Friday, 4 July 2025
NEWS FEED

ผู้บัญชาการ​สถาบัน​วิชา​การป้องกันประเทศ เป็นประธานปิดการอบรม​หลักสูตร​ผู้นำ​พอเพียง​เพื่อ​ความมั่นคง​ รุ่นที่​ 17

เมื่อ​วันที่​ 9 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ หอประชุม​วิทยาลัย​ป้องกัน​ราช​อาณาจักร​ พลอากาศเอก ภูมิใจ เลขสุนทรากร​ ผู้บัญชาการ​สถาบัน​วิชา​การป้องกันประเทศ เป็นประธานในพิธี​ปิดการอบรม​หลักสูตร​ผู้นำ​พอเพียง​เพื่อ​ความมั่นคง​ (นพม.) รุ่นที่​ 17 

ในโอกาส​นี้​ได้รับ​เกียรติ​จาก​ พลเอก​ นรินทร์​ แทบ​ประสิทธิ์​ ประธาน​มูลนิธิ​คลังสมอง​ วปอ. เพื่อ​สังคม​, พลโท​ มนัส​ แถบ​ทอง​ ผู้​อำนวยการ​หลักสูตร​ฯ​, นายทหารชั้นผู้ใหญ่, ผู้แทนหน่วยทหาร​, กรรมการ​มูลนิธิ​ฯ, คณะอาจารย์​ และผู้เข้ารับการอบรม ร่วมพิธี

สำหรับ หลักสูตรผู้นำพอเพียงเพื่อความมั่นคง มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพ ความรู้ ความสามารถของทุกระดับ เริ่มตั้งแต่ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ให้สามารถรับมือได้กับทุกการเปลี่ยนแปลงในสังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน โดยหลักสูตรผู้นำพอเพียงเพื่อ​ความมั่นคง​ เป็นความร่วมมือระหว่างกองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกับ มูลนิธิคลังสมอง วปอ.​ เพื่อสังคม โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขององค์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นหลักในการจัดทำหลักสูตร เพื่อให้ผู้ที่เข้ารับการอบรม เข้าถึงหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และนำไปต่อยอด​ รวมถึงประยุกต์ใช้​ในการดำเนินชีวิตต่อไป

‘ผู้ปกครอง’ วอนหน่วยงาน ให้ความรู้ ‘ใบประกาศนียบัตร’ ที่มหาวิทยาลัยรับรอง ย้ำ!! มีเยอะไม่ได้ช่วยให้ดูดี บางกิจกรรม ‘เอกชน’ สร้างขึ้นมาเพื่อปั้น ‘Portfolio’

(12 ส.ค. 67) เมื่อเร็วๆนี้ ในรายการเจาะข่าวเด็ด ทางช่องโมโน 29 มีผู้ปกครองของน้องนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ การใช้ ‘ใบประกาศนียบัตร’ ในการยื่นเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา โดยได้ระบุว่า ...

เกี่ยวกับ ใบประกาศนียบัตร ที่ใช้ประกอบในการยื่นรอบ Portfolio ผู้ปกครองควรช่วยน้องๆในการเลือกสถาบันในการเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อรับใบประกาศนียบัตรกันด้วย การมีเยอะไม่ได้แปลว่าดูดี  ควรเลือกดูที่กิจกรรม และองค์กรที่ออกใบประกาศนียบัตรด้วย  admission officer เค้าดูออก

หลายมหาวิทยาลัย จะมีระบุไว้ในระเบียบการรับสมัครเลย ว่าไม่รับใบประกาศนียบัตรจากค่ายของบริษัทเอกชนที่รับปั้น Portfolio  ต่างๆ 

