Wednesday, 9 July 2025
NEWS FEED

เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เปิดมูลนิธิ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์

พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดพร้อมทั้งตัดริบบิ้น ในพิธีเปิดมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ พลเรือตรี ประทีป ตังติสานนท์ รองเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ในฐานะประธานมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ กล่าวถึงความเป็นมาและวัตถุประสงค์การจัดตั้งมูลนิธิในครั้งนี้ว่า เพื่อให้การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาสวัสดิการบุคลากรรวมถึงพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และกิจกรรมต่างๆ ของโรงพยาบาล  เพื่อให้การส่งเสริมและสนับสนุนการรักษาพยาบาลผู้ป่วยของโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ ให้มีประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลดียิ่งขึ้น และเพื่อดำเนินการด้านสาธารณประโยชน์และให้ความร่วมมือกับองค์การการกุศล โดยไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด โดยมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ได้จดทะเบียนถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งในการนี้ ได้มีหน่วยงานราชการ พ่อค้า ประชาชน รวมถึงผู้มีจิตอันเป็นกุศล ได้ร่วมในพิธีดังกล่าวและได้ร่วมบริจาคเงินเพื่อเป็นสายธารบุญให้แก่มูลนิธิ โดยได้จัดพิธีรับมอบเงินบริจาค ณ ห้องประชุมลุมพิกานนท์ และ จัดพิธีเปิดมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ณ ห้องมูลนิธิฯ บริเวณส่วนตรวจโรคผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เปิดศูนย์ฝึกอบรมภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์

พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ให้เกียรติเป็นประธาน กล่าวเปิดและตัดริบบิ้น เปิดศูนย์ฝึกอบรมภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ พร้อมกันนี้ ได้ปฏิบัติตามนโยบายและแนวทางปฏิบัติงาน ผู้บัญชาการทหารเรือ ประจำปี งบประมาณ 2567 เรื่อง การเพิ่มขีดความสามารถการกู้ชีพขั้นพื้นฐานให้กับ กำลังพลกองทัพเรือ และนโยบายเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ประจำปีงบประมาณ 2567 เรื่อง การพัฒนาศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการด้านการแพทย์ฉุกเฉินทาง ทะเล ให้สมบูรณ์ ได้มาตรฐาน มีความยั่งยืน และต่อยอดการพัฒนางานด้าน เวชศาสตร์ทางทะเลอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายดังกล่าว พลเรือตรี สรรชัย เลิศวีระศิริกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาภากร เกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ มีดำริให้จัดทำโครงการพัฒนาทักษะการกู้ชีพโรงพยาบาล อาภากรณ์เกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ เพื่อดำเนินการฝึกอบรมการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) และการใช้เครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ (AED) ให้แก่กำลังพลกองทัพเรือ และประชาชน ตั้งแต่ วันที่ 6 ตุลาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน

เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมดังกล่าว เป็นการรองรับการพัฒนากำลังพลกองทัพเรือ และเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉิน พื้นที่ชายฝั่งและอ่าวไทยตอนบน 11 จังหวัดชายทะเล เพื่อให้เกิดความเหมาะสมตรงตามวัตถุประสงค์สอดคล้องกับภารกิจที่หน่วยดำเนินการ จึงได้ขออนุมัติ เปิดศูนย์ฝึกอบรมภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ซึ่งได้ดำเนินการฝึกอบรมให้แก่กำลังพลกองทัพเรือ เกินค่าเป้าหมาย 10,000 คน ในการนี้ กรมแพทย์ทหารเรือ ขอชื่นชมและแสดงความภาคภูมิใจ จากกรณีที่กำลังพลกองทัพเรือได้ช่วยชีวิตชาวต่างชาติโดยการทำ CPR ทำให้ผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีและทำการส่งต่อ เพื่อทำการรักษาจนปลอดภัย และได้มีการมอบโล่ห์ประกาศเกียรติคุณให้กับ พันจ่าเอก นิวัฒน์ กังหัน ผู้ให้การช่วยเหลือชาวต่างชาติจนปลอดภัย และมอบใบประกาศนียบัตรให้กับหน่วยที่ผ่านการอบรม โดยได้กระทำพิธีดังกล่าว ณ ห้องศูนย์ฝึกอบรม ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ โรงพยาบาล อาภากรณ์เกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

‘ชาวเน็ตเกาหลี’ วิจารณ์ ‘ลิซ่า ROCKSTAR’ ฉีกกฎ K-POP พร้อมจุดประเด็น ‘Blackfishing’ ฉกฉวยอัตลักษณ์สีผิว

เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย. 67) จากช่องยูทูบ ‘Hello Lisa Day’ โพสต์คลิปวิดีโออัปเดตเรื่องราวของสาว ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ หลังจากได้ปล่อยโปสเตอร์ ROCKSTAR ออกมา ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาและเป็นไวรัลต่าง ๆ ไปทั่วโลก แถมฝั่งอินเตอร์ก็ยังชื่นชมเกี่ยวกับสีผิวของลิซ่า ที่ดูสวย ดูอิ่มน้ำ ดูผิวน้ำผึ้ง ผิวแทน ซึ่งเหมาะมาก ๆ อย่างไรก็ตามนี่คือส่วนหนึ่งที่ทางฝั่งอินเตอร์ชื่นชม เพราะว่าในเกาหลีนั้นกลับมองว่าการทําสีผิวแบบนี้ของลิซ่า ถือว่าเป็นการฉกฉวยวัฒนธรรม เรียกได้ว่าเป็นการตั้งกระทู้ที่ค่อนข้างจะรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องราวของวัฒนธรรมและสีผิว 

ซึ่งในทางโพสต์ของกระทู้นี้ มีการบอกเอาไว้ว่าภาพถ่ายนั้นได้เผยแพร่ออกมา และดูเหมือนว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนอย่างรุนแรงของภาพลักษณ์ไอดอล K-POP อย่างลิซ่า ซึ่งรูปภาพนี้ลิซ่าแสดงออกด้วยความกล้าหาญและเฉียบคม พร้อมด้วยทรงผมแบบวูฟคัต และโทนสีผิวที่เปลี่ยนไปอย่างมาก โดยการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงนี้ทําให้เกิดความตื่นเต้นและก็เกิดชนวนความขัดแย้งเกิดขึ้นเช่นกัน ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าภาพหนึ่งภาพนี้ปรับเปลี่ยนมุมมองของลิซ่าตลอด 7 ปีที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง…

