Friday, 27 June 2025
NEWS FEED

สำนักงานตำรวจแห่งชาติประชาสัมพันธ์งดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันออกพรรษา ประจำปี 2567

(17 ต.ค.67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 ห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ยกเว้นการขายเฉพาะร้านค้าปลอดอากรภายในอาคารท่าอากาศยานนานาชาติ โดยในปีนี้วันออกพรรษา ตรงกับวันนี้ พฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 67 ทั้งนี้ เพื่อให้บังคับใช้กฎหมายในวันสำคัญทางศาสนาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ประกอบการร้านค้า และประชาชน ให้งดจำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 

ทั้งชนิดขายส่งและขายปลีกทั่วราชอาณาจักร ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลาหลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา จนถึงเวลา 24.00 น. ของคืนนี้ (ยกเว้นเฉพาะร้านค้าปลอดอากรภายในอาคารท่าอากาศยานนานาชาติ) หากผู้ใดฝ่าฝืน มีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 39 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับการปฏิบัติไปยังทุกหน่วยปฏิบัติในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการกวดขัน จับกุม ผู้กระทำความผิดที่ฝ่าฝืนกฎหมายและประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีอย่างเด็ดขาด โดยจัดสายตรวจออกตรวจสอบตามสถานที่สุ่มเสี่ยงต่างๆ เช่น ร้านข้าวต้มโต้รุ่ง, ร้านอาหารตามสั่งริมทาง, สถานีขนส่งโดยสารสาธารณะ และสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น หากตรวจพบผู้ที่ฝ่าฝืนให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งให้กวดขันจับกุมหากปรากฏการกระทำผิดซัดเจน โดยให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับควบคุม กำกับดูแลการปฏิบัติให้เรียบร้อย และขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแล 

ทั้งนี้ หากพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสและข้อมูลข่าวสารได้ที่สายด่วน 191 และ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

ICONSIAM ร่อนประกาศชี้แจง ยันไม่เกี่ยวกับ The iCon Group

(16 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ICONSIAM’ ได้เผยแพร่ประกาศ ความว่า 

ตามที่เกิดความไม่เข้าใจในกลุ่มลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้อง บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าไอคอนสยาม ขอเรียนให้ทุกท่าน ทราบว่า บริษัท มิได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น กับ The Icon Group ที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้

บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ขอเรียนย้ำว่า บริษัทดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าไอคอนสยาม ด้วยพันธกิจที่ยึดมั่นในธรรมาภิบาลและความโปร่งใสเป็นธรรม ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดตลอดมา และใคร่ขอความร่วมมือจากทุกท่านงดเว้นการกล่าวหรือพาดพิงถึง บริษัทและศูนย์การค้าไอคอนสยาม ทั้งนี้ เพื่อให้ไม่ให้เกิดความสับสนต่อสาธารณชนเพิ่มขึ้น

ด้วยความขอบคุณอย่างยิ่ง
16 ตุลาคม 2567

วิศวะ ม.เกษตร ลัดฟ้าสู่ประเทศญี่ปุ่น แชร์ความรู้สู้กับภัยพิบัติด้านน้ำ-ภูมิอากาศ

(16 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจของ ‘คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์’ ได้เผยแพร่การศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่นของภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ ว่า

ภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมี รศ.ดร.สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง ได้นำนิสิตภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ ระดับปริญญาตรีจำนวน 3 คน และระดับปริญญาโท จำนวน 4 คน เดินทางไปร่วมโครงการ Sakura Science แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติด้านน้ำ ณ มหาวิทยาลัย Chuo กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 6-12 ตุลาคม 2567

กิจกรรมภายในโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย การระดมสมองร่วมกันระหว่างนิสิตภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำกับนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Chuo เรื่องแผนการลดผลกระทบและปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของทั้งสองประเทศร่วมกัน รวมทั้งการเข้าร่วมการจำลองสถานการณ์การเกิดสึนามิ (Tsunami) การใช้ Virtual Reality (VR) เพื่อจำลองการหนีภัยจากเหตุการณ์สึนามิ จัดขึ้น ณ ห้องปฏิบัติการวิศวกรรมชายฝั่งและทะเล 

การจำลองสถานการณ์แผ่นดินไหวระดับเดียวกันกับที่เกิดขึ้นทางฝั่งตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น เมื่อต้นปี 2567 จัดขึ้น ณ ห้องปฏิบัติการวิศวกรรมแผ่นดินไหว คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย Chuo 

