Friday, 4 July 2025
NEWS FEED

'ไปรษณีย์ไทย' จัดทำแสตมป์เฉลิมพระเกียรติ ‘สมเด็จพระพันปีหลวง' วางจำหน่าย 12 สิงหาคมทั่วประเทศ ในราคาดวงละ 9 บาท

(9 ส.ค.67) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ออกแสตมป์เทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 92 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อัญเชิญพระฉายาลักษณ์ในฉลองพระองค์ชุดราตรีตัดเย็บด้วยผ้าไหม ประดับด้วยลูกปัดเลื่อม และปีกแมลงทับ มาจัดพิมพ์เป็น ดวงแสตมป์ ประกอบตราพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. พร้อมเทคนิคพิเศษพิมพ์ทองบริเวณขอบนอกของแสตมป์และพิมพ์สปอตยูวีบริเวณเครื่องประดับและลวดลายปีกแมลงทับที่ฉลองพระองค์ พร้อมจำหน่าย 12 สิงหาคมนี้ ที่ไปรษณีย์ในกรุงเทพฯ และไปรษณีย์ประจำจังหวัด หรือช่องทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน/เว็บไซต์ www.thailandpostmart.com

ด้าน ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทยจัดสร้างแสตมป์ที่ระลึกชุดวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 92 พรรษา 12 สิงหาคม 2567 โดยแสตมป์ชุดดังกล่าวได้อัญเชิญพระฉายาลักษณ์ในฉลองพระองค์ชุดราตรีตัดเย็บด้วยผ้าไหม ประดับด้วยลูกปัดเลื่อม และปีกแมลงทับมาจัดพิมพ์เป็น ดวงแสตมป์ ประกอบตราพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. และยังได้ใช้เทคนิคพิเศษพิมพ์ทองบริเวณขอบนอกของแสตมป์และพิมพ์สปอตยูวีบริเวณเครื่องประดับและลวดลายปีกแมลงทับที่ฉลองพระองค์ เพื่อให้เกิดความเงาแวววาว สำหรับงานตกแต่งด้วยปีกแมลงทับนั้น สืบเนื่องจากพระราชดำริของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแนวทางให้นำปีกแมลงทับมาประดับบนฉลองพระองค์ รวมถึงนำมาทำเป็นเครื่องประดับประเภทต่าง ๆ โดยให้มีการศึกษาค้นคว้าและวิจัยการเพาะเลี้ยงแมลงทับเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิศิลปาชีพอย่างยั่งยืนเพื่อเป็นศิลปหัตถกรรมคงอยู่คู่ชาติไทย

ทั้งนี้ แสตมป์จะจำหน่ายในราคาดวงละ 9 บาท (เต็มแผ่น 10 ดวง) ซองวันแรกจำหน่ายราคา 21 บาท โดยออกจำหน่าย 12 สิงหาคมนี้ ที่ไปรษณีย์ในกรุงเทพฯ และไปรษณีย์ประจำจังหวัด หรือทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน/เว็บไซต์ www.thailandpostmart.com หรือสอบถามเพิ่มเติมฝ่ายบริหารลูกค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์บริการไปรษณีย์ โทร 0 2573 5480 , 0 2573 5463

กระบี่- กสทช.ภาค 4 จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการฝึกซ้อม การใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยใช้คลื่นความถี่ในการติดต่อ ประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน กรณีเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน”

(9 ส.ค.67) เวลา 08.30-16.30 น.ณ โรงแรมดีวาน่า พลาซ่า กระบี่ อ่าวนาง จังหวัดกระบี่ โดยมี นายธานี หะยีมะสา ปลัดจังหวัดกระบี่เป็นประธานในพิธีเปิด นายสุวรรณรัตน์ ทองใส ผู้อำนวยการสำนักงาน กสทช. เขต 42 กล่าวรายงาน “โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการฝึกซ้อมการใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยใช้คลื่นความถี่ในการติดต่อ ประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน กรณีเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน” และสมาชิกผู้เข้าร่วมประชุม ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการวิทยุกระจายเสียงในพื้นที่ สมาคมวิทยุสมัครเล่น และประชาชนในวันนี้