โดยหลายคนเชื่อว่าเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อเข้าสู่ภาพลักษณ์ระดับโลก ตามสไตล์คอนเซ็ปต์ที่เรียกว่า ‘Rockstar’ ที่ลิซ่าได้ปล่อยออกมา ซึ่งชาวเน็ตบางกลุ่มบอกว่าการทําแบบนี้นั้นอาจจะได้รับอิทธิพลจากบุคคลสําคัญ อย่างเช่น รีฮันนา หรือ บียอนเซ่ เป็นต้น เพื่อให้ภาพลักษณ์ของเพลง หรือการคัมแบ็กครั้งนี้ดูเป็นสากลมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในโลกออนไลน์ตอนนี้ชาวเน็ตเกาหลี ได้ออกมาพูดว่าการทําผิวสีแทนหรือว่าผิวสีน้ำผึ้งของลิซ่านั้น ดูเหมือนเป็นการจุดประเด็นอย่างเรื่องของ ‘Blackfishing’ ขึ้นมารึเปล่า? 

สำหรับ ‘Blackfishing’ หากพูดกันง่าย ๆ ก็คือ การที่เรายกอัตลักษณ์ของกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งออกมาทําเพื่อล้อเลียน หรือทำเพื่อความสนุกสนาน ถ้าพูดให้เห็นภาพ อย่างเช่น ตะวันตก ชาวยุโรป ที่ทําตาหรือดึงตาให้ดูเหมือนกับตาชั้นเดียว เพื่อเป็นการล้อเลียนชาวเอเชีย รวมไปถึงการทำเมคอัพต่าง ๆ ที่แต่งหน้าแต่งกาย ทาสีผิวเพื่อเป็นสีดำ ถักเดทร็อค ซึ่งในจุด ๆ นี้ลิซ่าเคยโดนติงในเรื่องของการถักเดทร็อคมาแล้ว 1 ครั้ง ในการคัมแบ็กอย่างเพลง Money และมาตอนนี้ครั้งล่าสุดลิซ่าก็ถูกจ้องมองเกี่ยวกับเรื่องราวของการใช้สีผิวสีแทน หรือว่าสีผิวสีน้ำผึ้งนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดนี้ ทางฝั่งแฟนคลับและฝั่งนักวิจารณ์ หรือผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ก็ได้ออกมาพูดถึงว่า การพูดเชิงประมาณนี้อาจจะเป็นการพูดที่เกินจริงไปก็ได้เกี่ยวกับเรื่องราวการเหยียดสีผิว หรือการล้อเลียนของวัฒนธรรม เพราะว่าสิ่งที่ลิซ่าทํานั้น ไม่ใช่เป็นการทําเพื่อล้อเลียน หรือทำเพื่อความสนุกสนานเฮฮา แต่เป็นการทําเพื่อบริบทต่าง ๆ ของคอนเซ็ปต์ใน ‘Rockstar’ และการถ่ายภาพนั้นอาจเป็นคอนเซ็ปต์ หรือเป็นซิกเนเจอร์ของช่างแต่งภาพคนนั้นนั่นเอง ซึ่งไม่ได้มีเจตนาล้อเลียน และทำการเหยียด ทั้งเชื้อชาติหรือสีผิวแต่อย่างใด 

‘รัดเกล้า-มินิ วปอ.รุ่นที่ 1’ ลงพื้นที่ภาคอีสาน 5 จว. รับฟังปัญหา ปชช. พร้อมเดินหน้าเซ็น MOU ผลักดันอุตฯ-ผลิตภัณฑ์เลือดอีสานสู่เวทีโลก

(26 มิ.ย. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะสื่อสารของหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารในอนาคต หรือ วปอ.บอ. หรือที่รู้จักกันในนาม ‘มินิ วปอ. รุ่นที่ 1’ ได้เปิดเผยกำหนดการการลงพื้นที่ครั้งที่ 2 ของหลักสูตรที่มีกำหนดการเดินทางต่อเนื่อง 5 วัน ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายนจนถึง วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2567 

โดยการเดินทางครอบคลุม 5 จังหวัดในแดนอีสาน เริ่มต้นตั้งแต่จังหวัดเลย เดินสายต่อไปที่จังหวัดอุดรธานี จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย และปิดท้ายด้วยจังหวัดนครราชสีมา 

ซึ่งกำหนดการมีทั้งเนื้อหาของการลงพื้นที่เพื่อเรียนรู้ปัญหาเชิงลึก การฟังการบรรยายในหัวข้อที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืน และผลกระทบการบริหารจัดการลุ่มแม่น้ำโขง ที่ได้เรียนรู้ถึงผลกระทบต่อสภาวะโลกร้อนที่มีต่อจังหวัดเลย ที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และเรียนรู้ถึงความกังวลใจของประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่บริเวณชายแดนแม่น้ำโขงที่ได้รับผลกระทบจากโครงการสร้างเขื่อน เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงของประเทศลาว โดยเฉพาะชาวประมงที่จะพบเจอการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศที่ส่งผลให้มีจำนวนปลาน้อยลง จำนวนสาหร่ายเพิ่มขึ้น เป็นต้น

นางรัดเกล้า เผยเพิ่มเติมว่า วันนี้ (26 มิ.ย. 67) พลโท ศักดิ์สิทธิ์ แสงชนินทร์ ที่ปรึกษาสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กรรมการบริหารการศึกษา และ ผู้อำนวยการหลักสูตร วปอ.บอ. นำทัพเดินทางมาจังหวัดบึงกาฬเพื่อฟังการบรรยายเรื่อง ‘ประตูการค้าสู่อินโดจีน’ และคณะนักศึกษาได้ประกอบกิจกรรมเพื่อพัฒนาสังคม (CSR) รวมถึงการลงนามเซ็นในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) ในการให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการของจังหวัดบึงกาฬไปสู่เวทีโลกภายใต้แนวคิด Connect to the future: Moving forward together ซึ่งจะเป็นการลงนามระหว่าง 5 ฝ่ายได้แก่ หลักสูตร วปอ.บอ. จังหวัดบึงกาฬ องค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ หอการค้าจังหวัดบึงกาฬ และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดบึงกาฬ 

