Friday, 27 June 2025
NEWS FEED

“ หม้อแปลงไทย เจริญชัยฯ ” รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ NiA พิสูจน์จริง หม้อแปลงใต้น้ำ (Submersible Transformer) “ ช้างคลาน จังหวัดเชียงใหม่ ”

ผ่านการใช้งานในสภาวะน้ำท่วม ต้านทานได้ถึง 5 เมตร ตอบโจทย์พื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมขัง และปลอดภัย
มาตรฐานอเมริกา IEEE Std.C57.12.24-2016 - IEEE Std.C57.12.24-2009

หม้อแปลงใต้น้ำ (Submersible Transformer) รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ NiA ผ่านการทดสอบการจมน้ำ (3 m.) ต้านทานได้ถึง 5 เมตร ตามมาตรฐานอเมริกา IEEE Std.C57.12.24-2016 – IEEE Std.C57.12.24-2009 รับรองโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และติดตั้งใช้งานจริงที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นระยะเวลา 5 ปี อีกทั้งได้ผ่านการใช้งานในสภาวะน้ำท่วมขังเกือบ 2 เมตร ในขนาดที่จ่ายไฟและสามารถใช้งานได้ปกติไม่พบความเสียหายจากวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ หม้อแปลงใต้น้ำ สามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง หม้อแปลงที่ติดตั้งบนเสาไฟที่มีทัศนียภาพไม่สวยงาม ทำให้มีทัศนียภาพที่สวยงามเป็นประโยชน์ต่อสังคมและพี่น้องประชาชน ทั้งด้านความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน ป้องกันการเกิดอัคคีภัย และช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าขายในพื้นที่ให้แก่ประชาชน ทั้งยังช่วยเพิ่มมูลค่าของที่ดินให้มีราคาเพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบันหม้อแปลงใต้น้ำ มีการติดตั้งและใช้งานจริงที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนอังรีดูนังต์ สยามสแควร์ เพื่อนำร่องความมั่นคงทางระบบไฟฟ้า ความปลอดภัย ความทันสมัย รวมถึงการจัดการความมั่นคงด้านพลังงาน ตามนโยบายการเพิ่มศักย์ภาพเมือง SMART CITY ของกรุงเทพมหานคร ที่ต้องการยกระดับเป็นมหานครแห่งอาเซียน เป็นเมืองท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

‘ผอ.สำนักงานสลาก’ เผยจำหน่ายสลาก N3 วันแรก ประชาชนสนใจท่วม เก็บข้อมูลก่อนเปิดเต็มตัว เม.ย. 68

(17 ต.ค. 67) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (GLO) นำโดย พันโทหนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วย เรือโทสุภาสชาญ ทัศนกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานฯ ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 ที่ อ.เมือง จ.เชียงราย ที่ให้ความร่วมมือ และสมัครใจเข้าร่วมโครงการจำหน่าย ‘สลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก’ ซึ่งเปิดจำหน่ายเป็นวันแรก ในงวดวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 หรือ เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป

พันโทหนุน เปิดเผยว่า บรรยากาศการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ในระบบทดสอบแบบปิด (Sandbox) ในวันแรก เป็นไปด้วยความคึกคัก โดยในระยะการทดสอบนี้ สำนักงานสลากฯ จะเป็นผู้จำหน่ายเอง ไม่เกิน 5 ล้านฉบับต่องวด จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบจุดจำหน่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ในฟีเจอร์ 'ค้นหาร้านสลากตัวเลขสามหลัก' และสามารถชำระเงินด้วยระบบดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ เท่านั้น ในราคาฉบับละ 20 บาท

ทั้งนี้ สำนักงานสลากฯ กำหนดให้ในช่วงระยะการทดสอบ ต้องจำหน่ายและซื้อสลากฯ ผ่านจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 จำนวน 647 แห่งทั่วประเทศ ที่ให้ความร่วมมือเข้าร่วมโครงการเท่านั้น ซึ่งเบื้องต้นได้รับรายงานว่า จุดจำหน่ายในหลายพื้นที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มีการนำจอสมาร์ททีวีขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันเป๋าตัง เพื่ออธิบายขั้นตอนการจำหน่ายอย่างชัดเจน รวมทั้งมีการใช้สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊ก ที่หลากหลายมาใช้ในการจำหน่าย แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวอย่างมาก  

