Friday, 27 June 2025
NEWS FEED

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ ‘โกรธไหมถ้าเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ไม่ตรงปก’ ปชช. ชี้!! รับได้ หากแบ่งจ่าย 5,000 บาท 2 งวด แต่โกรธมาก หากยกเลิก

(13 ต.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘โกรธไหมถ้าเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ไม่ตรงปก’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7-9 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาคระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อรูปแบบการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0 

จากการสำรวจเมื่อถามถึงสถานะการได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 56.95 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่จะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 รองลงมา ร้อยละ 23.95 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่จะไม่ได้รับเงินใด ๆ ร้อยละ 17.00 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่ได้รับเงินสด 10,000 บาท ไปเรียบร้อยแล้ว และร้อยละ 2.10 ระบุว่า ไม่แน่ใจ 

เมื่อสอบถามผู้ที่ระบุว่าอยู่ในกลุ่มที่จะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 และผู้ที่ระบุว่าไม่แน่ใจ (จำนวน 1,181 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อรูปแบบการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ดังนี้ 

รัฐบาลตัดสินใจยกเลิกโครงการ ไม่มีการจ่ายเงินไม่ว่าจะเป็นเงินสดหรือเงินดิจิทัล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.58 ระบุว่า โกรธมาก รองลงมา ร้อยละ 34.38 ระบุว่า ไม่โกรธเลย ร้อยละ 14.56 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 9.14 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ และร้อยละ 0.34 ระบุว่าไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

หากเป็นการจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่น้อยกว่า 10,000 บาท เช่น จ่ายแค่ 5,000 บาท พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.30 ระบุว่า 
ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 24.47 ระบุว่า โกรธมาก ร้อยละ 21.25 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 13.64 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ และร้อยละ 0.34 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

หากเป็นการจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.54 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 17.53 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ ร้อยละ 12.11 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 9.31 ระบุว่า โกรธมาก และร้อยละ 0.51 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

หากเป็นการแบ่งจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต เช่น งวดละ 5,000 บาท จำนวนสองงวด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.88 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 20.07 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ ร้อยละ 10.58 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 8.30 ระบุว่า โกรธมาก และร้อยละ 0.17 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

ท้ายที่สุดเมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าอยู่ในกลุ่มที่จะไม่ได้รับเงินใด ๆ (จำนวน 479 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับการแจกเงิน 10,000 บาท ของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 29.44 ระบุว่า รัฐบาลควรแจกเงินให้กับทุกกลุ่ม ไม่ว่ากลุ่มนั้นจะมีรายได้หรือทรัพย์สินเท่าไรรองลงมา ร้อยละ 25.47 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการแจกเงินให้แก่กลุ่มใด ๆ ร้อยละ 25.25 ระบุว่า เห็นด้วยเฉพาะการแจกเงินสด 10,000 บาทแก่กลุ่มผู้เปราะบาง ผู้พิการ เท่านั้น ร้อยละ 15.66 ระบุว่า เห็นด้วยกับการแจกเงินทั้งแบบเงินสดแก่ผู้เปราะบาง ผู้พิการ และแบบเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 ร้อยละ 2.30 ระบุว่า เห็นด้วยเฉพาะการแจกเป็นรูปแบบเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 เท่านั้น และร้อยละ 1.88 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘อ่าวประทับ’ จุดเริ่มต้น สะพานเชื่อมเกาะสมุย ในเขต อ.ขนอม เดินทางสะดวก พร้อม!! รองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

(13 ต.ค. 67) เพจ ‘โครงสร้างพื้นฐานประเทศไทย’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘โครงการพัฒนาเกาะสมุย’ และ ‘อ่าวประทับ’ จุดเริ่มต้น สะพานเชื่อมเกาะสมุย ในเขต อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช โดยมีใจความว่า …

อ่าวประทับ จุดเริ่มต้น สะพานเชื่อมเกาะสมุย ในเขต อ.ขนอม

พร้อมจุด เข้า-ออก 2 จุด ในเขต ดอนสัก สุราษฎร์ธานี และ ขนอม นครศรีธรรมราช เปิดโอกาสใหม่ในการท่องเที่ยว

เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ผมไปนครศรีฯ ขากลับเลยแวะเยี่ยมชมพื้นที่ก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะสมุย ฝั่งขนอม ซึ่งจากการศึกษาล่าสุด ได้เลือกตำแหน่ง อ่าวประทับ เป็นจุดเริ่มต้นของสะพานเพื่อข้ามไปสมุย

