติดชนิดอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นปฏิบัติการร่วมระหว่างตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจสอบสวนกลาง และตำรวจท่องเที่ยว จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 4 ราย เป็นสัญชาติไทย ไต้หวัน และ ฟิลิปปินส์ จากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาชาวไต้หวันที่ถูกจับกุม เป็นบุคคลที่ทางการไต้หวันได้ออกหมายจับ จำนวน 5 คดี และชาวฟิลิปปินส์ จำนวน 2 คน เชื่อว่าน่าจะถูกหลอกลวงไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในประเทศเมียนมา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสิงห์บุรี คัดกรองเพื่อหาข้อบ่งชี้จากการค้ามนุษย์ตามกลไกส่งต่อระดับชาติ (NRM) 

อีกคดี ได้แก่ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ ให้ความช่วยเหลือบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ในพื้นที่ อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งให้การว่าถูกกลุ่มขบวนการนำพาตนกับพวกรวมสัญชาติจีน รวม 6 คน เดินทางด้วยรถยนต์กระบะจากพื้นที่ชายแดนมายังจุดเกิดเหตุ เมื่อมีโอกาสจึงกระโดดรถหลบหนีออกมา จากนั้นได้ขยายผลตรวจสอบบ้านเช่าและอาคารพาณิชย์ในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ที่สืบทราบว่ามีการนำพาคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และเป็นสถานที่ปลอมพาสปอร์ตคนจีนที่กลุ่มขบวนการขนคนได้ลักลอบพาเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่หากถูกเรียกตรวจ จึงได้จับกุมผู้ต้องหา จำนวน  13 ราย ดำเนินการตามกฎหมายทั้งขบวนการ รวมทั้งดำเนินการสืบสวนขยายผลต่อไป

ทั้งนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้กำชับศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการกวดขัน สืบสวน ป้องกัน ปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมถึงมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชน สอดรับตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

เชียงใหม่-เปิดเวทีสร้างการรับรู้และส่งเสริมเครือข่ายองค์กร“การตอบแทนคุณระบบนิเวศ (PES)”เพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการไฟป่า

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO ร่วมกับ มูลนิธิรักษ์ไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จัดเวทีสัมมนา เพื่อสร้างการรับรู้และขยายเครือข่ายองค์กร การตอบแทนคุณระบบนิเวศ (Payment for Ecosystem Services - PES) เพื่อส่งเสริมความร่วม ในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการจัดการไฟป่า ระหว่างวันที่ 26 - 27 กุมภาพันธ์ 2568  โดยในวันที่ 26 กุมภาพันธ์  2568 กิจกรรมการสัมมนา ณ โรงแรมอโมร่า ท่าแพ จ.เชียงใหม่ และวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 กิจกรรมร่วมจัดทำแนวป้องกันไฟป่า บ้านขุนช่างเคี่ยน และติดตั้งกล้องวงจรปิดติดตามและเฝ้าระวังไฟป่า บ้านดอยปุย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ- ปุย 

การสัมมนาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 90 คน จากชุมชน 17 แห่ง ภาคธุรกิจ 22 องค์กร และผู้เข้าร่วมจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และสื่อมวลชน โดยเวทีสัมมนา นี้มีเป้าหมายในการ "สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ PES (Payment for Ecosystem Services) และขยายเครือข่ายความร่วมมือในการอนุรักษ์ป่า" ซึ่งเป็นแนวทางในการให้ผู้ได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศ มีส่วนร่วมในการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นผู้ทำหน้าที่อนุรักษ์ เพื่อสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ 

สร้างความเข้าใจ PES เพื่อความร่วมมือในการอนุรักษ์ป่า Payment forEcosystem Services-PES คือ การสร้างกลไกให้ผู้ได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศ มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดูแล และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนโดยการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นผู้ ปกป้อง ดูแล รักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยเวทีสัมมนาครั้งนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนแนวคิด ประสบการณ์ และแนวทางความ ร่วมมือ  จากหลากหลายภาคส่วนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นรูปธรรมและยั่งยั่งยืนร่วมกัน ความร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรม ผสานจุดแข็งและศักยภาพของแต่ละภาคส่วนคือ หนทางสู่การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่ยั่งยืน

สำหรับกิจกรรมในเวทีสัมมนาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ประธานเปิดงานและบรรยายพิเศษ เรื่อง "สานพลังภาคี กุญแจสำคัญในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการไฟป่า" และบรรยายพิเศษเกี่ยวกับการสร้างความร่วมมือในการหนุนเสริมชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ตามหลักการ PES โดย นายสุวิร์ งานดี รองผู้ อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) นายพร้อมบุญ พานิชภักดิ์  เลขาธิการมูลนิธิรักษ์ไทย อาจารย์ไพสิฐ  พาณิชย์กุล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกฎหมาย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

และบทบาทภาคธุรกิจเอกชนกับการหนุนเสริมชุมชุมชนท้องถิ่น โดย นายอโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารส่วน งานเทคโนโลยี บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย และเวทีเสวนาแลก เปลี่ยนประสบการณ์ และบทเรียนการทำงานด้านการอนุรักษ์ความหลากหลากยทางชีวภาพและการจัดการไฟป่า โดยวิทยากรจากชุมชนท้องถิ่น นักวิชาการ ภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชา
สังคม และสื่อมวลชน

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี “สร้างชีวิต” แก่ชาวหนองบัวลำภู อย่างยั่งยืน

เมื่อวานนี้ (25 ก.พ.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู (จังหวัดที่ 18 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ครัวเรือนยากจน จำนวน 21 ครัวเรือน เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวมจำนวน 20 คัน 

เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวหนองบัวลำภูในครั้งนี้ทั้งสิ้น 523,160 บาท (ห้าแสนสองหมื่นสามพันหนึ่งร้อยหกสิบบาทถ้วน) นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายสุรศักดิ์ อักษรกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู พร้อมด้วย นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิรวมใจหนองบัวลำภู เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี รวมทั้ง อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายภัทรพล แก้วสกุณี (เค-ภัทรพล) นางสาวพัชรมัย บุญเลิศกุล (แพรว-พัชรมัย) ร่วมในพิธี โดยมี ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ ณ บริเวณหอประชุมที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม ซึ่งปัจจุบันทางมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ลงพื้นที่มอบอุปกรณ์ฯ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปแล้วทั้งสิ้น 18 จังหวัด 431 ครัวเรือน รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 9,598,554 บาท (เก้าล้านห้าแสนเก้าหมื่นแปดพันห้าร้อยห้าสิบสี่บาทถ้วน)

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงการณ์จับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญยึดยาบ้า 3.1 ล้านเม็ด 

(24 ก.พ. 68) เวลา 11.00 น. พล.ต.ท. กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าวจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ ยึดยาบ้า 3.1 ล้านเม็ด ผู้ต้องหา 6 ราย ณ ลานแถลงข่าว อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่

ตามนโยบายรัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์, พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ
เลขาธิการ ป.ป.ส. และ พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ มทภ.3 ได้รับบัญชาและข้อสั่งการนำไปสู่การปฏิบัติ

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร,พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์, พล.ต.ต.พิชญา บุญขจร, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รอง ผบช.ภ.5,พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.ยุทธนา แก่นจันทร์ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ และ พล.ต.ต.ภูมิปัญญ์ญา นวตระกูล พิสุทธิ์ผบก.ภ.จว.ลำปาง ฝ่ายทหาร นบ.ยส.35 โดย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน มทน.3/ผบ.นบ.ยส.35 ฝ่ายปกครอง โดย นายนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผวจ.เชียงใหม่ นายชุติเดช มีจันทร์ ผวจ.ลำปาง สำนักงาน ปปส.ภาค 5 โดย นายธันวา ผุดผ่อง ผอ.ปปส.ภาค 5 แถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี

1. กรณี สภ.สบปราบ จ.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 3,176,046 เม็ด
2. กรณี สภ.ช้างเผือก ร่วมกับ สภ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 201,000 เม็ด รวมของกลางยาบ้าจำนวน 3,377,046 เม็ด

คดีที่ 1 สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม สืบทราบว่าจะมีกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่แนวชายแดน เข้าสู่พื้นที่ตอนใน โดยผ่านพื้นที่ อ.สบปราบ จ.ลำปาง โดยใช้รถยนต์กระบะจำนวน  2คัน ใช้ป้ายทะเบียน จ.เชียงราย ทั้ง 2 คัน จึงได้เพิ่มความเข้มในการตั้งด่านตรวจตามแผนการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียง ยาเสพติดตามยุทธศาสตร์ ตำรวจภูธรภาค 5

จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ไล่ติดตามไป จนสามารถควบคุมตัวไว้ได้จำนวน  2 คน ทราบชื่อ คือนายนวพลฯ และนายปรีชาฯ จึงได้ควบคุมตัวพร้อมทั้งนำรถยนต์มาตรวจสอบที่ด่านตรวจยาเสพติด พบเป็นยาบ้าจำนวน  13กระสอบ ประมาณ 3,176,046 เม็ด จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหา ทั้ง 6 คน พร้อมทั้ง ตรวจยึดของกลางทั้งหมด นำส่งพงส.สภ.สบปราบ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 เวลาประมาณ 23.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ช้างเผือก จ.เชียงใหม่ ได้สืบสวนขยายผลจนพบผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ในเขตพื้นที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จนสามารถจับกุม นายราชันย์ อายุ 42 ปี พบของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 1,000 เม็ด จากการซักถามขยายผล พบว่านายราชันย์ฯยังมียาเสพติดซุกซ่อนอยู่อีกเป็นจำนวนมาก จึงได้ทำการสืบสวนสวนขยายผลเพิ่มเติม และสามารถตรวจยึดของกลาง เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) อีกจำนวน 200,000 เม็ด

จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสืบสวนขยายผล ต่อเนื่อง จากกลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดในเขตพื้นที่ จว.เชียงใหม่, พื้นที่ จว.ลำพูน และกลุ่มลูกค้าที่จะนำยาเสพติดไปจำหน่าย ในพื้นที่ จว.ลำพูน โดยสามารถจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการได้รวมทั้งหมด 6 คน พร้อมของกลางทั้งหมด เป็นยาเสพติด ให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 201,000 เม็ด พร้อมยึดทรัพย์ในการกระทำผิดเป็น รถยนต์จำนวน 3 คัน รถจักรยานยนต์จำนวน 1 คัน โทรศัพท์จำนวน 6 เครื่อง รวมมูลค่าประมาณ 1,700,000 บาท นำส่ง พงส.สภ.แม่แตง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 5 ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายตำรวจ ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง สำนักงาน ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ได้นำบัญชาและข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจภูธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1 ต.ค.67 – 23 ก.พ.68 จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 9,065 คดี คดียาเสพติดรายสำคัญ 44 คดี
- ยาบ้า 33 ล้านเม็ดเศษ - ไอซ์ 1,863 กิโลกรัมเศษ
ตรวจยึดของกลางยาเสพติด
- เฮโรอีน 143 กิโลกรัมเศษ - เคตามีน 802 กิโลกรัมเศษ
- ฝิ่น 8.9 กิโลกรัมเศษ

ตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับยาเสพติด

- มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 289 ล้านบาทเศษ
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top