ตอนนี้ได้รับความรู้มาว่า ถ้าเกิดไม่ใช่ของหน่วยงานราชการจัด ใบประกาศนียบัตร มันจะใช้ไม่ได้ เพิ่งทราบก็เลยอยากจะฝากกระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัยใดๆ ให้ความรู้หน่อย ให้ความรู้เด็กๆ หน่อยให้ความรู้ผู้ปกครองหน่อยว่า ใบประกาศนียบัตร แบบไหนใช้ได้ ใบประกาศนียบัตรแบบไหนใช้ไม่ได้

ซึ่งเมื่อ ‘เอก นนทกฤช กลมกล่อม’ พิธีกรผู้ดำเนินรายการ ได้ซักถามต่อว่า ถ้างั้นเราจะรู้กันแค่ว่า ให้เด็กๆ เตรียม Portfolio นะ ม.4 ม.5 ม.6 เตรียม Portfolio แล้วพอเด็กๆเตรียม Portfolio กัน 3ปีนะ ประสบการณ์ Portfolio ดีมันไม่ต้องสอบถูกมั้ย?

ผู้ปกครองคนดังกล่าว ก็ได้ เล่าต่อว่า ยื่น Portfolio อย่างเดียวถ้า Portfolio ดี ทํากิจกรรมต่างๆ มาเยอะ มีประสบการณ์เยอะ ถ้า Portfolio ผ่านนี่คือจบเลย เข้ามหาวิทยาลัยได้เลย ไม่ต้องสอบ แล้วทุกคนก็หวังจากการเก็บสะสม Portfolio แต่ทีนี้เราไม่ทราบว่า Portfolio ที่ใช้ได้ เป็นแบบไหน Portfolio ที่ใช้ไม่ได้เป็นแบบไหน มันก็เลยนํามาสู่การไปซื้อคอร์ส นี่มีตั้ง 30 ใบประกาศนียบัตร 

ซึ่งคุณแม่ท่านนี้ ก็ได้อธิบายต่ออีกว่า ถ้าเป็นที่ได้มาจากหน่วยงาน ที่เป็นเอกชนอย่างนี้ เป็นติวเตอร์เป็นโรงเรียนเขาเปิด มันใช้ไม่ได้ บางมหาวิทยาลัย เขาก็ออกจดหมายมาเลยว่า ถ้าเกิดเป็นค่ายที่เอกชนจัดขึ้นอย่างนี้ 

เขาไม่รับรอง!!

‘แม่ลิซ่า’ เข้ารับพระราชทานรางวัล ‘แม่ดีเด่นแห่งชาติ’ ประจำปี 2567 ส่วน ‘ลิซ่า’ ได้รับคัดเลือก ลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่

(12 ส.ค. 67) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปทรงเปิดงานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2567 ในวันที่ 12 สิงหาคม 2567 เวลา 10.00 น.  ณ เจ้าพระยาแกรนด์ฮอลล์ ชั้น 3 อาคารบางกอก ดินเนอร์ เธียเตอร์ สยามอะเมซิ่งพาร์ค ถนนสวนสยาม เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร

ซึ่งปีนี้ ทางสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ได้เชิดชูเกียรติ คุณแม่จิตรทิพย์ บรู๊ชวายเลอร์ คุณแม่ของนักร้องสาว ลิซ่า Blackpink ให้ได้รับการคัดเลือกเป็น ‘แม่ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2567’ และ นางสาวลลิษา มโนบาล ที่ได้รับการคัดเลือกเป็น ‘ลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่’ ในโอกาสงานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2567 ของสภาสังคมสงเคราะห์ฯ 

‘รมว.ปุ้ย’ กำชับ ‘กรมโรงงานฯ-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง’ ต้องควบคุม’ไซยาไนด์’ เข้มงวด!! การใช้ผิดวัตถุประสงค์ นอกเหนือกิจการอุตสาหกรรม ต้องดำเนินคดี

(12 ส.ค. 67) จากกรณีการเสียชีวิตอย่างปริศนาของนางสาวชลดา หรือ น้องตอง เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมามีการสอบสวนถึงสาเหตุการเสียชีวิตว่า เกิดจากสารไซยาไนต์ที่ผู้ต้องหาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเป็นคนสั่งซื้อออนไลน์มาใช้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับผู้ต้องหาที่ก่อคดีสะเทือนขวัญเมื่อไม่นานมานี้ 