พันโท หนุน กล่าวว่า สลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลักเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ที่จ่ายเงินรางวัลแบบผันแปรตามจำนวนผู้ถูกรางวัลในแต่ละหมายเลขของงวดนั้น ๆ  หากผู้ซื้อต้องการทราบจำนวนเงินรางวัลในแต่ละประเภทรางวัลที่จะได้รับ สามารถตรวจสอบได้ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังในฟีเจอร์ ‘เช็กเลขขายดีและเงินรางวัลงวดนี้’ ซึ่งจะแสดงจำนวนผู้ซื้อ , จำนวนเงินรางวัลทั้ง 1,000 หมายเลข ตั้งแต่ 000-999 ณ เวลาขณะนั้นให้ผู้ซื้อได้รับทราบ ก่อนตัดสินใจทำรายการซื้อ

“สำนักงานสลากฯ ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความสนใจ และขอบคุณร้านค้าในจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 ที่เข้าร่วมทดสอบการจำหน่ายด้วยความสมัครใจ ซึ่งขณะนี้ระบบการจำหน่ายต่าง ๆ มีความพร้อม และหลังจากนี้ สำนักงานสลากฯ จะติดตาม และเก็บรวบรวมข้อมูล ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้ครบถ้วนรอบด้านมากที่สุด ก่อนที่จะเปิดให้มีการจำหน่ายเต็มรูปแบบในช่วงเมษายน 2568”

สำหรับการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก จะใช้ผลรางวัลอ้างอิงจากผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก ที่กำหนดออกรางวัลเดือนละ 2 ครั้ง ในทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน หรือตามที่สำนักงานสลากฯ กำหนด โดยรางวัลสามตรงและสามสลับหลัก จะมาจากเลข 3 ตัวท้ายของผลรางวัลที่ 1, รางวัลสองตรงมาจากผลรางวัลเลขท้าย 2 ตัว และรางวัลพิเศษจะสุ่มจากผู้ถูกรางวัลสามตรงเท่านั้น ผู้ที่ถูกรางวัลจะได้รับการเตือนในแอปพลิเคชันเป๋าตัง และสามารถกดรับเงินรางวัลผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังได้ทันที

ทั้งนี้ การลงพื้นที่ดังกล่าว สืบเนื่องจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้จัดพิธีส่งมอบการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ขนาดการติดตั้งรวมทั้งสิ้น 100 กิโลวัตต์ ในโครงการ “สนับสนุนโรงเรียนสลากกินแบ่งสงเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ 2567 ทั่วประเทศ ด้วยการจัดหาและติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ให้กับโรงเรียนในกลุ่มภาคเหนือตามแผนการดำเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคม (CSR) ของสำนักงานสลากฯ

ถอดบทเรียนจากต่างประเทศ อาจารย์นิติศาสตร์ มธ. แนะ 5 แนวทาง ออกกฎหมายคุม ‘อินฟลูเอนเซอร์’

(17 ต.ค. 67) ผศ.ดร.เอมผกา เตชะอภัยคุณ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวสภาผู้บริโภค ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอินฟลูเอนเซอร์เยอะมาก เนื่องจากเป็นประเทศที่ใช้สื่อออนไลน์อย่างแพร่หลาย เพราะฉะนั้นการใช้อินฟลูเอนเซอร์จึงเป็นการตลาดที่เข้าถึงคนไทยได้ง่าย และรวดเร็ว รวมถึงคอนเทนต์ที่มีความหลากหลาย และเกินจริง ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นข่าวว่าอินฟลูเอนเซอร์ได้นําแนวคิดหรือความเชื่อบางอย่างที่หมิ่นเหม่ เช่น การลงทุนในการพนันออนไลน์ การดูแลสุขภาพแบบผิด ๆ การชวนลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ หรือเรื่องความเชื่อทางศาสนา

เมื่อถามถึงกฎหมายที่จะเข้ามาควบคุม ผศ.ดร.เอมผกา ได้ยกตัวอย่างกฎหมายควบคุมอินฟลูเอนเซอร์จากในหลายประเทศ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับประเทศไทย โดยถูกแบ่งออกเป็น 5 แนวทาง

แนวทางที่ 1 ‘ให้ข้อมูลว่าเป็นการโฆษณา’ เป็นกฎหมายบังคับว่าอินฟลูเอนเซอร์ต้องแจ้งให้ชัดว่ารีวิวนั้นเป็นโฆษณา ซึ่งกลไกนี้จะถูกระบุอยู่ในกฎหมายทั้งในประเทศแถบเอเชียและยุโรป เช่น เกาหลีใต้ อินเดีย นิวซีแลนด์ แคนาดา โดยใส่แฮชแท็กระบุชัดเจนว่าเป็นโฆษณาไว้ตั้งแต่ต้นโพสต์หรือต้นคลิปวิดีโอ เพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่ารีวิวนั้นเป็นการโฆษณา