นางสาวธนนนท์ นิรามิษ ประธานคณะกรรมการฝ่ายพัฒนาสังคม CSR นักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 1 ชี้แจงภายหลังจากการร่วมลงนามใน MOU ว่า สาระสำคัญใน MOU คือการทำงานร่วมกันเชิงบูรณาการ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการของจังหวัดบึงกาฬไปสู่เวทีโลก อันจะนำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของจังหวัดบึงกาฬอย่างยั่งยืน 

โดยนักศึกษา วปอ.บอ. รุ่นที่ 1 จะช่วย Connect จังหวัดบึงกาฬไปสู่อนาคตที่สดใส ภายใต้แนวคิด Moving forward together ขับเคลื่อนทำงานร่วมกันกับอีก 4 ฝ่ายในจังหวัดบึงกาฬ ผ่านการให้คำปรึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการของจังหวัดที่ประสบปัญหาในการสร้างรายได้ให้สามารถเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนและเป็นที่รู้จักในระดับประเทศและนานาชาติ ร่วมกันให้คำปรึกษาในการพัฒนาและขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของไทยไปสู่เวทีโลก รวมถึงการขยายช่องทางการค้าและส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันอีกด้วย

"ในอีก 2 วันที่เหลือของการเดินทาง คณะจะเดินทางไปหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เพื่อฟังการบรรยายเกี่ยวกับ ‘การรักษาความสงบตามแม่น้ำโขง’ และ ‘การจัดการและพัฒนาแหล่งน้ำทรัพยากรและผลกระทบลุ่มแม่น้ำโขง’ ตามด้วยการทำ MOU อีกฉบับร่วมกับจังหวัดหนองคาย จังหวัดอุดรธานี สภาอุตสาหกรรมจังหวัดหนองคาย และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี ในการผลักดันกลุ่มอุตสาหกรรมลุ่มแม่น้ำโขงสู่เวทีโลก โดยในการลงพื้นที่ก่อนหน้านี้ได้มีการเซ็น MOU ลักษณะเดียวกันที่จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดตากอีกด้วย จะเห็นได้ว่าการลงพื้นที่ของ หลักสูตร วปอ.บอ. จะมีกำหนดการและเนื้อหาสาระที่อัดแน่น และมีการพ่วงกิจกรรมเพื่อพัฒนาสังคมทุกครั้ง เหตุเพราะหลักสูตร วปอ.บอ. นี้เป็นการรวมตัวของผู้นำแห่งอนาคตที่มุ่งหวังรวมตัวกันทำการดี เป็นการสร้างเครือข่ายคนรุ่นใหม่ที่ต้องการร่วมกันพัฒนาประเทศไทยที่ดีขึ้น" นางรัดเกล้า กล่าวเสริม

‘กรมทะเลฯ’ เตือนภัย!! ‘แมงกะพรุนหัวขวด’ พิษร้ายแรง โผล่หาดภูเก็ต ย้ำ นทท.เฝ้าระวัง อาจเสี่ยงถึงตาย พร้อมแนะวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น

(26 มิ.ย.67) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ออกมาแจ้งเตือนว่า มีการพบแมงกะพรุนหัวขวด (Blue Bottle Jellyfish) ซึ่งเป็นแมงกะพรุนพิษร้ายแรง กลุ่มแมงกะพรุนไฟ ที่อ่าวหลา อ่าวทือ เกาะราชาใหญ่ จ.ภูเก็ต ขอให้นักท่องเที่ยว หรือผู้ทำกิจกรรมทางน้ำระวังการสัมผัส หากสัมผัสโดนแมงกะพรุนจะทำให้มีอาการปวดแสบปวดร้อน อาจส่งผลต่อระบบผิวหนัง ระบบประสาทหัวใจ และอาจเสียชีวิตได้ ล่าสุด รับแจ้งจาก Seafarer Divers Phuket บริษัท ซีฟาร์เรอร์ ไดเวอร์ ภูเก็ต จำกัด ว่า เจ้าหน้าที่เรือ 1 นาย สัมผัสแมงกะพรุนหัวขวดได้รับบาดเจ็บ หายใจติดขัด นำส่งโรงพยาบาล ล่าสุดอาการปลอดภัยแล้ว นอกจากนั้น ยังมีนักดำน้ำ สัมผัสอีก 2 คน

อย่างไรก็ตาม หากสัมผัสควรใช้วัสดุแข็งเขี่ยหนวดออกจากร่างกาย ห้ามใช้มือสัมผัสโดยตรง และห้ามนวดหรือทายาใดๆ ใช้น้ำส้มสายชูราดบริเวณที่สัมผัสอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 30 วินาที และห้ามใช้น้ำจืดในการล้างแผลโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้พิษกระจายเร็วขึ้น และรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

สำหรับแมงกะพรุนหัวขวด (Blue Bottle Jellyfish) : สกุล Physalia จัดอยู่ในกลุ่มแมงกะพรุนไฟ ไฟลัม Cnidaria คลาส Hydrozoa แมงกะพรุนหัวขวดมีลักษณะส่วนบนลอยโผล่พ้นน้ำคล้ายลูกโป่งรูปร่างรี ยาว คล้ายหมวกของทหารเรือชาวโปรตุเกส มีหนวดยาวสีฟ้าหรือสีม่วง มีเข็มพิษ (nematocyst) สำหรับป้องกันตัวและจับเหยื่อ กระจายอยู่ทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหนวด (tentacle) แมงกะพรุนชนิดนี้ทั่วโลกพบ 2 ชนิดคือ แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (P. physalis) และแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสอินโด-แปซิฟิก (P. utriculus)

สำหรับในประเทศไทยมีรายงานพบแมงกะพรุนหัวขวดประปราย ระหว่างเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ บริเวณชายหาดชลาทัศน์ และชายหาดสมิหลา จ. สงขลา ชายหาดแหลมตาชี จ.ปัตตานี หาดนาเทียน หาดละไม และหาดริ้น จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวอ่าวไทยได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้คลื่นลมพัดพาแมงกะพรุนเข้ามาชายฝั่งอ่าวไทยได้

