Monday, 7 July 2025
NEWS FEED

'อ.ธรณ์' ชี้!! 'ปลาหมอคางดำ' เข้าไปอยู่ในธรรมชาติแล้ว แนะ!! เร่งคุมระบาดสู่แหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ได้มากที่สุด

(16 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงการกำจัดปลาหมอคางดำซึ่งเป็น Alien Species โดยระบุว่า เมื่อสัตว์น้ำรุกรานต่างถิ่นเข้าไปอยู่ในธรรมชาติถึงระดับหนึ่งแล้ว การจัดการให้หมดเป็นเรื่องที่เป็นไปแทบไม่ได้ พร้อมยกตัวอย่างปลาซักเกอร์ที่ยังมีอยู่ในแหล่งน้ำของไทยหรือปลาช่อนในสหรัฐอเมริกา

การจัดการด้านพื้นที่คือ คุมการระบาดให้มากที่สุด โดยแบ่งพื้นที่เป็นเขต 3 เขตได้แก่ เขตหลักคือ อ่าวไทย ตัวก. เขตรองซึ่งพบการระบาดเป็นพื้นที่ กระจายออกไปทั้งในแผ่นดินและในทะเล และเขตที่ปลายากไปถึงเช่น เกาะต่าง ๆ แหล่งน้ำที่ไม่เชื่อมต่อกับแหล่งอื่น

สำหรับเขตหลักต้องเน้นการลดจำนวนปลาหมอ เขตรองต้องคุมไม่ให้ขยายออกไปข้าง ๆ เพิ่มขึ้น ส่วนเขตไม่มีปลาไปถึงตามธรรมชาติต้องคุมไว้ให้ได้

เมื่อการกำจัดการปลาหมอคางดำให้หมดเป็นไปได้ยากนั้น จึงต้องพยายามลดผลกระทบให้มากสุดทั้งต่อระบบนิเวศ รวมถึงการประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและทำประมงเนื่องจากปลาหมอคางดำที่เข้าไปในระบบนิเวศจะกินสัตว์น้ำอื่นส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างรุนแรง เมื่อเข้าไปแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจะไปกินสัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยง หากเข้าไปในแหล่งประมง ทำให้สัตว์น้ำเศรษฐกิจหายไป ชาวประมงพื้นบ้านจับได้แต่ปลาหมอราคาต่ำโดยในการลดจำนวนปลาหมอคางดำคือ จับเท่าที่ทำได้แล้วนำมาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น เป็นอาหารคน อาหารสัตว์ โดยคณะประมงคิดค้นเมนูกู้แหล่งน้ำทั้งปรุงสดและผลิตภัณฑ์ โดยต้องหาแนวทางนำมาใช้ประโยชน์อื่น ๆ อีก

นอกจากนี้ ยังมีวิธีการส่งผู้ล่าลงไปจัดการ โดยผู้ล่าต้องมีคุณสมบัติ 3 ประการได้แก่ เป็นปลาท้องถิ่น มีประโยชน์ และหาได้ในจำนวนมาก ทั้งนี้จะไม่ส่งสัตว์น้ำต่างถิ่นไปกินสัตว์น้ำต่างถิ่นเพราะอาจเกิดปัญหารุนแรงขึ้น ประเด็นมีประโยชน์หมายถึง ต่อให้ไม่กินปลาหมอคางดำหรือกินได้ไม่เยอะ คนก็ยังจับมากินมาขายได้ ส่วนเรื่องหาได้เยอะหมายถึง ต้องรวบรวมพันธุ์ปลาได้มากพอซึ่งอาจเป็นที่มาของปล่อยปลากะพงกินปลาหมอคางดำเพราะปลากะพงขาวมีคุณสมบัติครบ

สำหรับเรื่องที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมเช่น จะกินปลาอื่นไหม กินปลาหมอคางดำได้แค่ไหน ปลาผู้ล่าต้องไหนถึงเหมาะ จำนวนปลาหมอคางดำหนาแน่นแค่ไหนจึงสมควรปล่อยปลาผู้ล่า การปล่อยปลาจึงต้องระมัดระวังผลกระทบข้างเคียงและศึกษาพื้นที่ให้แน่ชัดว่า จะควบคุมได้ซึ่ง ถึงขั้นนี้ต้องยอมรับว่า ต้องหาทางอยู่ร่วมกับปลาหมอคางดำต่อไป และพยายามลดความเสียหายให้มากที่สุด

ผบ.ตร.ลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก ตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญ สภ.นครชุม และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอาทรอุทิศ กำชับขยายผลคดียาเสพติด และให้ดูแลเด็กนักเรียนให้มีความรู้ความสามารถ มีจิตอาสา ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

วันนี้ (16 กรกฎาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม รอง ผบช.ประจำ สนง.ผบ.ตร. ลงพื้นที่บ้านน้ำกุ่ม ต.น้ำกุ่ม อ.นครไทย จ.พิษณุโลก

