Thursday, 26 June 2025
NEWS FEED

‘ต่อตระกูล ยมนาค’ ชม ‘พีระพันธุ์’ เปาะ นัก กม. สู้คดีโฮปเวลล์ สู่ภารกิจพลังงาน

(31 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ตัวอย่างนักกฎหมายที่ดี เขาทำประโยชน์ให้ชาติ เป็นหมื่นล้าน ไม่เรียกร้องเปอร์เซ็นต์

ไม่เหมือน นักกฎหมายชื่อดัง ๆในหน้าข่าวทุกวันนี้ เรียกเงิน ทีละเป็นสิบล้าน 10 %ของจำนวนเงิน 100 ล้านที่จะเรียกคืนจากสามี ให้บริการแค่ให้คำปรึกษาสั้น ๆ ทางโทรศัพท์และเจอตัวกันแค่ 3 ครั้ง อ่านแล้วเศร้าใจ

ส่วน พีระพันธุ์ นักกฎหมายเพื่อประชาชนตัวจริง ต่อสู้ ค่าโง่โฮป เวลล์ ที่คณะอนุญาโตตุลาการตัดสินแล้ว สั่งให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยให้รัฐบาลต้องจ่ายเงินค่าเสียหาย25,000 ล้านบาท จนชนะความ รัฐบาลไทยไม่ต้องจ่ายสักบาทเดียว

ผมได้เคยเจอนั่งคุยกับคุณพีระพันธุ์ ในงานสวดครั้งหนึ่งที่วัดธาตุทอง ช่วงนั้น คุณพีระพันธุ์ อดีตสส. ปชป. 7 สมัย ว่างงาน ปชป.ไม่ได้เป็นรัฐบาล ผมรู้ได้จากการพูดคุยว่า คุณพีระพันธุ์ เป็นคนที่ลงมือค้นหาข้อมูลมาต่อสู้เรื่องทาง กฎหมายต่าง ๆ ด้วยตัวเองทุก ๆ เรื่อง และเป็นคนที่คิดแต่จะให้ พอรู้ว่าผมเป็นวิศวกร ก็เลยขอปรึกษาเรื่องการสร้างศาลา ใหม่มอบให้วัดธาตุทอง

ซึ่งคุณพีระพันธุ์ ได้ออกแบบเองไม่เหมือนศาลาสวดศพทั่วไป บอกว่าจะใช้โครงสร้างเหล็กจะได้เสร็จเร็ว เสียดายที่งานได้เริ่มไปแล้ว ถ้าผมรู้เร็วกว่านี้ ผมจะแนะให้สร้างง่าย ๆ ด้วยโครงสร้างคอนกรีตธรรมดานี่แหละ ช่างที่ทำตามวัดเขาจะสร้างได้ชำนาญกว่า และผมจะร่วมทำบุญ ดูแลงานก่อสร้างให้ด้วย ตอนนี้ผ่านมากว่า 4 ปี ศาลาก็ยังไม่เสร็จ

มาถึงวันนี้ คุณพีระพันธุ์ มาเป็น รมต.พลังงาน ในรัฐบาลปัจจุบัน ตำแหน่งที่มีโอกาสหาเงินได้ ไม่ต้องเรียกก็จะมีบริษัทพลังงานต่าง ๆ ยินดีมามอบเงินให้เป็น 100 เป็น 1,000 ล้านสบาย ๆ 

แต่คุณพีระพันธุ์ กลับเลือกที่จะอยู่ข้างประชาชน ประกาศจะลดค่าน้ำมัน ให้ได้อย่างถาวร เลิกอ้างอิงต้นทุนจากราคาของสิงคโปร์ แล้วร่างระเบียบ กฎหมายใหม่ให้เป็นธรรมขึ้น

ผมจึงติดตามอยู่ ว่าจะคุณพีระพันธุ์ จะทำได้แค่ไหน เมื่อได้เห็นจดหมายรายงานการทำงานครบ 1 ปี ในเว็บไซต์ของคุณพีระพันธุ์ ได้อ่านแล้วรู้สึกดีใจ ว่าประเทศไทยยังมีนักการเมืองที่มีความรู้ความสามารถและเป็นคนดีอยู่บ้าง