แนวทางที่ 2 ‘เปรียบอินฟลูเอนเซอร์ คือผู้ประกอบธุรกิจ’ หลายประเทศมองว่าอินฟลูเอนเซอร์ คือผู้ประกอบธุรกิจ เพราะว่าอินฟลูเอนเซอร์ ทำคอนเทนต์แลกกับยอดวิวซึ่งยอดวิวก็นำมาสู่รายได้ เท่ากับเป็นผู้ประกอบธุรกิจ และในเชิงผู้ประกอบธุรกิจจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมาบังคับใช้

แนวทางที่ 3 ‘เปิดเผยข้อมูล’ ต้องมีการเปิดเผยตัวตนที่ชัดเจน ที่สามารถเจาะจงไปได้ว่าคนนี้คือใคร เช่น นอร์เวย์ ออกกฎหมายกำหนดให้อินฟลูเอนเซอร์ต้องแจ้งรายละเอียดภาพบุคคลที่ใช้สำหรับการขายและโฆษณาสินค้าบนโซเชียลมีเดียต่อหน่วยงานรัฐ

แนวทางที่ 4 ‘ควบคุมเนื้อหา’ เป็นกลไกที่มองถึงการควบคุมเนื้อหาที่มีความอ่อนไหว หรือข้อมูลที่อาจผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนได้ เช่น ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กำหนดให้อินฟลูเอนเซอร์ ต้องจดทะเบียนและได้รับใบอนุญาตจากสภาสื่อแห่งชาติ (NMC) เพื่อป้องกันการโฆษณาที่ ผิดกฎหมาย และการให้ข้อมูลที่ผิดพลาดหรืออันตรายต่อสาธารณะ

“ต้องบอกก่อนว่า ไม่ใช่ว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์แล้วต้องขอใบอนุญาต แต่จะเป็นเฉพาะคอนเทนต์เท่านั้นที่ต้องขอใบอนุญาต เช่น การเงินการธนาคาร การทำเสริมความงาม การรักษาโรค ต้องเป็นคนเฉพาะกลุ่มนี้เท่านั้นที่จะพูดได้ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะพูดเรื่องรักษาโรคได้ แต่ต้องเป็นหมอจริง ๆ เท่านั้น” ผศ.ดร.เอมผกากล่าว

แนวทางที่ 5 ‘ทำแนวทางหรือข้อแนะนำ’ ไม่ใช่การบังคับใช้กฎหมาย แต่เป็นการทำคู่มือแนะนำอินฟลูเอนเซอร์ สำหรับบางประเทศที่ยังไม่รู้ว่าจะออกกฎหมายรูปแบบไหน โดยทำเป็นคู่มือแนะนำไปก่อนว่าสิ่งไหนทำได้หรือไม่ได้ ให้เรียนรู้ ตระหนัก จากกฎหมายที่มีในปัจจุบัน

แม้ว่า ประเทศไทยยังไม่มีกฎระเบียบสำหรับกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์อย่างชัดเจน จะมีเพียงกฎหมายควบคุม เช่น พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 และพ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 รวมทั้งอยู่ระหว่างพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …. ที่มีความพยายามปรับปรุงการกำกับดูแลการนำเสนอข้อมูลให้เท่าทันสื่อปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีร่าง พ.ร.บ.อาหาร ฉบับสภาผู้บริโภค ที่เพิ่มกำหนดนิยาม ให้ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร ซึ่งครอบคลุมถึงพรีเซนเตอร์ ที่ทำการโฆษณาอาหาร จะต้องรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาด้วย

อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยจะขยายการกำกับดูแลให้ครอบคลุมกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์อาจต้องทบทวนการกำหนดนิยามของสื่อออนไลน์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงแนวทางการกำกับดูแลที่สอดคล้องกับการผลิตเนื้อหา อาจต้องศึกษาจากตัวอย่างของกฎหมายและมาตรการของต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทสังคมไทยต่อไป