เพื่อตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจ สภ.นครชุม และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอาทรอุทิศ โดยมีผู้แทนจาก สภ.นครชุม นำโดย พ.ต.ท.สุรศิลป์ สมศรี สารวัตรสถานีตำรวจภูธรนครชุม และโรงเรียนตระเวนชายแดนอาทรอุทิศ นำโดย ร.ต.ท.นพดล เพ็ญสุภา ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอาทรอุทิศ รับการตรวจเยี่ยม 

ผบ.ตร.ได้กำชับนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการสืบสวนปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง และให้สืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นครชุม ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชน

ในส่วนของ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอาทรอุทิศ ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำครูตำรวจตระเวนชายแดนให้อบรมสั่งสอนเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ให้มีความรู้ความสามารถ มีจิตอาสา และยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับโทษภัยของการพนันและยาเสพติด

พร้อมกันนี้ ผบ.ตร.ได้ให้กำลังใจและมอบสิ่งของบำรุงขวัญ และเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 1 ชุด เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นครชุม และมอบรถจักรยานให้กับนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอาทรอุทิศ จำนวน 25 คัน ด้วย

'โซเชียล' ยกย่อง ‘ลุงเจี๊ยบใจดี’ ให้โอกาสคนทุกข์ยากทำงาน-สร้างรายได้ หวังให้พวกเขามีชีวิตใหม่และสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ในสังคม

(16 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า ผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ ‘putonyourhair’ หรือ ‘ลุงเจี๊ยบ คับผม’ เป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อ ‘ครัวลุงเจี๊ยบ’ ตั้งอยู่ที่ถนนบ้านสวน ซอย 11 ต.หนองข้างคอก อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี ได้โพสต์คลิปช่วยชายรายหนึ่งที่มาขอข้าว ของานทำ เพื่อจะได้มีเงินไว้ซื้อข้าวกิน หรือทำงานเพื่อแลกข้าว

อย่างไรก็ตาม หากใครที่ติดตามลุงเจี๊ยบจะรู้ว่าลุงเป็นคนจิตใจดี มีเมตตา ให้ข้าวคนไม่มีจะกิน ให้โอกาสคนยากไร้ คนเร่ร่อนได้มีงานทำ จนมีชีวิตที่ดีขึ้นมาแล้วหลายคน 

ล่าสุด ได้ให้โอกาสกับ ‘น้องเอก’ เหตุเพราะอยู่ลำพังคนเดียว ที่บ้านพักคนพิการที่ทรุดโทรม เนื่องจากพ่อกับแม่เสียชีวิตไปหมดแล้ว เห็นชีวิตกำลังลำบาก จึงมอบโอกาสให้ได้มาทำงานที่ร้านอาหารของตัวเอง มีข้าวกินทุกมื้อ มีชีวิตที่ดีขึ้น หน้าตาสดใสขึ้น ได้กินอิ่ม ได้นอนหลับ นอกจากให้งานทำที่ร้าน ยังพาไปตัดผมอีกด้วย ซื้อข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า รองเท้าให้ และให้เงินค่าแรง

โดยมีคลิปหนึ่งที่ลุงเจี๊ยบได้ลงไว้ตอนที่ น้องเอกได้เข้าไปขอข้าวของานทำ จึงทำให้ลุงตัดสินใจรับน้องมาทำงาน และก่อนหน้านี้ลุงก็ได้ให้งานน้องอีกคนทำชื่อน้องแบงค์ ซึ่งน้องตั้งใจทำงานและขยันมาก ๆ ส่วนน้องเอกนั้น น้องได้เลี้ยงไก่ไว้ด้วย ทำให้ชาวเน็ตเห็นถึงความขยันและแววตาที่มุ่งมั่นของน้อง ทั้งนี้ ยังเข้ามาชื่นชมลุงเจี๊ยบที่ให้โอกาสทั้ง 2 คน เหมือนได้มีชีวิตใหม่และสามารถใช้ชีวิตได้ในสังคม

สตม. รวบแก๊งชาวเมียนมาอ้างเป็นนักธุรกิจซื้อขายทอง หลอกลวงเหยื่อให้ร่วมลงทุน มูลค่าความเสียหายกว่า 3 ล้าน