ก่อนหน้านี้ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำชับกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เข้มงวดกับสถานที่เก็บรักษาโพแทสเซียมไซยาไนด์ ซึ่งต้องได้รับการตรวจสอบทุกครั้งประกอบการพิจารณาขออนุญาต เพื่อให้เกิดความปลอดภัย เหมาะสม เป็นไปตามกฎหมายและหลักวิชาการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ยังมีการตรวจติดตามสถานที่เก็บรักษาวัตถุอันตรายเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อบุคคล ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม และกำหนดให้ผู้ที่มีโพแทสเซียมไซยาไนด์ในครอบครองตั้งแต่ 100 กิโลกรัมขึ้นไปในรอบ 6 เดือน มีหน้าที่ต้องรายงานข้อเท็จจริงของการนำไปใช้ ปริมาณคงเหลือ การจำหน่าย เพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบไปจนถึงผู้ใช้ได้

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ชี้แจงถึงการควบคุมสารโพแทสเซียมไซยาไนด์(potassium cyanide) โดยระบุว่า สารดังกล่าวมีลักษณะเป็นของแข็ง ก้อนผลึก หรือผงสีขาว เมื่อเป็นของเหลวจะใสไม่มีสี กลิ่นคล้ายแอลมอนต์ เมื่อเจอกับความร้อนจะทำให้เกิดก๊าซพิษ หากได้รับเข้าสู่ร่างกายจะรบกวนการทำงานของอวัยวะภายใน จนเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยมีการนำไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมชุบโลหะ และในห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ เช่น การนำไปทดสอบหาค่าความกระด้างของน้ำ เป็นต้น ทั้งนี้ โพแทสเซียมไซยาไนด์ไม่มีการผลิตในประเทศไทย โพแทสเซียมไซยาไนด์มีการควบคุมโดยหน่วยงานภาครัฐ 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) โดย อย. กำหนดการควบคุมผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านเรือน หรือทางสาธารณสุขที่มีเกลือของไซยาไนด์ที่ละลายน้ำได้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้ามาในประเทศ ส่วน กรอ. ควบคุมสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ที่ความเข้มข้นมากกว่าร้อยละ 1 โดยน้ำหนัก เป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 3 ภายใต้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่ง กรอ. มีการกำกับดูแลกรณีมีการนำเข้า และการครอบครองสารดังกล่าว ดังนี้

1. ผู้ประกอบการต้องขอขึ้นทะเบียนพร้อมระบุวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ และขออนุญาตก่อนนำเข้า โดยการพิจารณาอนุญาตเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่กำหนด และการนำไปใช้ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ปรากฏในใบสำคัญการขึ้นทะเบียน 

2. เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ในการนำเข้าต้องแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเข้า ก่อนนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ ออกจากด่านศุลกากร เช่น ปริมาณการนำเข้า ลักษณะภาชนะบรรจุ สถานที่เก็บรักษา และกำหนดวันที่พาหนะ จะมาถึงด่านศุลกากร เป็นต้น ตามแบบ วอ./อก.6 โดยปัจจุบันกำหนดให้แจ้งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 

3. กรณีมีโพแทสเซียมไซยาไนด์ในความครอบครอง ตั้งแต่ 100 กิโลกรัมขึ้นไป ในรอบ 6 เดือน ต้องแจ้งข้อเท็จจริง เช่น ปริมาณการใช้ การจำหน่าย ปริมาณคงเหลือ และข้อมูลผู้ซื้อ เป็นต้น ตามแบบ วอ./อก.7 ซึ่งการประกอบการในระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน ต้องแจ้งภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น และการประกอบการ ในระหว่างเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม ต้องแจ้งภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป โดยสามารถแจ้งที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม แจ้งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือแจ้งผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ 