สำหรับแนวทางที่ทำได้ในประเทศไทย ผศ.ดร.เอมผกาให้ข้อเสนอว่า “แนวทางที่สามารถทำได้ในเลยน่าจะเป็น การเปิดเผยว่าคอนเทนต์นี้คือการโฆษณา เพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลในการตัดสินใจ รวมถึงการตีความว่าอินฟลูเอนเซอร์เป็นผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อให้รับผิดบางอย่างที่กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคนั้นมีกลไกบังคับใช้สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ระมัดระวังในการรับโฆษณาสินค้ามากยิ่งขึ้น ส่วนการควบคุมเนื้อหาอาจารย์มองว่าเป็นแนวทางที่ดีเพื่อป้องกันข้อมูลข่าวปลอม แต่อาจขัดต่อบริบทสังคมไทย เรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น ถือว่าเป็นความท้าทายในการควบคุมเนื้อหาและการรักษาสิทธิแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย”

สงขลา-ทัพเรือภาคที่ 2 ตรวจความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 2 ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยในฤดูมรสุมในพื้นที่ภาคใต้

(17 ต.ค.67) ที่สถานีการบิน ฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา พล.ร.ท.นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 เป็นประธานในพิธีตรวจความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2568 ด้วยในห้วง ต.ค. - ม.ค. ของทุกปี เป็นช่วงฤดูมรสุมในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออกในพื้นที่ จว.สงขลา และพื้นที่ใกล้เคียงมีฝนตกหนัก อันเป็นเหตุให้เกิดอุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม เพื่อเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนและเตรียมการรับมือกับเหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้น 

ในช่วงมรสุมที่กำลังจะมาถึง เพื่อให้ทันท่วงที ลดการสูญเสียทรัพย์สินของประชาชนและของภาครัฐจากภัยพิบัติให้ได้มากที่สุด โดยมีการบูรณาการ การทำงานร่วมกันประกอบด้วย ศูนย์บรรเทาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา เทศบาลนครสงขลา เทศบาลเมืองเขารูปช้าง ศูนย์กู้ภัยสว่างสงขลาร่วมใจ ไทยอาสาป้องกันชาติในทะเลจังหวัดสงขลา และบริษัท ปตท.สผ.จำกัด (มหาชน) 

จากนั้น ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 พร้อมข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในทัพเรือภาคที่2 และแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมในพิธี ก็ได้เดินตรวจเยี่ยมหน่วยต่างๆที่มาร่วมในพิธีตรวจความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 2 โดยผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ขอบคุณทุกหน่วยงานที่มาร่วมในพิธีฯในวันนี้ พร้อมเน้นย้ำให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ในการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่กำลังจะมาถึง อย่างเต็มขีดความสามารถและมีประสิทธิภาพสูงสุด พล.ร.ท.นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บรรเทา สาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 กล่าวว่า ตามแผนบรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ ได้อนุมัติให้ ทัพเรือภาคที่ 2 จัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 มีหน้าที่รับผิดชอบ ในการให้ความช่วยเหลือประชาชน กรณีเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ในพื้นที่รับผิดชอบ รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ตามที่กองทัพเรือจะมอบหมาย โดยพื้นที่รับผิดชอบ ของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 ทางบกประกอบด้วย จังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอเมืองสงขลา อำเภอจะนะ อำเภอสิงหนครและอำเภอระโนด จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ อำเภอขนอม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แก่ อำเภอ เกาะสมุยและอำเภอเกาะพะงัน พื้นที่ทางน้ำประกอบด้วย พื้นที่ทางทะเล เกาะแก่งต่าง ๆ และชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยตอนล่าง มีขั้นตอนการปฏิบัติ ตามแผน 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นเตรียมการก่อนเกิดเหตุ ขั้นการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุและขั้นการฟื้นฟูบูรณะภายหลังเกิดเหตุ

ปัจจุบันในพื้นที่รับผิดชอบ ของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 เริ่มเข้าสู่ห้วงฤดูมรสุม คลื่นลมแรง ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่แปรเปลี่ยนไปในภูมิภาค ทำให้มีแนวโน้มที่อาจจะทำให้เกิดภัยพิบัติได้ตลอดเวลา  ดังนั้น เพื่อให้มีความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้ดำเนินการจัดพิธีตรวจความพร้อมหน่วยต่าง ๆ ตลอดจนกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 ในวันนี้

ทั้งนี้หากมีเหตุประสบภัย ไม่ว่าเป็นเหตุการณ์อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัยหรือภัยพิบัติอื่น ๆ สามารถแจ้งมายังศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 ได้ที่โทรศัพท์หมายเลข 074-325804 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว ปฏิบัติทันต่อเหตุการณ์ มีประสิทธิภาพและสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน

ออท.สหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคำนับ รอง นรม.และ รมว.กห.