การเข้าศึกษาดูงานอุโมงค์เก็บกักน้ำชั่วคราวเพื่อบรรเทาน้ำท่วม โครงข่ายประตูระบายน้ำและผันน้ำบริเวณอ่าวโตเกียว รวมถึงงานพัฒนาระบบประปาของแห่งมหานครโตเกียว 

ที่มา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

‘อาจารย์อุ๋ย’ เปิดข้อกฎหมาย-ประวัติศาสตร์ ชี้ชัดเกาะกูดไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน แต่เป็นของไทย

เมื่อวานนี้ (15 ต.ค. 67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า 

“กรณีพื้นที่พิพาททางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา บริเวณเกาะกูด เป็นของไทยนับแต่ที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 กับฝรั่งเศสทำสนธิสัญญากันเมื่อปี พ.ศ. 2450 หรือ ร.ศ. 125 ซึ่งฝรั่งเศสตกลงคืนจันทบุรี ตราด และเกาะกูดให้แก่สยาม แลกกับดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ได้แก่ จังหวัดเสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ ซึ่งสนธิสัญญาดังกล่าวมีความสมบูรณ์ในตัวเองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และในปี พ.ศ. 2516 รัฐบาลไทยสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ก็ลากเส้นเขตแดนไทยโดยวัดจากจุดกึ่งกลางระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง โดยประกาศพิกัดภูมิศาสตร์ของไหล่ทวีปในอ่าวไทยทั้งสิ้น 18 จุด ลากเส้นผ่านอ่าวไทยจากบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่จังหวัดตราด ไปจนถึงชายแดนไทย-มาเลเซียที่จังหวัดนราธิวาส ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ณ กรุงเจวีนา ค.ศ. 1958

ส่วนเส้นเขตแดนที่กัมพูชากำหนดเองในปี พ.ศ. 2515 ซึ่งลากผ่ากลางเกาะกูดนั้น เป็นการขีดเส้นโดยไม่มีหลักกฎหมายระหว่างประเทศรองรับ กัมพูชาจึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในพื้นที่ และการลากเส้นตามอำเภอใจโดยไม่มีกฎหมายรองรับเช่นนี้จึงถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยอย่างชัดแจ้ง ส่วน MOU 44 ที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายไปตกลงแบ่งพื้นที่กันเองก็ขัดรัฐธรรมนูญเพราะไม่มีการรับรองโดยรัฐสภา ทั้งที่ถือเป็นหนังสือสัญญาที่มีผลเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจของรัฐ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา จึงตกเป็นโมฆะ ไม่จำต้องนำมาพิจารณาบนโต๊ะเจรจาอีก 

เมื่อยึดตามหลักการข้างต้นแล้ว จึงมิพักต้องพิจารณาว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็น 'พื้นที่ทับซ้อน' อีกต่อไป แต่ถือเป็นพื้นที่ที่รัฐไทยมีอธิปไตยโดยสมบูรณ์นับแต่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2450 ประเทศไทยจึงมีสิทธิโดยสมบูรณ์ในการส่งกองกำลังเข้ายึดตรึงพื้นที่เกาะกูด และพื้นที่ทางทะเลที่เกี่ยวเนื่อง โดยไม่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะถือเป็นพื้นที่ของประเทศไทยเอง หาใช่เป็นการรุกรานประเทศอื่นไม่ และหลังจากประเทศไทยส่งกองกำลังเข้าตรึงพื้นที่แล้ว หากกัมพูชาจะขอเปิดการเจรจา ก็สามารถร้องขอมาได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายไทยว่าจะยอมเจรจาหรือไม่ หรือหากคิดว่าฝ่ายไทยสามารถบริหารแหล่งพลังงานแต่ฝ่ายเดียวได้ ก็ทำไปเลย เพราะเป็นพื้นที่ของไทย  

ซึ่งผมเชื่อว่าหากมีการเจรจาก็จะต้องดำเนินไปโดยที่ประเทศไทยถือไพ่เหนือกว่าทุกประตู เพราะประเทศไทยเหนือกว่ากัมพูชาในทุกด้าน ทั้งด้านกำลังทหารและด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งอำนาจต่อรองของประเทศไทยบนเวทีโลกและความสำคัญของประเทศไทยที่มีต่อประเทศมหาอำนาจก็มากกว่ากัมพูชาไม่รู้กี่เท่า ซึ่งผมมั่นใจว่าหากถึงเวลาที่ต้องเลือก สุดท้ายแล้วประเทศมหาอำนาจจะเลือกข้างประเทศไทย  