4. กรณีครอบครองโพแทสเซียมไซยาไนด์เพื่อการใช้สอยส่วนบุคคล หรือใช้เพื่อการอุตสาหกรรม และกรณีครอบครองโพแทสเซียมไซยาไนด์เพื่อการค้าปลีก ที่เก็บโพแทสเซียมไซยาไนด์และวัตถุอันตรายทุกชนิดตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตรายรวมกันไม่เกิน 1,000 กิโลกรัม ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตครอบครอง

จากเหตุการณ์ที่มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ก่อให้เกิดผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งพบการจำหน่ายอย่างแพร่หลายในแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารดังกล่าวได้โดยง่าย เพื่อนำไปใช้ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ กระทรวงอุตสาหกรรม  โดย กรอ. ได้มีดำเนินการ ดังนี้

1.กำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อควบคุมมิให้มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยกำหนดให้ใบอนุญาตที่ออกใหม่มีอายุไม่เกิน 1 ปี และกำหนดให้เพิ่มเงื่อนไขในใบอนุญาตนำเข้าสารโพแทสเซียมไซยาไนด์(ทั้งกรณีใบอนุญาตฉบับเดิมที่ยังมีอายุอยู่และใบอนุญาตที่ออกใหม่) สำหรับกลุ่มผู้ได้รับใบอนุญาตนำเข้า สารโพแทสเซียมไซยาไนด์ที่แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามความเข้มข้นและวัตถุประสงค์การนำไปใช้ ได้แก่ กลุ่มผู้นำเข้าสำหรับกิจการโรงงาน กลุ่มผู้นำเข้าสำหรับห้องปฏิบัติการ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และกลุ่มผู้นำเข้าสำหรับกิจการชุบล้างโลหะขนาดเล็ก 

รายละเอียดดังตารางสรุปมาตรการเพื่อควบคุมมิให้มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ 

2. จัดทำระบบรายงานข้อมูลสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ เพื่อรองรับรายงานการเปลี่ยนแปลงปริมาณการครอบครองวัตถุอันตรายทันที และรายงานการเปลี่ยนแปลงปริมาณการครอบครองทุกปริมาณ ทุก 3 เดือน 

3. จัดทำหนังสือขอความร่วมมือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กำหนดมิให้มีการโฆษณาและจำหน่ายสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ และสารโซเดียมไซยาไนด์ ในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายสินค้าจำนวนมากด้วย 

4.จัดทำร่างประกาศกรมโรงานอุตสาหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการโฆษณาวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเห็นชอบ พ.ศ. .... โดยกำหนดห้ามมิให้ทำการโฆษณาวัตถุอันตราย โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์สื่อสังคมออนไลน์ หรือสื่อโฆษณาอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 

5. ส่งเจ้าหน้าที่ไปร้องทุกข์ เพื่อให้ดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 

ตามข้อมูลการรายงานการสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 จากรายงานดังกล่าว พบว่ามีผู้กระทำความผิดตามมาตรา 45 (4) อันมีโทษตามมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 31 ราย โดยมีผู้ร่วมกระทำความผิดประกอบด้วย ผู้จำหน่าย จำนวน 6 ราย และผู้นำเข้า จำนวน 1 ราย และเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 กรอ. ได้มีหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสอบถามความคืบหน้าในการร้องทุกข์กล่าวโทษ เพื่อดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535

ทั้งนี้ ภายหลังดำเนินการดังกล่าวข้างต้น ยังปรากฏข้อมูลการโฆษณาจำหน่ายสารประกอบไซยาไนด์ เช่นโกลด์โพแทสเซียมไซยาไนด์ ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายภายใต้กฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ สื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งวัตถุอันตรายจำพวกสารประกอบไซยาไนด์ทุกชนิดเป็นสารพิษที่มีความรุนแรงสูง ออกฤทธิ์ได้เร็วโดยหากได้รับในขนาดที่เพียงพอจะทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน ในลักษณะเดียวกับโพแทสเซียมไซยาไนด์ และโซเดียมไซยาไนด์