(17 ต.ค. 67) ณ ห้องสุรศักดิ์มนตรี ภายในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม พลตรี ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง นาย Robert F. Godec (รอเบิร์ต เอฟ โกเด็ก) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย (ออท.สหรัฐฯ/ไทย) ได้เข้าเยี่ยมคำนับ นาย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี

(รอง นรม.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รมว.กห.) เพื่อแสดงความยินดี ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง รมว.กห. และหารือในหลายประเด็น โดยเฉพาะเกี่ยวกับความร่วมมือ ด้านความมั่นคงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

โดย รอง นรม. และ รมว.กห. ขอบคุณ ออท.สหรัฐฯ/ไทย และชื่นชมในความร่วมมือที่ผ่านมา ทำให้การดำเนินการเกิดผลสัมฤทธิ์ผลเป็นอย่างดี ซึ่งการเข้าพบในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะขยายความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งด้านการศึกษา การพัฒนากองทัพ การแลกเปลี่ยนยุทโธปกรณ์ ทำให้เกิดความทันสมัยของกองทัพทั้ง 2 ประเทศ อันนำมาซึ่งความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และจะทำให้เกิดความสงบสุขในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก

การหารือ ได้กล่าวถึงพัฒนาการอย่างต่อเนื่องในหลายมิติ ทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือน การประชุมระดับต่างๆ การปรับการเกณฑ์ทหาร โดยใช้รูปแบบความสมัครใจเหมือนกับของกองทัพสหรัฐฯ มาเป็นแนวทางใน การพัฒนา เพื่อปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์อย่างสูงสุด รวมทั้งการสนับสนุนให้กำลังพลของกองทัพไทย ได้เข้าไปร่วมฝึก/ศึกษา ณ ประเทศสหรัฐฯ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การจัดหายุทโธปกรณ์และส่งกำลังบำรุง รวมทั้งการฝึกร่วม/ผสม Cobra-Gold ที่เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการฝึกที่เก่าแก่และยาวนาน รวมทั้งมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค นับเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของกองทัพไทย และส่งเสริมขีดความสามารถในการปฏิบัติงานร่วมกัน

สำหรับประเด็น ความท้าทายด้านไซเบอร์ระหว่างกองทัพไทยกับสหรัฐฯ ได้มีการพูดคุยถึงความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับความร่วมมือ การแก้ปัญหาไซเบอร์ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางความมั่นคง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาความร่วมมือด้านการข่าวและการก่อการร้าย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชน

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยมีนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ในการผลิตเพื่อบรรจุการใช้งานให้กับเหล่าทัพบนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ตลอดจนสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นอุตสาหกรรมส่งออกได้ต่อไป ซึ่งสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศชั้นนำของโลก โดยเฉพาะด้าน การจัดโครงสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ทั้งระบบ
ทั้งนี้ การเข้าเยี่ยมคำนับ ถือว่าเป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้มีความแนบแน่นกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในภูมิภาค

ภายหลังการเข้าพบ ออท.สหรัฐฯ/ไทย ได้ขอบคุณ รอง นรม. และ รมว.กห. ที่กรุณาสละเวลาให้การต้อนรับในวันนี้ และชื่นชมความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศ ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะความร่วมมือทางทหาร รวมทั้งยินดีอย่างยิ่งหากไทยและสหรัฐฯ จะได้พัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ระหว่างกันต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

‘อัครเดช’ จี้ตรวจสอบถังดับเพลิงแบตรถ EV หลังสืบพบติด มอก. โดยไม่ได้รับอนุญาต

(17 ต.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงข่าวของ กรรมาธิการอุตสาหกรรมฯว่า

จากปัจจุบันประชาชนได้หันมาใช้รถยานยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV ซึ่งใช้แบบเตอรี่ลิเทียมไอออน ซึ่งหากเกิดเหตุเพลิงไหม้ การดับเพลิงจะทำได้ยากกว่าเหตุเพลิงไหม้ทั่วไป ซึ่งทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้มีความเป็นห่วงอย่างยิ่งในเรื่องนี้ จึงได้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาประสิทธิภาพการระงับเหตุเพลิงไหม้จากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขึ้นมาโดยเฉพาะ 

