Tuesday, 17 June 2025
NEWS FEED

กทพ. เปิดเส้นทางพิเศษบนทางด่วนเฉลิมมหานคร แก้รถติดพระราม 2 หลังเหตุชิ้นส่วนโครงสร้างถล่ม

(17 มี.ค. 68) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ดำเนินการทดลองเปิดช่องทางเบี่ยงบริเวณ ทางด่วนเฉลิมมหานคร เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดบนถนนพระราม 2 หลังเกิดเหตุชิ้นส่วนโครงสร้างทางพิเศษถล่ม ส่งผลให้การสัญจรบนถนนเส้นหลักได้รับผลกระทบอย่างหนัก

จากเหตุการณ์ชิ้นส่วนโครงสร้างถล่มเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการปิดการจราจรบางช่องทางบนถนนพระราม 2 และส่งผลกระทบต่อผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นวงกว้าง กทพ. จึงได้เร่งแก้ไขปัญหาโดยเปิดช่องทางพิเศษบนทางด่วนเฉลิมมหานคร จากเส้นทางถนนพระรามสองมุ่งหน้าเข้าเมือง เพื่อขึ้นทางด่วนเฉลิมมหานครบริเวณด่านดาวคะนอง โดยจุดนี้เปิด ใกล้เคียงกับบริเวณที่มี ชิ้นส่วนโครงสร้างพังถล่มลงมา แต่ถัดออกมาประมาณ 300 เมตร 

โดยการเปิดให้บริการดังกล่าว เพื่อหวังลดปัญหาการจราจรติดขัดบนถนนพระราม 2 และให้รถบางประเภทสามารถใช้เส้นทางเบี่ยงได้ในช่วงเวลาเร่งด่วน เพื่อลดปริมาณรถที่หนาแน่นบนถนนด้านล่าง คาดลดปัญหารถติดสะสมได้ 30%

กทพ. ระบุว่า การทดลองเปิดช่องทางเบี่ยงนี้เป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการจราจร โดยจะมีการ ประเมินผลกระทบและปรับแผนการจราจรเพิ่มเติมหากจำเป็น นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเร่งซ่อมแซมโครงสร้างที่เสียหาย เพื่อให้สามารถเปิดการจราจรได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้เน้นย้ำถึงการเร่งดำเนินการจัดการกู้คืนพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางสัญจรได้โดยเร็ว โดยขณะนี้ ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 22 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นเร็วกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่คาดว่าจะเสร็จภายใน 7 วัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางสัญจรได้ตามปกติ โดยในวันพรุ่งนี้ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงไปใช้สะพานกรุงเทพ สะพานภูมิพลสะพานตากสิน สะพานพระราม 9 หรือสะพานทศมราชันในการเดินทาง เข้า - ออกเมือง หรือใช้เส้นทางถนนพื้นราบแทน

สำหรับเส้นทางเลี่ยง กทพ. แจ้งปิดทางขึ้นและลงด่านฯ ดาวคะนอง และถนนพระราม 2 พร้อมแนะเส้นทางเลี่ยงสำหรับผู้ต้องการใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร โดยประชาชนที่จะเดินทางมุ่งหน้าไปสมุทรสาคร ให้ใช้สะพานพระราม 9 ให้ลงทางออกถนนสุขสวัสดิ์แทน เพื่อมุ่งหน้าไปถนนพระราม 2 ส่วนประชาชนที่ต้องการขึ้นทางด่วนเพื่อเข้าเมือง ขอให้ขับรถมุ่งหน้าไปแยกบางปะแก้วและใช้ถนนสุขสวัสดิ์ เพื่อไปใช้ด่านฯ สุขสวัสดิ์แทน

ผบ.ตร.สั่งดำเนินการเด็ดขาด รอง ผบก.อก.ภ.8 หลังถูกตรวจพบโพยทุจริตการสอบตุลาการประจำศาลปกครองชั้นต้น ให้ต้นสังกัดตั้งสอบวินัยร้ายแรง ฐานเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง

(17 มี.ค 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึง กรณีสื่อสังคมออนไลน์ วิพากษ์วิจารณ์คลิป เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยศ พ.ต.อ. ถูกเจ้าหน้าที่คุมสอบ จับได้ว่า นำโพยเข้าไปห้องสอบ ตุลาการศาลปกครองชั้นต้นว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทราบเรื่องแล้ว ได้สั่งการให้ตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่า เป็นข้าราชการตำรวจ ยศ พ.ต.อ.จริง ตำแหน่ง  รอง ผบก.อก.ภ.8  แต่มีคำสั่ง ไปช่วยราชการที่ กอ.รมน.ภาค 4 

โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในการสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นตุลาการประจำศาลปกครองชั้นต้น ที่ศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์ รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 15 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ตุลาการศาลปกครองที่ทำหน้าที่ประจำหน่วยสอบได้ตรวจพบการทุจริตการสอบ นำโพยเข้าไปลอกในสนามสอบ จึงประสานมายังตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี (ภ.จว.ปทุมธานี)

พล.ต.ต.ยุทธนา จอนขุน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี พร้อมด้วย พ.ต.อ.อธิเมศร์ ไชยศรัณวิชย์ ผกก.สภ.คลองหลวง ได้เดินทางไปยังศูนย์สอบฯ ดังกล่าว และได้พบกับคณะตุลาการที่ควบคุมการสอบคัดเลือกฯ ได้รับฟังข้อเท็จจริงในการทุจริต จากนั้นได้พูดคุยกับข้าราชการตำรวจรายดังกล่าว ได้ยินยอมให้บันทึกถ้อยคำ และทางคณะตุลาการที่คุมสอบแจ้งว่าจะประชุมสรุปข้อเท็จจริง และเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการในส่วนเกี่ยวข้องต่อไป

ผบ.ตร. ได้สั่งย้ำไปที่ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ.1 ให้ ภ.จว.ปทุมธานี ประสานกับทางสำนักงานศาลปกครอง ให้ดำเนินการตามข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงไป สืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อทราบข้อเท็จจริงและพิสูจน์ความผิดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ส่วนทางวินัยนั้น ผบ.ตร. ได้สั่งการให้หน่วยงานต้นสังกัดดำเนินการทางวินัยทันที หากเป็นความผิดฐานทุจริตการสอบจริง ถือเป็นวินัยร้ายแรง ฐานการกระทำอันเชื่อได้ว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 112 (6) ซึ่งสร้างความเสื่อมเสียต่อหน่วยงานองค์กร  รวมทั้งให้พิจารณาการสั่งให้พักหรือออกจากราชการไว้ก่อนด้วย พร้อมสั่งตรวจสอบที่มาที่ไปของการไปช่วยราชการ กอ.รมน. เป็นการขาดจากต้นสังกัดหรือไม่ การไปช่วยราชการนั้นมีหน้าที่อะไร และในการไปสอบเป็นเวลาปฏิบัติราชการหรือไม่ มีการลาถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ 

นอกจากนี้ โฆษก ตร. กล่าวว่า ผบ.ตร.ย้ำว่ากรณีที่เกิดขึ้นนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเอาจริงเอาจัง ดำเนินการอย่างเด็ดขาด ทั้งคดีอาญาที่เกี่ยวข้อง และการดำเนินการทางวินัย เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพราะข้าราชการตำรวจที่เป็นผู้รักษากฎหมาย แต่กระทำผิดทุจริตในการสอบ จะไปรักษาความเที่ยงธรรมกับผู้อื่นได้อย่างไร และเป็นการสอบเพื่อแต่งตั้งเป็นตุลาการประจำศาลปกครองชั้นต้น ย่อมเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ จะเร่งดำเนินการทุกมิติ เพื่อดำเนินการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด

 “เชียงราย”ตม.เชียงราย ผลักดันขอทานสร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชนแม่สายกลับ”ท่าขี้เหล็ก”

ตามที่มีการร้องเรียนว่ามีกลุ่มบุคคลต่างด้าวมาขอทานสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนภายในพื้นที่ของอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายบริเวณตลาดสายลมจอยตลาดบุญยืนและพื้นที่สาธารณะที่มี คนพลุกพล่าน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงและเด็กมาขอทานดังกล่าว