ทั้งนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้จัดทำแอปพลิเคชัน Marine Warning Application on Mobile ระบบเตือนภัยท่องเที่ยวทางทะเล (Marine Tourism Warning System) เป็นระบบแจ้งเตือนภัยนักท่องเที่ยวหรือประชาชนในพื้นที่ใกล้จุดเกิดเหตุ ในการเฝ้าระวังและรวบรวมสถิติการเกิดปรากฏการณ์ภัยทางทะเล เช่น น้ำทะเลเปลี่ยนสี คลื่นย้อนกลับ ปัญหาคราบน้ำมัน จุดที่พบแมงกะพรุนพิษ และการกัดเซาะชายฝั่งในรูปแบบ Web Application และ Mobile Application โดยมีเมนูการใช้งาน ประกอบด้วย แสดงจุดเตือนภัยตามพิกัดที่เกิดเหตุในรัศมีที่กำหนด ระบบแจ้งเตือนบนมือถือ (Notification) พร้อมให้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับระบบรับแจ้งเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับภัยพิบัติทางทะเลและชายฝั่ง ดาวน์โหลดติดตั้งฟรีได้แล้ววันนี้

‘โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ’ ประกาศถอนตัวจาก ‘ประกันสังคม’ ในปีหน้า หลังโดนผู้ประกันตนเจ้าเล่ห์ รักษาที่อื่น แต่ให้รพ.รับผิดชอบกว่า 8 หมื่นบาท

(26 มิ.ย.67) พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ออกประกาศ เรื่อง การเตรียมการถอนตัวออกจากการเป็นโรงพยาบาลคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคม ระบุว่า เนื่องจากคณะกรรมการอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 คําวินิจฉัยที่ 235/2567 ลงวันที่ 29 ก.พ. 2567 ได้แจ้งให้สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 มีคําสั่งให้ รพ.มงกุฎวัฒนะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลของผู้ประกันตนรายหนึ่ง จํานวน 80,295.20 บาท ทั้ง ๆ ที่เป็นกรณีผู้ประกันตนตั้งใจไปรับการรักษากับ รพ.นอกสิทธิเอง แต่ผู้ประกันตนกลับร้องเรียนให้ รพ.มงกุฎวัฒนะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นการใช้สิทธิของผู้ประกันตนโดยไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ คณะกรรมการอุทธรณ์ฯ ได้พิจารณาอุทธรณ์จากเอกสารและการสอบถามผู้ร้องเรียนเพียงฝ่ายเดียว การฟังความข้างเดียวดังกล่าวทําให้เกิดการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมต่อ รพ.มงกุฎวัฒนะ ทั้งยังกล่าวหาว่า รพ.มงกุฎวัฒนะให้การตรวจวินิจฉัยรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ประกันตนไม่เหมาะสมตามมาตรฐานทางการแพทย์ และไม่เป็นไปตามสัญญาให้บริการทางการแพทย์ อีกทั้งยังมีมติบังคับให้ รพ.มงกุฎวัฒนะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลส่วนเกินนอกเหนือจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามระบบ Adjust RW ถึงแม้จะเป็นเงินจํานวนน้อยแค่ 80,295.20 บาทก็ตาม แต่กรณีนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานให้ผู้ประกันตนที่เจ้าเล่ห์ไม่ประสงค์ใช้สิทธิกับ รพ.ตามสิทธิอ้างอิงคําวินิจฉัยที่ 235/2567 ลงวันที่ 29 ก.พ. 2567 เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการไปรักษากับ รพ.นอกสิทธิตามอําเภอใจ แล้วร้องเรียนให้ รพ.ตามสิทธิตามจ่ายค่ารักษาพยาบาลโดยไม่ถูกต้อง บรรทัดฐานดังกล่าวจะก่อให้เกิดการพิพาทร้องเรียน รพ. จากกรณีผู้ประกันตนเจ้าเล่ห์ในลักษณะเช่นนี้อีกอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด

ดังนั้น ในกลางปีหน้า พ.ศ. 2568 รพ.มงกุฎวัฒนะจะขอถอนตัวออกจากการเป็นคู่สัญญากับสํานักงานประกันสังคม การที่ รพ.มงกุฎวัฒนะประกาศขอถอนตัวแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่บัดนี้ก็เพื่อให้ผู้ประกันตนจํานวนมากกว่า 100,000 คนที่ขึ้นทะเบียนกับ รพ.มงกุฎวัฒนะได้เตรียมการล่วงหน้าเพื่อย้ายสิทธิไปยัง รพ.อื่น ๆ โดยผู้ประกันตนยังสามารถใช้บริการกับ รพ.มงกุฎวัฒนะไปได้อย่างต่อเนื่องไปอีก 18 เดือน จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2568 หรือสิ้นปีหน้า อย่างไรก็ตาม รพ.มงกุฎวัฒนะขอแนะนําให้ผู้ประกันตนเริ่มพิจารณา รพ.แห่งใหม่ตั้งแต่บัดนี้ หากท่านสามารถย้ายสิทธิได้แต่เนิ่น ๆ ก็จะทําให้ท่านไม่ประสบปัญหาฉุกละหุกในช่วงกลางปีหน้า พ.ศ. 2568 ไปแล้ว ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถติดต่อ ขอรับสรุปประวัติการรักษาของท่านได้ที่แผนกเวชระเบียน (ประกันสังคม) อาคาร 1 ชั้น 6 ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 67 เป็นต้นไป

เชียงใหม่-หอการค้าเชียงใหม่ เตรียมจัดงาน “หอการค้าแฟร์ 2567 CCC Fair 2024

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายจุลนิตย์ วังวิวัฒน์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ นางนัยนภัส สังขนุกิจ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ และนายปรกฤษฎิ์ สายหัสดี กรรมการเลขาธิการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าว หอการค้าแฟร์ 2567 CCC Fair 2024 ณ ชั้น 1 อาคารตันตราภัณฑ์ บริษัท ชอยส์มินิสโตร์ จํากัด ( สํานักงานใหญ่

นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดงานแสดงนวัตกรรมและจำหน่ายสินค้า Lanna Expo 2024 ภายใต้แนวคิด BCG Creative LANNA   ภายในงานจะพบกับสุดยอดนวัตกรรม สินค้า และงานบริการ กว่า 800 คูหา โดยร่วมบูรณาการกับหน่วยงานให้เที่ยวชม มากกว่า 10 โซน

พร้อมทั้งกิจกรรมเจรจาธุรกิจเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการในกลุ่มภูมิภาค ขยายฐานการตลาดสู่ระดับนานาชาติ พร้อมสนุกสนานไปกับกิจกรรมบันเทิง และร่วมลุ้นรับของรางวัลมากมายภายในงาน ระหว่างวันที่ 8 – 14 กรกฎาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่