สุดท้ายนี้ผมขอฝากไปยังผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ให้ทำหน้าที่รักษาอธิปไตยของประเทศอย่างเต็มที่ มิเช่นนั้นท่านจะตกเป็นคนขายชาติตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต ด้วยความปรารถนาดี”

‘นายกฯแพทองธาร’ คิกออฟแคมเปญ “ฟื้นฟูเศรษฐกิจ” ทั่วไทย ดึง “รายใหญ่” ช่วย “รายเล็ก” ลดต้นทุนผู้ค้า ลดค่าครองชีพประชาชน คาดกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนกว่าแสนล้าน

(16 ต.ค. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” บูรณาการหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนรายใหญ่ กว่า 130 ราย ช่วยลดรายจ่ายให้ผู้ประกอบการรายเล็ก และลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชน ต่อเนื่องตลอด 5 เดือนเต็ม รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะโครงการ “เงินหมื่น ฟื้นเศรษฐกิจ” ที่ได้เติมเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไปแล้วกว่า 145,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสร้างพายุหมุนเศรษฐกิจลูกใหญ่ เป็นการต่อลมหายใจและเพิ่มกำลังซื้อให้กับพี่น้องประชาชน รายเล็กที่กำลังเดือดร้อน ทำให้หลายคนได้ตั้งตัวใหม่จากโครงการนี้

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดมาตรการดังกล่าว และกระจายเม็ดเงินไปสู่ทุกภาคส่วนของประเทศ รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งเดินหน้า “โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ” ต่อเนื่องทันที เพื่อช่วยเหลือประชาชนในทุกมิติ ทั้งด้านการดำรงชีวิตและการประกอบธุรกิจ โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน ลดต้นทุนทางธุรกิจและเพิ่มช่องทางค้าขายให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก อาทิ การลดค่าเช่าร้านค้า ค่าเช่าแผงตลาด ค่าขนส่งไปรษณีย์ การสนับสนุนพื้นที่จำหน่ายสินค้าบริเวณศาลากลางจังหวัด นิคมอุตสาหกรรม สถานีบริการน้ำมัน เป็นต้น รวมทั้งจับมือกับผู้ผลิตผู้ค้าส่งรายใหญ่ จัดโปรโมชันสินค้าอุปโภคบริโภคราคาพิเศษผ่านร้านค้าธงฟ้า ร้านค้าชุมชน และห้างท้องถิ่นกว่า 140,000 ร้านค้า และจัดมหกรรมลดราคาสินค้าในห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ลดกระหน่ำทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนได้มากกว่า 110,000 ล้านบาท

ด้าน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า วันนี้การฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นแนวทางของท่านนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร อยากเห็นเศรษฐกิจไทยฟื้น ขอขอบคุณผู้ประกอบการรายใหญ่ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและประชาชนที่ด้อยโอกาสและที่ยังลำบาก รัฐบาลจะดูแลทุกภาคส่วน ที่ผ่านมามีการลงทุนใหญ่ๆเข้ามาเยอะ ปีที่แล้วมี PCB (แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์) เข้ามาถึง 150,000 ล้านบาท ปีนี้มีศูนย์ข้อมูล หรือ Data Center เข้ามาแล้วถึง 160,000 ล้านบาท ยังไม่รวม Google อีก 30,000 ล้านบาท และ UAE อีก 30,000 ล้านบาท รวมเป็นกว่า 200,000 ล้านบาท และมีเรื่อง Food Security (ความมั่นคงทางอาหาร) กับประเทศต่างๆ ซึ่งการขับเคลื่อนเป็นไปได้ดี การที่ท่านนายกฯไปเยือนทั้งกาตาร์และลาว ได้หารือทวิภาคีกับหลายประเทศ ซึ่งทุกประเทศให้ความสนใจ ไทยกำลังเป็นประเทศที่รุ่ง มีสัญญาณการลงทุนต่างๆเข้ามา และเราก็ต้องดูแลประชาชนที่กำลังลำบาก ขอขอบคุณผู้ประกอบการทั้งหลายที่มาดูแลประชาชน ขายสินค้าให้ในราคาถูก และในประเทศจะมีโครงการอื่นๆเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนต่อไป“ นายพิชัยกล่าว

โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ได้นำร่องกิจกรรมภายใต้โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ต่างๆไปแล้วตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา อาทิ ตลาดพาณิชย์ทั่วประเทศ เทศกาลกินเจ งาน International Live Commerce Expo 2024 เป็นต้น สำหรับเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่า 110,000 ล้านบาท คาดการณ์มาจากกิจกรรมฟื้นฟูเศรษฐกิจ 3 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน ส่วนแรกประมาณ 78,700 ล้านบาท มาจากการกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มเปราะบางที่ได้รับเงินไปคนละ 10,000 บาท คาดว่ากลุ่มนี้จะนำเงินมาซื้อของที่จัดโปรโมชันลดราคา ภายใต้โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจประมาณ 54.1% ของเงินที่ได้รับไป โดยสัดส่วนนี้คิดมาจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ระบุว่า “ครัวเรือนรายได้ต่ำ จะนำเงินมาซื้ออาหารเครื่องดื่ม เครื่องใช้ภายในบ้าน และเครื่องแต่งกายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 54.1% ของรายได้” 

ส่วนที่สองประมาณ 18,700 ล้านบาท มาจากการลดต้นทุนทางธุรกิจและสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก รวมทั้งการจัดกิจกรรมกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจของกระทรวงพาณิชย์ อาทิ International Live Commerce Expo 2024 เทศกาลกินเจ เทศกาลลอยกระทง เทศกาลปีใหม่ ธงฟ้า และตลาดพาณิชย์ทั่วประเทศ เป็นต้น 

และส่วนที่สาม เป็นการจัดมหกรรมลดราคาสินค้าของห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง และการที่ผู้ผลิตรายใหญ่ลดราคาเพื่อช่วยลดค่าครองชีพและกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกประมาณ 14,400 ล้านบาท โดยคาดว่าเมื่อจบโครงการ จะสามารถกระตุ้นเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจได้ตามเป้า เป็นการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มในทุกมิติและ ช่วยให้เศรษฐกิจไทยกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างชีวิต อย่างยั่งยืน มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรีแก่ชาวนครพนม

(16 ต.ค. 67) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ พร้อมด้วย นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน  ร่วมในพิธีมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับครัวเรือนยากจนในพื้นที่จังหวัดนครพนม (จังหวัดที่ 14 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จำนวน 25 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 612,689 บาท (หกแสนหนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยแปดสิบเก้าบาทถ้วน) นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ)  และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายวรวิทย์ พิมพนิตย์ ปลัดจังหวัดนครพนม นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชนเป็นประธานร่วมในพิธี  พร้อมด้วย คณะสมาคมพ่อค้าจังหวัดนครพนม เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี  และอาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายศรสุทธา กลั่นมาลี (ถั่วแระ เชิญยิ้ม)  นายธนกฤต พรามเย็น  (ศรีหลอด เชิญยิ้ม) ร่วมในพิธี และสร้างสีสันภายในงาน ณ บริเวณหอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม 

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน  ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ  www.facebook.com/pohtecktungofficial

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนโพสต์เอาสนุก หวังป่วนเมือง โทษหนัก จำคุก 5 ปี ปรับ 100,000 บาท

(16 ต.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมในทุกรูปแบบ รวมทั้งการสร้างความตื่นตระหนกให้กับพี่น้องประชาชน ก่อให้เกิดความเดือดร้อน เข้าข่ายผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา พบกรณีมีผู้โพสต์ข้อความในกลุ่มเฟซบุ๊ก "โคราชบ้านเอ็ง" ว่าจะก่อเหตุรุนแรงด้วยอาวุธปืนในห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในพื้นที่ จ.นครราชสีมา สร้างความตื่นตระหนกให้กับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ก่อเหตุไว้ได้ในวันเดียวกัน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนพี่น้องประชาชนว่าอย่าเลียนแบบพฤติกรรมดังกล่าว แม้ว่าจะทำไปเพื่อความสนุก หรือหยอกล้อกันในหมู่เพื่อนฝูง และหากการโพสต์ดังกล่าวทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความตื่นตระหนก จะเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14(2) ฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หากพี่น้องประชาชนพบเห็นการโพสต์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ ในลักษณะข่มขู่ว่าจะก่อเหตุความรุนแรงในที่สาธารณะ หรือสถานที่ที่มีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก อย่าแชร์ อย่าเผยแพร่ต่อ ให้รีบแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ทราบโดยเร็ว ผ่านช่องทางสายด่วน 191 หรือ สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