กก.ปอพ.บก.สส.สตม. จับกุม MR.U WIN (นามสมมุติ) อายุ 65 ปี สัญชาติเมียนมา ตามหมายจับศาลแขวงดุสิต ที่ จ.79/2567 ลงวันที่ 14 พ.ค.2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมบริเวณหน้าโรงแรมย่าน ถนนประดิพัทธ์ แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ จากกรณีที่ แก๊งชาวเมียนมา ประกอบด้วย MR.U WIN (นามสมมติ), MR.THAW TE (นามสมมุติ), MRS.CHO LIN อ้างว่าเป็นนักธุรกิจซื้อขายทองคำในประเทศเมียนมามีฐานะร่ำรวยมาก ต้องการซื้อทองคำจำนวนมาก เพื่อนำไปขายต่อ ได้พูดจาหว่านล้อมผู้เสียหายพร้อมทั้งยืนยันให้ความเชื่อมั่น หลังจากนั้นได้หลอกลวงให้ผู้เสียหาย เป็นผู้ติดต่อประสานงานในการซื้อทองคำจากคลังทองคำที่ห้างทองในย่านเยาวราช และเพื่อเป็นหลักประกันว่ามีทองคำในคลังทองคำอยู่จริง MR.U WIN กับพวกได้หลอกลวงผู้เสียหายให้วางเงินเป็นหลักประกันทองคำดังกล่าว และยืนยันว่า หากคลังทองคำขายทองคำให้จะคืนเงินที่ผู้เสียหายวางเป็นหลักประกันคืน จนผู้เสียหายหลงเชื่อส่งมอบเงินหลักประกันให้จำนวน 7 ครั้ง รวมเป็นเงิน 3,135,000 บาท ภายหลังคลังทองคำตกลงจะขายทองให้กับกลุ่มดังกล่าวแล้ว แต่ปรากฏว่า MR.U WIN กับพวก ไม่มีเงินซื้อทองคำ และไม่คืนเงินที่ผู้เสียหายได้วางไว้เป็นหลักประกัน ผู้เสียหายทวงถาม ให้คืนเงิน โดยไม่สามารถติดต่อ MR.U WIN กับพวก ได้อีกเลย ซึ่งทราบว่ากลุ่มแก๊งชาวเมียนมา ทั้ง 3 ราย ได้หลบหนีเดินทางออกจากประเทศไทยไปแล้ว ผู้เสียหายจึงแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องต่อศาลแขวงดุสิตออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้จำนวน 3 ราย กก.ปอพ.บก.สส.สตม. จึงได้ประสานข้อมูลกับ สน.พญาไท เพื่อสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้ต้องหา จนกระทั่งทราบว่า MR.U WIN หนึ่งในแก๊งชาวเมียนมาดังกล่าว ได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยและได้หลบหนีหมายจับไปพักอาศัยอยู่ในท้องที่ จว.นนทบุรี และในท้องที่ บก.น.2 จึงได้สืบสวนติดตามจับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนผู้ร่วมขบวนการที่เหลือจะได้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

เปิดพลัง ทำบุญประเทศ ณ ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ พิธีอัญเชิญปลียอดทองคำพระธาตุเชิงชุม ประกอบพิธีบวงสรวง ถวายกำลังบุญให้ประเทศ ณ ศาลหลักเมือง กรุงเทพฯ ก่อนยกปลียอด ประดิษฐานยอดองค์พระธาตุเชิงชุม จ.สกลนคร 20 ก.ค.67 เวลา 11.00 น.

(16 ก.ค.67) ณ ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ งานพิธีฯ นำโดย พลเอกเอกชัย หาญพูนวิทยา ประธานอำนวยการมูลนิธิพุทธภูมิธรรม , อาจารย์วิจักษณ์ สองจันทร์ ประธานมูลนิธิพุทธภูมิธรรม , นายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร , นายทหารชั้นผู้ใหญ่ , ผู้นำองค์กร ภาครัฐ เอกชน คณะเจ้าภาพ และพุทธศาสนิกชน

นำกราบสักการะบูชาพระรัตนตรัย และบวงสรวงอัญเชิญทิพยญาณ พระสยามเทวาธิราช พระหลักเมือง ดวงวิญญาณบรรพชน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล รับการถวายกำลังบุญจากพุทธศาสนิกชน ที่ได้ร่วมบูรณะปฏิสังขรณ์และสร้างยอดพระธาตุเชิงชุม จ.สกลนคร ขอกำลังบุญหนุนนำให้บ้านเมืองร่มเย็น เป็นแดนทิพย์แดนธรรมแห่งพระพุทธศาสนา สืบไป

เชิญพุทธศาสนิกชน ร่วมพิธียกปลียอดทองคำ พระธาตุเชิงชุม วันอาสาฬหบูชา 20 ก.ค.67 เวลา 1100 น. ณ วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร จ.สกลนคร

สอบถามข้อมูล หรือ ส่งชื่อร่วมในพิธีบวงสรวงยกปลียอดทองคำ
ได้ที่
Line Official Account : มูลนิธิพุทธภูมิธรรม
Line ID : @bbdf
กด https://lin.ee/xKss3rn