คณะทำงานชุดดังกล่าวได้รวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง จากหลายภาคส่วน เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร, สมาคมดับเพลิงและช่วยชีวิต พบข้อมูลเบื้องต้นว่าประสิทธิภาพของทั้งอุปกรณ์ และสารเคมีดับเพลิงในการระงับเพลิงไหม้ที่เกิดจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนยังไม่มีความพร้อมเท่าที่ควร

ดังนั้นจึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดับเพลิงที่เกิดจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เพื่อลดการสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน 

นอกจากนี้คณะทำงานชุดดังกล่าว ยังได้พบว่าในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์ดับเพลิง หรือ ถังดับเพลิง ซึ่งอ้างว่าสามารถใช้ดับเพลิงที่เกิดจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนหรือรถ EVได้ และยังมีตรา มอก. กำกับ แต่อย่างไรก็ดีจากการสืบสวนในทางลับของคณะทำงาน พบว่ามีโอกาสที่จะเป็นการลอบประทับตรา มอก. โดยไม่ได้รับอนุญาต คณะทำงานจึงนำเรื่องมาเพื่อหารือกับคณะกรรมาธิการ 

ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ จึงได้ประสานงานไปยังเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า บริษัทดังกล่าวยังไม่ได้รับการรับรองคุณภาพจาก สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมาย รวมถึงมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปแล้วอีกด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่อาจจะส่งผลร้ายในอนาคตขึ้นได้ เนื่องจากประชาชนที่ใช้อุปกรณ์ดับเพลิงดังกล่าวในการดับเพลิงรถ EV หรือเพลิงไหม้จาก แบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนแต่ไม่สามารถดับได้จริง ย่อมจะทำให้เกิดการสูญเสียในทรัพย์สิน และอันตรายถึงชีวิตของพี่น้องประชาชนได้

นอกจากนี้ยังมีเอกสารหรือ การกล่าวอ้างอีกว่าบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัท ในเครือ ปตท. จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ที่จะต้องมีธรรมาภิบาลในการดำเนินการ โดยกิจการในกำกับต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด  และ ผู้บริหารต้องมีส่วนรับผิดชอบ

ดังนั้นตนจึงเรียกร้องไปยังบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ว่าบริษัทที่ทำผิดกฎหมายมาตรฐานอุตสาหกรรมเป็นบริษัทในกลุ่ม ปตท.หรือไม่ รวมทั้งออกมาชี้แจงให้สาธารณชนทราบโดยเร็ว และหากบริษัทดังกล่าวถือหุ้นโดย ปตท. จริงจะต้องมีมาตรการดำเนินการเพื่อลดความเสียหายให้กับประชาชน และจะรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างไร รวมถึงดำเนินการกับผู้กระทำความผิดกฎหมายอย่างไร 

นอกจากนี้ในสัปดาห์หน้าคณะทำงานของกรรมาธิการอุตสาหกรรมที่พิจารณาเรื่องนี้อยู่จะดำเนินการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องดับเพลิงหรือสารดับเพลิงของบริษัทดังกล่าวที่มีการใช้ตราสินค้ามาตรฐานอุตสาหกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตว่ามีประสิทธิภาพในการระงับเพลิงจาก แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าหรือไม่อย่างไร ซึ่งได้มีการทดสอบไปแล้วอยู่ระหว่างการสรุปผล เสนอกรรมาธิการอุตสาหกรรมเพื่อพิจารณาดำเนินการอย่างเร่งด่วน

คณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมไฟไหม้รถยนต์เหมือนที่เพิ่งเกิดขึ้นมากับรถแก๊สที่สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศจึงจะเร่งดำเนินการ กรณีดังกล่าวกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วนต่อไป

'คลัง' เผยมาตรการอสังหาฮ็อตจัด 3 เดือนเกลี้ยง เตรียมชง 'ซื้อ-แต่ง-ซ่อม-สร้าง' บ้าน 55,000 ล้านบาท เข้า ครม. กระตุ้นอสังหาต่อเนื่อง

(17 ต.ค. 67) ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลประสบความสำเร็จและได้รับผลตอบรับจากประชาชนสูง โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Homeได้ปล่อยสินเชื่อเต็มกรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท โดยใช้เวลาเพียง 3 เดือน โครงการสินเชื่อ Happy Life ปล่อยสินเชื่อไปแล้วจำนวนถึง 18,000 ล้านบาท เราต้องการสนับสนุนภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ต่อเนื่อง โดยรองรับความต้องการมีบ้านของประชาชนที่มีรายได้น้อย ให้เข้าถึงสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ และสามารถใช้เพื่อซ่อมแซมต่อเติมบ้าน ทั้งหมดนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามาตรการ ซื้อ-แต่ง-ซ่อม-สร้าง