ตามที่ผู้อำนวยการ สำนักงาน กสทช. เขต 42 ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้น ด้วยในปัจจุบันสถานการณ์ภัยพิบัติ เหตุฉุกเฉิน เหตุอุทกภัย ที่เป็นภัยธรรมชาติมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคใต้เป็นพื้นที่ราบ สลับกับภูเขา และติดชายฝั่งทะเล ซึ่งเกิดภัยพิบัติทุกปีการปฏิบัติงานช่วยเหลือในสถานการณ์ดังกล่าว ทั้งก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ  จำเป็นต้องมีการบูรณาการ ประสานความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ / ทั้งนี้ ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือ  การมีระบบติดต่อประสานงานสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ดี เหตุภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉิน ที่ผ่านมาหลายครั้ง พบว่าการติดต่อประสานงานดังกล่าว ยังไม่เป็นระบบและไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้น เพื่อให้การประสานงานของภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ได้มีการเตรียมความพร้อมในการแก้ไขข้อขัดข้องของระบบโทรศัพท์ประจำที่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบวิทยุคมนาคม และระบบโทรคมนาคมอื่นๆ ให้สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ ในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยให้กับประชาชน และการประสานงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน  หรือบรรเทาความเดือนร้อนของผู้ประสบภัย ตลอดจนให้มีการประกาศ ประชาสัมพันธ์ รับแจ้งเหตุและรายงานสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องมีการฝึกซ้อมแผนบูรณาการบุคลากร  และข่ายวิทยุสื่อสาร เตรียมความพร้อม กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินหรือภัยพิบัติ เพื่อรองรับสถานการณ์ กรณีเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน ในเขตพื้นที่จังหวัดกระบี่ ต่อไป

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ร่วมกับกระทรวงแรงงาน จัดกิจกรรมจิตอาสา บริการประชาชน

วันที่ 9 สิงหาคม 2567 นางเธียรรัตน์ ประธานมูลนิธิ ฯ เปิดเผยว่า ในวันนี้ มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือกับกระทรวงแรงงาน ร่วมกิจกรรมจิตอาสาเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาส วันคล้ายวันเฉลิมพระชมมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม 2567 ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม โดยมอบหมวกกันน็อค ที่ได้รับการสนับสนุนจาก เครือเจริญโภคภัณฑ์ น้ำดื่มจาก กลุ่มไทยสมายล์บัส และขนมขบเคี้ยวสนับสนุนจาก บริษัท ไบ่ลี่ เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด เพื่อมอบให้กับพี่น้องประชาชน และนักเรียน ที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้กว่า 5,000 คน 

กิจกรรมจิตอาสาเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาส วันคล้ายวันเฉลิมพระชมมพรรษา  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  12 สิงหาคม 2567 ในวันนี้  จัดขึ้นโดยศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยมี ท่านผู้หญิงภรณี มหานนท์ ผู้แทนจากหน่วยราชการในพระองค์  เป็นประธานในพิธีเปิด และ พล.ต.ท. นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บัญชาการตำรวจภาค 7 พร้อมด้วย นายยงยุทธ สวนทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ให้การต้อนรับ ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม 

ภายในงานมีกิจกรรม มากมาย อาทิ การฝึกอาชีพอิสระ การทำกระเป๋าผ้าพิมพ์เทียน การทำพวงกุญแจหินมงคล การทำกระเป๋าสตางค์หนัง บริการตัดผม และการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น ซึ่งพี่น้องประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงต่างให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมอย่างคึกคัก สามารถนำความรู้ไปต่อยอดในการประกอบอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวได้ 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 92 พรรษา 12 สิงหาคม 2567

วันนี้ (9 สิงหาคม 2567) เวลา 08.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานกิจกรรมเนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 92 พรรษา 12 สิงหาคม 2567 ณ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยคุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , คณะสมาคมแม่บ้านตำรวจ และข้าราชการตำรวจในสังกัดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมพิธี

เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 92 พรรษา 12 สิงหาคม 2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดให้มีการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ฯ ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ โดยพิธีต่างๆ ประกอบด้วย พิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล , พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 93 รูป ถวายเป็นพระราชกุศล และพิธีถวายพระพรชัยมงคลและลงนามถวายพระพร

ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสอันเป็นมหามงคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนข้าราชการตำรวจ ลูกจ้างในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประชาชนทุกหมู่เหล่าร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2567 ผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์  ระหว่างวันที่ 11-13 สิงหาคม 2567 https://wellwishes.royaloffice.th/

'ก.ต่างประเทศไทย' ออกแถลงการณ์ ยืนยันความภาคภูมิใจ ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.67) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล โดยยืนยันว่า...

