Friday, 27 June 2025
NEWS FEED

ปทุมธานี ผู้ว่าฯ ปทุมธานี พบปะเยาวชน โครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 43 ให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และนำความรู้ที่ได้กลับไปพัฒนาบ้านเกิด

(10 ต.ค.67) เวลา 09.30 น. นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ต้อนรับกลุ่มเยาวชนในโครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 43 ที่มาพักอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในจังหวัดปทุมธานี พร้อมให้โอวาทให้เยาวชนทุกคนเก็บเกี่ยวประสบการณ์และสิ่งที่ดี นำไปพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดี นำความรู้ประสบการณ์ไปพัฒนาสังคมบ้านเกิดให้มีความเจริญก้าวหน้า โอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้กล่าวขอบคุณครอบครัวอุปถัมภ์ ทั้ง 19 ครอบครัวที่ดูแลเยาวชนเป็นอย่างดี และมอบของที่ระลึกให้แก่เยาวชนฯ โดยมี นางสาวกันตรัตน์ เริ่มสูงเนิน ปลัดจังหวัดปทุมธานี  หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมบัวหลวง ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี  

ทั้งนี้ โครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 43 ได้นำเยาวชน จำนวน 320 คน จาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และจังหวัดสงขลา (เฉพาะ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอนาทวี จะนะ เทพา และอำเภอสะบ้าย้อย) มาใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ที่นับถือศาสนาอิสลามในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง โดยมีเยาวชนมาพักอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในจังหวัดปทุมธานี ระหว่างวันที่ 2 – 15 ตุลาคม 2567 รวม 38 คนเป็นชาย 12 คน และหญิง 26 คน โดยพักอาศัยในพื้นที่อำเภอคลองหลวง จำนวน 8 ครอบครัว เยาวชนอิสลามเพศชาย จำนวน 8 คน เยาวชนอิสลามเพศหญิง จำนวน 6 คน และเยาวชนพุทธเพศหญิง จำนวน 2 คน รวม 16 คน อำเภอธัญบุรี จำนวน 4 ครอบครัว เยาวชนพุทธเพศหญิง จำนวน 8 คน รวม 8 คน  อำเภอหนองเสือ จำนวน 6 ครอบครัว เยาวชนอิสลามเพศชาย จำนวน 4 คน และเยาวชนอิสลามเพศหญิง จำนวน 8 คน รวม 12 คน และอำเภอลาดหลุมแก้ว จำนวน 1 ครอบครัว เยาวชนอิสลามเพศหญิง จำนวน 2 คน และมีกิจกรรมนำคณะเยาวชนไปทัศนศึกษา ณ แหล่งเรียนรู้และสถานที่สำคัญต่างๆ ในพื้นจังหวัดปทุมธานี  พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา และกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ได้ศึกษาเรียนรู้ศิลปะวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และเข้าค่ายเปิดโลกการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ฯ ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ คลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

นันยาง มอบรายได้รวมกว่า 3.2 แสนบาท สมทบทุนโครงการ ‘หมูเด้งช่วยผู้ประสบอุทกภัย’

(10 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ นันยาง Nanyang ได้เผยแพร่โพสต์ความว่า 

ขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมกับรองเท้าแตะหูคีบธรรมดาที่เกิดจากความน่ารักและใจดีของเพื่อนคู่ซี้ 'ช้างดาว' กับฮิปโปน้อย 'หมูเด้ง' สองเพื่อนซี้ที่ใจดีและชอบช่วยเหลือสัตว์อื่น ที่ตั้งใจทำรองเท้าแตะที่เด้งได้เหมือน 'หมูเด้ง' ที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสความสนุก ใครใส่ก็เด้งได้เหมือนหมูเด้ง!

จากรองเท้าธรรมดา ๆ จึงกลายเป็นของที่ใคร ๆ ก็อยากมี เพราะใส่แล้วรู้สึกเหมือนได้เล่นสนุกกับช้างดาวและหมูเด้งทุกวัน! นี่คือที่มาของ 'รองเท้าแตะช้างดาว หมูเด้ง Edition' รองเท้าธรรมดาใส่แล้วเด้งได้ เกิดจากความน่ารักและใจดีของเพื่อนคู่ซี้ ที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสความสนุก ใครใส่ก็เด้งได้เหมือนหมูเด้ง สนุกสุด ๆ ทั่วทั้งป่า!