ด้วยพระธาตุเชิงชุม เป็นศาสนสถานสำคัญของชาติ ประดิษฐานอยู่เมืองสกลนคร เป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิก ชนสองฝั่งโขง และประชาชนคนไทยทั่วประเทศ โดยกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียน เป็นโบราณสถาน ตามราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 8 มีนาคม 2478 โดยอดีตเจ้าอาวาสวัด จนมาถึงสมัยของพระเทพสิทธิโสภณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 8 และเจ้าอาวาสวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ได้ดำเนินการทำนุบำรุงรักษาองค์พระธาตุเชิงชุมมาโดยลำดับ ในปีพุทธศักราช 2564 คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดสกลนคร พร้อมทั้งผู้มีจิตศรัทธา ทั้งในและนอกประเทศร่วมกันสละทรัพย์จัดซื้อทองคำ 96.5 เปอร์เซ็นต์ เพื่อหุ้มทองคำยอดองค์พระธาตุเชิงชุม นับตั้งแต่บัวเชิงกลุ่มเรือนยอดส่วนบนไปจรดกรวยทองคำสวมยอดปสี โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนประกอบด้วย

ส่วนที่ 1 ตั้งแต่ปล้องไฉนไปจรดกรวยทองคำสวมปลียอดรวมยอดฉัตร จำนวน 971.26 บาทหรือ 14.806 กิโลกรัม ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2564 

ส่วนที่ 2 ตั้งแต่บัวคว่ำฐานรองป้องไฉนไปจรดปล้องไฉน จำนวน 585.93 บาท หรือ 8.932 กิโลกรัม ดำเนินแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2565 

ส่วนที่ 3 ตั้งแต่บัวเชิงไปจรดบัวคว่ำฐานรองปล้องไฉน ซึ่งมีขนาดสูง 213 เชนติเมตร ฐานกว้าง 49 เซนติมตร ยอดกว้าง 40 เชนติเมตร ใช้ทองคำ จำนวน 520 บาท หรือ 8 กิโลกรัม โดยจะใช้วิธีอิเล็กโตรฟอร์มมิ่ง (Electroforming Technique) 

ทั้งนี้จังหวัดสกลนคร ได้มีประกาศ แต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินการหุ้มทอง ส่วนปลียอดพระธาตุเชิงชุม (ส่วนที่ 3) ให้แล้วเสร็จ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนม พรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 

คณะสงฆ์วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร คณะสงฆ์จังหวัดสกลนคร พุทธศาสนิกชนและมีจิตศรัทธาทั่วประเทศร่วมกับ  มูลนิธิพุทธภูมิธรรม จึงได้กำหนดดำเนินโครงการหุ้มทองคำปลียอดพระธาตุเชิงชุม (ส่วนที่3) ซึ่งได้ดำเนินการขออนุญาตหุ้มทองคำส่วนปลียอดพระธาตุเชิงชุมครบถ้วนทั้ง 3 ส่วน จากกรมศิลปากรและได้รับการอนุญาตเรียบร้อยแล้ว 

โดยกำหนดวันที่จะสมโภช และยกยอดพระธาตุเชิงชุม (ส่วนที่ 3) ระหว่างวันที่ 18 - 20 กรกฎาคม 2567 ที่จะถึงนี้
- 18 - 19 ก.ค.67 เวลา 1700 น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชฯ
- 20 ก.ค.67 เวลา 1100 น. พิธียดปลียอดทองคำฯ

จึงขอเรียนเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมพลังบุญพิธีดังกล่าว เป็นมงคลชีวิตสืบไป

สอบถามข้อมูล หรือ ส่งชื่อร่วมในพิธีบวงสรวงยกปลียอดทองคำ
ได้ที่
Line Official Account : มูลนิธิพุทธภูมิธรรม
Line ID : @bbdf
กด https://lin.ee/xKss3rn

อานิสงส์การสร้างฉัตรเพื่อเป็นพุทธบูชา
#โดย พระธรรมกิตติวงศ์ 
1.ย่อมเป็นผู้ได้ในสิ่งที่เลิศเสมอ
2.มีคนคอยกั้นร่มให้ทุกเมื่อ
3.ย่อมได้รื่นรมในเทวโลก ๗๗ ครั้ง
4.ย่อมได้เสวยเทวราชสมบัติในเทวโลก ๗๗ ครั้ง
5.จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑,๐๐๐ ครั้ง
6.จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชที่ไพบูลย์

อานิสงส์การสร้างฉัตรเพื่อเป็นพุทธบูชา
#พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓๒ ขุทกนิกาย
1. ย่อมเป็นผู้ไม่รู้สึกร้อน
2.ย่อมเป็นผู้ไม่รู้สึกหนาว
3.ละอองธุลีไม่แปดเปื้อน
4.เป็นผู้ไม่มีจัญไร
5.เป็นผู้ที่มหาชนยำเกรงทุกเมื่อ
6.เป็นผู้มีผิวพรรณวรรณละเอียด
7.เป็นผู้ไม่มีอันตราย
8.เกิดในตระกูลสูงศักดิ์