คำวินิจฉัยดังกล่าว เป็นเอกสิทธิ์ และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่ภายใต้ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ และคำตัดสินของศาล เป็นสิ่งที่ไม่อาจสามารถแทรกแซงได้ โดยอำนาจอื่นหรืออำนาจรัฐบาล และผลคำตัดสินดังกล่าวมีผลผูกพันตามกฎหมาย และต้องได้รับความเคารพโดยปวงชนชาวไทย

อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังเน้นย้ำอีกว่า ประเทศไทยจะยังคงดำเนินแนวทางค่านิยมตามหลักการประชาธิปไตย และในฐานะรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และย้ำความมุ่งมั่นต่อพันธกรณี และเสรีภาพการแสดงออก เสรีภาพในการสมาคม เสรีภาพในการชุมนุมอย่างสันติ และเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง

ประเทศไทยมีความภาคภูมิใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อขนบประเพณีไทย ที่สร้างความเป็นชาติตลอดห้วงประวัติศาสตร์ของไทย และประเทศไทย จะดำเนินตามขนบประเพณีและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนี้อย่างมั่นคง ด้วยความภาคภูมิใจ และมีศักดิ์ศรี พร้อมเชื่อมั่นว่า ประชาชนคนไทยทุกคน จะเคารพในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และร่วมการนำพาประเทศไปข้างหน้า ตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป

‘เทนนิส’ โพสต์!! บอกลาน้ำหนัก 49 กก. หลังคว้าทองโอลิมปิกสมัยที่ 2 ลั่น!! กลับเมืองไทยจะขอกินแบบจัดเต็ม ปลดล็อกคุมน้ำหนักนาน 10 ปี

(9 ส.ค.67) ‘เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ’ นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง คว้าเหรียญทองเหรียญแรกในโอลิมปิกกรุงปารีส 2024 ให้กับทีมไทย พร้อมสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ด้วยการเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่สามารถคว้าเหรียญรางวัลจากโอลิมปิกได้สามครั้งซ้อน ทำเอาแฟน ๆ ชาวไทยต่างภูมิใจกันทั่วประเทศ

ล่าสุด เทนนิส พาณิภัค ได้ออกมาโพสต์ภาพตนเองในชุดสปอร์ตบรา อวดหุ่นน้ำหนักที่ 49 กิโลกรัม โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า "บ๊ายบาย !! หนูนิสที่หนัก 49 kg. ~"

โดยก่อนหน้านี้ เทนนิส ได้เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่าเมื่อกลับประเทศไทยจะขอกิน เนื่องจากลดน้ำหนักมานานมาก ๆ เพราะต้องรักษาน้ำหนักที่ 49 กิโลกรัมมานานเป็น 10 ปี จากนี้อาจจะเจอเทนนิสที่มีน้ำมีนวลขึ้น เพราะได้ปลดปล่อยแล้ว

ซึ่งก็ได้มีแฟน ๆ ทั้งในและนอกวงการต่างเข้ามาคอมเมนต์กันเพียบ โดยบอกว่าต่อจากนี้ได้เวลากินแล้ว

เชียงใหม่-แถลงข่าว “วิ่งการกุศลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เชียงใหม่มาราธอน 2567 ครั้งที่ 8”