วันนี้ (17 มี.ค. 68) เวลาประมาณ 11.20 น. ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เทียนทอง          ผกก.ตม.จว.เชียงราย, พ.ต.ท.ตุลย์วรรษ ณรงค์ศักดิ์ รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย และ พ.ต.ท.วิชัย ปันนา สว.ตม. จว.เชียงราย สั่งการให้ จนท.ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.เชียงราย บูรณาการร่วมกับ เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลแม่สาย ออกตรวจสอบเหตุกรณีปรากฎข่าวทางสื่อโซเชียล ว่ามีบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาเดินทางเข้ามาเร่ร่อนขอทาน ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ  บริเวณ ตลาดสดนายบุญยืน ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จว.เชียงราย​​

ผลการปฏิบัติ พบบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา เป็นผู้ใหญ่ 3 ราย เด็ก 6 ราย ซึ่งได้เข้ามาถูกต้องโดยมีบัตรผ่านแดนข้ามมาไม่ได้หลบหนีเข้าเมืองแต่อย่างใด จึงได้ตักเตือนทำการแจ้งว่าหาก ยังมาขอทานในพื้นที่อีกจะ นำเข้าบัญชีเฝ้าระวังห้ามไม่ให้เข้าภายพื้นที่อำเภอแม่สายอีกและได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย/รายงาน

สมุทรปราการ-ดร.ภัทรพล ขอบคุณทุกคะแนนเสียง หวนคืนนั่งเก้าอี้นายกบางแก้วอีกสมัย

(17 มี.ค. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ภายในบ้านพักหรูแห่งหนึ่งใน ต.บางแก้ว อ.บางพลี สมุทรปราการ ดร.ภัทรพล จำปารัตน์ ว่าที่นายกเทศมนตรีเมืองบางแก้วคนใหม่ พร้อมด้วยครอบครัวจำปารัตน์ ญาติสนิทและกลุ่มเพื่อนพ้องตลอดจนผู้ที่ให้การสนับสนุน ต่างมาร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.ภัทรพล จำปารัตน์ ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว หมายเลข 2 ที่สามารถเอาชนะคู่แข่งทั้ง 4 เบอร์ ไปด้วยคะแนนแบบขาดลอยหวนคืนสู่เก้าอี้นายกบางแก้วอีกสมัย

โดยทาง กกต.ได้กำหนดให้มีการเลือกตั้ง ในวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00ขอ -17.00 น. บรรยากาศทั่วไปพบว่าตั้งแต่ช่วงเช้ามีประชาชนต่างทยอยออกมาใช้สิทธิ์เลือกนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้วกันอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเวลา17.00 น.เจ้าหน้าที่ได้ปิดหีบเลือกตั้งและทำการนับคะแนนผลการเลือกตั้งทำให้มีประชาชนต่างมายืนรอลุ้นการนับคะแนนตามหน่วยเลือกตั้งต่างๆ 

และจากการนับคะแนนของทางคณะกรรมการหน่วยเลือกตั้งตามหน่วยต่างๆ อย่างไม่เป็นทางการปรากฏว่าทาง ดร.ภัทรพล จำปารัตน์ ผู้สมัครหมายเลข 2 ได้รับคะแนนสนับสนุนถึง 10,002 คะแนน รองลงมาคือนายบวรวิทย์ พึ่งทอง ผู้สมัครหมายเลข 1 ได้คะแนน 6,685 คะแนน นายชัยรัชต์พงษ์ กุลรัตนจินดา ผู้สมัครหมายเลข 3 ได้คะแนน 5,120 คะแนน นายชัชวาล พันธ์พุ่ม ผู้สมัครหมายเลข 5 ได้คะแนน 2,121 คะแนน และ นายนัฎทีธร จักรแก้ว ผู้สมัครหมายเลข 4 ได้คะแนน 91 คะแนน 

โดยทางด้าน ดร.ภัทรพล จำปารัตน์ ว่าที่นายกบางแก้ว กล่าวว่า ตนเองต้องขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชนชาวบางแก้วที่มอบให้ หลังจากนี้ทุกนโยบายทุกปัญหาของประชาชนชาวบางแก้วจะได้รับการดูแล และได้รับการแก้ไขอย่างแน่นอน ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกคะแนนเสียงและขอสัญญาว่าจะทำหน้าที่ที่ประชาชนมอบหมายให้ดีที่สุดให้สมกับที่ประชาชนเลือกมา