สุดท้าย ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับเจ้าของช้างดาวหมูเด้งทุกท่านที่จะได้สนับสนุน 'โครงการหมูเด้ง ชวนช่วยผู้ประสบอุทกภัยและดูแลสวัสดิภาพเพื่อนสัตว์' ของ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

โดยทางเฟซบุ๊กแฟนเพจได้รายงานอีกว่ารองเท้าคอลเลกชัน ‘ช้างดาว หมูเด้ง’ สามารถทำยอดขายได้รวม16,372 คู่

ต่อมาทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง’ ได้รายงานว่า 

ผู้บริหารกลุ่มบริษัทนันยางได้มอบเงิน 327,440 บาท จาก การจำหน่ายรองเท้านันยาง รุ่นพิเศษ หมูเด้ง จากยอดสั่งจอง 16,372 คู่ เพื่อร่วมโครงการหมูเด้งชวนช่วยผู้ประสบอุทกภัยและช่วยเหลือสวัสดิภาพสัตว์ป่า องค์การสวนสัตว์

'ดร.ธรณ์' ชี้ คนอเมริกานับล้านเตรียมอพยพหนี ก่อนพายุเฮอริเคน 'มินตัน' ถล่มฝั่งฟลอริดาพรุ่งนี้

(10 ต.ค.67) ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า คนอเมริกานับล้านอพยพหนีมหาพายุแห่งศตวรรษ เฮอริเคน Milton ที่จะเข้าฝั่งฟลอริดาพรุ่งนี้ ด้วยความเร็วลมกว่า 250 กม./ชม.

ขนาดพายุใหญ่มากครับ คลุมทั้งรัฐฟลอริดาและพื้นที่ใกล้เคียง คาดว่าจะมีคนอยู่ในแนวพายุโดยตรง 5.5 ล้านคน นี่จึงเป็นการอพยพครั้งประวัติศาสตร์ของฟลอริดา พื้นที่โดนแรงคือ tampa และชายฝั่งแถบนั้นทั้งหมด

Get Out! เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบประกาศดังลั่น นี่คือนาทีท้าย ๆ ที่ทุกคนต้องหนีตาย

ผู้คนให้ความร่วมมือ ถนนเต็มไปด้วยรถหนีออกจากพื้นที่เสี่ยง เพราะ Helene ทำให้คนอเมริการู้แล้วว่า พายุโลกร้อนไม่ใช่อย่างที่คิด มันยิ่งกว่านั้นมากๆๆ

คาดว่าจะเกิด storm surge รุนแรง มีคลื่นสูง 5 เมตรตามชายฝั่ง พื้นที่ลุ่มตามชายทะเลจะได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลทะลักเข้ามา บวกกับฝนที่ตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันอย่างรุนแรง

เฮอริเคนยังอาจทำให้เกิดอากาศปั่นป่วนในแผ่นดิน เกิดทอร์นาโดขึ้นซ้ำเติม ตอนนี้กำลังเฝ้าระวังกันอยู่ โลกร้อนหนัก สภาพภูมิอากาศสุดขีดขั้ว แม้แต่ประเทศมหาอำนาจก็ยังทำอะไรไม่ได้ นอกจากหนีให้เร็วที่สุด

หวังว่าผลของพายุจะไม่รุนแรง โดยเฉพาะบริเวณที่เพิ่งโดน Helene เมื่อปลายเดือนก่อนครับ

'ไทย' ย้ำที่ประชุมอาเซียนพร้อมเป็นเจ้าภาพ ตั้งวงหารืออาเซียนแก้ปัญหาเมียนมากลาง ธ.ค.นี้ มั่นใจจะเป็นการพูดคุยแบบเปิดอกย้ำฉันทามติ 5 ข้อ - สะท้อนทูตไทยเชิงรุก

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว ถึงการแก้ไขปัฐหาในเมียนมาว่า ตนได้เสนอในที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่ สปป.ลาว ว่า ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในเรื่องเมียนมา (Extended Informal Consultation) ในช่วงกลางเดือนธันวาคมปีนี้ ตามที่ได้ประสานงานกับ สปป.ลาว ในฐานะประธานอาเซียน 