นายจุลนิตย์ วังวิวัฒน์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่  กล่าวว่าหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่  ในฐานะที่ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของสมาชิก สนับสนุนและส่งเสริมการค้า การลงทุน ตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดมาอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นรูปธรรม ในปีนี้ทางหอการค้ามาในคอนเซ็ปต์ Local Food Good Taste เน้นไปที่อาหารพร้อมทาน อาหารปรุงสดใหม่ สะอาด ถูกหลักอนามัย โดยในปีนี้ได้เสียงตอบรับของบรรดาผู้ประกอบการจองบูธเข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยมีโซนอาหารพร้อม เครื่องดื่ม ของทานเล่น  โซนเสื้อผ้า ของใช้ สินค้า บริการ ต่างๆมากมาย

ซึ่งภายในโซนหอการค้าแฟร์จะมีไฮไลท์ภายในงานที่ดึงดูด และกระตุ้นการซื้อขายนั่นก็คือการไลฟ์สินค้าภายในงานของผู้ประกอบ สำหรับผู้ที่อยู่ต่างที่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ก็สามารถสั่งซื้อสินค้าภายในงานได้เช่นเดียวกัน ถือได้ว่าเป็นการนำเอาเทคโนโลยีใกล้ตัว มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างง่ายได้ อีกทั้งกิจกรรมเวิคช็อป DIY สุดสร้างสรรค์อาทิเช่น เวิคช็อปทำน้ำหอมที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณ เวิคช็อปร้อยลูกปัด เวิคช็อปทำบาธบอมบ์ เวิคช็อปแต่งหน้าเค้ก จัดดอกไม้ Coding เด็ก

กิจกรรม Workshop ที่เป็นงาน Craft ต่าง ๆ การนำเอาวัสดุเหลือใช้มาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ในเรื่อง BCG สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักในการจัดงาน รวมถึงกิจกรรมการแสดงบนเวที ทั้งการแสดงดนตรี Cover Dance และ แฟชั่นโชว์ จากหลากหลายโรงเรียนในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้กับคนรุ่นใหม่

ด้าน นางนัยนภัส สังขนุกิจ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สำหรับงาน Lanna Expo 2024 ในปีนี้ คอนเซปต์คือ BCG Creative LANNA โดยในปีนี้ทางเราได้เตรียมความพร้อม ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องคัดสรรสินค้าและบริการ เพื่อยกระดับการจัดงานให้มีความน่าสนใจ มีความเป็นสากล และสามารถพัฒนาให้กลายเป็นงานระดับนานานชาติในอนาคต

ซึ่งในปีนี้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานความร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเชิญชวนผู้ซื้อ หรือ Buyer เข้าร่วมเจรจาธุรกิจการค้ากับผู้ประกอบการกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ที่เข้าร่วมจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าในงาน  Lanna Expo 2024 ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันการเติบโตทางการค้า และการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังเป็นการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการ สร้างโอกาสการเข้าสู่ตลาด และขยายช่องทาง การตลาดสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ด้วยทางจังหวัด ภายในงานพบกับสุดยอดนวัตกรรมสินค้าและงานบริการกว่า 800 คูหา โดยร่วมบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆมีมากกว่า 10 โซน พ้อมทั้งมีกิจกรรมเจรจาธุรกิจเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการในกลุ่มภูมิภาค ขยายฐานการตลาดสู่ระดับนานาชาติ

นายปรกฤษฎิ์ สายหัสดี กรรมการเลขาธิการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่กล่าวอีกว่า หอการค้า ยังได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและตระหนักถึงเทรนด์ที่กำลังเป็นที่น่าจับตามอง และควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นที่มาของความพิเศษภายในโซนของหอการค้าแฟร์ เราจะเน้นการตกแต่งด้วยวัสดุเหลือใช้จากธรรมชาติ  นำมาตกแต่งเป็นฉากเวที นอกจากนี้ยังเพิ่มจุดแยกขยะที่มีมากถึง 20 กว่าจุด เพื่อรองรับให้เพียงต่อการบริการของผู้ที่มาจับจ่าย ซื้อของภายในงาน  และทางหอการค้าเองยังร่วมกับทางบางจาก ตั้งจุดบริการรับซื้อน้ำมันที่ใช้แล้วจากบรรดาพ่อค้า แม่ค้า เพื่อลดการใช้ซ้ำ และยังเป็นการนำน้ำมันไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป

นภาพร/เชียงใหม่

‘กทม.’ โชว์ผลงาน 2 ปี ‘ทราฟฟี่ ฟองดูว์’ แก้ปัญหาคนกรุงฯ 79% ชาวเน็ตถามกลับ “แก้ได้ตรงจุด ปัญหาไม่เกิดซ้ำกี่เปอร์เซ็นต์?”

(26 มิ.ย. 67) กรุงเทพมหานคร ได้โฆษณาประชาสัมพันธ์ว่า "หลังจากเปิดการใช้งานมาแล้วกว่า 2 ปี วันนี้ ทราฟฟี่ ฟองดูว์ เปลี่ยนชีวิตของชาวกรุงเทพฯ ไปอย่างไรบ้าง?”

1. ดีขึ้น
- ทราฟฟี่ ฟองดูว์ เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถแจ้งเรื่องได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านแพลตฟอร์ม ทำให้ปัจจุบันมีสัดส่วนการแจ้งเรื่องนอกเวลาราชการ เพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 เท่า หรือคิดเป็น 345,975 เรื่อง

2. ลาขาดความเชื่องช้าของการแก้ปัญหา
- ทราฟฟี่ ฟองดูว์ ช่วยแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเร็วขึ้น 31 เท่า หรือใช้เวลาแก้ปัญหาเฉลี่ย 2 วัน
- ใช้เวลาแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้น ลดลง 97% จากเดิม ในเดือน มิ.ย. 65 ใช้เวลาราว ๆ 1,375 ชั่วโมง หรือเกือบ 2 เดือน เหลือเวลาแก้ไขปัญหาเพียง 45 ชั่วโมง หรือ 2 วัน ในเดือน พ.ค. 67