ข่าว จังหวัดสกลนคร
งานสร้างยอดพระธาตุเชิงชุมส่วนสุดท้าย และสมโภชพระธาตุฯ
https://sakonnakhon.prd.go.th/.../detail/id/57/iid/287700

‘บิณฑ์’ ปลื้มใจ!! ดญ. 8 ขวบยอมอดขนม เอาเงินช่วยตาจ่ายค่าไฟ อาสามอบเงินสมทบช่วยเหลือ เพื่อเป็นกำลังใจให้เด็กกตัญญู

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 67) นับเป็นเรื่องราวที่แสนประทับใจให้กับทาง บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ และ เกศรา น้องสาว พร้อมชาวคณะที่ได้รับรู้จากปากของเด็กหญิง ป.2 คนหนึ่งที่มาเข้าแถวต่อคิวรอรับค่าขนมจาก บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ หลังจากที่เด็กนักเรียนของโรงเรียนบ้านคลองบง ในตำบลวังน้ำเขียว อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เลิกเรียนและกำลังพากันกลับบ้าน 

แต่ในระหว่างทางที่ บิณฑ์ ผ่านทางมาเจอเด็ก ๆ จึงจอดรถเรียกเด็กนักเรียนทั้งหมดมาต่อแถวรับค่าขนมคนละ 100 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับเด็ก ๆ รวมถึงการแบ่งเบาภาระค่าขนมแก่ผู้ปกครอง

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้ถามเด็ก ๆ ที่ได้รับเงินว่าจะเอาเงินไปทำอะไรกัน บางคนบอกไปซื้อขนม บางคนบอกไปให้พ่อแม่ แต่มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งชื่อว่า ‘น้องโยโย่’ อายุ 8 ขวบ นักเรียน ป.2 ของโรงเรียนแห่งนี้ น้องตอบด้วยเสียงและสีหน้าดีใจว่า "จะเอาเงิน 100 บาทที่ได้จากคุณบิณฑ์ ไปให้กับคุณตาคุณยายที่บ้าน เพื่อเอาไว้จ่ายค่าไฟของทางบ้าน" 

ซึ่งคำตอบของน้อง ทำให้หลายคนถึงกับอึ้งในความคิดที่เด็กหญิงคนนี้ จึงเอ่ยปากถามกลับน้องว่า "ค่าไฟที่บ้านกี่บาท" น้องตอบว่า "ไม่รู้ แต่รู้ว่า ตากับยายกำลังเดือดร้อนจากค่าไฟที่ไม่มีจ่ายจึงจะเอาเงิน 100 บาทไปช่วยตากับยายจ่ายค่าไฟ"  

พอ บิณฑ์ ได้ฟังแบบนั้นก็ควักเงินเพิ่มให้ค่าไฟไป 600 บาท และให้ค่าขนมกับน้องอีก 100 แยกจากค่าไฟ สร้างความดีใจให้กับเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก

ต่อมาทีมข่าวได้พบกับคุณตาของ น้องโยโย่ ซึ่งคุณตา ได้มารับน้องกลับบ้านพอดี คุณตาชื่อว่า นายแฉล้ม จงรวยกลาง อายุ 62 ปี มีอาชีพรับจ้างทำสวนทั่วไปในพื้นที่ ยอมรับว่าที่ผ่านมามีความเดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านเพราะรับจ้างรายวัน เงินที่ได้มาก็ใช้จ่ายในบ้านรายวันรวมถึงค่าขนมน้องไปเรียน ทำให้ที่ผ่านมาจะเกิดความทุกข์ใจเรื่องค่าไฟในบ้านบ่อยครั้ง ซึ่งน้องโยโย่ ก็ทราบดีและจะคอยประหยัดค่าขนมเพื่อเก็บเงินช่วยค่าไฟ เช่นกัน พอน้องได้เงินครั้งนี้ก็รีบมาบอกตนว่าได้เงินค่าไฟแล้ว เอาเงินมาให้ตน ทางตนก็ดีใจที่มีเงินจ่ายค่าไฟแล้ว ส่วนค่าไฟที่ใช้ก็ตกเดือนละประมาณ 5-6 ร้อยบาท

ด้าน บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ บอกว่า สำหรับการมอบเงินค่าขนมให้กับเด็ก ๆ แบบนี้ ตนชอบให้และให้เป็นประจำเวลาไปต่างจังหวัด พอเจอเด็ก ๆ ระหว่างทางก็จะจอดรถมอบเงินไว้ให้ค่าขนม ซึ่งครั้งนี้ระหว่างทางที่กลับมาจากวัดที่ตนและมูลนิธิร่วมกตัญญูไปถวายเทียนพรรษา ก็เห็นว่าเด็กนักเรียนเลิกเรียนกำลังพากันกลับบ้าน จึงจอดรถลงมาพูดคุยและมอบเงินค่าขนามให้กว่า 30 คน แต่มีคนหนึ่งที่ตนรู้สึกอึ้งในความกตัญญูและความคิดของน้องโยโย่ ที่มีความคิดว่าจะเอาเงินค่าขนมนี้ไปช่วยตาจ่ายค่าไฟ ซึ่งถือว่าเด็กในวัย 8 ขวบนี้มีความคิดกตัญญูและเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเยาวชน ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในบ้าน 