ซึ่งจริงๆโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาเกาะสมุย โดยจะไปสนับสนุนโครงการท่าเรือสำราญ เกาะสมุย ที่อนาคตจะรองรับปริมาณผู้โดยสารเที่ยวในเกาะอีกมหาศาล

หลายๆ คงทราบกันอยู่แล้วว่าปัจจุบัน การเดินทางไปเกาะสมุย เดินทางด้วยรถยนต์ ผ่านเรือเฟอร์รี่ เท่านั้น ทำให้มีปัญหาในด้านจราจรก่อนข้ามเกาะ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการรอข้ามเกาะ

โดยปัจจุบัน เรือเฟอร์รี่ จะเริ่มต้นที่ท่าเรือดอนสัก สุราษฎร์ธานี ข้ามไปที่ เกาะสมุย ใช้เวลาประมาณ 1:30 ชั่วโมง รวมถึงมีปัญหา เรื่องมรสุม ที่ต้องเจอในช่วงฤดูฝน 

ทำให้รัฐบาลมีแนวคิดในการจะก่อสร้าง สะพานเชื่อมเกาะสมุย โดยมอบหมายให้ การทางพิเศษฯ เป็นคนศึกษาความเป็นไปได้ และความคุ้มค่า ของโครงการ

ซึ่งปัจจุบัน ผ่านการประชุมมา 2 ครั้งแล้ว ทำให้ได้ตำแหน่งและเส้นทางของสะพาน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

รายละเอียดและตำแหน่งของสะพานเชื่อมเกาะสมุย

แนวทางที่เลือก เป็นเส้นทางที่ 6 

สะพานเริ่มต้นจาก ริมฝั่งอ่าวประทับ อ.ขนอม นครศรีธรรมราช วิ่งออกไปทางทิศเหนือ แล้วเลี้ยวเล็กน้อยมุ่งหน้าไปทางเกาะสมุย แล้วเลี้ยวอีกครั้งใกล้เกาะแตน ก่อนเข้าพื้นที่เกาะสมุย บริเวณหาดท้องกรูด เชื่อมต่อกับทางหลวง 4170

รูปแบบสะพาน จะมี 2 ลักษณะ
- สะพานทั่วไป ช่วงน้ำตื้น และไม่มีเรือผ่าน จะเป็นสะพานช่วงเสา 60 เมตร ท้องคานถึงระดับน้ำ 15 เมตร
- สะพานหลัก เพื่อให้เรือขนาดใหญ่ผ่านได้ มีช่วงเสากว้างที่สุด 250-300 เมตร ท้องคานถึงระดับน้ำ 50 เมตร เป็นรูปแบบสะพานขึง
สะพานจะมีขนาด 4 เลน + ไหล่ทางกว้าง 1 เมตร ทั้ง 2 ข้าง
ช่วงระดับดิน จะมีทางพิเศษ เชื่อมจาก จุดเริ่มต้นของสะพาน ไปยังทางเข้า-ออก ทั้ง 2 จุด เป็นถนนหลัก 4 เลน และถนนบริการเชื่อมโยงชุมชนโดยรอบ ข้างละ 2 เลน

จุดตัดทางเข้า-ออก โครงการ มี 2 จุด คือ
1. จุดตัดถนน 4142 กม.35 ซึ่งอยู่ฝั่ง อ.ขนอม 
2. จุดตัดถนน 4142 กม.14 ซึ่งอยู่ฝั่ง อ.ดอนสัก ซึ่งเป็นเส้นหลักเข้า ดอนสัก และทางไปท่าเรือเฟอร์รี่

ส่วนตัวผมมองว่า ตำแหน่งก่อสร้างเหมาะสม และผลกระทบกับแหล่งท่องเที่ยวบริเวณอ่าวประทับก็ต่ำ 

แต่ก็ต้องฝากให้ทีมงานช่วยวางแผนฟื้นฟูป่าชายเลนที่จะต้องมีการตัดเพื่อก่อสร้างด้วยครับ โครงการทางพิเศษเชื่อมเกาะสมุย

‘วินทร์ เลียววาริณ’ เล่าความประทับใจ สุดซึ้ง ‘หลวงพ่อคูณ - ในหลวงรัชกาลที่ 9’ เคยถวายเงิน 72 ล้าน แต่พระองค์ทรงพระราชทานคืน เพื่อนำไปแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน

(13 ต.ค. 67) วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 และนักเขียนรางวัลซีไรต์ ชาวอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้เล่าถึงเหตุการณ์ความประทับใจ ระหว่าง ‘หลวงพ่อคูณ - ในหลวงรัชกาลที่ 9’ ในหนังสือเรื่อง ‘ท่ามกลางประชาชน : เรื่องเล็ก ๆ ในรัชสมัยอันยิ่งใหญ่’ โดยมีใจความว่า …

