Wednesday, 25 June 2025
NEWS FEED

‘นิพิฏฐ์’ เผย!! ‘ชูวิทย์’ ตอบไลน์ กำลังจะกลับไทยแล้ว หลังบินไปรักษา ‘โรคมะเร็งตับ’ ระยะที่ 5 กับลูกสาว

(3 พ.ย. 67) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า …

เช้านี้ ผมไลน์หาคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กัลยาณมิตรของผม คุณชูวิทย์ตอบว่า กำลังจะกลับเมืองไทยแล้ว กลับเมื่อไหร่จะแวะไปกราบคุณนิพิฏฐ์ ผมดีใจรอคุณชูวิทย์กลับมา

สำหรับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและจอมแฉชื่อดัง ออกมาเปิดเผยว่าเป็นโรคมะเร็งตับ ระยะที่ 5 อยู่ได้อีก 8 เดือน และประกาศยุติการแฉ ก่อนเดินทางไปรักษาตัวที่ต่างประเทศพร้อมกับลูกสาว เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2566 ที่ผ่านมา

‘ไทย’ คว้าอันดับ 41 บนเวทีนวัตกรรมโลก และเป็นที่ 3 ใน ASEAN ด้านสัดส่วนการลงทุนวิจัย และนวัตกรรมต่อ GDP โดยเอกชน

(3 พ.ย. 67) ผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลกในปี 2024  นับเป็นอันดับสูงสุดที่ประเทศไทยเคยได้รับในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยประเทศไทยได้ขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 41 ของโลกจากทั้งหมด 133 ประเทศ (ขยับดีขึ้น 2 อันดับจากปีก่อนหน้า) และยังคงอยู่อันดับที่ 3 ในกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นรองประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย

ภาพรวมความสามารถทางนวัตกรรมของประเทศไทย มีพัฒนาการขยับอันดับทั้งปัจจัยทางเข้านวัตกรรม (Innovation input sub-index) และผลผลิตทางนวัตกรรม (Innovation output sub-index) สะท้อนให้เห็นถึงการขับเคลื่อนนวัตกรรมที่มาถูกทาง ปัจจัยชี้วัดความสามารถด้านนวัตกรรมที่ไทยมีความโดดเด่นที่สุดคือกลุ่มปัจจัยด้านระบบธุรกิจ โดยเฉพาะตัวชี้วัดสัดส่วนค่าใช้จ่ายมวลรวมภายในประเทศสำหรับการวิจัยและพัฒนาที่ลงทุนโดยองค์กรธุรกิจ (GERD financed by business, %) ยังคงเป็นปัจจัยที่ประเทศไทยมีความโดดเด่นเป็นอันดับ 1 ของโลกติดต่อกันมาเป็นปีที่ 5 ซึ่งสะท้อนให้เห็นการลงทุนของภาคเอกชนภายในประเทศที่มุ่งเน้นเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนองค์ประกอบตัวชี้วัดที่ต้องเร่งพัฒนา คือปัจจัยด้านการส่งออกบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารต่อการค้ารวม (ICT services exports, % total trade) สัดส่วนงบประมาณด้านการศึกษาต่อ GDP (Expenditure on education, % GDP) โดยมีปัจจัยอัตราของคุณครูในโรงเรียน (Pupil–teacher ratio, secondary) ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่ในตัวชี้วัดด้าน Human capital and research ที่ประเทศไทยต้องแก้ไขอย่างจริงจัง และอีกปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาคโรงงานอุตสาหกรรมคือ สัดส่วนการใช้พลังงานที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ (Low-carbon energy use, %) เพราะจะเห็นว่า Climate Tech ในอนาคตกำลังมีบทบาทอย่างมาก 

จากจุดที่เป็นความท้าทายทั้งหมดจะเห็นว่า หลายส่วนต้องเพิ่มการทำงานจากฝั่งภาครัฐ ในบทบาทของการเป็นผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม NIA จึงได้เชื่อมโยงความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อร่วมขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมไปด้วยกัน โดยมีประเด็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งจะต้องเดินหน้าอย่างไร ตามไปดูกัน!