ทำความรู้จัก ‘มหาสมุทรซีฟู้ด’ สะพานเชื่อมผู้บริโภค-ชาวประมง

(31 ต.ค. 67) วัตถุดิบจากท้องถิ่นของไทยโดยเฉพาะอาหารการกิน กุ้ง หอย ปู ปลา จากน้ำในแผ่นดินนี้ล้วนแต่มีรสชาติเยี่ยมไม่แพ้ใครอย่างแน่นอน 

นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์หนึ่งในวงการอาหารที่น่าสนใจ คือ นักทำอาหารชาวไทย รวมถึงชาวประมง ได้มีการพัฒนาทักษะขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะทักษะการถนอมอาหารแบบญี่ปุ่น โดยเฉพาะ ‘การทำอิเคะจิเมะ’ ทำให้เกิดเป็นเทรนด์ซาซิมิปลาไทยขึ้นอย่างแพร่หลาย 

กรรมวิธีเหล่านี้ทำให้มูลค่าของผลิตภัณฑ์จากท้องทะเลเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก นอกจากเทรนด์ของซาซิมิปลาไทยแล้ว วันนี้ THE STATES TIMES ขอนำเสนอหน้าร้านแห่งนึงที่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างพี่น้องชาวประมงกับผู้บริโภค 

ในร้านที่มีชื่อว่า ‘มหาสมุทรซีฟู้ด’ หรือ Mahasamutfoods

โดยร้านแห่งนี้ปัจจุบันมี 3 สาขา ได้แก่ Gourmet Market Siam Paragon ชั้น G (โซนซีฟู้ด), โซนงาน Gourmet Tastival, Gourmet Market, Siam Paragon (ติดกับโซนสลัดบาร์), Gourmet Market The Mall ท่าพระ ชั้น B1 (หน้าร้าน You Hunt We Cook)

สำหรับผลิตภัณฑ์เด่นที่ทาง ‘มหาสมุทร’ ได้คัดเลือกมาส่งถึงมือของผู้บริโภค จะประกอบไปด้วย ปลากะพง 3 น้ำ จากสงขลา, ปูดำ จากนครศรีธรรมราช, หอยนางรม จากสุราษฎร์ธานี

ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ล้วนได้รับการรับรอง GI หรือ ‘สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์’ เป็นเครื่องหมายประดับคุณภาพของอาหารจากท้องถิ่น 

โดยเฉพาะปลากะพง 3 น้ำ ที่ทาง THE STATES TIMES ได้เคยลงบทความที่เล่าถึงที่มาที่ไปอย่างละเอียดของการเพิ่มมูลค่าของ ‘อาหารทะเลไทย’ สามารถติดตามได้ที่(https://today.line.me/th/v2/article/PGPOvW5)

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตาม ‘มหาสมุทรซีฟู้ด’ ได้ที่ https://www.facebook.com/profile.php?id=61563070555114&locale=th_TH

เช็ก 3 กลุ่ม รัฐบาลเร่งให้สัญชาติไทย ตามมติ ครม. 29 ต.ค. 67

(31 ต.ค. 67) THE STATES TIMES เปิดเงื่อนไขตามมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้สัญชาติไทย 483,000 คน ดังนี้ 

ครม.เห็นชอบตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนออนุมัติหลักเกณฑ์ เพื่อเร่งรัดแก้ไขปัญหาสัญชาติ และสถานะของกลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาในไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย แบ่งเป็น 

>>>ซึ่งจากการสำรวจตั้งแต่ พ.ศ. 2527 จนถึง 2542 มีกลุ่มผู้อพยพเข้ามาเป็นเวลานานประมาณ 120,000 คน 

>>>และเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน ซึ่งมีการสำรวจตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2554 มีประมาณ 215,000 คน 

>>>กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของชนกลุ่มน้อย 29,000 คน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของบุคคลที่ไม่มีสถานะตามทะเบียนประมาณ 113,000 คน รวมทั้งหมดประมาณ 483,000 คน

โดยการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันนี้เป็นการลดขั้นตอนมอบสัญชาติให้กับบุคคลเหล่านี้ ที่ต้องใช้ระยะเวลาถึง 44 ปี ปัจจุบันการให้สัญชาติไทยกับบุคคลข้างต้นจะเป็นการยกเลิกขั้นตอนต่าง ๆ จำนวนมาก โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ข้อสังเกต 2-3 ข้อ หากให้สัญชาติไทยกับบุคคลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน จะเกิดผลกระทบใดตามมาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่ สมช.เสนอ และส่งให้กระทรวงมหาดไทยประกาศบังคับใช้ในรายละเอียดไม่น้อยกว่า 30 วันไม่เกิน 60 วัน