สินเชื่อซื้อ-สร้าง ดอกเบี้ยพิเศษ 5 ปี วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือคอนโดมีเนียม ปลูกสร้างบ้าน หรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกบ้าน และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อใช้ในการอยู่อาศัย วงเงินสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาท

สินเชื่อซ่อม-แต่ง ดอกเบี้ยพิเศษ 3 ปี วงเงินกู้ไม่เกิน 1 แสนบาท เป็นสินเชื่อเพิ่มเพื่อต่อเติมหรือซ่อมแซมบ้าน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย วงเงินสินเชื่อรวม 5,000 ล้านบาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดพิธีเนื่องในวันตำรวจ ประจำปี 2567 พร้อมส่งสารถึงข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ ขอให้ร่วมแรงร่วมใจทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ช่วยเหลือดูแลพี่น้องประชาชนด้วยใจบริสุทธิ์และเป็นธรรม

(17 ต.ค. 67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ์ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ส่งสารถึงข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ เนื่องในวันตำรวจ ประจำปี 2567 ว่า ข้าราชการตำรวจนั้นมีภารกิจหน้าที่อันสำคัญยิ่งในการปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตลอดจนการดูแล บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่พี่น้องประชาชนตามหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ วันตำรวจจึงเป็นวันที่เพื่อนข้าราชการตำรวจทุกท่านควรทบทวนและตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตน ในการเป็นตำรวจที่ดี มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ ขอให้ทุกท่านพึงระลึกอยู่เสมอว่า "ความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชน" ที่มีต่อตำรวจนั้น ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากใครคนใดคนหนึ่งเพียงลำพัง หากแต่ข้าราชการตำรวจทุกคนต้องช่วยกันทำหน้าที่ของตน ด้วยความชื่อสัตย์สุจริต เดินหน้าเข้าหาประชาชน ช่วยเหลือ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้แก่ประชาชนด้วยใจที่บริสุทธิ์และเป็นธรรม และขอขอบคุณเพื่อนข้าราชการตำรวจทุกท่านที่มุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละ และอุทิศตนในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถในอาชีพตำรวจที่ท่านรัก และขอขอบคุณครอบครัวของข้าราชการตำรวจทุกท่านที่คอยช่วยเหลือ สนับสนุนเป็นกำลังใจให้แก่กันและกันตลอดมา และขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ตลอดจนเดชะพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลพระราชทานพร ให้ข้าราชการตำรวจทุกท่านและครอบครัวมีความสุข ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการ มีพลานานัยสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัย และภยับตราย ทั้งปวง พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่สร้างความสงบสุข และเป็นธรรม ให้เกิดขึ้นกับกับกับพี่น้องประชาชนต่อไป

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดพิธีต่าง ๆ เนื่องในวันตำรวจ ประจำปี 2567 โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธาน ได้แก่ พิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , พิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4 , พิธีถวายราชสักการะพระบรมรูปหล่อ รัชกาลที่ 9 , พิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานและเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี รอง ผบ.ตร. , ผู้ช่วย ผบ.ตร., นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ข้าราชการตำรวจในสังกัด และคณะสมาคมแม่บ้านตำรวจ เข้าร่วมพิธี

จากนั้น ผบ.ตร.พร้อมคณะฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ที่หอผู้ป่วยข้าราชการตำรวจ อาคารภูมิพลมหาราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ จำนวน 2 ราย คือ ร.ต.ท.วิชระ กลีบสัตบุตร รอง สวป. สภ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร และ ด.ต.ชัยยุทธ์ สุจริต ผบ.หมู่ (ป) สภ.เมืองลพบุรี

ในช่วงบ่าย ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ผบ.ตร.จะเดินทางไปเป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 , พิธีถวายราชสักการะพระบรมรูปหล่อ รัชกาลที่ 9 , พิธีสดุดีข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ และพิธีกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของข้าราชการตำรวจและนักเรียนนายร้อยตำรวจ เนื่องในวันตำรวจ ประจำปี 2567 ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนข่าวปลอม 'เพจอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ช่วยคืนเงินคดีดัง' อย่าหลงเชื่อ อย่าแชร์ส่งต่อ แนะไม่กดลิงก์ ไม่แชต ไม่คุย ไม่กรอกข้อมูลใดๆ หากสงสัยติดต่อสอบถาม 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