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ผู้ช่วย ผบ.ตร.ประชุมติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ในห้วงเดือนรอมฎอน

(15 มี.ค.68) เวลา 14.00 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร./ผบ.ศปก.ตร.สน.) ได้เดินทางไปยังประชุมติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ในห้วงเดือนรอมฎอน(ถือศีลอด) และนำความห่วงใยของ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มาแจ้งแก่กำลังพล ณ ห้องประชุม war room ศปก.ตร.สน. จังหวัดยะลา โดย มี พล.ต.ท.ปิยวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น./รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี รอง ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.ธเรศ แก้วละเอียด รอง ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.ณฐกรณ์ กาญจนภรณ์ ผบก.ภ.จว.ยะลา , พล.ต.ต.สันทัศน์ เชื้อพุฒตาล ผบก.ภ.จว.ปัตตานี , พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล ผบก.ภ.จว.นราธิวาส , พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฏ์ ผบก.ภ.จว.สงขลา , พล.ต.ต.ยุทธพงษ์ ทองนุ้ย ผบก.ศฝร.ภ.9 , พล.ต.ต.อนุราช จิตศีล ผบก.สพฐ.10 ฝ่ายสืบสวน/อำนวยการและสนับสนุน และส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม พร้อมทั้งหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรทั้ง 62 แห่ง ร่วมประชุม ผ่านระบบ zoom

ในการประชุมได้เน้นเรื่องการกำหนดแผนให้ครอบคลุม ครบถ้วนตามสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่ จากนั้นมอบหมาย รองผู้บังคับการตำรวจภูธร 4 จังหวัด ได้แก่ สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ที่รับผิดชอบพื้นที่ ลงรายละเอียดเพื่อช่วยหัวหน้า สภ.ทุกแห่ง กำกับดูแลพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนมาตรการต่างๆ ของทุกส่วนรับผิดชอบเพื่อลดความสูญเสียของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ อันเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พี่น้องประชาชน ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรักษาความสงบปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ได้อย่างแท้จริง เพื่อเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

จากนั้น พล.ต.ท.สำราญฯ พร้อมคณะ ได้ออกตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญและทบทวนการปฏิบัติ การซ้อมแผนเผชิญเหตุ จากการถูกซุ้มโจมตี ของ มว.ฉก.ตร.ยะลา 9121 (เมืองยะลา) และ มว.ฉก.นปพ.ยะลา 13 (กรงปินัง) และรับข้อเสนอ จากผู้ปฏิบัติ ด้านอาวุธ อุปกรณ์ โดยจะได้สนับสนุน เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่กำลังพลของหน่วย ให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อไป

สธ. ตั้งเป้า รพ.รัฐทุกแห่งได้รับมาตรฐานสถานพยาบาลแห่งชาติ HS4 ยกระดับบริการสร้างความเชื่อมั่นประชาชน

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานขับเคลื่อนมาตรฐานระบบบริการสุขภาพ  “HS4 ก้าวย่างอย่างยิ่งใหญ่ สู่มาตรฐานแห่งชาติ” มุ่งยกระดับสถานพยาบาลภาครัฐ สู่สถานพยาบาลต้นแบบ เพิ่มศักยภาพแข่งขันในระดับสากล ปัจจุบันมีสถานพยาบาลภาครัฐทุกสังกัดได้รับมาตรฐาน HS4 แล้ว 1,074 แห่ง หรือร้อยละ 97.6 ตั้งเป้าให้สถานพยาบาลรัฐผ่านเกณฑ์มาตรฐานครบทุกแห่ง เพื่อประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและปลอดภัย ส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพโลก

วันนี้ (17 มี.ค. 68) ที่ โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนและยกระดับมาตรฐานระบบบริการสุขภาพ สู่มาตรฐานสถานพยาบาลแห่งชาติ (HS4 Journey to National Standard) โดยมี ดร.นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผู้บริหาร บุคลากรผู้เกี่ยวข้องจากส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค โรงพยาบาลภาครัฐทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 500 คน