ตามกำหนด หลวงพ่อจะถวายเงิน 72 ล้านบาทตามตัวเลขพระชนมายุของในหลวง

ตามกำหนด หลวงพ่อจะเข้าเฝ้าฯในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธียกมณฑปพระบรมสารีริกธาตุขึ้นประดิษฐานบนบุษบกเหนืออุโบสถ

ก่อนวันงาน คนรอบตัวสอนหลวงพ่อวิธีใช้ราชาศัพท์ เพราะรู้กันดีว่าหลวงพ่อพูดสรรพนามว่า ‘กู-มึง’ มาตลอดชีวิต

“ต้องระวังนะ หลวงพ่อ”

หลวงพ่อตอบว่า “เออ! กูรู้น่ะว่าต้องพูดอะไร”

หลุดปาก “กู” อีกแล้ว!!

ทางที่ดีที่สุดก็คือไม่ต้องพูด!!

ถึงเวลาเข้าเฝ้าฯ ทรงสนทนากับหลวงพ่อหลายเรื่อง หลวงพ่อทูลตอบเท่าที่จำเป็น

แล้วหลวงพ่อก็ทูลเกล้าฯถวายเงินให้พระองค์ แต่พระองค์กลับพระราชทานเงินทั้งหมดคืนให้กับวัด เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ ทรงทราบว่าพื้นที่นี้
ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำทุกปี การแก้ปัญหาของชาวบ้านสำคัญกว่า

ก่อนเสด็จกลับ หลวงพ่อจับพระหัตถ์ของในหลวง

นึกในใจ ค่อนข้างกระด้างนะ... นี่เป็นมือคนทำงานหนักชัด ๆ!!

แต่ไม่ได้พูดออกมา

หลวงพ่อคูณ ราษฎรในรัชกาลที่ 9

‘ทนายเชาว์ มีขวด’ ฟันธง!! 3 บอสดาราซุปตาร์ ไม่รอดคุก ข้อแก้ตัวฟังไม่ขึ้น ชี้!! ฉ้อโกงประชาชน ‘กินหรู-อยู่สบาย’ เพราะเห็นแก่ได้ ปกปิดความจริง

(13 ต.ค. 67) ‘ทนายเชาว์ มีขวด’ โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ธุรกิจ ‘ดิ ไอคอน กรุ๊ป’ และ ‘เหล่าบรรดาบอส’ โดยมีใจความว่า ...

บทสรุป 3 บอสดารา เตรียม ‘ร้องเพลงข้ามกำแพงคุก’

กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงบนโลกออนไลน์ กรณีธุรกิจ ‘ดิ ไอคอน กรุ๊ป’ ที่บริหารโดย ‘บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล’ รวมไปถึงดาราดังที่มีชื่อเสียง คือ ‘กันต์ กันตถาวร’, ‘แซม-ยุรนันท์ ภมรมนตรี’ และ ‘มิน-พีชญา วัฒนามนตรี’ เป็นบอสในโครงการ มีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียนว่าถูกขายฝันให้มาร่วมลงทุน แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างที่พูดเอาไว้ ได้สร้างความเสียหายให้ประชาชนเป็นจำนวนมาก ว่าเข้าข่าย หลอกลวง อันเป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ 

ล่าสุดแม้จากการ ชี้แจง 3 บอสดาราว่า ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น เป็นเพียงผู้ช่วยการตลาด ไม่ได้มีส่วนตัดสินใจในทางธุรกิจ หรือมีอำนาจลงนาม ก็คงจะฟังไม่ขึ้น เพราะ การพิจารณาว่าธุรกิจดังกล่าวเป็นการหลอกลวงประชาชนหรือไม่ ให้ดูที่ พฤติการณ์ ถ้อยคำพูด คำประกาศ โฆษณา คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่า จะได้รับ สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อเป็นการตอบแทน จากการเข้าร่วมธุรกิจ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองรู้อยู่แล้ว ว่าข้อความ ที่สื่อสารออกไปเป็นเท็จ หรือเป็นไปไม่ได้ โดยสภาพของความเป็นจริง หรือ รู้ข้อเท็จจริงแต่กลับ ปกปิดความจริง เหล่านั้นไว้ ก็จะเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน 

ซึ่งถ้าดูพฤติการณ์ ที่มีการขุดคุ้ย แต่ละการกระทำหรือถ้อยคำพูด ของ 3 บอสดารา แล้ว ผมคิดว่าคงดิ้นไม่หลุด คดีนี้เป็นคดีฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นบทหนักตามกฎหมายยอมความกันไม่ได้ด้วย