อัญเชิญ ‘พระเขี้ยวแก้ว’ วัดหลิงกวง ให้คนไทยได้สักการะ ตอกย้ำสัมพันธ์แน่นแฟ้น “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน”

(31 ต.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน : พระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง ณ กรุงปักกิ่งจะไปประดิษฐานที่ประเทศไทย

มีผู้สื่อข่าวตั้งคำถามว่า มีการรายงานว่า รัฐบาลไทยจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง ณ กรุงปักกิ่งไปประดิษฐานที่ประเทศไทย ฝ่ายจีนสามารถยืนยันในประเด็นนี้ได้หรือไม่ และมีความคิดเห็นอย่างไร?

นายหลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ระบุว่า ตามคำเชิญของรัฐบาลไทย เพื่อเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ (72 พรรษา) และเฉลิมฉลองการครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทยในปีพ.ศ. 2568 ฝ่ายจีนมีความยินดีที่จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง ณ กรุงปักกิ่งไปประดิษฐานที่กรุงเทพฯ เป็นระยะเวลา 73 วัน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568

หลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้สถาปนาขึ้น พระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวงได้เคยถูกอัญเชิญไปประดิษฐานในต่างประเทศถึง 6 ครั้ง และได้รับความศรัทธาอย่างกว้างขวางจากพุทธศาสนิกชนในประเทศที่อัญเชิญ เชื่อว่าการประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ในประเทศไทยครั้งนี้จะเสริมสร้างความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนระหว่างพุทธศาสนิกชนของจีนและไทย เสริมสร้างความหมายของประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีน-ไทย ส่งเสริมแนวคิด “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ให้หยั่งรากลึกในหัวใจของประชาชนมากยิ่งขึ้น

สำหรับ พระเขี้ยวแก้ว ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเพียง 2 องค์บนโลกมนุษย์นี้ ซึ่ง 1 ในนั้นอยู่ที่วัดหลิงกวง วัดเก่าแก่อายุนับ 1,000 ปี ตั้งอยู่ในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน โดยจะอัญเชิญมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวที่ไทย เป็นเวลา 73 วัน ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 หลังจากได้เคยอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ พุทธมณฑล ที่ประเทศไทยครั้งแรกในปี 2545  ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นสิริมงคลยิ่งต่อพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทยและชาวจีนในประเทศไทยที่มีโอกาส เข้าสักการะโดยไม่ต้องเดินทางไป ถึงกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน 

ผบ.ทร. มอบประกาศเกียรติคุณยกย่องชมเชย กำลังพล ประกอบคุณงามความดี

(31 ต.ค. 67) พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นประธานในพิธี มอบประกาศเกียรติคุณชมเชยกำลังพลกองทัพเรือ ที่ประกอบคุณงามความดี เสียสละช่วยเหลือสังคม และสร้างชื่อเสียงให้กับกองทัพเรือ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กำลังพลของกองทัพเรือ มีความเสียสละช่วยเหลือสังคม ณ ห้องประชุมสุพรรณหงส์ อาคารส่วนบัญชาการ กองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน กรุงเทพมหานคร

กำลังพล ที่เข้ารับมอบประกาศเกียรติคุณยกย่องชมเชย จากผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนอันแสดงถึงความกล้าหาญและความเสียสละ ในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในทันที ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมและได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพเรือ ให้ปรากฏต่อสาธารณชน โดยเป็น  กำลังพลจากหน่วยบัญชาการต่อสู้กาศยานและรักษาฝั่ง จำนวน 3 นาย ได้แก่
1.พันจ่าเอก คมสันต์ เสาทอง สังกัด กรมสนับสนุน หน่วยบัญชาการต่อสู้กาศยานและรักษาฝั่ง
2.จ่าเอก พัทธดนย์ จงใจรักษ์ สังกัด กรมสนับสนุน หน่วยบัญชาการต่อสู้กาศยานและรักษาฝั่ง
3.จ่าเอก สิฐิชัย รุ่งเรือง  สังกัด กรมสนับสนุน หน่วยบัญชาการต่อสู้กาศยานและรักษาฝั่ง