3. แก้ไขปัญหาตรงจุด
- นับจากการเริ่มใช้งาน ทราฟฟี่ ฟองดูว์ ในกรุงเทพมหานคร มีจำนวนเรื่องกว่า 588,842 เรื่อง
- ทราฟฟี่ ฟองดูว์ สามารถช่วยแก้ปัญหาไปแล้วมากกว่า 465,291 เรื่อง หรือ 79% ของจำนวนเรื่องที่แจ้งทั้งหมด

ปรากฏว่ามีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นถึงประสิทธิภาพการให้บริการทราฟฟี่ ฟองดูว์ บ้างก็วิจารณ์ถึงการบริหารงานของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนปัจจุบัน อาทิ

"แรก ๆ ดีมากค่ะ หลัง ๆ ส่งต่อ ฝ่ายที่ได้รับ เงียบบอกหาที่ไม่เจอบ้าง ส่งพิกัดไปใหม่ก็เงียบ ส่วนที่แก้ไปแล้ว ก็กลับมาพังอีก เหมือนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปไม่ถาวรค่ะ"

"จุดที่แจ้งสภาพยังเหมือนเดิม"

"ถ้านับว่าการตอบว่า "เป็นหน้าที่ของหน่วยงาน...ได้ส่งเรื่องต่อให้แล้ว" เป็นการแก้ปัญหาแล้ว ก็เอาที่สบายใจนะ"

"ใช้ประจำครับ เรื่องที่ไวคือ ขยะข้างทาง ทางเท้าชำรุด ไฟดับ หาบเร่กินทางเท้า บางเรื่องที่นาน เช่น ถนน หรือสายไฟ คืออะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ตรง ๆ จะช้า แต่เข้าใจเลย คนที่เข้าใจว่าอะไร ๆ ก็ กทม. ต้องทำ ก็จะไม่เข้าใจต่อไป เพราะเขาไม่ได้คิดจะเข้าใจ หรือลงมือช่วยทำเพื่อการเปลี่ยนแปลง ผมก็ส่งตลอด ไม่ได้สำเร็จทุกเรื่อง แต่เราช่วยแจ้งและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นะ บางคนก็แจ้งปัญหาแบบบ่น หรือสเกลใหญ่มาก ซึ่งเกินขอบเขตหน่วยย่อยหน่วยเดียว ปัญหาที่เหมาะคือปัญหาที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ คน มีงบ รอนั่นละครับ อันไหน เป็น GAP คือ คนแจ้งแล้วปิดไม่ได้ก็วิเคราะห์แล้วก็จัดการไปเรื่อย ๆ "

"เคยแจ้งจนระอาทุกวันนี้คือ ทางเท้าน้ำดีดไม่ดีดแล้วกระเบื้องแตกน้ำขังเป็นปลักโคลน ขยะสะสมบนและข้างทางเท้าจนเปื่อยรอวันลอยไปกับน้ำรอการระบาย สวนหย่อมกลายเป็นทุ่งหญ้าพลิ้วไหวไปกับควันท่อไอเสีย ฝนมาพากันออกกำลังกิจกรรมเข้าจังหวะวิ่งหลบน้ำบนถนนที่สาดมาเวลารถวิ่งผ่าน ฮึบ ๆ ป้ายรถเมล์และใต้สะพานเป็นที่นอนถาวรคนจรจัด"

"หลาย ๆ อย่างที่แก้ไปแล้วคือไม่ได้แก้ โยธาห้วยขวางนี่ดองเรื่อง 6 เดือนแล้วแอบแปะว่าแก้แล้ว ระบบที่ไม่มีคนตาม ไม่ได้วัดผล และไม่มีคนตรวจสอบว่าที่แก้ไปแล้วแก้จริงมั้ย"

"ช่วยหน่อยค่ะ ตั้งเเต่เดือน 1 กราฟิกไม่เคลื่อนไหวเลย 6 เดือนละค่า"

"หลัง ๆ เริ่มเกินเวลา ถามอัปเดตไม่มีใครตอบอีก"

"แน่ใจนะคะ ถ้าแจ้งแล้วแค่ถ่ายรูป ว่าจัดการแล้ว แต่ปัญหายังเกิดเหมือนเดิมถือว่ายังไม่ได้แก้ค่ะ"

"แจ้งฟองดูว์ก่อนเกิดเรื่องตกท่อตายที่ลาดพร้าว รวมในผลงานด้วยไหมครับ"

"เน้นจำนวนไม่เน้นคุณภาพ"

"แก้ปัญหาที่ปัญหามีเท่าเดิม เรื่องหลัก ๆ ก็เหมือนเดิม เลขโง่ ๆ ใครก็ใส่ให้เยอะได้ แต่หลักฐานมันก็ไม่เปลี่ยน"

"แจ้งไป 2 ปีที่แล้ว ฟองดูไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยค่ะ มีรูปถ่ายพร้อม สถานที่ชัด แต่"

"79% แก้ตรงจุด ปัญหาไม่เกิดซ้ำกี่เปอร์เซ็นต์ครับ"

"หลายเรื่องได้รับการแก้ไข แต่ปัญหากลับมาเหมือนเดิมหลังจากนั้น 3 วัน อันนี้ถือว่าได้รับการแก้ไขมั้ย"

"อย่าอวยตัวเองน่า บางงานเป็นปีแล้วยังไม่มีคนตาม ไม่มีคนทำ กทม.มีตรงไหนดีขึ้น?? ฟุตบาท ทางข้าม จราจร เหมือนเดิม แย่ลงก็มีอีกเยอะ อะที่ดีขึ้นก็มีบ้างนิดนึงแล้วกัน เช่นทาสี ไฟฟุตบาท แค่นี้"

"แรก ๆ พอส่งเรื่องต่อคนรับผิดชอบดีมาก แต่หลัง ๆ คงทำงานเช้าชามเย็นชามเหมือนแต่ก่อน แอปไม่ผิดแต่ผิดที่เจ้าหน้าที่คนที่ต้องรับผิดชอบงานไม่ทำหน้าที่ไม่แก้ไขปัญหาค่ะ"

"บางหน่วยงานทำงานไวมาก ดีมาก เช่น เขตดินแดงส่วนที่รับผิดชอบเรื่องความสะอาด เต็มสิบไม่หัก บางหน่วยงานกดปิดงานแบบดื้อ ๆ เลยค่ะ (รายงานเกี่ยวกับพื้นถนนในซอย/ไฟส่องทางตรงพระราม 9) "