ดาราเกิดได้จากความรัก ความชื่นชมของประชาชน มีกินมีใช้ ใช้ชีวิตได้อย่างหรูหราอู้ฟู่ก็ล้วนมาจากความนิยมที่ประชาชนมอบให้ทั้งสิ้น แต่พวกท่านกลับตอบแทนความรักความไว้ใจของแฟนคลับด้วยการเห็นแก่ได้ มองแต่ประโยชน์เฉพาะหน้าของตน จนลืมประชาชนที่เขาเป็นคนปลุกปั้นพวกคุณขึ้นมา ถึงตอนนี้บอกเสียใจมันสายไป ก่อนทำไม่คิดถึงประชาชน คนเขาได้รับความเสียหายแล้วบอกจะมายืนเคียงข้าง สุดท้ายไปร้องเพลงข้ามกำแพงคุก ก็อย่าโทษใครเลยครับ นอกจากความโลภของตัวเอง ส่วนผู้เสียหายรวมถึงประชาชนทั่วไปต้องตระหนักเสมอลงทุนน้อยกำไรงามไม่มีอยู่จริง ไม่โลภไม่ตกเป็นเหยื่อ

เชียงใหม่-บิ๊กไก่ ลงพื้นที่เชียงใหม่ ให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน พร้อมเน้นย้ำกองบิน 41 ดูแลประชาชนอย่างเต็มความสามารถ

เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมคุณมนทิรา  พัฒนกุล นายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ และคณะ เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของกองบิน 41 ซึ่งลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมเน้นย้ำกำลังพลของกองบิน 41 ดูแลประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ หากขาดตกบกพร่องสิ่งใดสามารถแจ้งมายังกองทัพอากาศได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยกองทัพอากาศพร้อมให้การสนับสนุนกองบิน 41 ทั้งยุทโธปกรณ์และกำลังพลจากส่วนกลางในการฟื้นฟูพื้นที่เสียหายและบ้านเรือนของประชาชนอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารอากาศและคณะ ได้เดินทางไปจุดบริการซ่อมรถจักรยานยนต์ฟรี ให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยมีรถจักรยานยนต์ของประชาชนเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ในเฟสแรกที่เปิดให้บริการซ่อมวันละ 20 คัน และจะมีแนวทางขยายจำนวนการซ่อมในเฟสที่ 2 เพิ่มเป็น 50-100 คัน

จากนั้น คณะผู้บัญชาการทหารอากาศ เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจ พร้อมทั้งมอบอุปกรณ์ทำความสะอาดให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย รวมถึงนำกำลังพลทหารกองประจำการจากกองบิน 41 ช่วยทำความสะอาด ฟื้นฟูบ้านเรือนของพี่น้องประชาชนให้กลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

กองประชาสัมพันธ์
สำนักกิจการพลเรือนและประชาสัมพันธ์
กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ
13 ตุลาคม 2567

เชียงใหม่-ผู้บัญชาการทหารอากาศ เยี่ยมให้กำลังใจทหารกองประจำการ กองบิน 41 ที่ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมด้วยคุณมนทิรา พัฒนกุล นายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ และคณะ เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจแก่ทหารกองประจำการผู้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งมอบกระเช้าผลไม้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมี นาวาอากาศโท อรรถพร อุตสาห์ปัน ผู้บังคับกองพันทหารอากาศโยธินกองบิน 41 เป็นผู้รับมอบ ณ กองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41

กองประชาสัมพันธ์
สำนักกิจการพลเรือนและประชาสัมพันธ์
กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ
13 ตุลาคม 2567

ผบ.ตร.กำชับคดี “THE iCON GROUP” เร่งรวบรวมหลักฐานทุกมิติ ประสาน ปปง.ตรวจสอบทรัพย์สิน ความคืบหน้ามีผู้เสียหาย 630 ราย ความเสียหายพุ่งกว่า 228 ล้านบาท เตรียมตรวจค้นบริษัทหาหลักฐานเพิ่มเติม แนะผู้เสียหายให้เข้ามาแจ้งความเพิ่มท้องที่ใดก็ได้ทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดี THE iCON GROUP (ดิไอคอนกรุ๊ป) บริษัทธุรกิจออนไลน์และผลิตภัณฑ์อาหารหารเสริมสุขภาพ ว่า ขณะนี้คดีมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มีการเปิดศูนย์รับแจ้งเหตุที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ห้วงวันที่ 10-12 ตุลาคม 2567 มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้ว 630 ราย ความเสียหายกว่า 228 ล้านบาท โดยทางคดีมอบหมายให้ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) กำกับดูแล มี พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก ดูแลการสืบสวน พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก ดูแลการสอบสวน และ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. เป็นผู้รับผิดชอบหลัก