ซึ่งในวันนี้ (9 ต.ค.) ที่ประชุมสุดยอดอาเซียนนั้น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ำในเรื่องดังกล่าว และได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งสปป. ลาว ในฐานะประธานอาเซียนปีนี้ และประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ว่า เป็นข้อริเริ่มที่ดี โดยไทยจะประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ สปป.ลาว เกี่ยวกับรายละเอียดการจัดการประชุมดังกล่าวต่อไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มั่นใจว่า การหารืออย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้ จะเป็นโอกาสดีที่จะพูดคุยกันอย่างเปิดอก และร่วมกันหาวิธีการสนับสนุนการดำเนินการของอาเซียนตามแนวทางฉันทามติ 5 ข้อ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยไทยเชื่อมั่นว่า ทุกประเทศสมาชิกอาเซียน มีความปรารถนาดีต่อเมียนมา และต้องการเห็นการแก้ปัญหาโดยสันติผ่านการพูดคุยกัน เพื่อให้ความสงบสุขกลับคืนสู่เมียนมาโดยเร็ว 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังย้ำว่า การเป็นเจ้าภาพการหารืออย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการทางการทูตเชิงรุกและ สร้างสรรค์ของไทย ที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในเมียนมา ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญของไทย เพราะที่สุดสันติภาพ จะนำมาซึ่งความมั่นคง และความมั่งคั่งของพี่น้องประชาชนทุกประเทศในภูมิภาค

เปิดผลสำรวจสุขภาพจิตคนไทย จาก DXT360 อึ้ง!! ร้อยละ 30 เครียดสะสมจากปัญหาการทำงาน

(10 ต.ค. 67) ในยุคปัจจุบันสังคมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันอย่างรวดเร็ว สุขภาพจิตได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกคนควรตระหนักและให้ความสนใจมากขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของอารมณ์และความคิดส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมโดยรอบ การทำความเข้าใจถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตและความสุขของทุกคนในสังคม

ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตระบุว่า ในปี 2566 มีผู้ป่วยจิตเวชมารับบริการถึง 2.9 ล้านคนในประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของปัญหาสุขภาพจิต สาเหตุหนึ่งมาจากการที่สังคมไทยเริ่มเปิดใจยอมรับและเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตมากขึ้น นอกจากนี้ สภาพสังคมปัจจุบันยังมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต เช่น ความไม่สมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-life balance) ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ รวมถึงความหลากหลายของช่วงวัย (Generation gap) ในที่ทำงานซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความเครียด

บทความนี้ใช้เครื่องมือ DXT360 ฟังเสียงผู้คนบนสังคมออนไลน์ (Social Listening) ของ บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ผู้ให้บริการ Media Intelligence ในการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากโซเชียลมีเดียระหว่าง 1 กันยายน - 4 ตุลาคม 2567 เพื่อทำความเข้าใจมุมมองและประสบการณ์ด้านสุขภาพจิตของผู้คนในสังคม

>>>การใช้โซเชียลมีเดียของคนไทยกับปัญหาสุขภาพจิต

จากการรวบรวมความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียพบว่าผู้คนส่วนใหญ่ 61% ใช้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่เพื่อการโพสต์ระบายความรู้สึกและแสดงตัวตน รองลงมา 22% เป็นการเล่า แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตของตนเองและผู้อื่น ซึ่งพบว่าผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า มักได้รับผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิตด้วย 

ถัดมาอีก 11% พบว่า เป็นการให้ข้อมูลและคำแนะนำ ซึ่งเป็นการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์และวิธีการดูแลรักษาสุขภาพจิตที่ดี และ 6% เป็นการให้กำลังใจ โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจแก่ผู้ที่กำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิต 

>>>ส่อง Insight เรื่องไหนกระทบใจชาวโซเชียลจนต้องระบาย

โลกออนไลน์กลายเป็นพื้นที่สำหรับการระบายความรู้สึกและแชร์ประสบการณ์ เผยให้เห็นถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้คน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน

>>>ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต

ปัจจัยภายนอก คือ สิ่งแวดล้อมภายนอกซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจโดยที่บุคคลไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง พบว่า

-ปัญหาจากการทำงาน 30%: เนื่องด้วยการทำงานร่วมกับผู้คนที่มีความหลากหลาย และ การขาดสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน (Work life Balance) ซึ่งในขณะเดียวกันเราพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต โดยมีผู้ใช้โซเชียลจำนวนหนึ่งเลือกลาออกจากงานที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตมากกว่าการทนอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับแคมเปญธีม 'Mental health at Work' จาก World Health Organization (WHO) เนื่องในวันสุขภาพจิตโลกปี 2024 ที่รณรงค์ให้ผู้คนทั่วโลกตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพจิตและการทำงาน เนื่องจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยส่งผลดีต่อสุขภาพจิต และในทางกลับกันสภาพแวดล้อมการทำงานที่ย่ำแย่ก็ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิตเช่นกัน