นพ.โอภาส กล่าว การพัฒนาสถานพยาบาลให้เป็นไปตามมาตรฐานและกฎหมายของประเทศเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมคุณภาพ ทำให้การจัดบริการประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความปลอดภัยและสวัสดิภาพให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพจึงได้กำหนดมาตรฐานระบบบริการสุขภาพ HS4 (Health Standard Service Support System) ภายใต้พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติสถานพยาบาล (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2559 (มาตรา5) เพื่อเป็นมาตรฐานแห่งชาติในการประเมินมาตรฐานระบบบริการสุขภาพของสถานพยาบาลภาครัฐ โดยเป็นตัวกำหนดการเพิ่มขีดความสามารถการจัดบริการ ยกระดับสถานพยาบาลภาครัฐให้เป็นสถานพยาบาลต้นแบบ ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และศูนย์ศึกษาแก่สถานพยาบาลอื่น เกิดศูนย์ความเป็นเลิศ (Excellent Center) ในแต่ละแผนก ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับสากล นำมาสู่การสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้รับบริการทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยขณะนี้มีสถานพยาบาลภาครัฐที่ดำเนินการตามมาตรฐาน HS4 แล้ว 1,074 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 97.6 ของสถานพยาบาลภาครัฐทุกสังกัด ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้สถานพยาบาลภาครัฐผ่านการประเมินมาตรฐาน HS4 ให้ครบทุกแห่ง

ด้าน ดร.นพ.ภานุวัฒน์ กล่าวว่า มาตรฐาน HS4 เป็นการตรวจสอบ ควบคุม กำกับ และประเมินคุณภาพมาตรฐานครอบคลุมการดำเนินงาน 9 ด้าน ได้แก่ 1.การบริหารจัดการ 2.การบริการสุขภาพ 3.มาตรฐานอาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก 4.สิ่งแวดล้อม 5.ความปลอดภัย 6.เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ 7.ระบบสนับสนุนบริการที่สำคัญ 8.สุขศึกษาและพฤติกรรมสุขภาพ และ 9.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยมีหน่วยงานในสังกัดกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมกำกับ ดูแล และให้คำแนะนำในการประเมินแก่สถานพยาบาลภาครัฐทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งการประชุมครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้มีส่วนร่วมในการจัดทำมาตรฐาน ได้แสดงความคิดเห็น เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากภาคีและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และรับทราบแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาสถานพยาบาลของประเทศตามมาตรฐานระบบบริการสุขภาพ ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐานสูงอย่างปลอดภัย รวมทั้งเพิ่มพูนขีดความสามารถของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางในการให้บริการด้านสุขภาพแก่นักท่องเที่ยวทั่วโลก

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

‘กอ.รมน.ภาค 4 สน.’ แจง!! กรณีดำเนินคดี 5 แกนนำนักศึกษา ปมจัดเสวนา ‘สิทธิกำหนดอนาคตตนเองกับสันติภาพปาตานี’

(16 มี.ค. 68) พันเอก ปองพล สุทธิเบญจกุล รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) แถลงชี้แจงกรณีการนัดส่งตัว 5 แกนนำนักศึกษาที่ถูกดำเนินคดีจากการจัดเสวนาและประชามติจำลองเกี่ยวกับ "สิทธิกำหนดอนาคตตนเองกับสันติภาพปาตานี" ในวันที่ 17 มีนาคม 2568 โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมาย

กอ.รมน.ภาค 4 สน. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพบว่าขบวนนักศึกษาแห่งชาติเป็นองค์กรเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เรียกร้อง "สิทธิในการกำหนดใจตนเอง" และมีการเปลี่ยนชื่อองค์กรเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 โดยมีนายอิรฟาน อุมา เป็นประธาน การจัดกิจกรรมเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เป็นการเปิดตัวขบวนนักศึกษาแห่งชาติ โดยมีนักการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง นักวิชาการ และเครือข่ายนักศึกษาเข้าร่วม

กอ.รมน.ภาค 4 สน. ยืนยันว่าได้กำหนดนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญ และไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น อย่างไรก็ตาม การจัดกิจกรรมของขบวนนักศึกษาแห่งชาติเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า "ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้" และเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116, พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14 (3) และความผิดฐานเป็นอั้งยี่ตามมาตรา 209