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือน 5 ผีร้ายฮาโลวีน!! ที่จะมาหลอกหลอนคุณจนหมดตัว

(31 ต.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพที่ก่ออาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลฮาโลวีน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอเตือนระวังภัย 5 ผี มิจฉาชีพ ที่พี่น้องประชาชนต้องระวัง อย่าให้มาหลอกหลอน สร้างความเสียหายในสังคม

1. ผีขายของ - โฆษณาขายสินค้าราคาถูก หากหลงเชื่อจะถูกหลอก ได้แค่วิญญาณของสินค้า (ไม่รับสินค้าจริง) หรือได้รับสินค้าที่ไม่ตรงปก

2. ผีดูดทรัพย์ - ชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจที่อ้างว่าผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงต่ำ ใช้ระยะเวลาสั้น สุดท้ายเป็นแชร์ลูกโซ่ หรือหลอกเอาเงิน

3. ผีหลอกรัก - แอบอ้างเป็นชาวต่างชาติหน้าตาดี มีฐานะ ทักมาสร้างสัมพันธ์ จากนั้นจะอ้างเหตุสารพัด หลอกให้โอนเงินไปให้

4. ผีทักแชต - ส่งข้อความหลอกลวงแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการ หรือเอกชน แนบลิงก์ให้กด ติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงิน หรือหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล

5. ผีชวนเปิด - ชักชวนให้เปิดซิมผี บัญชีม้า ให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ แลกกับค่าตอบแทน จากนั้นจะถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิด ทำให้เจ้าของซิมผี บัญชีม้า ถูกดำเนินคดี

นอกจากนี้ พี่น้องประชาชนยังต้องระมัดระวังในการเดินทางและท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลฮาโลวีน โดยควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และสังเกตทางออกฉุกเฉินอยู่เสมอ เพื่อจะได้หนีออกจากสถานที่ดังกล่าวได้หากเกิดเหตุไม่คาดคิด รวมไปถึงการดูแลบุตรหลานของท่านอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการผลัดหลง หรือถูกผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสล่อลวงบุตรหลานของท่านไป

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นการหลอกลวง หรือเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 และหากท่านตกเป็นเหยื่อ หรือได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือแจ้งความออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผู้ต้องขังคดี 112 เปิดหน้าอกเป็นรอย 112 จากการกรีด ในห้องศาลขณะฟังคำตัดสิน

(31 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน’ ได้โพสต์ข้อความว่า 

บันทึกจากห้องพิจารณาคดีที่ 707 : รอยกรีด 112 บนหน้าอก #เก็ทโสภณ ประท้วงกระบวนการยุติธรรมและปัญหาของมาตรา 112 

เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2567 เวลา 09.36 น.
ณ ห้องพิจารณาคดีที่ 707 ศาลอาญา 
กับรอยเลือดบนหน้าอก 'เก็ท' โสภณ ที่ถูกกรีดเป็นคำว่า ‘112’

ช่วงเช้าของวันที่ 29 ต.ค. 2567 ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในคดี #มาตรา112 ของ 'เก็ท' โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง นักกิจกรรมกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ จากเหตุปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการจัดการวัคซีนโควิด-19 และการใช้งบประมาณของสถาบันกษัตริย์ ในวันแรงงานสากลปี 2565 ภายใต้กิจกรรม #แจกน้ำยาให้หมามันกิน 

เก็ทถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มายังห้องพิจารณาคดี แต่ก่อนที่ศาลจะเริ่มอ่านคำพิพากษา เก็ทเดินเข้าไปในคอกพยาน และขออนุญาตศาลแถลงบางอย่าง ก่อนที่ศาลจะอ่านคำพิพากษา เสียงพูดคุยในห้องก็เริ่มเงียบลง ทุกสายตาในห้องพิจารณาคดีจ้องมาที่เก็ท

เก็ทยืนตรง สายตามองไปที่ผู้พิพากษา และถอดเสื้อนักโทษสีน้ำตาลออก แต่มีสิ่งหนึ่งที่แปลกตาไป นั่นคือมีรอยแผลจากการกรีดบริเวณหน้าอก เป็นตัวเลข 112 ก่อนเขาเริ่มเอ่ยคำแถลงมีเนื้อหาที่พอจดบันทึกได้