"ตอนแรก ๆ เราชอบ platform กับหน่วยงานใน กทม. พอตอนหลัง ๆ มีเยอะมากขึ้น ดังนั้นการส่งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบและการตามงานมันยากกว่าเดิม สำหรับบางเขต ส่งปัญหาไป แก้ปัญหาโดยการแค่ฟังคำแก้ตัวแล้วบอกปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว บางเขตก็แก้ไขจริง ๆ แต่พอต้องดีลกับหน่วยงานอื่นมักเชื่อแค่คำชี้แจงโดยไม่ดูหลักฐานจากประชาชน"

"ยังมีเรื่องค้างเติ่งที่หน่วยงานแก้ไขให้ไม่ได้ แถมยังขอจบเรื่องเองโดยที่ไม่ทำการแก้ไข ขอฝากไว้ด้วยนะคะ"

"รถติด น้ำท่วม ปัญหาหลัก ทำไมไม่แก้ แก้แต่ปัญหาเล็ก ๆ แล้วชมตัวเองว่าทำงานได้ดี "

"เปลี่ยนชีวิตหลายคนให้ร่ำรวยขึ้นจากการขายเครื่องออกกำลังกายได้ราคาแพงกว่าปกติหลายเท่า (ผลสอบหาคนผิดยังไม่มีเลย 20 กว่าวันแล้ว) "

"ว่าแล้ว เวลามีเรื่องแย่ ๆ ของ กทม. โดยเฉพาะกับผู้ว่า ก็จะต้องมีการทำโพลหรือทำตัวเลขออกมาให้ดูว่ามีความพึงพอใจ หรือมีผลงาน ... ว่าแต่เรื่องลู่วิ่งนี่ผลสอบออกมารึยังนะ"

"เหมือนเดิมครับ อะไรที่คิดว่าจะแก้ไขให้ดี ก็เหมือนแก้ไข ผ่าน ๆ ไป"

"สงสัย หน้าที่ที่ต้องทำประจำในทุก ๆ วัน นับรวมด้วยหรือ"

"ถ้ารับตำแหน่งกับวิ่งในสวนเป็นผลงาน ก็ไม่แปลกที่ผลงานจะเยอะขนาดนั้น"

"ส่วนปัญหาที่ด่าอัศวินไว้ยังแก้ไม่ได้สักอัน"

"พอเถอะ ศึกษามา 2 ปี ฝึกงานอีก 4 ปี พอเสร็จแล้วจะไปไหนก็ไปนะครับ"

‘มนุษย์ควัน’ ลุ้นผลศึกษา กมธ. บุหรี่ไฟฟ้าคืบหน้า ย้ำยกเลิกแบนแล้วคุมยกแผง

เพจผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ‘มนุษย์ควัน’ ชื่นชม ‘คณะกรรมาธิการวิสามัญบุหรี่ไฟฟ้า’ กรณีความคืบหน้าล่าสุด หลังคณะอนุฯเสนอ 3 แนวทางต่อกมธ.ชุดใหญ่ ชี้ดีใจที่ได้เห็นการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมในเรื่องการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ชี้หากปล่อยไว้โดยไม่ดำเนินการปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าจะยิ่งทวีความรุนแรง พร้อมอธิบายบุหรี่ทางเลือกมีหลายชนิด หลายกลไก เสนอคุมยกแผง

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ “มนุษย์ควัน” ที่มีผู้ติดตามกว่า 2.6 หมื่นคน ให้ความเห็นเกี่ยวกับความคืบหน้าล่าสุดของกมธ.พิจารณากฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าว่า “ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นปัญหาที่เรื้อรังและทวีความรุนแรงมานับทศวรรษ ส่วนตัวผมคิดว่าหากไม่มีการดำเนินการที่เป็นชิ้นเป็นอัน ปัญหานี้ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงไปเรื่อยๆ ดังนั้นผมจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นความคืบหน้าจากคณะกรรมาธิการวิสามัญบุหรี่ไฟฟ้า นับว่าเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับการจัดการเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ชัดเจน และสะท้อนให้เห็นนโยบายที่ก้าวหน้า (Progressive Policy) ของพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่สอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง” “ดังที่ประธาน กมธ. จากพรรคเพื่อไทยกล่าวไว้ วันนี้บุหรี่ไฟฟ้าในไทยแม้จะผิดกฎหมายแต่ก็ใช้กันแพร่หลายมาก กมธ. จึงต้องเร่งหามาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ ความเป็นจริง และบริบทของประเทศ” สำหรับประเด็นแนวทางและข้อเสนอแนะของคณะอนุฯ นั้น นายสาริษฏ์ได้กล่าวว่า “สังคมต้องเข้าใจก่อนว่าบุหรี่ทางเลือกนั้นมีหลายแบบมาก จำแนกง่ายๆ คือแบบที่ใช้ใบยาสูบ และไม่ใช้ใบยาสูบ และยังมีแยกย่อยไปอีกในเรื่องของกลไกการทำงานของอุปกรณ์ ส่วนประกอบ รวมถึงระดับผลกระทบทางสุขภาพองค์กรระหว่างประเทศเช่น องค์การอนามัยโลก องค์การศุลกากรโลก องค์การมาตรฐานสากล (ISO) ต่างก็กำหนดนิยามไว้แตกต่างกันอย่างชัดเจน และต่างจากบุหรี่ธรรมดา” “ในมุมมองของผู้บริโภค ผมเชื่อว่าการเลือกแบนทุกอย่างเบ็ดเสร็จนั้นชัดเจนด้วยหลักฐานตลอด 10 ปีที่ผ่านมาแล้วว่าไม่เป็นผล หรือหากรัฐเลือกที่จะใช้กฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์แบบใดแบบหนึ่ง และยังคงให้แบนผลิตภัณฑ์ที่เหลือต่อไป ก็น่ากังวลว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ถูกแบนนั้นจะนำมาซึ่งปัญหาลักษณะเดิม ตั้งแต่ตลาดใต้ดิน การลักลอบซื้อขาย การเข้าถึงของเด็กและเยาวชน มาตรฐานผลิตภัณฑ์ รวมถึงรายได้ภาษีที่รั่วไหล ดังนั้น การนำทุกอย่างขึ้นมาระบุและจำแนกให้ชัดเจน แล้วควบคุมทั้งแผงไปเลย น่าจะตอบโจทย์และมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่หากยังแบนต่อไปประเทศไทยก็ยังย่ำอยู่ที่เดิม”     นายสาริษฏ์กล่าวปิดท้าย