หลากโซเชียลรุมขุดบอสเคยออกรายการโหนกระแส ‘หนุ่ม กรรชัย’ ไม่ตระหนก ชี้แจงแล้วก่อนเรื่องแดง

(16 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ใน Social Media หลายช่องทางได้มีการเผยแพร่คลิปความยาวขนาดสั้น และข้อความ ในทำนองเดียวกันว่า 

รายการโหนกระแสที่มีนายกรรชัย กำเนิดพลอย หรือ 'หนุ่ม กรรชัย' เป็นพิธีกร ได้มีการโฆษณาคอร์สการตลาดออนไลน์ของหนึ่งในสมาชิก 'The iCon Group' โดยมีบางคอมเมนต์เชื่อมโยงไปว่าอาจจะเป็นหนึ่งในเครือข่าย

โดยผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่าเมื่อ 9 ต.ค. 67 นายกรรชัย กำเนิดพลอย ได้เคยกล่าวในรายการ ‘เที่ยงวัน ทันเหตุการณ์’ ว่า

“บางคนเคยมาออกรายการโหนกระแส ระดับบอสด้วย ในช่วงขาย 3 นาทีท้ายรายการ อย่าให้บอกเลยว่าใคร และเคยมาขายคอร์สออนไลน์ ตอนแรกก็ไม่รู้คิดว่า เขาสอนออนไลน์ทั่วไป ๆ ให้คนศึกษา แต่มาทราบภายหลังว่าคอร์สลักษณะนี้จะมีการขายของในนั้นด้วย หลังจากนั้นตนจึงยกเลิกงานนี้ไปทั้งหมด บอกไปว่าไม่เอางานแบบนี้”

นอกจากนี้เพจ Drama-Addict ยังได้โพสต์แจ้งในข่าวเรื่องนี้อีกว่า 

“เฮียหนุ่มเล่า ในรายการ บอสคนนึง เคยมาออกโฆษณาโหนกระแสมาขายคอร์สสอนยิงแอด 99 บาท อะไรเทือกนั้น เฮียหนุ่มเพิ่งมารู้ตอนดิไอคอนว่าคนเดียวกันกับบอสของดิไอคอน

อันนี้จ่าเป็นพยาน เพราะ กูคือคนแจ้งเฮียหนุ่มเอง ถถถถถถถ ว่ามีคนไปออกโหนกระแสขายคอรสยิงแอด แต่เอาไปโฆษณาแปลก ๆ ในเฟซ เลยไปแจ้งเฮีย เฮียแกพอรู้ก็สั่งหยุดรับโฆษณาจากพวกนั้น ลบคลิป และห้ามเอาเฮียแกไปอ้างอิงอีกเด็ดขาด

แต่เพิ่งรู้ไม่กี่วันนี้ ว่าหลังจากนั้นแม่งไปเข้ากับดิไอคอน ถถถถถ”

สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์  ได้จัดงานเสวนาในโครงการส่งเสริมขีดความสามารถและเครือข่ายด้านเศรษฐกิจ BCG ไทย – สิงคโปร์ (Seminar on Opportunities for Cooperation in BCG Business with Singapore)

สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์  ได้จัดงานเสวนาในโครงการส่งเสริมขีดความสามารถและเครือข่ายด้านเศรษฐกิจ BCG ไทย – สิงคโปร์ (Seminar on Opportunities for Cooperation in BCG Business with Singapore) ในวันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2567 เวลา 09.30-12.00 น. ที่ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ ถ. ศรีอยุธยา จัดโดยสถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์

งานเสวนาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความยั่งยืน รวมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้และส่งเสริมกิจกรรมความร่วมมือด้าน BCG ระหว่างประเทศไทยกับสิงคโปร์ โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้เชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและภาคเอกชนของสิงคโปร์เดินทางมาประเทศไทย เพื่อนําเสนอข้อมูลนโยบาย Green Economy ด้านความยั่งยืนและคาร์บอนเครดิตของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานเสวนาทราบถึงโอกาสทางธุรกิจและสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างไทยกับสิงคโปร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือในตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิต

นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้มองเห็นโอกาสจากการที่สิงคโปร์เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญต่อประเด็นสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอย่างมาก อันเป็นผลมาจากข้อจำกัดด้านภูมิประเทศ เช่น การขาดแคลนแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ และการมีพลังงานทางเลือกที่จำกัด ดังนั้น สิงคโปร์จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างความร่วมมือเพื่อเศรษฐกิจสีเขียวที่มีความยั่งยืน

ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดทำนโยบาย Singapore Green Plan 2030 เป็นวาระแห่งชาติของสิงคโปร์มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและการพัฒนาพื้นที่สีเขียวและสิ่งแวดล้อมของสิงคโปร์ในระยะเวลา 10 ปี (ปี 2564 – 2573) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Bio-Circular-Green (BCG) Economy ของประเทศไทย และเพื่อการบรรลุเป้าหมายตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ค.ศ. 2030 (SDG) และความตกลงปารีส ทั้งนี้ สิงคโปร์ตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 โดยกำหนดกฎระเบียบเพื่อการปรับให้ธุรกิจสิงคโปร์ให้ส่งเสริมความยั่งยืน มุ่งลงทุนในเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เร่งสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศด้านความยั่งยืน และสร้างสังคมที่นิยมกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนมากขึ้น

โดย มีนโยบายเชิงเศรษฐกิจสำคัญที่น่าเรียนรู้ของสิงคโปร์ อาทิ
(1) สิงคโปร์เป็นประเทศแรกที่เริ่มการจัดเก็บภาษีคาร์บอนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2562 ในอัตรา 5 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (S$5/tCO2e) และในปีนี้ได้ปรับเพิ่มอย่างก้าวกระโดดเป็น 25 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นอีก
(2) การพัฒนาศูนย์กลางซื้อขายคาร์บอนเครดิตระดับโลกในลักษณะตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น

ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีศักยภาพในด้าน Circular Economy และ Green Economy อย่างมาก เนื่องจากบูรณาการความร่วมมือเพื่อสนับสนุนความเชื่อมโยงให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชน ดังนั้น สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงต้องการที่จะนำข้อมูลความสำเร็จเหล่านี้มาแบ่งปันเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในด้านเศรษฐกิจ BCG นำไปปรับใช้ประโยชน์ และปรับตัวทางธุรกิจเพื่อตอบสนองต่อตลาด BCG ของโลก โดยเฉพาะด้านคาร์บอนเครดิต

สำหรับกิจกรรมกรเสวนา ในครั้งนี้ มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละท่านจะได้รับข้อมูลที่ทันสมัยจากหน่วยงาน ผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายด้านความยั่งยืนและคาร์บอนเครดิตของสิงคโปร์ และสามารถต่อยอดความร่วมมือระหว่างไทยกับสิงคโปร์ในเรื่องนี้ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือในตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่อาจมีโอกาสพัฒนาเป็นการซื้อขายลักษณะเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนไม่มีการรับแจ้งความ-ลงทะเบียนคืนเงินผ่านโซเชียล การรับแจ้งความออนไลน์มีเพียงเว็บไซต์เดียวเท่านั้น คือ www.thaipoliceonline.go.th

เมื่อวานนี้ (15 ต.ค.67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทุกรูปแบบ ซึ่งในปัจจุบันได้มีกลุ่มมิจฉาชีพที่อาศัยการลงโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ อ้างเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือหน่วยงานราชการอื่น ระบุข้อความว่า 'แจ้งความออนไลน์ได้ที่นี่' 'ลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพ' หรือข้อความในลักษณะดังกล่าว โดยบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอมที่กลุ่มมิจฉาชีพสร้างขึ้นมา มักจะมีการนำภาพของผู้บังคับบัญชา และหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ มาใช้ ซึ่งล่าสุดได้มีการนำภาพของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผบ.ตร. มาใช้ประกอบการหลอกลวงด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังในใช้สื่อสังคมออนไลน์ อย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการรับแจ้งความหรือลงทะเบียนรับเงินคืนจากมิจฉาชีพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีช่องทางในการแจ้งความร้องทุกข์ผ่านช่องทางออนไลน์ 'เพียงช่องทางเดียว' คือเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th เท่านั้น ไม่มีการรับแจ้งความร้องทุกข์ผ่านช่องทางแชทในเฟซบุ๊ก หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ อย่างแน่นอน
 
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ใด ลงโฆษณาอ้างว่าสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ที่บัญชีสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลต่อไป และหากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงทางสื่อสังคมออนไลน์ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top