-การรับรู้ข้อมูลมากเกินไป 18%: การรับรู้ข่าวสารเรื่องของคนอื่นมากเกินไป (Over information) โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับไอดอล ศิลปิน รวมถึงข่าวสารเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ข่าวการเกิดภัยพิบัติ หรือ ข่าวอุบัติเหตุ 
-การเรียน/การศึกษา 14%: พบว่าผู้ที่อยู่ในวัยเรียนส่วนมากต่างละเลยสุขภาพในช่วงการสอบเพื่อผลคะแนนที่ดี
-ปัญหาขัดแย้งในครอบครัว 11%: ปัจจัยด้านครอบครัวส่วนใหญ่เกิดจากความเห็นต่างกันตามช่วงวัย (Generation Gap)

-ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 10%: ชาวโซเชียลจำนวนหนึ่งระบุว่า ความเกรงใจและการละเลยความรู้สึก นำไปสู่ความขัดแย้งและความสัมพันธ์เชิงลบ เช่น คู่รัก หรือเพื่อน เป็นเหตุทำให้เกิดความขัดแย้ง และความ Toxic สะสม
-ปัญหาการดำเนินชีวิต 9%: โดยเฉพาะเรื่องการจราจรติดขัดและความไม่สะดวกในการสัญจรด้วยรถสาธารณะ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่มีประสบการณ์เชิงลบจากการเผชิญกับพนักงานขายแบบ Hard Sell  เช่น การขายประกัน หรือการขายคอร์สเสริมความงาม ซึ่งสร้างความเครียดและความอึดอัดให้กับผู้บริโภคจนอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่สะสมได้

-ปัญหาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจ 7%: เช่น ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น
-การตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ 1%: เช่นโดนมิจฉาชีพแอบอ้างจนก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน

>>>ปัจจัยภายในที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต

ปัจจัยภายใน มาจากพื้นฐานสภาพจิตใจ ร่างกาย ความรู้สึกนึกคิดของตัวบุคคลเอง ส่งผลต่อสุขภาพจิตของบุคคล สรุปได้ ดังนี้

-ปัญหาด้านสุขภาพกาย 42%: สภาพร่างกายเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อสภาวะจิตใจ
-การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-Esteem) 28%: ความรู้สึกเกี่ยวกับตนเองมีผลต่อสุขภาพจิต 
-ความคาดหวังในตนเอง 23%: เช่น ความคาดหวังคะแนนการสอบ หรือต้องการความสมบูรณ์แบบในการทำงาน  
-ประสบการณ์และภูมิหลัง 7%: ภูมิหลังส่วนตัวและประสบการณ์ฝังใจในวัยเด็กส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพจิต

>>>พบจิตแพทย์เป็นเรื่องปกติ  

จากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดีย พบวิธีการฟื้นฟูสุขภาพจิตที่ผู้คนบนโซเชียลนิยมใช้ ดังนี้ 

1.การดูแลสุขภาพร่างกายและใส่ใจกับสุขภาพจิต (43%) โดยมีทั้งการออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่ชอบ รวมถึงยังพบว่าผู้คนส่วนใหญ่เปิดใจรับการปรึกษากับจิตแพทย์และรับการรักษาโดยใช้ยา
2.การเลือกรับสื่อบันเทิง (22%) ทั้งการดูหนัง ซีรีส์ รวมไปถึงการอ่านนิยายวายที่เริ่มมีบทบาทเข้ามาช่วยให้ผู้อ่านมีความบันเทิง ฟื้นฟูสุขภาพจิตได้
3.การทำ Social Detox (14%) เพื่องดหรือลดปริมาณการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
4.การระบายความรู้สึก (9%) การพูดคุย ถ่ายทอดเรื่องราวออกมา ไม่ว่าจะเป็นการเขียนใส่กระดาษ การพูดคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว 
5.การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม (8%) เช่น การย้ายที่อยู่โดยออกมาอยู่คนเดียว การย้ายที่ทำงาน การเดินทาง การท่องเที่ยว เป็นต้น
6.Pet Therapy (4%) การใช้สัตว์เลี้ยงมาช่วยฮีลใจ หรือฟื้นฟูจิตใจ