สมาคมนักศึกษาเก่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดงานแถลงข่าว “วิ่งการกุศลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เชียงใหม่มาราธอน 2567 ครั้งที่ 8 (CMU - Chiang Mai Marathon 2024)” ชิงรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ภายใต้ธีม “Precious Memories” ความทรงจำอันล้ำค่าในรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ทุกคนได้มาใช้เวลาวิ่งร่วมกันตลอด 7 ปีที่ผ่านมา โดยมีศาสตราจารย์ ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงาน พร้อมด้วย คุณสุมิตร เพชราภิรัชต์ นายกสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณัฐ วรยศ  คุณสมยศ วงษ์ทองสาลี ที่ปรึกษาสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรวิชญ์ จันทร์ฉาย คณะผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา ศิษย์เก่า สื่อมวลชน ตลอดจนผู้สนใจกิจกรรม ร่วมการแถลงข่าว ณ Auditorium ชั้น 3 อาคารศูนย์นวัตกรรมการสื่อสาร (CIC) คณะการสื่อสารมวลชน เมื่อวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2567

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำหนดจัดแข่งขันการวิ่งการกุศลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เชียงใหม่มาราธอน 2567 ครั้งที่ 8 (CMU - Chiang Mai Marathon 2024) ชิงรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2567 ในธีม “Precious Memories” ความทรงจำอันล้ำค่าในรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ทุกคนได้มาใช้เวลาวิ่งร่วมกันตลอด 7 ปีที่ผ่านมา 

ความพิเศษของ CMU – Chiang Mai Marathon 2024 คือเหรียญรางวัลซีรีส์ 2 (2nd Generation) ซึ่งเป็นชิ้นสุดท้ายที่ทำให้โมเดลหอนาฬิกาเสร็จสมบูรณ์ โดยเป็นฝาปิดด้านบนของหอนาฬิกา เพื่อเก็บเรื่องราวที่ดีและความทรงจำอันล้ำค่าของนักวิ่งทุกคนไว้ตลอดไป รวมถึงการจัดงานในรูปแบบ Carbon Neutral Event ที่ช่วยลดและชดเชยการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์หรือก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานและทรัพยากรในการจัดงาน เช่น การใช้ภาชนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการขยะและของเหลือใช้ การใช้รถไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิงสะอาด การจัดซื้อคาร์บอนเครดิตชดเชย (Carbon Credit) เพื่อยื่นขอ
ใบประกาศนียบัตรรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) ต่อไป 

ในปีนี้ เปิดรับสมัครนักวิ่งที่สนใจสองรอบ คือรอบ VIP วันที่ 8 สิงหาคม 2567 เวลา 10.08 น. ถึงก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 15 กันยายน 2567 และรอบปกติในวันที่ 26 สิงหาคม 2567 เวลา 10.08 น. ถึงวันที่ 15 กันยายน 2567 ทางเว็บไซต์ www.cmu-marathon.com ทั้งรูปแบบ Onsite และ Virtual Run 

โดยมีอัตราขอรับบริจาคดังต่อไปนี้ รูปแบบ Onsite รับสมัครนักวิ่งไม่เกิน 7,000 คน VIP ระยะทางตามระยะที่สมัคร อัตราขอรับบริจาค 3,000 บาท, Full Marathon ระยะทาง 42.195 km. อัตราขอรับบริจาค 1,200 บาท, Half Marathon ระยะทาง 21.1 km. อัตราขอรับบริจาค 1,000 บาท, Mini Marathon ระยะทาง 10.5 km. อัตราขอรับบริจาค 800 บาท และ Fun Run ระยะทาง 5 km.  อัตราขอรับบริจาค 600 บาท

นักวิ่งที่ติดอันดับ Top 30 จาก Virtual Run ของปีที่ผ่านมา ระบบจะส่งข้อมูลให้ท่านผ่านทางอีเมลเพื่อลงทะเบียนล่วงหน้าในระหว่างวันที่ 8 - 25 สิงหาคม 2567 

รูปแบบ Virtual Run ครั้งที่ 5 รับสมัครไม่จำกัดจำนวน  Iron Heart ระยะทาง 123 km. อัตราขอรับบริจาค 1,288 บาท,Full Marathon ระยะทาง 42.195 km. อัตราขอรับบริจาค 1,030 บาท, Half Marathon ระยะทาง 21.1 km. อัตราขอรับบริจาค 824 บาท, Mini Marathon ระยะทาง 10.5 km. อัตราขอรับบริจาค 618 บาท และCombo ระยะใดก็ได้ (รับเหรียญและเสื้อ อัตราขอรับบริจาค 2,266 บาท Finisher ทั้ง Full, Half, Mini)โดยกำหนดส่งผลการวิ่งก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 1 ธันวาคม 2567 