กอ.รมน.ภาค 4 สน. จึงได้มอบหมายผู้แทนเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีต่อแกนนำนักศึกษาทั้ง 5 คน และยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม โดยไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปิดปากหรือคุกคามผู้จัดกิจกรรม แต่เป็นการดำเนินการตามกฎหมายเมื่อพบการกระทำความผิด

‘กรมราชทัณฑ์’ แจง!! ‘แยม’ กดไลก์ IG น้องชาย เป็นคนอื่นที่รู้รหัส ยัน!!อยู่ในคุก ถูกควบคุมเข้มงวด

(16 มี.ค. 68) กรมราชทัณฑ์ได้ออกเอกสารชี้แจง กรณีผู้ต้องขังสามารถกดไลก์อินสตาแกรมของน้องชาย โดยมีรายละเอียด ระบุว่า “ราชทัณฑ์ แจง กรณีผู้ต้องขัง ย. กดไลค์ ไอจี น้องชาย” วันที่ 15 มีนาคม 2568 จากกรณีที่เพจ Facebook ใช้ชื่อว่า บิ๊กเกรียน ได้โพสต์ข้อความ “ย. (เป็นผู้หญิง) ติดคุก แต่เล่น Social media ได้ไหม เห็นกด Like ใน Instagram น้องชาย ทาง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เห็นแล้ว” โดยตีความว่าอาจเป็น “แยม ธมลพรรณ์” ซึ่งเป็นผู้ต้องขังที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลางนั้น

กรมราชทัณฑ์ ได้รับรายงานจากทัณฑสถานหญิงกลาง แจ้งว่า น.ส.แยม ธมลพรรณ์ คดีร่วมกับพวกฟอกเงินและชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันออนไลน์ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดี ยังคงอยู่ในการควบคุมตัวอยู่ภายในทัณฑสถานฯ ไม่สามารถใช้เครื่องมือสื่อสาร หรือสื่อโซเชียลใดๆ ได้ เนื่องจากทางทัณฑสถานฯ มีมาตรการอย่างเข้มงวด และไม่มีเครื่องสื่อสารซึ่งถือเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าภายในทัณฑสถาน รวมถึงคอมพิวเตอร์ภายในทัณฑสถานฯ จะใช้สําหรับการเยี่ยมญาติผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์เท่านั้น โดยมีเจ้าหน้าที่ควบคุมขณะการใช้งานตลอดเวลา ซึ่งการกระทําในครั้งนี้ สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากบุคคลอื่นที่รู้รหัสผ่านเข้าบัญชี Instagram ของ น.ส.แยมฯ หรือสามารถเข้าถึงข้อมูลในมือถือของ น.ส.แยมฯ ได้ จึงขอยืนยันว่า น.ส.แยมฯ ไม่สามารถกระทําการดังกล่าวได้อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ การใช้เครื่องมือสื่อสารหรือสื่อโซเชียลใดๆ ไม่สามารถเข้าภายในเรือนจํา/ทัณฑสถานได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งของต้องห้าม นอกเสียจากการนําไปใช้ในด้านการศึกษาหรือเพื่อการเยี่ยมญาติผ่านระบบแอปพลิเคชั่นไลน์เท่านั้น และการเยี่ยมญาติดังกล่าว ก็มีกฎระเบียบที่ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ที่จะส่งผลกระทบสร้างความเสียหายให้กับทางราชการได้

เราจะร่วมกันลดฝุ่นโรงงาน โรงไฟฟ้า ไฟป่า ไฟไร่ ฝุ่นเมือง และฝุ่นการจราจร ช่วยเพื่อนบ้าน ลดฝุ่นข้ามแดน แบบไม่ชี้นิ้วใส่ใคร โดยไม่รู้จักทิศทางของลม

ไทยเราควบคุมให้ลดจุดความร้อนได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

แต่เราคงต้องช่วยเพื่อนๆให้มากๆขึ้นด้วย

สภาลมหายใจภาคประชาชนในทุกท้องที่ท้องถิ่น จะเป็นทางออกที่เจ้าของปอด เข้าถึงความรู้ความรอบและความจริง รายสัปดาห์

เพราะว่าลมใหญ่เปลี่ยนทิศทาง
ลมย่อยประจำถิ่นก็เปลี่ยนตามบริบทของตัวเอง

ช่วยกันเชียร์ให้สถาบันการศึกษาประจำพื้นที่โดดเข้ามาเป็นแกนช่วยเหลือทางหลักวิชา
เชิญให้สื่อประจำพื้นที่ได้เข้ามาติดตามรายงานเผยแพร่ต่อ