“..ท่านอาจมองว่าการถอดเสื้อเป็นเรื่องไร้มารยาท การเอามีดมากรีดอกเป็นสิ่งที่ผิดปกติ ถ้าท่านเห็นว่าสิ่งที่ผมทำเป็นเรื่องผิดปกติ มีสิ่งที่ผิดปกติกว่านั้น

“การจับคนเข้าคุกไปดำเนินคดี การที่ใช้มาตรา 112 มากกว่า 300 คน ทั้งที่สำนักพระราชวังไม่ได้ฟ้อง สถาบันกษัตริย์ไม่ได้เป็นโจทก์ร่วม ในการพิจารณาคดีมีสิ่งผิดปกติมากมาย บางคนไม่ได้สิทธิประกันตัว บางคนโดนถอนประกัน 

“เวลาที่ศาลตัดสิน สมเหตุสมผลกับพฤติการณ์หรือไม่ บางครั้งเราแสดงความเห็นด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ทำไมโทษถึงหนัก อย่างที่อานนท์โดนโทษจำคุกสี่ปี

“อย่างที่ท่านกำลังจะตัดสินผมวันนี้ ท่านไม่ได้แค่ทำร้ายผม แต่ทำร้ายครอบครัวผม คนรักผม และเพื่อนผมด้วย 

“ท่านกำลังสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับสังคม เราจะอยู่กันอย่างไรถ้าเราหยิบความจริงมาพูดกันไม่ได้ แสดงความเห็นไม่ได้ แม้ว่ามันจะมีประโยชน์ต่อสาธารณชน แต่ถ้ามันเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์

“ผมให้ความเคารพท่าน ไม่ใช่แค่ฐานะผู้พิพากษา แต่เป็นสถาบันตุลาการด้วย ท่านไม่ใช่แค่ศาลใต้พระปรมาภิไธยเท่านั้น ท่านศักดิ์สิทธิ์ในนามสถาบันตุลาการ สามารถชี้ผิดชี้ถูกได้

“ผมอยากให้คำตัดสินของท่านวันนี้สั่งสอนผม และประชาชนที่มาสังเกตการณ์วันนี้ ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกหรือผิด และประชาชนไทยมีเสรีภาพในการแสดงความเห็นเท่าไหร่

“ผมใช้มีดกรีดอกตัวเอง แต่ละแผลมันเจ็บมาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ท่านรู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เด็กอย่างรุ่นผมคิดได้ ท่านก็ต้องคิดได้ว่ามาตรา 112 มีปัญหา ตั้งแต่การดำเนินคดี การฟ้อง และการพิพากษา 

“ท่านผู้พิพากษามีศักดิ์และสิทธิในการแก้ปัญหาความผิดปกตินี้ที่มันเกิดขึ้น แต่ถ้าท่านเพิกเฉย มองว่าเป็นเรื่องปกติ ทำตามหน้าที่ มันก็คือการหล่อเลี้ยงปัญหาที่เกิดขึ้น

“วันนี้ท่านจะพิพากษาผมยังไงก็แล้วแต่ แต่ผมยืนยันว่ามาตรา 112 มีปัญหา

“เวลาผมนอนอยู่ในคุก ไม่ทำอะไร เดี๋ยวก็พรุ่งนี้ เดือนหน้า หรือปีหน้า เวลาเปลี่ยน สังคมไม่ได้เปลี่ยน สังคมมันเปลี่ยนแปลงเพราะคน

“ผมชื่นชม ถ้าท่านยึดมั่นในอุดมการณ์ พิพากษาอย่างเป็นกลาง ปราศจากอคติ แต่ผู้พิพากษาอีกหลายคนที่ไม่ได้ทำอย่างนั้น แต่เมื่อใส่ชุดครุยแล้ว ก็ควรที่จะไม่มีอคติ

“อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน เมื่อท่านถอดชุดครุยก็เป็นประชาชนเหมือนกัน”

ในคดีนี้ ศาลพิพากษาว่าเก็ทมีความผิดฐาน 'หมิ่นประมาทกษัตริย์' ตามมาตรา 112
ลงโทษจำคุกใน 3 ปี ก่อนลดเหลือ 2 ปี เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ 

หลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น เสียงบทสนทนาในห้องก็เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เก็ทหันหลังกลับไปหาประชาชนหลายสิบคนที่นั่งอยู่ในห้อง หลายคนก็เดินมาให้กำลังใจ สวมกอด ถามไถ่เกี่ยวกับรอยกรีดตัวเลขนั้น ในขณะที่บางคนก็นั่งมองอยู่ห่าง ๆ และบางคนก็ร้องไห้ออกมา

หลังเสร็จสิ้นกระบวนการ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เตรียมพาตัวเก็ทออกจากห้องพิจารณา เขาต้องบอกลาเพื่อน ครอบครัว รวมไปถึงคนรักอีกครั้งหนึ่ง 

แทนที่จะได้กลับบ้าน เก็ทต้องกลับไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่เขาถูกคุมขังมาแล้ว 1 ปี 2 เดือนเศษ ขณะก็ถูกนับโทษจำคุกรวมทั้งหมดในสามคดีเป็น 8 ปี 6 เดือน

‘ซูนึง’ สอบเข้ามหาวิทยาลัยเกาหลีใต้ วันชี้อนาคตเด็กเกาหลีที่ทั้งประเทศแทบหยุดนิ่ง

(31 ต.ค. 67) ในโอกาสครบรอบ 2 ปี เหตุการณ์โศกนาฏกรรมฝูงชนเบียดกันเสียชีวิตมากถึง 158 คน ที่ย่านอิแทวอน กรุงโซล เกาหลีใต้ 

เหตุการณ์โศกนาฏกรรมฮาโลวีนอีแทวอนในครั้งนั้น คือภาพสะท้อนสังคมเกาหลีใต้ได้ชัดเจน

โดยเพจเฟซบุ๊กของ Pornpichit Samaktham ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2565 หรือวันนี้ เมื่อ 2 ปีก่อนไว้อย่างน่าสนใจว่า วันนี้ขอพูดเรื่องต้นตอการศึกษาของประเทศเกาหลีใต้

คนเกาหลีไม่กลัวคนเยอะ เพราะสังคมสอนให้ผู้แกร่งถึงจะรอด ไม่กลัวคิว 3 ชม. ไม่กลัว ยัดแย่งกันบนรถไฟฟ้า ไม่กลัวเรียนหนัก ทำงานหนัก หรือ แม้กระทั่งบนรถไฟฟ้า ไม่มีผู้ชายหนุ่มๆ เสียสละให้คนแก่ นักเรียน ผู้หญิง นั่งก่อน ต้องแย่งกันนั่ง

ทำให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่อิแทวอน เบียดเสียดแย่ง เป็นเรื่องธรรมดา คนยิ่งเยอะยิ่งชอบ

เท่าที่คุยกับคนเกาหลีมา ผมขอสรุปภาษาชาวบ้านง่ายๆ ว่าคนเกาหลีสะสมความเครียดจากการศึกษา ทำงาน สังคม ต้องปลดปล่อยในเรื่องบันเทิงแบบสุดๆ เพราะเก็บสะสมความเครียดมาจากเรื่องข้างต้น

คนเกาหลีดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก มากกว่าคนรัสเซียเสียอีก ดื่มกันตั้งแต่เด็ก นักศึกษาจนวัยทำงาน ทั้งเพศชายและหญิง

มาดูเรื่องการศึกษา

จีนสอบเกาเข่า ไทยสอบ GAT - PAT ส่วนเกาหลีใต้ก็มีสอบซูนึง ในการเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย

"การสอบซูนึง"

นี่คือการวัดอนาคต นักเรียนมัธยมปลาย ใช้เวลา แค่ 8 ชั่วโมง บ่งบอกทั้งชีวิตของคนเกาหลีใต้

การสอบซูนึง ของเด็ก ม.6 หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว วัดทุกอย่างที่เรียนมาทั้งชีวิต ไม่มีโอกาสให้แก้ตัว เป้าหมายการเข้ามหาวิทยาลัยดัง มีเวลาแค่ 8 ชั่วโมงเท่านั้น

เพราะฉะนั้น วันสอบซูนึง คือวันสำคัญของประเทศเกาหลีใต้ แนะนำนักท่องเที่ยวควรเลี่ยงวันนี้ เพราะจะมีเหตุการณ์ไม่ปกติของประเทศนี้เกิดขึ้น เด็กกว่า 600,000 คน แยกย้ายกันไปกว่า 1,200 สนามสอบทั่วประเทศ 