"อันนี้ขอชื่นชมน้องโยโย่จากใจ ซึ่งนอกจากจะมอบเงินค่าขนมให้กับเด็กแล้ว ผมยังมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับสองตายายที่บ้านอยู่ข้างโรงเรียนเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจสำหรับคุณตาและคุณยายทั้งสองท่านอีกด้วย" บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ กล่าว

‘สาว’ โพสต์ระบาย หลังซื้อกับข้าวร้านข้าวแกงย่านตลาดดัง อาหาร 3 อย่าง 820 บาท ชาวเน็ตช่วยยัน!! “เคยซื้อ แพงจริง”

(16 ก.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเพจ 'พวกเราคือผู้บริโภค' โดยเป็นภาพกับข้าว 3 อย่างที่ได้ไปชื้อครั้งแรกแบบคนไม่มีความรู้ในการเดินตลาดแห่งนี้ พร้อมระบุข้อความว่า 

"ไปชื้อครั้งแรกแบบคนไม่มีความรู้ในการเดินตลาดแห่งนี้ เพราะไปแค่ปีละครั้ง เดิน ๆ ๆ เข้าไปเจอร้านขายแกงร้านหนึ่ง น่ากินมากและมีหลากหลาย ด้วยความเห็นมีแต่ของน่ากิน เดินเข้าไปชื้อทันทีโดยที่เราก็ผิดเองที่ไม่ถามราคาก่อน เพราะในหัวคิดว่ารู้ว่าตลาดนี้ขายของแพงกว่าตลาดอื่นมาก 

“แต่ไม่คิดว่าจะแพงเท่านี้ สั่งไป 3 อย่าง ตามรูปเลย ถามราคาเท่าไรค่ะ ตอนจ่ายเงิน 820 บาท ห๊ะ ถามย้ำว่าเท่าไร 820 ปลาทูต้ม 2 ตัว 380 กุ้งทอดกระเทียม 400 อีกอย่างคือปลาดุกผัดพริก โอเคทำไงสั่งแล้วต้องจ่าย เค 820 เดินออกมาด้วยความยังงงว่ามันแพงขนาดนี้เลยอ่อ ฝากเป็นความรู้สำหรับคนที่อาจจะไม่เคยเดินตลาดแถวจตุจักรด้วย ว่าโปรดสอบถามราคาก่อนชื้อ !!!!!!!”

งานนี้ชาวเน็ตต่างเข้ามาคอมเมนต์ถึงปริมาณอาหารที่ได้เมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่ายกันยกใหญ่ พร้อมทั้งพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "แพงจริง" ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กบางท่านก็บอกว่า “เคยซื้อแล้ว ตลาดนี้แพงจริง”

สตม.จับยกแก๊งปล้นทรัพย์นักเทรดอังกฤษ ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม  ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด   

วันนี้ (16 ก.ค. 67) เวลา 11.00 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้  

สตม. จับยกแก๊งปล้นทรัพย์นักเทรดอังกฤษ กก.2 บก.สส.สตม. จับกุมผู้ต้องหาชาวต่างชาติ จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. MR.ABDULLAHI (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี สัญชาติเดนมาร์ก  
2. MR.MOHAMED (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี สัญชาติบริติช  
3. MR.SAEED (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี สัญชาติบริติช  

ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ กระทำความผิดฐาน “ปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัว, ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นโดยมีอาวุธให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ โดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น, ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น, ร่วมกันพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม MR.ABDULLAHI จับที่หน้าโรงแรมในย่าน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี MR.MOHAMED และ MR.SAEED จับที่ POOLVILLA ในย่านถนนเทพประสิทธิ์ 5 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี

จากกรณีได้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2567 เวลาประมาณ 02.00 น. ผู้เสียหายได้ถูก MR.ABDULLAHI พร้อมกับพวกรวม 5 คน ร่วมกันทำร้ายร่างกายและเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไป ได้แก่ นาฬิกา ยี่ห้อ Audemars piguet 1 เรือน นาฬิกา ยี่ห้อ Rolex 1 เรือน และทรัพย์สินอื่น รวมมูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท เหตุเกิดที่ ห้องพักในแมนชั่นย่าน ถนนพระราม 4 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อนุมัติออกหมายจับ นาย MR.ABDULLAHI, MR.MOHAMED, MR.SAEED, MISS SUMYA (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี สัญชาติบริติช และหญิงชาวต่างชาติไม่ทราบชื่อ กก.2 บก.สส.สตม. จึงได้นำข้อมูลผู้ต้องหาบันทึกไว้ในบัญชีเฝ้าดูในระบบสารสนเทศ ตม.  และทำการสืบสวนติดตามหาตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย จนทราบว่า MR.ABDULLAHI, MR.MOHAMED และ MR.SAEED หลังจากก่อเหตุได้หลบหนีไปพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ จว.ชลบุรี จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบสวน สน.คลองตัน ไปสืบสวนหาตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย จนกระทั่งทราบว่า MR.ABDULLAHI พักอาศัยที่โรงแรมในย่าน ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และ MR.MOHAMED กับ MR. SAEED พักอาศัยที่ POOLVILLA ในย่านถนนเทพประสิทธิ์ 5 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงเข้าทำการจับกุมดังกล่าว