ดังนั้น เพื่อคุ้มครองความปลอดภัย ป้องกันประชาชนทั่วไปเข้าถึงวัตถุอันตรายดังกล่าว และมีการนำไปใช้ ผิดวัตถุประสงค์ กรอ. จึงได้มีการดำเนินการเพื่อควบคุมวัตถุอันตรายจำพวกสารประกอบไซยาไนด์ ดังนี้ 

1. จัดทำหนังสือถึงผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตนำเข้าวัตถุอันตรายจำพวกสารประกอบไซยาไนด์ และมีการนำเข้าสารดังกล่าวในปี พ.ศ. 2565 – 2566 จำนวน 37 ราย เพื่อควบคุมการจำหน่ายและการใช้สารประกอบไซยาไนด์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งหรือระบุในใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย 

2. จัดทำหนังสือขอความร่วมมือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กำหนดมิให้มีการโฆษณาและจำหน่ายวัตถุอันตรายจำพวกสารประกอบไซยาไนด์เพิ่มเติม จำนวน 13 รายการ เช่น โกลด์ โพแทสเซียมไซยาไนด์ ในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ 

3. จัดทำร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงการจัดชนิดวัตถุอันตรายในกลุ่มสารประกอบไซยาไนด์ จำนวน 6 รายการ จากเดิมที่มีการควบคุมเป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 1 ให้ยกระดับเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายและขออนุญาต ตามมาตรา 36 และมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551 ตามลำดับ รวมทั้งผู้นำเข้าหรือส่งออกต้องแจ้งข้อเท็จจริงก่อนนำหรือส่งวัตถุอันตรายออกจากด่านศุลกากร และผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองที่มีหรือเคยมีวัตถุอันตรายตามรายชื่อที่กำหนด ต้องแจ้งข้อเท็จจริงปีละ 2 ครั้ง ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยเรื่องการให้แจ้งข้อเท็จจริงของผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม

‘เศรษฐา’ โพสต์เฟซ ‘วันแม่ 2567’ ระบุ!! เป็นครั้งแรกที่ ‘ไม่มีแม่อยู่ด้วยในวันแม่’ ย้ำ!! ไม่เคยรู้สึกขาดอะไรในชีวิต เพราะแม่ ‘เป็นทั้งแม่-พ่อ’ ได้รับความอบอุ่นเต็มที่

(12 ส.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ‘เศรษฐา ทวีสิน – Srettha Thavisin’ เรื่อง ‘วันแม่ 2567’ ระบุว่า เป็นครั้งแรกที่จะเป็นวันแม่ที่ไม่มีแม่อยู่ด้วย 62 ปีที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน ตลอด 59 ปีที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แม่มีแต่ความมุ่งมั่นและทุ่มเทที่จะเลี้ยงลูกชายคนเดียวให้เติบโต

เป็นทั้งแม่และพ่อ โดยละทิ้ง ซึ่งชีวิตส่วนตัว ทำให้ตัวผมไม่เคยรู้สึกขาดอะไรในชีวิต ไม่เคยรู้สึกโกรธหรือน้อยใจแม่แม้แต่ครั้งเดียว จนผมผ่านทุกวันในชีวิตมาได้อย่างอบอุ่น

แม่สอนเสมอว่าถ้าเราทำงานให้หนัก มีวินัย เราก็จะไปถึงจุดที่เราอยากจะไป แม่ไม่ได้ดูแลแค่ผมคนเดียว ลูกหลานของน้าของป้า แม่ก็ให้ความรักและเอาใจใส่อย่างดี

ผมเชื่อว่าทุก ๆ ท่านก็รักคุณแม่ของแต่ละท่านไม่น้อยกว่าผม ในวันแม่ปีนี้และทุก ๆ วัน ผมขอให้ทุกคนช่วยกันดูแลเอาใจใส่ทะนุถนอมจิตใจคุณแม่ในทุก ๆ โอกาส

ถึงวันที่แม่จากไป เราจะได้มีความรู้สึกว่าเราได้ดูแลแม่อย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าไม่มีทางที่เราจะทดแทนบุญคุณที่แม่ทำให้กับเราได้หมดสิ้น…

สุขสันต์วันแม่ครับ…..