เพื่อปลุกและแนะให้เจ้าของปอดทุกคน มีความรู้และสู้ร่วมกันอย่างมีความหวังและเท่าทัน

ใช้สูตร 1เดือนหลังฤดูฝุ่นมาถอดบทเรียนว่าเราน่าจะทำอะไรในพื้นที่ให้เกืดผลที่ดีขึ้นในฤดูฝุ่นหน้า

แล้วลงมือลุยทำไปต่อตลอด8เดือนถัดมา

เมื่อ3เดือนแห่งฝุ่นขึ้นฟ้ามาอีกครั้ง

เราจะได้ลดค่าความอันตรายลงไปได้ต่อเนื่องทุกๆปีนับแต่นี้

สูตรทำงานสู้ฝุ่น #1-3-8

เราจะร่วมกันลดฝุ่นโรงงาน โรงไฟฟ้า ไฟป่า ไฟไร่ ฝุ่นเมืองและฝุ่นการจราจร

และช่วยเพื่อนบ้านลดฝุ่นข้ามแดนแบบไม่ชี้นิ้วใส่ใครโดยไม่รู้จักทิศทางของลม

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ

‘ดร.สามารถ’ ลั่น!! พูดได้ไง?? พระราม 2 ถล่ม เป็น ‘เหตุสุดวิสัย’ ชี้!! ‘วสท.’ ต้องเคลียร์ ไม่เปิดช่อง ให้คนผิด ปัดความรับผิดชอบ

(16 มี.ค. 68) ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ฝ่ายโยธาและจราจร สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเหตุ ‘พระราม 2’ โดยมีใจความว่า …

เช้ามืดของวันเสาร์ที่ 15 มีนาคม 2568 มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากการก่อสร้างทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ซึ่งจะเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์ที่กำลังก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย 

หลังจากเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว ผู้แทนวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) คนหนึ่งได้ไปตรวจดูพื้นที่พร้อมกับให้สัมภาษณ์ โดยสรุปได้ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ “เป็นเหตุสุดวิสัย” ที่เกิดจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของดิน ทำให้การรับน้ำหนักปูนกว่า 10 ตันเกิดการเอียง จนตัวแม่แบบหลุดออกมาและถล่ม

ผมในฐานะวิศวกรและสมาชิก วสท. คนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าว เนื่องจากการอ้างว่า “เป็นเหตุสุดวิสัย” นั้น เป็นการให้สัมภาษณ์โดยที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดตามหลักวิศวกรรม 

“เหตุสุดวิสัย” หมายถึงสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้รับผิดชอบ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้ แม้ว่าจะใช้ความระมัดระวังหรือพยายามป้องกันแล้วก็ตาม แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้จริงหรือ? และผู้รับผิดชอบได้ใช้ความระมัดระวัง หรือได้พยายามป้องกันแล้วจริงหรือ??

ผมไม่เชื่อว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้ ถ้าผู้รับผิดชอบได้ใช้ความระมัดระวัง หรือพยายามป้องกันอย่างเต็มที่ตามหลักวิศวกรรม

ด้วยเหตุนี้ การฟันธงลงไปว่า “เป็นเหตุสุดวิสัย” ในทางกฎหมายอาจถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อยกเว้นความผิด หากมีการระบุไว้ในสัญญาว่า กรณีเกิดเหตุสุดวิสัย ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น

วสท.เป็นสมาคมวิชาชีพด้านวิศวกรรมที่มีความสำคัญ เป็นที่เชื่อถือและยอมรับของสังคม ดังนั้น การแสดงความคิดเห็นในนาม วสท. จะต้องใช้ความเป็นมืออาชีพ ต้องยึดหลักวิศวกรรมเป็นสำคัญ สร้างความน่าเชื่อถือ ต้องไม่ทำให้สังคมเกิดความคลางแคลงใจ

ทั้งหมดนี้ ด้วยความหวังดีต่อ วสท. อยากให้ วสท.เป็นที่เชื่อถือและยอมรับจากสาธารณชนตลอดไป
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top