นอกจากนี้ กก.สส.ปป.บก.ตม.2 ยังได้ตรวจพบว่า MISS SUMYA ผู้ต้องหาตามหมายจับจะเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย จากการตรวจค้นกระเป๋าเดินทางพบช่อดอกกัญชาบรรจุในถุงสุญญากาศ ขนาด 500 กรัม จำนวน 50 ห่อ น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 25 กิโลกรัม จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศุลกากร และ ป.ป.ส. ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จับกุมในความผิดฐาน พยายามส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสมุนไพรควบคุม (ช่อดอกกัญชา) โดยไม่ได้รับอนุญาต และพยายามส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากร ตามกฎหมายศุลกากร มาตรา 242 มาตรา 166 มาตรา 167 และมาตรา 252 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดำเนินคดีตามกฎหมาย และพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน จะได้ดำเนินการตามหมายจับต่อไป

บึงกาฬ -แถลงข่าวตรวจยึดจับกุมผู้ต้องหา1ราย พร้อมของกลางยาไอซ์ จำนวน 5 กระสอบ น้ำหนัก 200 กก. และรถยนต์กระบะ 1 คัน

สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 เวลา 02.30 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี โดย กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2108 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 กองบังคับการควบคุมที่ 2 ( ร.13) กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้ตรวจพบรถยนต์กระบะต้องสงสัยขับมุ่งหน้าไป อ.บึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตาม และแสดงตัวเพื่อขอทำการตรวจสอบ รถยนต์คันดังกล่าวได้พยายามเร่งเครื่องหลบหนี จนท.จึงไล่ติดตาม สกัดจับไว้ได้ที่บริเวณ บ.ดงชมภู ต.โพธิ์หมากแข้ง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ ตรวจสอบพบ ผู้ต้องหา 1 ราย นายธนวัฒน์ นามสมมุติ ทราบชื่อภายหลัง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายใน กระบะหลังรถพบยาไอซ์ จำนวน 5 กระสอบ บรรจุในถุงกระสอบพลาสติกสีดำ พันด้วยเทปกาวใส น้ำหนักประมาณ 200 ก้อน/กก. จึงนำผู้ต้องหา พร้อมของกลางและรถยนต์กระบะ Toyota สีขาว คันหมายเลขทะเบียน 2 ฒง 3107 กรุงเทพฯ ส่งพนักงานสอบสวน สภ.บึงโขงหลง เพื่อดำเนินสืบสวนขยายผลหาผู้ร่วมเข้าอุดมการณ์ มาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน092-5259777

บึงกาฬ ยาบ้าไปยาไอซ์มา 5 กระสอบ 220 กก.ค่ากว่า 55 ล้านบาท

ปราบยังไงก็ยังเอาไม่อยู่หลังจากยาบ้าทะลักเข้ามาซาไปพักหนึ่ง เลขาธิการปปส. ลงมาเล่นเองขอเสนองบรัฐบาลไป 60 ล้านบาทเพื่อให้กองทัพภาคที่ 2 เป็นหัวหอกสกัดกั้นยาเสพติดทุกชนิดโดยที่ผ่านมาต้นปียาบ้าทะลักเข้ามา กว่า 6 ล้านเม็ด ทหารพรานร่วมหน่วยความมั่นคงเข้าสกัดจับได้ ก่อนที่จะข้ามน้ำโขงเข้าไทย คราวนี้เป็นไอซ์ที่ทะลักข้ามน้ำโขงเข้ามา5 กระสอบกว่า 220 กิโลกรัมคาดว่าจะเป็นทางผ่านเข้าสู่ตอนในของประเทศ