‘พรรคประชาชน’ ไร้แบนเนอร์ ‘ถวายพระพร’ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ตอกย้ำ!! คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ‘ล้มล้างการปกครอง-เซาะกร่อนบ่อนทำลาย’

(12 ส.ค. 67) เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2567 พรรคการเมืองหลักทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคชาติไทยพัฒนา รวมทั้งพรรคเล็กพรรคน้อย ต่างทำแบนเนอร์ถวายพระพร ผ่านเพจของพรรค อย่างพร้อมเพรียงกัน ในขณะที่พรรคประชาชน ไม่ปรากฏแบนเนอร์ถวายพระพรแต่อย่างใด

ทั้งนี้นับแต่มีการก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ มาถึงพรรคก้าวไกล ก็ไม่ปรากฏมีการทำแบนเนอร์ถวายพระพรในวันสำคัญของราชวงศ์แม้แต่ครั้งเดียว และไม่มีคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ถึงแนวคิดของพรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล รวมทั้งพรรคประชาชนว่า ไม่ต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ ตอกย้ำด้วยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยว่าการแก้ม.112 ของพรรคก้าวไกล เป็นการล้มล้างการปกครอง รวมถึงคดียุบพรรคก้าวไกล ล้วนแสดงให้เห็นถึงเป้าหมายของพรรคนี้ว่าไม่ต้องการการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องการตัดสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากระบอบการปกครอง

‘การรถไฟฯ’ ปิดปรับปรุง ทำความสะอาด ‘อุโมงค์ผาเสด็จ-อุโมงค์หินลับ’ ชั่วคราว เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นค้างสะสม เผย!! ทดสอบแล้ว ไม่มีฝุ่น แต่ยังคงมีกลิ่นควันไอเสีย

(12 ส.ค.67) เพจ ‘ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การขยายเวลาทดสอบ การเดินขบวนรถ ผ่านอุโมงค์ผาเสด็จและอุโมงค์หินลับ ซึ่งเลื่อนจาก 12 สิงหาคม เป็นเดือนกันยายน โดยได้ระบุว่า ...

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่การรถไฟฯ ได้ปิดปรับปรุงทำความสะอาดอุโมงค์ผาเสด็จและอุโมงค์หินลับ ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ เป็นการชั่วคราว เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นค้างสะสมภายในอุโมงค์ และเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้มีการทดสอบการเดินขบวนรถทดลองผ่านอุโมงค์ผาเสด็จและอุโมงค์หินลับ

ซึ่งจากการทดสอบด้วยเครื่องตรวจวัด พบว่า ไม่พบเศษฝุ่นที่มาจากการก่อสร้าง แต่ยังคงมีกลิ่นควันที่เกิดจากไอเสียของเครื่องยนต์ จึงยังไม่สามารถเปิดเดินขบวนรถภายในอุโมงค์ดังกล่าวได้ จึงมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาในการดำเนินการแก้ไขปัญหา 

โดยในเบื้องต้น คาดว่าจะสามารถดำเนินการปรับปรุง และเปิดให้บริการได้ในช่วงเดือนกันยายน 2567 ในส่วนขบวนรถโดยสารเส้นทางสายอุบลราชธานี ไป-กลับ จำนวน 14 ขบวน ให้ใช้เส้นทางเดิม คือ เส้นทางสถานีมาบกะเบา - ผาเสด็จ - หินลับ – มวกเหล็ก การรถไฟฯ ต้องขออภัยในความไม่สะดวก มา ณ โอกาสนี้ 