ทั้งนี้ อัตราขอรับบริจาคข้างต้นยังไม่รวมค่าธรรมเนียมในการโอนเงินบริจาคทางอิเล็กทรอนิกส์ 

สำหรับรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย จัดสรรเป็นทุนการศึกษาแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำนักหอพักนักศึกษา สมทบทุนสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการจัดกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ และนำรายได้ส่วนหนึ่งทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเสด็จพระราชกุศลตามอัธยาศัย

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอขอบคุณผู้สนับสนุนและนักวิ่งทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขันการวิ่งการกุศลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - เชียงใหม่มาราธอน 2567 ครั้งที่ 8 (CMU - Chiang Mai Marathon 2024) และขอความอนุเคราะห์ประชาชนโปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง การแข่งขันในวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2567 เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่นักวิ่ง 

'อัษฎางค์' ยก!! ปัญหาด้าน 'ปัญญา' เรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของเมืองไทย หลัง 'โค้ชการเงินดัง' พลาด!! บอก 'ศาล รธน.' ไม่ได้มาจากประชาชน

เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.67) อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'ปัญหาใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของเมืองไทยคือ คนไทยจำนวนมากมีปริญญาแต่ไม่มีปัญญา' ระบุว่า...

พอล ภัทรพล โพสต์ข้อความว่า "ที่น่ายุบที่สุด คือองค์กรที่อำนาจมาก แต่ประชาชนไม่ได้เลือก"

อัษฎางค์ ยมนาค จะเอาความรู้สมัยมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยปี 1 มาทบทวนให้ใหม่อีกครั้ง

'องค์กรที่พอลพูดถึง' ก็คงไม่พ้น 'ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' ที่เพิ่งตัดสินยุบพรรคก้าวไกล

อยากถาม พอล กูรูการเงินคนดังว่า ที่วิจารณ์แบบนั้น รู้หรือไม่ว่า องค์กรที่ว่านั้น ซึ่งหมายถึง 'ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' ประชาชนไม่ได้เลือก แล้วใครเลือก?

สงสัยมาก ๆ ว่า พอล เรียนหนังสือจบมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยมาได้ยังไง เพราะวิชากฎหมายพื้นฐานต้องเรียนมาแล้วทุกคน

เริ่มต้นพื้นฐานแบบนี้เลยนะ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 200 กำหนดให้ 'ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ซึ่งทั้ง 9 คนนี้ได้รับการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์'

ถ้าพระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง พอลมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?

พอล มีปัญหาอะไรกับพระมหากษัตริย์หรือไม่?

หรือพอลเป็นปฏิปักษ์ต่อพระมหากษัตริย์หรือเปล่า?

ที่นี้มาอธิบายแบบรายละเอียดขั้นสูงขึ้นมาอีกนิด เพราะภาษากฎหมายบางที่มัน Complicated

คำว่า 'พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' คือภาษากฎหมาย ที่คนไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย หรือบางคนแม้จะจบมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้เรียนนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์อาจไม่เข้าใจว่า...

*คำว่า 'พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' แต่ความจริงผู้แต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัวจริง 'ไม่ใช่พระมหากษัตริย์'

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติก็จริง แต่ไม่ทรงมีอำนาจทางการเมืองหรืออำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน อำนาจแท้จริงที่ทรงมีเรียกว่า 'อำนาจทางพิธีการ' เท่านั้น

**ผู้ที่มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัวจริงคือ 'วุฒิสภา'

***โดยผู้ได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาให้ดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องได้รับความเห็นชอบจาก 'วุฒิสภา' ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

เมื่อได้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนแล้ว จึงทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย

พระปรมาภิไธย หมายถึง พระนามของพระมหากษัตริย์ราชเจ้า ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ หลังจากที่ได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว

ที่นี้เข้าใจคำว่า 'อำนาจทางพิธีการ' ของพระมหากษัตริย์หรือยัง?