ความคืบหน้าทางคดี เมื่อวานนี้ ตำรวจสอบสวนกลางได้เข้าตรวจค้นบริษัท THE iCON GROUP 9 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตรวจยึดเอกสารหลักฐานสำคัญมาตรวจสอบจำนวนมาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเนื้อหาทางคดี มีการสอบสวนปากคำ นายวรัตน์พล ฯ หรือ บอสพอล และสอบปากดารานักแสดง  4 ราย ได้แก่ นายยุรนันท์ ฯ หรือแซม , น.ส.พีชญา ฯ หรือ มิน , นายฐานนท์ ฯ หรือ หมอเอก , และ นายกลด ฯ หรือ ปีเตอร์ และสอบสวนปากคำกลุ่มแม่ข่ายไปแล้ว 8 ปาก แต่ยังไม่แจ้งข้อกล่าวหากับผู้ใด ส่วนนายกันต์ ฯ ดารานักแสดงอีกราย จะมีการสอบสวนปากคำในวันนี้ อีกทั้งช่วงบ่ายตำรวจสอบสวนกลางจะลงตรวจสอบข้อมูลบริษัทเพิ่มเติม เพื่อหาพยานหลักฐานประกอบสำนวนคดี

ส่วนกระแสข่าวที่มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ได้สั่งการให้ทำการตรวจสอบทุกมิติ หากพบว่าเป็นความผิดก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย รวมถึงการดำเนินการทั้งทางวินัยควบคู่กันไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบจะต้องมีความเป็นธรรม หากเป็นความผิดชัดเจนก็ต้องดำเนินการ ไม่มีความแตกต่างจากรายอื่น แต่หากข้าราชการตำรวจรายดังกล่าวเป็นเหมือนผู้เสียหายที่อยู่ในห่วงโซ่ของวงจรนี้  ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับตำรวจด้วย เพราะอาจจะมีโค้ชหลายคนที่เข้าร่วมแต่ไม่ได้มีเจตนาในการกระทำผิด หรือรับรู้ในการกระทำผิดหรือหลอกลวง จึงต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

นอกจากนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า พอใจในภาพรวมของการทำงาน เพียง 2-3 วัน หลังจากที่ตั้งศูนย์รับแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระดมพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำคดีนี้ เพื่อให้สังคมเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ และคดีมีความคืบหน้าไปมาก ได้กำชับการบูรณาการร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. , กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. โดยเฉพาะมิติของการตรวจสอบและยึดอายัดทรัพย์สิน ต้องประสานและทำงานกับ ปปง.อย่างใกล้ชิด

พร้อมกันนี้ ยังได้ย้ำเรื่องการอำนวยความสะดวกทางคดีกับผู้เสียหาย ซึ่งทาง พล.ต.ท.อัคราเดช ฯ ได้มีวิทยุสั่งการลงไปแล้ว ให้ตำรวจทั่วประเทศรับแจ้งความจากผู้เสียหาย ไม่ว่าจะแจ้งความที่ใด ขอประชาสัมพันธ์ถึงผู้เสียหายว่า หากท่านได้รับความเสียหาย ขอให้มาแจ้งความเพิ่มเติม โดยสามารถแจ้งความได้ 3 ช่องทาง ได้แก่
1. เดินทางเข้ามาแจ้งด้วยตัวเองได้ที่ “ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปคบ.” ชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
2. แจ้งความที่สถานีตำรวจใดก็ได้
3. แจ้งความผ่านระบบออนไลน์ ทางเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th

ขอยืนยันว่า ตำรวจจะบูรณาการร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ตามสั่งการของรัฐบาลที่ได้สั่งการให้ตำรวจติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการแก้ไขปัญหาให้กับคดีความต่างๆ และทำคดีแบบตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐาน หากเกี่ยวข้องกับใครจะดำเนินการโดยเด็ดขาด ขอเวลาตำรวจทำงาน คาดอีกไม่นานจะสรุปผลคดีได้แน่นอน

กรรมาธิการทหารฯวุฒิสภา บุกพบครอบครัว "พลทหารศิริวัฒน์"เสียชีวิตในค่ายทหาร  สว.ขอให้กองทัพให้เป็นเรื่องสุดท้าย 

เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) หอบเอกสารเข้าคณะกรรมาธิการพิจารณา สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง "จี้" กองทัพต้องเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต

เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ 13 ตุลาคม 2567 ที่บ้านเลขที่ 112 หมู่ 4 ตำบลระวะ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล เลขานุการคณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา จ.สงขลา ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการโดยมี พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ประธานกรรมาธิการฯให้พบครอบครัวของ พลทหารศิริวัฒน์ ใจดี อายุ 22 ปี  พลทหารประจำการในเหล่าทัพเสียชีวิต โดยมีนางกาญจนา ใจดี มารดาและพี่สาวและนายสมใจ ศรีสงค์ นายก อบต.ระวะ ให้การต้อนรับ และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แห่งเหตุการณ์

นายไชยยงค์ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ที่มาพบครอบครัวผู้เสียหายนั้น ตนได้รับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการฯและในฐานะเป็นสมาชิกวุฒิสภา จ.สงขลา เพื่อมาแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเพื่อได้ทราบข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากครอบครัวผู้เสียชีวิตที่ได้รับบอกเล่าจากเพื่อนของผู้เสียชีวิตด้วยกัน เพื่อทราบข้อเท็จจริงในเบื้องต้น  นำไปประกอบการพิจารณาต่อไป

นายไชยยงค์ ยังกล่าวอีกว่า ต้องการรับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อที่จะดำเนินการพูดคุยทำความเข้าใจกับกองทัพ เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกรณีนี้ควรให้เป็นเรื่องสุดท้าย ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้ว ขบวนการของการฝึกทหารเกณฑ์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกชาวบ้าน  และผู้เสียชีวิตสมัครเข้ามารับใช้ชาติ เขามีความเสียสละรับใช้ชาติด้วย  เรื่องนี้ สว.และ สส.ให้ความสนใจเข้ามาดำเนินการแก้ปัญหา

“ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดจนทำให้เกิดการเสียชีวิต  จากถูกปฏิบัติไม่ถูกต้อง  อาทิถูกซ้อมหรือทรมาน กองงทัพเรือต้องคืนความเป็นธรรมให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต  ต้องมีการเยียวยา และผู้กระทำที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกดำเนินการทางอาญา กองทัพและกระทรวงกลาโหมต้องจะดำเนินการแก้ปัญหาอย่าให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นในอนาคต”
นายไชยยงค์ ยังกล่าวต่อว่า คณะกรรมาธิการฯจะพยายามให้เร็วที่สุด ตนจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมาธิการทหารฯวันที่ 16 ตุลาคม 67 และจะทำหนังสือถึงหน่วยเหนือเพื่อให้เข้ามาชี้แจงตามขบวนการสืบสวนสอบสวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทุกฝ่าย
ทางด้าน นางกาญจนา กล่าวว่า ครอบครัวเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  จึงขอความเป็นธรรมให้กับ พลทหารศิริวัฒน์ ใจดี ที่เสียสละด้วยการสมัครเข้าเป็นทหารเกณฑ์ เพื่อรับใช้ชาติ แต่มาถูกกระทำจนเสียชีวิตครอบครัวรับไม่ได้ หวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานราชการ องค์กรอิสระ สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะจากเพื่อนของผู้เสียชีวิตเล่าให้ฟังและตรวจสภาพร่างกายผู้เสียชีวิตแล้วเชื่อได้ว่าน่าไม่ใช่เสียชีวิตธรรมดา

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ลงพื้นที่พิษณุโลก-พิจิตร ให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัย สั่งเร่งระบายน้ำและฟื้นฟูเยียวยาให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว กำชับบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุม พร้อมเตรียมวางแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาวแก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน 

เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยถึงการลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดพิจิตร เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมว่า ตนพร้อมด้วย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดพิจิตร เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ และอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน พร้อมพบปะและให้กำลังใจประชาชน โดยได้เข้ารับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย และแผนการแก้ไขปัญหา พร้อมมอบนโยบายให้กับหัวหน้าส่วนราชการ จากนั้นลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ทุ่งบางระกำ ณ  วัดพรหมเกษร อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก และลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดพิจิตร พร้อมมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัย และลงเรือมอบถุงยังชีพให้กับพี่น้องประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่บ้านเกาะสาริกา อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร  

นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ และได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือและเยียวยาผลกระทบ เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเร็วที่สุด การลงพื้นที่ในวันนี้ ได้รับทราบสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน และได้เห็นสภาพปัญหาความเดือดร้อนจาก อุทกภัยที่เกิดขึ้น จึงได้สั่งการให้วางแผนการเร่งระบายน้ำท่วมขังโดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว รวมทั้งวางแผนบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อของปลายฤดูฝนเข้าสู่ฤดูแล้ง จึงต้อง รอบคอบรัดกุมในการบริหารจัดการน้ำ พร้อมเร่งสำรวจและเตรียมแหล่งกักเก็บน้ำสำรองไว้เพื่อใช้ในช่วงฤดูแล้งนี้ด้วย นอกจากนี้ ให้เร่งดำเนินการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ และตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของเขื่อนให้มีความมั่นคงแข็งแรง 
.
นายประเสริฐ กล่าวว่า ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว จะต้องเร่งทบทวนเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำต่างๆ ให้สอดคล้อง กับสถานการณ์และบริบทเชิงพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณาวางแผนการพัฒนาโครงการที่สามารถรองรับ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่ต้องครอบคลุมพื้นที่แบบรายลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำรวมทั้งต้องสอดรับกับการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเกิดประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน สำหรับโครงการบางระกำโมเดลถือว่าเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการน้ำ เป็นแก้มลิงธรรมชาติที่สามารถรองรับน้ำหลากในช่วงฤดูฝน ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี 

“จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่านและรับฟังสภาพปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากปัญหาอุทกภัยในครั้งนี้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในการบริหาร จัดการน้ำในพื้นที่เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด และปริมาณน้ำที่ยังท่วมขังลดลงโดยเร็วที่สุด จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ 1. เร่งระบายน้ำท่วมในพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว , 2. เร่งดำเนินการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ ให้แข็งแรง รวมทั้งตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยเขื่อนให้มีความมั่นคงแข็งแรง , 3. ทบทวนเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำให้มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับบริบทเชิงพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ , 4 กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว พร้อมวางแผนการพัฒนาโครงการที่สามารถรองรับการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 5. สำรวจและพิจารณาแหล่งเก็บกักน้ำสำรองไว้เพื่อใช้ในช่วงฤดูแล้งปี 2567/68” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าวย้ำ 

ชณะที่ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช.กล่าวว่า ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบปัญหาอุทกภัย 19 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก พิษณุโลก นครสวรรค์ สุโขทัย อุดรธานี กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ มหาสารคาม อุบลราชธานี ชัยนาท สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และนครปฐม ซึ่ง สทนช. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินติดตามคาดการณ์การเกิดพายุที่จะ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีโอกาสที่จะเกิดพายุได้อีก 1 ลูก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันนี้ – 20 ต.ค. 67 ยังไม่พบความเสี่ยงในการก่อตัวของพายุที่จะเคลื่อนที่เข้าสู่ประเทศไทย ส่วนสถานการณ์น้ำของแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม จำนวน 3,857 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 452 ล้าน ลบ.ม. หรือ 87% โดยมีอ่างฯขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว คือ อ่างฯแม่มอก มีปริมาตรน้ำ 105 ล้าน ลบ.ม. หรือ 96% ส่วนแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำน่าน จำนวน 4,334 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 10,051 ล้าน ลบ.ม. หรือ 94% โดยมีอ่างฯขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ อ่างฯสิริกิติ์ มีปริมาตรน้ำ 8,965 ล้าน ลบ.ม. หรือ 94% และ อ่างเก็บน้ำแควน้อยบำรุงแดน มีปริมาตรน้ำ 746 ล้าน ลบ.ม. หรือ 79% 

สำหรับแผนงานโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของจังหวัดพิษณุโลก ได้รับอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อ กรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 2567 จำนวน 30 รายการ ประกอบด้วยกิจกรรม ก่อสร้างใหม่ (ระบบกระจายน้ำและระบบประปา) / ซ่อมแซมและบำรุงรักษา และปรับปรุง (คุณภาพน้ำ ระบบกระจายน้ำ ระบบประปา ระบบระบายน้ำ และสระเก็บน้ำเพื่อ การเกษตรและอุตสาหกรรม) สามารถเพิ่มปริมาณน้ำได้0.37 ล้าน ลบ.ม. ประชาชนได้รับประโยชน์ 449 ครัวเรือน พื้นที่รับ ประโยชน์ 10,843 ไร่ เช่น การปรับปรุงดาดคอนกรีตคลองส่งน้ำ P.R.-64.0R.(C-32) โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพลายชุมพล ตำบลบ้านไร่ อำเภอบางกระทุ่ม, การก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนพื้นที่โครงการจัดทำที่ดินทำกินให้ ชุมชนตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย, การปรับปรุงพนังกั้นน้ำฝั่งขวาแม่น้ำ แคววังทอง ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง เป็นต้น 