จะเห็นได้ว่าในสังคมปัจจุบัน ผู้คนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตในรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง การเลือกปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตบำบัด และนักจิตวิทยา ซึ่งส่งผลให้เกิดการเติบโตของธุรกิจในด้านการดูแลสุขภาพจิต ทั้งโรงพยาบาล คลินิกจิตเวช และศูนย์เวลเนสต่าง ๆ นอกจากนี้ ความเข้าใจและการยอมรับเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้นยังช่วยลดอคติทางสังคม ทำให้ผู้คนรู้สึกมีความปลอดภัยในการเข้าถึงการรักษาและการสนับสนุนทางจิตใจ การลงทุนในบริการเหล่านี้จึงไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คน แต่ยังเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญในยุคที่ผู้คนมุ่งมั่นต่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น

ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาวิเคราะห์หา Insight รวบรวมข้อมูลจาก DXT360 (Social Listening and Media Monitoring Platform) ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด (dataxet:infoquest) โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่  1 กันยายน - 4 ตุลาคม 2567

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการ กทม. ระดับ ผอ.สำนัก จับตาตั้ง ‘เจษฎา จันทรประภา’ เป็นแม่ทัพรับน้ำท่วม

(10 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานการเจ้าหน้าที่ กรุงเทพมหานคร ได้เผยแพร่ ‘ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ’ ความว่า

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ สังกัดกรุงเทพมหานคร ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 7 ราย ดังนี้

1.นายอาฤทธิ์ ศรีทอง รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร

2.นางสาวศุภร คุ้มวงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร

3.นายมนูศักดิ์ บินยะฟัล รองผู้อำนวยการสำนักการโยธา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร

4.นางสาวพิศมัย เรืองศิลป์ รองผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา

5.นายเจษฎา จันทรประภา รองผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ

6.นายสิทธิพร สมคิดสรรพ์ รองผู้อำนวยการสำนักการจราจราจรและขนส่ง ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง

7.นายวิฑูรย์ อภิสิทธิ์ภูวกุล รองผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักยุทยุทธศาสตร์และประเมินผล

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2567 เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

‘ผบ.ทร.’ มอบนโยบายกำลังพลกองทัพเรือ เน้นหนัก ‘พิทักษ์สถาบันฯ - ป้องกันประเทศ’

(10 ต.ค.67) 'ผบ.ทร.' มอบนโยบาย 5 ข้อกำลังพล เน้นย้ำพิทักษ์สถาบันฯ - ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ทางทะเล ระลึกถึง 'อำนาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ'

พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานแก่กำลังพลกองทัพเรือ ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมี หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ เข้ารับฟัง และมีการถ่ายทอดสัญญาณ ไปยังหน่วยต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บังคับหน่วยตั้งแต่ นายทหารชั้นนายพลเรือ หน่วยกำลัง ผู้บังคับการเรือ ผู้บังคับกองพัน ผู้อำนวยการกอง รวมถึงผู้ช่วยทูตทหารเรือไทยในต่างประเทศ ได้รับฟังการแถลงนโยบายในครั้งนี้

ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า นโยบายการดำเนินงานในปีนี้ ยังคงเป็นไปตามที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ ที่ครอบคลุมภารกิจของกองทัพเรือ 5 ด้าน ได้แก่ การพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ การเตรียมกำลังและป้องกันราชอาณาจักร การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล การสนับสนุนการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ และภารกิจด้านการสนับสนุนการพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งยังได้เน้นย้ำให้กำลังพลทุกนาย พึงระลึกต่อ “อำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบ” ของแต่ละนายที่พึงมี และรักษาอย่างเคร่งครัด

ในด้านของการพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งในปีนี้ กองทัพเรือได้มีโอกาสถวายงาน คือ พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค การสวนสนามและสาบานตนของทหารรักษาพระองค์ 

การให้ความสำคัญในการดำเนินโครงการศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ โคก หนอง นา โมเดล เพื่อสืบสานในพระราชปณิธานภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวทางที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาพระราชทานไว้ให้เกิดเป็นรูปธรรม 

รวมถึงการดำเนินโครงการจิตอาสา เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติในการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ให้กับส่วนรวมและประชาชนในพื้นที่บริเวณที่ตั้งหน่วยและพื้นที่รับผิดชอบ ตลอดจนสนองโครงการในพระราชดำริ อย่างเต็มกำลังความสามารถ

ในด้านการเตรียมกำลังป้องกันราชอาณาจักร รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลและสนับสนุนการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ อาทิ การเตรียมความพร้อมของกองทัพเรือด้านการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย การขจัดคราบมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ รวมถึงหลักปฏิบัติการร่วมและบริภัณฑ์ รวมทั้งการผลิตผู้เชี่ยวชาญระหว่างกองทัพเรือและศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ได้ตามมาตรฐานสากล