วันนี้เครื่องบินไฟล์ต่างประเทศ ในประเทศ ตลาดหุ้น ช็อปปิ้งมอลล์ ต้องเลื่อนเวลาทำการ เพื่อไม่ให้กระทบสมาธิของเด็ก

รถไฟฟ้า รถเมล์ ขนส่งสาธารณะ ขยายเวลาทำการ เพื่อบริการเด็กมาถึงสนามสอบให้ทัน 

ส่วนตำรวจห้ามลาเด็ดขาด ทุกคนต้องมาประจำบนถนน เพื่อรับส่งเด็กเข้าห้องสอบให้ทันทุกกรณี

ส่วนผู้ปกครองปู่ย่าตายาย มีหน้าที่สวดมนต์ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่ออนาคตของลูกหลาน จะได้ประสบความสำเร็จ ต่างคนต่างต้องช่วยกัน

และแน่นอนว่า ถ้าใครไม่ทันสนามสอบในวันนี้

หมายถึงอนาคตดับวูบไม่ได้แก้ตัว ไม่มีมหาวิทยาลัยรองรับ  ต้องสอบใหม่ปีหน้า หรือไปเรียนต่างประเทศ หรือ ไม่เรียนต่อเลย 

ส่วนวันเวลาสอบ คือ สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี

มาดูกันเขาสอบซูนึงหรือ CSAT ( College Scholastic Ability Test) มีวิชาอะไรกันบ้าง

ภาษาเกาหลี คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ นี่เป็น 3 วิชาหลัก และมีวิชาเลือกอื่น ๆ ตามสาขา เช่น วิทยาศาสตร์ สังคม ประวัติศาสตร์เกาหลี และภาษาที่ 3 อื่นๆ

ที่นั่นแบ่งเป็นสายวิทยาศาสตร์ และสายศิลป์เหมือนบ้านเรานี่แหละ

นักเรียนเกาหลีใต้ออกจากบ้านไปติว 7-8 โมงเช้ากลับมาบ้านก็ 4 ทุ่มเข้านอนกันเลย เรียกว่าเด็กไทยชิดซ้าย

ขนาดซีรีส์เกาหลียังทำหนังเกี่ยวกับเส้นทางเข้า 3 มหาวิทยาลัยดังชั้นนำของประเทศเลย อย่างเรื่อง Reach for the Sky  
https://youtu.be/JCVI4b96m5I
นี่คือวาระแห่งชาติเกาหลีใต้จริงๆ

THE STATES TIMES ผนึกกำลัง SPUTNIK เชื่อมเครือข่ายข้อมูลข่าวสารข้ามโลก

(31 ต.ค. 67) สำนักข่าว THE STATES TIMES ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ(Memorandum of Understanding : MOU) ร่วมกับสำนักข่าว SPUTNIK ประเทศรัสเซีย 

การลงนามใน MOU ครั้งนี้ จะทำให้ทั้ง 2 สำนักข่าวสามารถใช้ทรัพยากรโดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารระหว่างกันได้ เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอข่าวระหว่างประเทศของทั้ง 2 สำนักข่าว

นายณัฐภูมิ รัฐชยากร กรรมการผู้จัดการ นิวสเปคทีฟ กรุ๊ป ได้เปิดเผยว่า ในปัจจุบันข่าวสารจากประเทศรัสเซียในประเทศไทยยังขาดความหลากหลหายในการนำเสนอ ทางสำนักข่าว The States Times หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการลงนามในบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้จะสามารถทำให้ประชาชนชาวไทยรับข่าวสารจากทางประเทศรัสเซียได้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น

อีกทั้งตนยังมีความเชื่อว่าการที่ทางสำนักข่าว SPUTNIK ได้นำเสนอข่าวสารจากประเทศไทยมากยิ่งขึ้นนั้นจะช่วยสร้างความเข้าใจในประเทศไทยให้แก่ชาวรัสเซีย นำมาซึ่งความร่วมมือกันระหว่างไทยและรัสเซียในด้านต่าง ๆ ในอนาคต อาทิ การลงทุน การท่องเที่ยว 