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 15 ก.ค ที่กองร้อยทหารพราน 2108 อำเภอบุ่งคล้าจังหวัดบึงกาฬ พล.ต.ท.ภานุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด,พล.ต.พรชัย มาหลิน รอง มทภ.2,พล.ต.นรธิป โพยนอก ผบ.กกล.สุรศักดิ์มนตรี ,นายนคร ศิริปริญญานันท์ รอง ผวจ.บึงกาฬ,พ.อ.ชูชาติ นนทบุตร ผบ.บก.ควบคุมที่ 2 (ร.13)กกล.สุรศักดิ์มนตรี,พ.อ.อินทราวุธ ทองคำ ผบ.ฉก.ทพ.21 พ.ต.อ.ชัยยุทธ ธรรมสุนา รอง ผบก.ภ.จว.บึงกาฬ นายภิญโญ โฆสิต ผู้อำนวยการ สำนักงาน ปปส.ภาค 4.น.ท.ธนชัย รอดทัศนา หน.สน.เรือบึงกาฬ และปลัดฝ่ายป้องกันร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายธนวัฒน์ แสงจันทร์ อายุ 19 ปีชาว กรุงเทพมหานคร ขณะขับรถกระบะยี่ห้อโตโยต้าสีขาว ทะเบียน ฒง 3107 กทม.ที่ต่อเป็นโคลงเหล็กด้านข้างทั้ง 2 ด้านคล้ายรถบรรทุกสินค้า ถูกเจ้าหน้าที่ทหารพรานและฝ่ายความมั่นคงสะกดรอยติดตามจับกุมได้ที่ถนนสาย 2026 ดงบัง-บึงโขงหลง ตรวจค้นภายในกระบะหลังรถที่มีภายใบคลุมกันฝน พบกระสอบที่มีถุงพลาสติกห่อหุ้มจำนวน 5 กระสอบ ด้านในพบเป็นไอซ์บรรจุในถุงพลาสติกคล้ายถุงกาแฟ จำนวน 220 กิโลกรัม จึงถูกควบคุมตัวพร้อมของกลางไปตรวจนับอย่างละเอียดที่กองร้อยทหารพราน 2108 

ทั้งนี้เมื่อกลางดึกคืนผ่านมาพ.อ.อินทราวุธ ทองคำ ผบ.ฉก.ทพ.21 ได้สั่งการให้ ร.ท.โกวิทย์ วงษ์แสง ผบ.ร้อยหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2018 ได้ประสานหน่วยความมั่นคงในพื้นที่ประกอบไปด้วย บก.ควบคุมที่ 2 (ร.13) ตำรวจสืบสวน บก. สส.ภ.จว.บึงกาฬ ตชด.244 ตม.บึงกาฬ ตร.น้ำบึงกาฬ ด่านศุลกากรบึงกาฬ ดักซุ่มตามเส้นทางที่คาดว่ากลุ่มผู้ค้ายาเสพติดจะขนยาผ่าน โดยเริ่มต้นจากริมน้ำโขงจุดทีมีการขออนุญาคดูดทรายบ้านดอนใหญ่ ต.โคกกว้าง อ.บุ่งคล้า จนท.สักเกตุเห็นรถเก๋งต้องสงสัยวิ่งน้ำหน้ารถกระบะบรรทุก จึงสะกดรอยติดตาม ถนนสาย 212 บุ่งคล้า-บ้านแพง ถึงไฟแดงสี่แยกบ้านดงบังเลี้ยวข้าวเข้าถนน 2026 ดงบัง-บึงโขงหลง ถึงบ้านดงชมภู หมู่ 7 ต.โพธิ์หมากแข้ง จึงตัดสินใจขับแซงขึ้นหน้าส่งสัญญาณให้คนขับรถกระบะหยุดรถเพื่อตรวจค้น จึงพบของกลางไอซ์จำนวน 220 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 55 ล้านบาท

สอบสวนนายธนวัฒน์ แสงจันทร์ รับว่ารับจ้างจากเจ๊แต๋ว ชาวลาวเป็นเงิน 1.5 แสนบาท เพื่อบรรทุกไปส่งในกรุงเทพฯ รับมาแล้ว 2 หมื่นบาท โดยตนจะได้ส่วนแบ่ง 8 หมื่นบาท ส่วนชุดนำทาง(ขับเก๋งสเกาท์หน้า)จะได้ 7 หมื่นบาทหลังจากทำงานสำเร็จ จึงถูกแจ้งข้อหาว่า "ร่วมกับพวกที่หลบหนีจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า เป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป และผู้ต้องหาเป็นผู้ขับขี่(รถยนต์) เสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย" ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บึงโขงหลงดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเดือน 16 ก.พ.ทหารพรานชุดนี้ก็จับยาบ้าได้ 6 ล้านเม็ด และ31 มี.ค.จับยาบ้าได้ 1.58 แสนเม็ด นอกจากนี้ยังมีหน่วยอื่น เช่น ทหารเรือจับ 1.2 แสนเม็ด เมื่อ พ.ค.ผ่านมาต้นปีนี่เอง และส่วนที่จับไม่ได้ก็มีมากมาย จึงอยากฝากรัฐบาลได้ปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง ก่อนที่ลูกหลานชาวไทยจะเป็นบ้าหลอนจนฆาตกรรมพ่อแม่หรือเผาบ้านตัวเองไปมากกว่านี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top