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดในโลก และไม่ว่าจะเรียกชื่อต่างกันอย่างไร ก็มีหลักการเดียวกันทั้งโลก

>> นั่นคือ ผู้เลือกคณะรัฐมนตรี คือ รัฐสภา (วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนฯ)

>> ผู้เลือกศาลหรือตุลาการ คือ รัฐสภา (วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนฯ)

>> ส่วนผู้ที่เลือกผู้แทนราษฎร (สส.) วุฒิสมาชิก (สว.) ซึ่งเป็นสมาชิกของรัฐสภา คือ ประชาชน

ดังนั้นอธิบายวิชากฎหมายเบื้องต้น ซึ่งมีสอนในชั้นมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นที่ 1 ซ้ำให้พอลได้ทบทวนแล้ว (ไม่รู้ว่าตอนเรียนสอบผ่านหรือเรียนหนังสือจบมาได้ยังไง)

พอล ได้คำตอบแล้วหรือยังว่า 'องค์กร' ที่อำนาจมาก (ซึ่งพอลหมายถึง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ) แต่ 'ประชาชนไม่ได้เลือก' ตามที่พอลบ่นออกมา

ความจริงแล้ว!! ใครเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ?

คำตอบคือ 'วุฒิสมาชิก' เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่ วุฒิสมาชิก (ตามวิธีการสรรหาในปัจจุบัน) ประชาชนเป็นคนเลือกเข้าสภาอีกที

ดังนั้น คำตอบสุดท้ายของสมการนี้คือ 'ประชาชน' ก็เป็นผู้เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นั่นเอง 

การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ส่วนใหญ่ในโลก ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยโดยตรง แต่เป็นระบบตัวแทน

ระบบตัวแทนก็คือ ประชาชน เลือกผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก เข้าไปทำงานการเมืองและบริหารราชการแผ่นดินแทนประชาชน

แล้ว…ผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก ซึ่งทำหน้าที่ในรัฐสภา ก็เป็นผู้เลือกคณะรัฐมนตรีและศาล แทนประชาชน

ดังนั้น คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภาและตุลาการในศาล ซึ่งเป็น 3 องค์กรที่อำนาจมากที่สุด (เนื่องจากเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทยทุกคน) โดยใช้อำนาจดังกล่าวนั้นแทนประชาชนทุกคน

- เข้าใจหรือยังว่า
- ประชาชนเลือกผู้แทนฯ 
- ผู้แทนฯ เลือกรัฐมนตรีและศาล
- เลือกได้แล้วจึงทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย

*พระมหากษัตริย์มีอำนาจและหน้าที่ เพียงแค่ลงชื่อหรือเซ็นชื่อรับรองเท่านั้น 

**พระมหากษัตริย์ ไม่มีอำนาจเลือกใครมาทำงานการเมืองหรือบริหารราชการแผ่นดินเลย

***ผู้มีอำนาจเลือกใครมาทำงานการเมืองหรือบริหารราชการแผ่นดินคือ ประชาชนอย่างเรา ๆ ทุกคน

สิ่งที่พอล ภัทรพล โพสต์ไว้ว่า "ที่น่ายุบที่สุด คือองค์กรที่อำนาจมาก แต่ประชาชนไม่ได้เลือก"

เป็นคำพูดหรือประโยคของคนที่เหมือนไม่ได้รับการศึกษา หรือเหมือนจบการศึกษามาโดยไม่มีความรู้ใด ๆ ติดตัวมา นอกจากกระดาษหนึ่งใบที่เรียกว่า 'ใบปริญญา' แต่เหมือนว่าอยากจะแสดงความเห็นอย่างคนที่มีการศึกษา 

พอลคิดว่า เราเลือกผู้แทนฯ ให้ไปนั่งพูดในสภาเท่านั้นหรือ? 

ผู้แทนฯ ของเราคือ ผู้มีอำนาจล้นฟ้าเลยนะ เพราะเขาใช้อำนาจอธิปไตยแทนเรา เพื่อบริหารราชการแผ่นดิน 

"คำว่าบริหารราชการแผ่นดิน ก็รวมถึงการเลือกคนมาทำงานบริหารราชการแผ่นดิน เช่น คณะรัฐมนตรีและศาลด้วยนั่นเอง"

คิดก่อนพูด มีความรู้จริงค่อยแสดงความคิดเห็น

เพราะคำพูดหรือความเห็นใด ๆ ของใคร บ่งบอกภพภูมิของคน ๆ นั้น

คนเป็นกูรูทางการเงิน แต่ไม่รู้เรื่องการเมืองและกฎหมายพื้นฐานเลยไม่ได้นะ เพราะการเงินมีปัจจัยสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับการเมืองและกฎหมาย

พูดแต่เรื่องที่รู้หรือเชี่ยวชาญนะดีแล้ว
แต่อย่าไปพูดเรื่องที่ไม่รู้
เพราะ…ไม่พูด คนก็ไม่รู้ว่า เราโง่ หรือไม่รู้!