และเพื่อให้การร่วมมือในครั้งนี้ประสบความสำเร็จทางสำนักข่าว THE STATES TIMES จึงได้เชิญ ผศ.ดร.กฤษฎา พรหมเวค คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นที่ปรึกษาในความร่วมมือครั้งนี้

ด้าน Vasily Pushkov ผู้อำนวยการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศของสำนักข่าว SPUTNIK เปิดเผยว่า ปัจจุบันข่าวสารของประเทศไทยที่มีการเผยแพร่ในประเทศรัสเซียมีจำนวนไม่มากนัก สวนทางกับจำนวนผู้คนที่สนใจ จากที่มีชาวรัสเซียจำนวนมากได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศไทย แม้ว่าทางสำนักข่าวของเราจะมีผู้สื่อข่าวประจำที่ประเทศไทย 1 ตำแหน่งแล้วแต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ

ดังนั้นการลงนามในบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้จึงเป็นไปเพื่อกระจายข่าวสารของประเทศไทยในรัสเซีย นอกจากนี้ทางประเทศไทยยังสามารถสื่อสารเรื่องราวของประเทศรัสเซียได้มากยิ่งขึ้น 

ในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักข่าว THE STATES TIMES ร่วมกับสำนักข่าว SPUTNIK ในครั้งนี้ ได้มีนายพรภิชิต สมัครธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักข่าว  THE STATES TIMES และ ผศ.ดร.กฤษฎา พรหมเวค คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงร่วมเป็นพยานในการลงนามดังกล่าว

ททท. จัด Workshop 12 StartUp แลกเปลี่ยนแนวคิดพัฒนาอุตฯ ท่องเที่ยว

(31 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ 22 ต.ค. 67 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ได้จัดกิจกรรม Founder First Date ภายใต้โครงการ TAT TRAVEL TECH STARTUP 2024 ณ ท่าเรือ ICONSIAM คลองสาน กรุงเทพฯ โดยมีนางจิระวดี คุณทรัพย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท. เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมทั้งคุณกิตติ พรศิวะกิจ กรรมการ ททท. ร่วมแสดงความยินดีและกล่าวเปิดงาน

กิจกรรมนี้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ Travel Tech Startup ทั้ง 12 ทีมที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้สมัครทั้งหมด 76 ทีม ได้ทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนไอเดียร่วมกัน โดยได้รับคำแนะนำจากองค์กรพันธมิตรด้านการสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยวหลากหลายภาคส่วน

รายชื่อทีมผู้ผ่านคัดเลือกทั้ง 12 ทีมได้แก่
1. AAppoint (บริษัท แอพพ้อยท์เม้นท์ เอนี่แวร์ จำกัด)
2. Ascend Travel (บริษัท แอสเซนด์ แทรเวิล จำกัด)
3. Carbonwize (บริษัท คาร์บอนไวซ์ จำกัด)
4. CARMEN (บริษัท คาร์เมน ซอฟต์แวร์ จำกัด)
5. CERO (บริษัท เวคิน (ประเทศไทย) จำกัด)
6. CFoot (บริษัท แพลนเน็ตซี จำกัด)
7. Giant Stride (บริษัท ไจแอนท์ สไตรด์ จำกัด)
8. HAUP (บริษัท ฮ๊อปคาร์ จำกัด)
9. SHIN Platform (บริษัท ชิบะรูม จำกัด)
10. Socialgiver (บริษัท โซเชียลโมชั่น วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด)
11. YACHT ME Platform (บริษัท ยอร์ช มี คอร์เปอเรชั่น จำกัด)
12. สะอาดทริป (นายสิทธิเดช เฑียรแสงทอง)

ในงานยังมีผู้แทนจากองค์กรพันธมิตรเข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), ธนาคาร SME D BANK, สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย, บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด, บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, SCBx NEXT TECH, The Able By KING POWER, ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC), บริษัท เดนท์สุ (ประเทศไทย) จำกัด, สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย, Mission To The Moon, Greenery Media และ THE STATES TIMES

ทีมที่ผ่านเข้ารอบจะเข้าร่วมกิจกรรม TAT Startup Bootcamp 1-2 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันรอบสุดท้ายซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ณ SCBX Space สยามพารากอน ชิงเงินรางวัลรวม 350,000 บาท พร้อมสิทธิประโยชน์จากพันธมิตรในโครงการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top