ในด้านการสนับสนุนการพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชน การสนับสนุนโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) การส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ แนวทางการนำนโยบาย offset policy มาใช้ รวมถึงการทบทวนแผนการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติเป็นประจำ โดยมุ่งเน้นการเตรียมการล่วงหน้าทางด้านกำลังพลยุทโธปกรณ์ รวมถึงแนวทางการปฏิบัติและงบประมาณให้พร้อมแบบ package เพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว(soft power)ในพื้นที่ของกองทัพเรือ ให้มีความสะอาดเรียบร้อยสวยงามตามมาตรฐานที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกำหนดเพื่อรองรับนโยบายการท่องเที่ยวของรัฐบาล

ด้านบริหารจัดการ ให้ศึกษาแนวทางการใช้ประโยชน์จากดาวเทียมไทยคมของกระทรวงกลาโหม และ UAV เพื่อให้การติดต่อสื่อสารกับกำลังทางเรือในทะเลระยะไกลและการติดต่อระหว่างกำลังพลของเหล่าทัพผ่านระบบสัญญาณดาวเทียม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ network centric warfare ในโครงการจัดตั้งสถานีตรวจการทางทะเล

ในส่วนของการดูแลทหารกองประจำการ นักเรียนทหาร ให้มีสิทธิเท่าเทียม ห้ามไม่ให้มีการลงโทษเกินกว่าเหตุ โดยผู้บังคับบัญชาในทุกระดับ กำกับดูแลครูฝึกและเน้นย้ำให้เข้าใจถึงหน้าที่และบทบาท ความรับผิดชอบของตนเอง อีกทั้งให้สอดส่องดูแลกำลังพลในทุกระดับไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด พร้อมเร่งดำเนินการและหามาตรการในการป้องกันปราบปรามอย่างเด็ดขาด

การดูแลสวัสดิการให้แก่กำลังพล ตั้งแต่สิทธิสวัสดิการของกองประจำการ โดยเน้นการเบิกเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง ตลอดจนการจัดเลี้ยงให้ถูกสุขลักษณะ การดูแลสุขภาพกำลังพลในทุกระดับโดยปรับรูปแบบเป็นการตรวจสุขภาพเชิงรุก การให้คำปรึกษาทางการแพทย์ผ่านระบบออนไลน์ การส่งเสริมให้กำลังพลมีที่พักอาศัยเป็นของตนเอง สานต่อโครงการอบรมดนตรี กีฬา ภาษา ให้แก่บุตรหลานราชการ และซ่อมแซมปรับปรุงที่พักอาศัยส่วนกลาง

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายหลักกองทัพเรือ 9 ด้าน ซึ่งกรมในฝ่ายอำนวยการและหน่วย รับผิดชอบหลักได้จัดทำขึ้น โดยมีการดำเนินการที่สำคัญจากยุทธศาสตร์กองทัพเรือ แผนแม่บทพัฒนากองทัพเรือ นโยบายกองทัพเรือ ระยะ 5 ปี ซึ่งจะมีรายละเอียดในเอกสารนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือที่จะแจกจ่ายให้หน่วยต่าง ๆ ต่อไป

ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบแนวทางการปฏิบัติงานในปีนี้ ไว้ว่า “เทิดทูนสถาบัน ป้องกันรัฐ พัฒนาชาติ ราษฎร์ศรัทธา: Monarchy Country Government People” รวมทั้งกำหนดให้ปีนี้ เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ หรือ “NAVY-SAFETY 2025” ในทุก ๆ ด้าน

“สาขาวิชาทางด้าน สังคมศาสตร์ หรือ ศิลปศาสตร์ จบออกมาแล้ว หางานได้ยาก ควรมีการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล และทักษะด้านอื่น ๆ”

นายศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ในปัจจุบันมีบัณฑิตจบใหม่ แต่ไม่สามารถหางานทำได้จำนวนมาก สาเหตุหลักมาจากความต้องการของตลาดแรงงานมีความเปลี่ยนแปลง อว.เห็นถึงปัญหาดังกล่าว และวางแนวทางแก้ไข โดยปรับเปลี่ยนหลักสูตรให้เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริง หรือ Experiential Learning เช่น การส่งไปฝึกงานกับภาคเอกชนในช่วงปิดภาคเรียนเป็นระยะเวลา 4 เดือน ซึ่งหลักสูตรแบบนี้จะทำให้นักศึกษาได้รับประสบการณ์ รวมถึงยังได้รับจรณทักษะ หรือ ซอฟต์สกิล ในเรื่องของการพูดคุยสื่อสารในที่ทำงาน ความเป็นผู้นำ การคิดวิเคราะห์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่อาจหาได้จากการเรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว

“ตอนนี้อว.การพูดคุยกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆให้มีการปรับหลักสูตรสู่แนวทาง Experiential Learning ยิ่งขึ้น รวมถึง ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ใช้บัณฑิตโดยตรง ออกแบบหลักสูตรใหม่ ๆ ให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในสาขาวิชาชีพ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ และสาขาด้านวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ”นาย ศุภชัย กล่าว

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการพัฒนาทักษะของบัณฑิตให้มีความหลากหลายโดยเฉพาะทักษะทางด้านดิจิทัลที่มีความสำคัญในยุคปัจจุบัน เช่น การเขียนโค้ด การคิดวิเคราะห์ การใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ เป็นต้น ซึ่งทางอว. ได้ผลักดันให้บรรจุทักษะเหล่านี้เข้าไปในวิชาศึกษาทักษะทั่วไป ให้นักศึกษาได้เลือกเรียนมากยิ่งขึ้น โดยสามารถไปนำวิชาที่ภาคเอกชนมีการเปิดสอนอยู่แล้ว เช่น คอร์สเรียนของ Google คอร์สเรียนของ Microsoft เป็นต้น มาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญที่หลากหลาย โดยไม่จำเป็นต้องเรียนกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า ขณะที่สาขาวิชาที่มีนักศึกษาสนใจเรียนมาก เกินความต้องการของตลาด อย่างเช่น สาขาวิชาทางด้าน สังคมศาสตร์ หรือ ศิลปศาสตร์ ที่จบออกมาแล้ว หางานได้ยาก ควรมีการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล และทักษะด้านอื่น ๆ ที่จำเป็นให้กับนักศึกษากลุ่มนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการทำงานและปรับทักษะที่ได้รับให้เข้ากับสายงานอื่นๆได้ โดยหลักการอย่างหนึ่งที่ อว.พยายามทำคือ การพัฒนาทักษะเพิ่มเติมให้ผู้เรียน เพื่อให้สามารถนำไปปรับใช้กับการทำงานได้หลากหลาย นอกจากนี้ยังพยายามผลักดันให้มีการเปิดหลักสูตรใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์กับตลาดแรงงานและการพัฒนาของประเทศ เช่น หลักสูตรวิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หลักสูตรความปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือ Cybersecurity เป็นต้น

สตูล ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการตำรวจน้ำร่วมกับตำรวจน้ำสตูล จับกุมหนุ่มเสพยาหนีหมายศาล

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบช.ก., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป.รรท.ผบก.รน., พ.ต.อ.ธรากร เลิศพรเจริญ รอง ผบก.รน., พ.ต.อ.กมลศักดิ์ วันประดุง ผกก.๙ บก.รน.,พ.ต.ท.บรรเจิด มานะเวช รอง ผกก.๙ บก.รน.,พ.ต.ท.ศุภศิษฏ์ อึ้งสุวรรณพานิช รอง ผกก.๙ บก.รน.,พ.ต.ท.ศุภกิจตา สนุ่นดี สว.ส.รน.๓ กก.๙ บก.รน. สั่งการให้ จนท.ตร.ส.รน.๓ กก.๙ บก.รน. และข้าราชการตำรวจในสังกัดท้ายบันทึกจับกุม

ได้ร่วมจับกุม นายยูโสบ (หรือ โสบ) อยู่บ้านเลขที่ 48 ม.7 ต.เขาขาว อ.ละงู จ.สตูลโดยต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน 'มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อเสพโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย' ตามหมายจับของศาลจังหวัดสตูล จ.319/2567 ลงวันที่ 10 กันยายน 2567 สถานที่จับกุม บ้านไม่มีเลขที่ ม.4 ต.กำแพง อ.ละงู จ.สตูล

พฤติการณ์ ในวันที่ 12 มีนาคม 2563 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ. เขาขาว ได้ทำการตรวจค้นบ้านเลขที่ 48 หมู่ 7 ตำบลเขาขาวอำเภอละงูจังหวัดสตูล ซึ่งเป็นบ้านของนายยูโสบ ฯ  พบว่า นายยูโสบ ฯ กำลังเสพ ยาเสพติดประเภท1(เมทแอมเฟตามีน) จึงได้ทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ. เขาขาวและ ได้แจ้งข้อกล่าวหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท1 (เมนแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อเสพโดยได้รับอนุญาตและเสพสารเสพติดให้โทษประเภท 1(เมนแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย” ดำเนินการส่งศาลตามกฎหมาย เป็นเหตุให้นายยูโสบฯ ถูกจับกุม แต่ทว่าภายหลังจากการส่งตัวไปบำบัด นายยูโสบ ฯ ไม่มารายงานตัว ตามกำหนดนัดหมายของศาล จึงดำเนินการออกหมายจับในเวลาต่อมา

จากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมได้ออกสืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดสตูล จ.319/2567 ลงวันที่ 10 กันยายน 2567 พบว่า นายยูโสบ ฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าวได้พักอาศัยใน บ้านไม่มีเลขที่ ม.4 ต.กำแพง อ.ละงู จ.สตูล เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมจึงได้เดินทางไปตรวจสอบ และเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ในบริเวณดังกล่าว จึงได้ดำเนินการสอบถามพลเมืองดีในพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียง และได้ข้อมูลว่า นายยูโสบ ฯ ย้ายมาพักอยู่ที่นี่จริง จึงได้มาเฝ้าสังเกตการณ์บริเวณบ้านพัก ฯ (สถานที่จับกุม) ดังกล่าว จนกระทั่ง ได้พบชายซึ่งมีตำหนิรูปพรรณตรงกับผู้ถูกจับกำลังเดินออกมาจากบริเวณบ้านพัก ฯ (สถานที่จับกุม) จึงได้แสดงตนเป็นตำรวจพร้อมบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจ และได้เรียกชื่อผู้ถูกจับ พร้อมแสดงหมายจับให้ผู้ถูกจับดู และผู้ถูกจับตรวจดูแล้วว่าเป็นบุคคลตามหมายจับนี้จริงและไม่เคยถูกจับกุมตามหมายนี้มาก่อน จึงแจ้งให้ทราบว่าจะต้องถูกจับกุมในข้อหาดังกล่าวข้างต้นพร้อมแจ้งสิทธิตามกฎหมายให้ทราบ

กมธ.ทหารฯ วุฒิสภา เตรียมลงพื้นที่หาข้อเท็จจริงกรณี 'พลทหาร ศิริวัฒน์ ใจดี' เสียชีวิตระหว่างการฝึก เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

เมื่อวานนี้ (9 ต.ค.67) เวลา 10.30 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา (สส.) คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา นำโดย นางสาววิธาวีร์ ประทุมสวัสดิ์ โฆษกคณะกรรมาธิการฯ แถลงข่าวเรื่อง กรณีเหตุการณ์เสียชีวิตระหว่างการฝึกของพลทหารประจำการในเหล่าทัพว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ได้ปรึกษาหารือเร่งด่วนกรณีพลทหาร ศิริวัฒน์ ใจดี ซึ่งอยู่ระหว่างการฝึกเสียชีวิต โดยมีความเห็นเดียวกันควรเร่งดำเนินการสร้างความชัดเจนและเยียวยาบรรเทาอย่างเหมาะสม รวมถึงต้องมีการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบกำลังพลทางทหารให้สอดคล้องกับภารกิจความมั่นคงในปัจจุบัน ซึ่ง พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้มีความห่วงใยและแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในการฝึกเหล่าทัพ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วจำเป็นต้องเร่งดูแลและสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนอย่างเร่งด่วน

ดังนั้น ประธานคณะกรรมาธิการฯ จึงได้มอบหมายให้นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล เลขานุการคณะกรรมาธิการ ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อให้กำลังใจและเยี่ยมเยียนครอบครัวพลทหารที่เสียชีวิต พร้อมรับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงเบื้องต้นรายงานต่อคณะกรรมาธิการเพื่อจะได้ส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้เกิดความเป็นธรรม อีกทั้ง มอบหมายให้ว่าที่พันตรี กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สาม และนาวาตรี วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ลงพื้นที่รับฟังข้อมูลเบื้องต้นจากหน่วยงานต่าง ๆ ณ กรมสารวัตรทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 

ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ เพื่อรับทราบข้อมูลที่สำคัญก่อนนำเข้าสู่กระบวนการเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการกิจการทหาร ทหารผ่านศึก และสรรพกำลังความมั่นคงเพื่อการช่วยเหลือประชาชนและการพัฒนาประเทศให้ไปพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบกำลังพลทางทหารให้สอดคล้องกับภัยคุกคามเป็นกองทัพที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพต่อภารกิจความมั่นคงในปัจจุบันและในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top