‘อดีตเจ้าของร้านอาหาร’ ผันตัวตระเวนตัดขนหมาจรนาน 12 ปี เผย!! ดีใจ-มีความสุขที่ได้แปลงโฉมหมาเน่าให้เป็นหมาสวย

(26 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเกรียงไกร ธาตวากร หรือแอ็ดดี้ อายุ 48 ปีเจ้าของฉายาฮีโร่ของหมาจรจัด อดีตเจ้าของธุรกิจร้านอาหารโต๊ะจีนและร้านตัดขนสุนัขชื่อดังใน จ.ศรีสะเกษ ดีกรีปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 1 ที่ผันตัวมาเป็นจิตอาสาตัดขนหมาจรจัดประเภทขนยาวฟรีทั่วประเทศ ด้วยเงินทุนส่วนตัว โดยตัดเฉพาะหมาที่มีขนยาว เป็นสังกะตัง เป็นกระจุก ที่อาศัยอยู่ตามวัด คอกพักพิงสุนัขจรจัด สถานที่ราชการ สวนสาธารณะหรือสถานที่ต่าง ๆ โดยไม่มีเจ้าของ

วันนี้ได้เดินทางถึง จ.ตรัง พร้อมเปิดตัดขนสุนัขจรจัด ที่มีชาวบ้านนำมาจากวัดต่าง ๆ จำนวนหลายตัว เน้นตัวที่ไม่ดุ สามารถจับอุ้มได้หรือเชื่อฟังคำสั่ง บางตัวเป็นขี้เรื้อน จึงต้องมีการแปลงโฉมจากหมาเน่าให้เป็นหมาสวย พร้อมสอนวิธีทำยาแก้โรคเรื้อน ซึ่งมีส่วนผสมของผงขมิ้นชัน น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าว ผลมะกรูด และกำมะถัน ผสมน้ำเปล่า ก่อนจะทาให้ทั่วตัวสุนัขทุก 3 วัน ไม่เกิน 1 เดือน ก็จะทำให้ทำสุนัขหายจากโรคเรื้อนและโรคผิวหนังได้อย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้ ยังแจกยาทาโรคเรื้อนให้กับชาวบ้าน นำไปรักษาสุนัขที่บ้านคนละ 1 กระปุกฟรีด้วย โดยสุนัขที่ตัดขนแล้ว มีหน้าตาที่สวยหล่อขึ้นผิดหู ผิดตาไปเลยทีเดียว ส่วนที่คอกพักพิงสุนัขจรจัดของเทศบาลนครตรัง พบมีสุนัขขนยาวเป็นสังกะตังจำนวน 5-6 ตัว แอ็ดดี้จึงจับมาแปลงโฉมใหม่ เพื่อเป็นหมาหล่อ หมาสวยขึ้นภายในเวลา 8-15 นาที เผื่อจะได้บ้านหลังใหม่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และได้รับความรัก ความอบอุ่นมากขึ้น

โดยปีนี้ ‘แอ็ดดี้’ ตระเวนตัดขนหมาจรจัดฟรีเป็นปีที่ 12 แล้ว เพื่ออุทิศส่วนกุศลจากการคิดดี ทำดีให้กับอดีตแฟนสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว และมีความสุขทุกครั้งที่เห็นหมาเน่า เป็นหมาสวย สุขภาพดีขึ้น จึงตั้งใจจะเป็นจิตอาสาตัดขนหมาฟรีต่อไปจนกว่าจะทำไม่ไหว โดยไม่ขอรับเงินบริจาคใด ๆ และอาศัยนอนวัดหรือคอกพักพิงสุนัข ไม่นอนโรงแรม เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับหมาจรจัดทุกที่ที่ไป ซึ่งเคยมีบ้างที่ถูกกัดจากการทำงาน แต่ไม่มากนัก

ขณะที่นางลาภมิตร สิทธิชัย อายุ 67 ปีชาวตำบลท่าสะบ้า อ.วังวิเศษ จ.ตรัง ชาวบ้านที่นำสุนัขจรจัดมาใช้บริการกล่าวว่า รู้สึกพอใจมาก และตนเพิ่งมาครั้งแรกหลังเห็นในโพสต์ โดยนำมา 2 ตัว ดูแล้วดี คนตัดได้บุญมากและอานิสงส์นี้ขอให้ไปถึงหมาจร เพราะตนดูแลอยู่ที่สวนสาธารณะ เอาข้าวให้กินทุกวัน พอเห็นโพสต์ก็ไปรับหมาจรที่สี่แยก อ.ต.ก ซึ่งตนเป็นคนให้ข้าวหมาจรอยู่ตลอดทุกวัน

ด้านนายเกรียงไกร ธาตวากร หรือแอ็ดดี้ จิตอาสาตัดขนสุนัขฟรี กล่าวว่า ตนเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือตัดขนหมาจรจัดที่เดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อตัดขนหมาสายพันธุ์ขนยาว ตามบ้านพักพิงหมาจรจัดและมูลนิธิหมาจรจัด ที่มีกระจายอยู่เกือบทั่วประเทศ ซึ่งที่เจอส่วนมากเป็นโรคผิวหนัง เป็นเชื้อรา เห็บหมัด แต่ละตัวใช้เวลาตัดอยู่ที่สภาพของขน ถ้าไม่ได้เสียมากอยู่ที่ 8 นาที ไม่เกิน 10 นาทีเสร็จ 

แอ็ดดี้ ยังบอกอีกว่า เขาทำมานาน 12 ปีแล้ว มาตัดขนแล้วได้เห็นสภาพของหมาที่เป็นสังกะตัง และต้องเร่ร่อนอยู่ข้างถนนหรือศูนย์พักพิงที่มีจำนวนมาก ๆ ถ้าเป็นกลุ่มสายพันธุ์ขนยาวจะมีขนเสีย เป็นสังกะตังเต็มไปด้วยขี้เยี่ยว พอไปตัดขนให้พวกเขา โอกาสจะหาบ้านใหม่ก็มีสูงมาก ส่วนใครสนใจติดต่อตนได้ทาง FB เกรียงไกร ธาตวากร แต่ตนจะช่วยเหลือเฉพาะคนที่ช่วยเหลือหมาจรจัด ถ้าเป็นหมามีเจ้าของก็ให้เขาไปใช้บริการตามร้านตัดขนในท้องที่บ้านเขา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top