ในส่วน จังหวัดพิจิตร ได้รับอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 2567 จำนวน 18 รายการ ประกอบด้วยกิจกรรม ก่อสร้างใหม่ (น้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภค ระบบกระจายน้ำ และระบบประปา) และขุดลอก (ระบบ กระจายน้ำ) มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 0.35 ล้าน ลบ.ม. ประชาชนได้รับประโยชน์ 780 ครัวเรือน พื้นที่รับประโยชน์ 661 ไร่ เช่น อาคารบังคับน้ำบ้านทุ่งใหญ่ ตำบลบ้านทุ่งใหญ่ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง, โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำประปาชุมชน รูปแบบที่1 หมู่ที่ 2 บ้านบึงบัวใน อบต.บึงบัว อำเภอวชิรบารมี, เพิ่มประสิทธิภาพระบบผลิตน้ำประปาขนาดใหญ่ กำลังการผลิต 10 ลบ.ม.ต่อชั่วโมง บ้านหนองปรือ หมู่ที่ 4 อบต.ดงเสือเหลือง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง เป็นต้น

13 ตุลาคม ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ตลอด 31 ปี ช่วยเหลือประชาชนตามแนวทางที่ทรงวางไว้ ล่าสุดนำส่งอวัยวะหัวใจ ดวงที่ 103 สำเร็จลุล่วง

เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ด้วยวันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือ “วันนวมินทรมหาราช” สำนักงานตำรวจแห่งชาติน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ 

หนึ่งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติและพสกนิกร คือ “ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ” เนื่องจากทรงเป็นห่วงพสกนิกรในเรื่องปัญหาการจราจร จึงพระราชทานแนวทางปฏิบัติให้แก่ตำรวจเพื่อเป็นแนวคิดไปใช้ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งพระราชทานทุนจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ในการจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ รถจักรยานยนต์พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และพัฒนาบุคลาการเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาจราจร อันจะบรรเทาความเดือดร้อนของพสกนิกรได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2536 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 31 ปี 

ปัจจุบันตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร มีหน้าที่ในการบรรเทาปัญหาการจราจรที่ติดขัด และช่วยเหลือประชาชนในกรณีพิเศษ เช่น การช่วยเหลือหญิงที่ท้องแก่ใกล้คลอด หากได้รับแจ้งเจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจสอบและอำนวยความสะดวกเรื่องการจราจรนำส่งโรงพยาบาล หากเห็นว่าควรจะทำคลอดก็จะดำเนินการทำคลอดให้ทันที นอกจากนี้ ยังได้จัดทีม "ตำรวจช่าง" ลงพื้นที่กระจายตามจุดต่าง ๆ เพื่อช่วยซ่อมรถให้กับประชาชนที่จอดเสียบนท้องถนนในเขตกรุงเทพมหานครชั้นใน เพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด

อีกหนึ่งภารกิจที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริช่วยเหลืออำนวยความสะดวกอย่างต่อเนื่อง คือภารกิจนำส่งอวัยวะหัวใจ ต่อลมหายใจชีวิต ซึ่งอวัยวะหัวใจหากทำการผ่าตัดออกมาจากร่างกายของผู้บริจาคแล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ปิดทางเดินเลือดในการผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งเปิดให้เลือดผ่านหัวใจใหม่ในร่างกายของผู้รับการปลูกถ่าย จึงเป็นภารกิจที่ต้องแข่งกับเวลา ยิ่งการเดินทางในกรุงเทพมหานครนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมารถนำส่งได้โดยใช้เวลาอันสั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 12.30 น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้ปฏิบัติภารกิจอำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำอวัยวะหัวใจจากโรงพยาบาลใน จ.สมุทรปราการ ส่งโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ต่อลมหายใจให้ชีวิตใหม่เป็นดวงที่ 103 ได้รับความร่วมมือจากผู้ใช้เส้นทางที่ช่วยเปิดทางให้จนภารกิจชีวิตในครั้งนี้ลุล่วงด้วยดี โดยใช้เวลาในการนำส่งเพียง 45 นาทีเท่านั้น แพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้สำเร็จ

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว ให้ความช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งของประชาชนมาโดยตลอด ยึดหลักการทำงานตามแนวพระราชดำริ เสมือนเชิญน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ไปมอบให้ประชาชนที่พระองค์ท่านทรงห่วงใย โดยตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา 31 ปี ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริทุกนายยึดหลักการทำงานสอดคล้องตามแนวพระราชดำริเสมอ เป็นหมอถนน หมอคน หมอรถ ดูแลความสงบสุขและความปลอดภัยบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร คณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่ประมาณ 7,000 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย โดย 1 ผู้ให้สามารถช่วยได้ 8 ชีวิต การบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ได้ที่สายด่วน 1197 กองบังคับการตำรวจจราจร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top