กรุณาแสดงความเห็นด้วยข้อเท็จจริงและด้วยความสุภาพ

'วีรพล' ฮึด!! โชว์ก๊อกสอง ปาดซิว 'เหรียญเงิน' ยกน้ำหนักโอลิมปิก เจ้าตัวปลื้ม!! เป็นของขวัญวันเกิดที่ล้ำค่าอย่างมาก

(9 ส.ค.67) ผลการแข่งขันยกน้ำหนัก โอลิมปิก เกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม รุ่น 73 กิโลกรัมชาย ไทยส่ง 'เวฟ' วีรพล วิชุมา จอมพลังวัยแค่ 19 ปีลงชิงชัย

ผลปรากฏว่าเจ้าตัวพลาดในท่าสแนตช์ เรียกน้ำหนักครั้งแรกที่ 148 กก. ยกผ่านไม่มีปัญหา แต่ครั้งที่ 2 เรียกที่ 152 กก. ยกไม่ผ่าน ครั้งที่ 3 เรียกเท่าเดิมหวังแก้ตัวก็ไม่รอด ทำให้ท่าแรกทำน้ำหนักไปเพียง 148 กก. โอกาสคว้าเหรียญในตอนนั้นริบหรี่เหลือเกิน เพราะรั้งอันดับ 9

อย่างไรก็ตามในท่าคลีนแอนด์เจิร์ก วีรพล รวบรวมกำลังยกผ่านทั้ง 3 ครั้งที่ 190, 194 และ 198 กก. ซึ่งครั้งที่ 3 เจ้าตัวทำลายสถิติเยาวชนโลกที่ตัวเองเคยทำไว้เมื่อปี 2023 สรุปคะแนนรวมพุ่งมาที่ 346 กก. บวกกับที่ ฉี จือ ยง นักกีฬาของจีนแชมป์เก่าพลาดยกไม่ผ่านทั้ง 3 ครั้ง วีรพลแซงขึ้นมารั้งอันดับ 2 คว้าเหรียญเงินไปครองแบบน่าเหลือเชื่อ เป็นเหรียญที่ 3 ให้ทัพยกน้ำหนัก และเหรียญที่ 6 ให้ทัพนักกีฬาไทย

ภายหลังการแข่งขัน วีรพล เปิดเผยว่าตื่นเต้นกับการมาแข่งโอลิมปิกเป็นอย่างมากเพราะถือว่าเป็นครั้งแรกและสามารถคว้าเหรียญมาครองได้สำเร็จเป็นความภูมิใจส่วนตัวและความภูมิใจของครอบครัว

“เงินรางวัลที่ได้มาครองและยังไม่คิดว่าจะไปทำอะไรขอปรึกษาครอบครัวก่อน เนื่องจากตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาไม่ต้องมีภาระอะไร หนี้สินที่เคยมีก็ชำระทุกอย่างไปหมดแล้วจากเงินรางวัลที่ได้มาก่อนหน้านี้”

จอมพลังพลังหนุ่มไทย กล่าวต่อไปว่า นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก ซึ่งวันเกิดของผมคือวันที่ 9 สิงหาคมที่จะถึงนี้

สำหรับการได้เหรียญรางวัลในครั้งนี้เท่ากับว่าทีมยกน้ำหนักของไทยลงทำการแข่งขันสามรุ่นสามคนได้เหรียญมาครองทั้งหมด โดยยังเหลือนักกีฬาอีกหนึ่งคนซึ่งจะแข่งขันในวันที่ 11 สิงหาคมนี้

ส่อง 7 ข้าราชการตำรวจ ฮีโร่นักกีฬาโอลิมปิก 'PARIS 2024'