(17 ต.ค.67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีเพจปลอม อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ จะคืนเงินผู้เสียหาย หรือใช้ภาพบุคคลสำคัญอ้างช่วยเหลือคดีออนไลน์ เพื่อให้ได้เงินคืน โดยหลอกให้กดลิงก์กรอกข้อมูลทางสื่อโชเชียลนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเรียนแจ้งว่า ไม่เป็นความจริง เป็นข่าวปลอมที่มิจฉาชีพใช้กลอุบายหลอกหลวง โปรดอย่าหลงเชื่อ ไม่กดลิงก์ ไม่แชต ไม่คุย ไม่กรอกข้อมูลใดๆ ซึ่งอาจทำให้เราตกเป็นเหยื่อสูญเสียทรัพย์สินได้ รวมทั้งไม่แชร์ ส่งต่อข้อความดังกล่าว ซึ่งอาจจะเป็นความผิดในการส่งข่าวปลอม ข้อมูลเท็จ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ได้ 

ขณะนี้คดีที่ปรากฎตามข่าว ยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนรวบรวมหลักฐาน หากมีความคืบหน้าทางคดี หรือขั้นตอนกระบวนการใดๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะ

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ที่หมายเลข 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘อาจารย์สุวินัย’ วิเคราะห์ไพ่ตาย The iCon Group จี้! ตำรวจไล่ตามยึดคริปโต-ทรัพย์เหล่าตัวการให้เหี้ยน

(17 ต.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักเขียนชื่อดัง ได้โพสต์วิเคราะห์ไพ่ตายของบอสพอลและ The iCon Group ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า

'ไพ่ตาย' ของ 'บอสพอล' ที่ยังถืออยู่

ผมอาจะคิดลึกไป แต่ถ้าดูจากแววตาของบอสพอลที่เพิ่งโดนตำรวจรวบตัวไปวันนี้ ... ผมไม่เห็นความหวั่นไหวในแววตาของบอสพอลนะ ...ซึ่งต่างจากแววตา 'สวรรค์ล่ม' ของ 'บอสกันต์' เมื่อสองวันก่อนอย่างชัดเจน

ผมคิดว่า การถูกตำรวจคุมตัว เป็นหนึ่งในแบบจำลองการรับมือกับวิกฤตที่ตัวบอสพอลเองได้เตรียมใจและเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้าแล้ว

เหมือนอย่างการที่บอสพอลตีสองหน้า สองบุคลิกตอนไปออกรายการโหนกระแส กับให้สัมภาษณ์ The Standard

'ไพ่ตาย' ที่บอสพอลยังมีอยู่ คือการแปลงเงินหลายพันล้านที่เขา 'ดูดทรัพย์' มาจากแชร์ลูกโซ่ The iCon ไปเป็นเหรียญคริปโต แล้วมอบให้ 'ผู้ช่วยมือขวา' ที่เขาไว้ใจดูแลแทน รวมทั้งเผ่นหนีออกไปต่างประเทศอย่างลอยนวล ... ตราบใดที่ทางตำรวจยังยึด 'ไพ่ตาย' ใบนี้ของบอสพอลไม่ได้ ตราบนั้นเกมนี้ผมยังไม่ถือว่าฝ่ายตำรวจชนะเบ็ดเสร็จนะ

การที่ ปปง. อายัดเงินแค่ 125 ล้านของพวกบอสพอล ถือว่ายังห่างไกล ต่อให้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัท The iCon ซึ่งมีอยู่สองพันล้านก็ยังไม่พอ ... การยึด 'ไพ่ตาย' ของบอสพอลให้ตกเป็นของแผ่นดินต่างหากคือ ชัยชนะที่แท้จริงของคดีนี้

เพราะ หัวใจของคดีนี้คือ ปปง. ต้องยึดทรัพย์ตัวการทั้งหมดให้เหี้ยน ถึงจะสาสม

อย่างไรก็ตามขอชื่นชมการทำงานของทางการในคดีแชร์ลูกโซ่ The iCon ว่าทำได้ฉับไวมากและตระหนักถึงความร้ายแรงของคดีนี้ ... ขอปรบมือดัง ๆ ให้กำลังใจทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกท่านครับ

~ สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top