ท้ายนี้ การรถไฟฯ ได้เล็งเห็นถึงความปลอดภัยการอำนวยความสะดวก และการให้บริการผู้โดยสารเป็นสำคัญเพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์หมายเลขโทรศัพท์ 1690 หรือ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย

'วอร์เนอร์ฯ' ออกแถลง หลังเนื้อหาไม่เหมาะสมหลุดสื่อโซเชียลของบริษัทฯ ยัน!! ไม่มีนโยบายทำคอนเทนต์แบบนี้ พนักงานปฏิบัติการทำไปโดยพลการ

(12 ส.ค. 67) บริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จำกัด ออกแถลงการณ์ขออภัย กรณีที่มีการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม โดยระบุว่า ...

แถลงการณ์ขอโทษต่อการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมบนบัญชีสื่อโซเชียลอย่างเป็นทางการของบริษัทฯ

Warner Music Thailand apologizes for the recent social media post made from our official company account

บริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จํากัด มีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งจากการนําเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมบนบัญชีสื่อโซเชียลอย่างเป็นทางการของบริษัทฯ

ภาพที่ใช้ในการสื่อสารทางด้านการตลาดออนไลน์มีความไม่เหมาะสม ทั้งยังไม่สอดคล้องกับหลักการและระเบียบของบริษัทฯ เนื้อหาดังกล่าวนี้ได้ถูกผลิตและเผยแพร่ออกไปโดยพนักงานระดับปฏิบัติการโดยที่ไม่ผ่านการขออนุมัติจากระดับบริหารและศิลปิน ทันทีที่ผู้บริหารทราบถึงเนื้อหาดังกล่าว จึงได้ดําเนินการลบออกทันที

บริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จํากัด มีหลักการและระเบียบที่จะไม่นําเสนอ เนื้อหาและประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงการพาดพิงถึงเจ้าหน้าที่หรือตุลาการในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการพิจารณาบทลงโทษต่อพนักงานที่รับผิดชอบในการผลิตและเผยแพร่เนื้อหาดังกล่าว เนื่องจากเป็นการกระทําที่ละเมิดกฎและไม่เป็นไปตามมาตรฐานของบริษัทฯ อย่างชัดเจน

บริษัทฯ กราบขออภัยอย่างสุดซึ้งสําหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว และจะนําความผิดพลาดครั้งนี้เป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

บริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จํากัด

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ตลอดทั้งวันที่ผ่านมามีคนไทยที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวนมากเข้าไปแสดงความคิดเห็นผ่านโพสต์ต่างๆ ในเพจเฟซบุ๊ก Warner Music Thailand เรียกร้องให้บริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค ประเทศไทย รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่แอดมินเพจเลือกที่จะลบโพสต์ย้อนหลัง 2 วัน และจำกัดการแสดงความคิดเห็นบนโพสต์ต่างๆ แต่ไม่อาจต้านทานกระแสได้ ทำให้เวลาประมาณ 22.00 น. บริษัทฯ จึงออกแถลงการณ์ในที่สุด

‘สมเด็จพระสังฆราช’ มีพระดำรัสถวายพระพร ‘สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง’ ขอตั้งกัลยาณจิตถวายพระพรชัยมงคล ให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

(11 ส.ค. 67) เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระดำรัสถวายพระพรแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2567 ความว่า ...

ศุภมงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้เวียนมาบรรจบ อีกคำรบหนึ่ง อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ ขอตั้งกัลยาณจิตถวายพระพรชัยมงคล ให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงมุ่งมั่นบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรมาเนิ่นนานกว่า 7 ทศวรรษ ทรงถึงพร้อมด้วยพระราชจริยวัตรอันสอดคล้องต้องด้วยธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อ ‘ทาน’ ซึ่งหมายถึง การให้ การแบ่งปัน การเสียสละ และการเอื้อเฟื้อ อันเป็นคุณธรรมสำคัญแห่งพุทธาทิบัณฑิตทั้งหลายมานับแต่โบราณกาล แม้สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ ก็ทรงสั่งสมพระทานบารมีมาแล้วนับอเนกอนันต์ชาติ อันว่าการให้ตามหลักพระพุทธศาสนานั้น จำแนกได้เป็นหลายสถาน กล่าวคือ ‘อามิสทาน’ การให้วัตถุสิ่งของ ‘ธรรมทาน’ การสั่งสอนอบรมคุณธรรมเพื่อนำออกจากทุกข์ การให้กำลังใจ และการให้วิชาความรู้ ‘อภัยทาน’ การให้ชีวิต การช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากให้ทุเลาทุกข์ภัย การยกโทษให้ผู้คิดร้าย พูดร้าย หรือทำร้าย โดยไม่พยาบาทอาฆาตจองเวร ครั้นพิเคราะห์ให้ลึกซึ้งถึงพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจของสมเด็จบรมบพิตร ย่อมเห็นประจักษ์ได้ว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญทานทุกชนิดอย่างสม่ำเสมอ สมด้วยพระราชสมัญญา ‘แม่ของแผ่นดิน’ ผู้พร้อมเสียสละให้ทั้งอามิสทาน ธรรมทาน และอภัยทานแก่สรรพชีวิต ซึ่งทรงเพ่งพินิจว่าล้วนเป็น “ลูก” ของพระองค์ โดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง ทั้งนี้ ก็ด้วยอานุภาพแห่งพระมหากรุณาธิคุณ

เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ขอปวงประชานิกร จงสโมสรสมานฉันท์ พร้อมเพรียงกันบูชาพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการให้ปันแก่กันและกันอย่างจริงใจ เพื่อความผาสุกของลูกหลานไทยจักบังเกิดขึ้นได้ สมดังพระราชหฤทัยปรารถนา

ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และพระราชกุศลธรรมจริยา โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ให้ทรงบริบูรณ์ด้วยจตุรพิธพรชัย เสด็จสถิตเป็นกำลังพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นมิ่งขวัญแห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดกาลนานเทอญ

‘ลอรี่ พงศ์พล’ รองโฆษก รทสช. ร่วมเสวนา ‘นักการเมืองไทยรุ่นใหม่พบสถานทูตจีน’ ถกปัญหา!! แก้ทุนจีนเทา-ไทยขาดดุล สร้างความสัมพันธ์ที่ดี หาทางออกร่วมกัน

เมื่อเร็วๆ นี้ นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เข้าร่วมเสวนา ‘นักการเมืองไทยรุ่นใหม่พบสถานทูตจีน’ นำโดย นายอู๋ จื้อ อู่ อัครราชทูต พร้อมด้วยคณะทำงาน ณ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย 

นายพงศ์พล เปิดเผยว่า การเสวนาในครั้งนี้ ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และถกในประเด็นต่าง ๆ อย่างน่าสนใจ อาทิ ทุนจีนสีเทา, แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ตี SMEs ไทย, การขาดดุลไทยต้นปีที่สูงขึ้น15% รวมไปถึง ความเป็นไปได้ในความร่วมมือทางการท่องเที่ยว, กองทัพ และการเกษตร 

ตัวแทนจากสถานทูตจีน ได้รับฟังความคิดเห็นและรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งได้เร่งหาทางออกร่วมกัน ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของประเทศจีนที่มีต่อประเทศไทย  เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่แต่ละฝ่ายมีความเข้าใจหลายแง่มุม ซึ่งในวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย - จีน ในปี 2568 ที่กำลังจะมาถึง ควรสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน

"ขอขอบคุณสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ที่จัดเซสชันดีๆ แบบนี้ ให้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดหาทางออกที่ดีให้ ทั้ง 2 ประเทศ" นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top