สำนักงานกำลังพลร่วมแสดงความยินดีและภาคภูมิใจในข้าราชการตำรวจทั้ง 7 นาย ที่ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย ด้วยการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปีนี้ ข้าราชการตำรวจทั้ง 7 นาย ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสามารถที่โดดเด่น ทั้งในหน้าที่การงานและวงการกีฬา ซึ่งนับเป็นเกียรติยศอย่างยิ่งที่พวกเขาได้เป็นตัวแทนของประเทศในการแข่งขันกีฬาระดับโลก มีใครกันบ้าง ไปทำความรู้จักกันเลย
1. ส.ต.ท.กุลวุฒิ วิทิตศานต์ (วิว) ผบ.หมู่ ฝอ.บก.ป. 
ได้รับรางวัลเหรียญเงินในประเภทแบดมินตันชายเดี่ยว ซึ่งเป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจและ เป็นประวัติศาสตร์ของแบดมินตันไทยในรอบ 32 ปี นับตั้งแต่ถูกบรรจุเข้าไปในกีฬาโอลิมปิก
2 .ส.ต.ต.หญิง รัชนก อินทนนท์ (เมย์)  ผบ.หมู่ ฝ่ายฝึกอบรม ศฝร.บช.ก.
โอลิมปิกปีนี้ น้องเมย์ได้เข้ารอบ 8 คนสุดท้ายในประเภทแบดมินตันหญิงเดี่ยว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถและความพยายามที่ไม่มีที่สิ้นสุด 
3. ส.ต.ท.หญิง ใบสน มณีก้อน (ครีม)  ผบ.หมู่ ฝอ.ภ.จว.กาฬสินธุ์ 
ได้เข้ารอบ 16 คนสุดท้ายในประเภทมวยสากลหญิง รุ่น 75 กิโลกรัม เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของวงการกำปั้นไทย และทำให้เห็นถึงความเป็นนักสู้ในตัวเธอ 

4. ส.ต.ท.ธิติสรรณ์ ปั้นโหมด (เหลิม) ผบ.หมู่ ฝอ.ภ.จว.พิษณุโลก 
ได้เข้ารอบ 16 คนสุดท้ายในประเภทมวยสากลชาย เช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามและการเตรียมพร้อมที่ดีเยี่ยม
5. ส.ต.ท.วีระพล จงจอหอ (เกมส์) ผบ.หมู่ ฝอ.ภ.จว.นครราชสีมา 
ได้เข้ารอบ 32 คนสุดท้ายในประเภทมวยสากลชาย รุ่น 80 กิโลกรัม มีความมุ่งมั่นและทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง จนสามารถคว้าตั๋วไปโอลิมปิกได้สำเร็จ
6. ว่าที่ ร.ต.อ.หญิง สุเบญรัตน์ อินแสง (เบญ) รอง สว.ฝ่ายการฌาปนกิจสงเคราะห์ สก.
ได้อันดับที่ 32 ในกีฬากรีฑาประเภทขว้างจักรหญิง ขว้างได้ดีที่สุดที่ 58.07 เมตร ทำให้เห็นความสามารถทางกายภาพและการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อโอลิมปิกในครั้งนี้
7. ว่าที่ ร.ต.อ.หญิง สุธาสินี เสวตบุตร (หญิง)  รอง สว.ฝอ.1 บก.อก.บช.ก. 
ลูกเด้งสาวไทย ได้ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในประเภทเทเบิลเทนนิส ถือว่าเป็นนักเทเบิลเทนนิสผู้เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นของความมุ่งมั่นในการไล่ตามความฝัน
            
ข้าราชการตำรวจเหล่านี้ได้สร้างความภาคภูมิใจและเกียรติยศให้กับประเทศไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  โดยสำนักงานกำลังพลพร้อมที่จะดูแลสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับนักกีฬาตำรวจทุกนายที่เป็นตัวแทนทีมชาติไทยเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในครั้งนี้ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย และสร้างความสุขให้กับคนไทยทุกคน และยังคงสนับสนุน ส่งเสริมศักยภาพของข้าราชการตำรวจในการพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีและนำชื่อเสียงกลับมาสู่ประเทศชาติในอนาคต

“สำนักงานกำลังพล SUPPORTING OUR HEROES”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top