ประเด็นการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา สกสว. มองว่าต้องเร่งสร้างความร่วมมือระหว่างนักวิจัยกับภาคเอกชนในการทำงานร่วมกัน เพื่อให้นักวิจัยเข้าใจภาคของตลาด ทั้งยังมองไปถึงความสำคัญในการพัฒนาภาคการศึกษา ทั้งด้านกำลังคนและในเชิงพื้นที่ โดยต้องสร้างการรับรู้ ส่งสัญญาณให้ภาคส่วนต่างๆ เชื่อมั่นในศักยภาพของนวัตกรรมไทยที่พัฒนาขึ้น 

ประเด็นการเร่งให้เกิดการขยายตลาดของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ และการทำแพลตฟอร์ม กระทรวงพาณิชย์ จะส่งเสริมให้เกิดการสร้างความร่วมมือกับเอกชน สร้างความรู้เกี่ยวกับการบริหาร และยังสนับสนุนให้เกิดการใช้ประโยชน์จาก Data ที่มาจากการจดสิทธิบัตรทั่วโลก เพื่อคาดการณ์อนาคตถึงแนวโน้มตลาด นอกจากนั้นยังรวมถึงอีกเทรนด์ที่สำคัญ คือการผลักดันให้เกิดการทำธุรกิจในหลัก ESG ในลักษณะที่ไม่ใช่แค่รายใหญ่เท่านั้น แต่รายเล็กก็ต้องขานรับด้วย 

ประเด็นหลักสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรม โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา เห็นสิ่งจำเป็นตั้งแต่การสร้างความเข้าใจถึงความสำคัญ และส่งเสริมให้เกิดการจดสิทธิบัตร ซึ่งที่ผ่านมามีกระบวนการอำนวยความสะดวกหลายอย่าง เช่น การใช้ AI เข้ามาช่วยเพิ่มความรวดเร็วและความแม่นยำ รวมถึงช่วยตอบคำถามเบื้องต้นต่างๆ นอกจากนี้ ยังมี Fast Track ทั้งในเรื่องเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรต่างๆ โดยมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ การแพทย์และสาธารณสุข และอาหารแห่งอนาคต รวมถึงการปรับแก้กฎหมายเกี่ยวกับระบบสิทธิบัตรเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศมากขึ้น 

นอกจากนั้นยังมี ปัจจัยด้านผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ (Creative outputs) ซึ่งมีตัวชี้วัดจำนวนภาพยนตร์ขนาดยาวปานกลางระดับชาติที่ผลิตในประเทศโดยเฉลี่ยต่อประชากรในช่วงอายุ 15-69 ปี (National feature films/mn pop. 15-69) ที่อันดับมีการขยับขึ้น โดยภาพรวมแม้จะยังไม่สูงมากแต่ก็เป็นสิ่งที่ประเทศมีศักยภาพ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA จึงมองว่าถึงเวลาเร่งเครื่องอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ Soft Power และส่งเสริมการทำงานระหว่างนักออกแบบและนักธุรกิจ ต่อยอดให้เกิดการนำสินทรัพย์ทางนวัตกรรมมาผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ นำอารมณ์ร่วมทางความรู้สึกที่เป็นจุดเด่นในการเล่าเรื่องมาประยุกต์ใช้นวัตกรรมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีจุดขาย 

และส่วนสุดท้ายการจะเดินหน้าระบบนวัตกรรมไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก ต้องมีการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานระดับนานาชาติ เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือให้เกิดการกำหนดทิศทางและวางแผนเชิงนโยบายอย่างตรงจุด รวมไปถึงการเร่งสร้างวิสาหกิจรุ่นใหม่ที่จะสามารถเติบโตไปเป็นยูนิคอร์นได้สำเร็จ 

‘หนุ่มรปภ.’ มุมานะ สู้!! จนสอบติด ‘นายสิบ ทบ.’ เผย!! เป็นระดับหัวกะทิ เรียนดี อันดับ 8 ของโรงเรียน

(3 พ.ย. 67) เป็นไวรัลที่มีผู้กดไลค์และเข้าไปคอมเมนต์ในวงกว้าง หลังเฟซบุ๊กกรมทหารราบที่ 3 ได้แชร์เรื่องราวของนักเรียนนายสิบทหารบกรายหนึ่ง ซึ่งมุมานะจากพนักงานรักษาความปลอดภัย สอบจนติดโรงเรียนนายสิบทหารบก ทั้งยังตั้งใจเรียนจนมีผลการเรียนติดอันดับ 8 ของโรงเรียน โดยระบุว่า …

‘จาก รปภ. สู่ นักเรียนนายสิบทหารบก นนส.พิสิษฐ์ อุไรรัตน์ (อาชา) มีผลสอบกลางภาค ได้อันดับ 8 ของโรงเรียน กองทัพบกสร้างโอกาส’

ซึ่งเป็นรายงานข่าวจากเพจ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (TV5HD Online) ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้าไปกดไลค์กว่า 4.4 หมื่นครั้ง แชร์ต่อไปมากกว่า 603 ครั้ง ส่วนมากต่างชื่นชมความตั้งใจ เช่นว่า

– ผมเองก็ จาก รปภ.สู่กรรมกรผสมปูนครับ

– ขอชื่นชม และยินดีด้วยนะคะ

– เก่งมากๆ ค่ะ ยอดเยี่ยมมากๆ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่นั้น

– คนเราแม้ต้นทุนชีวิตจะแย่ แต่มันก็ไม่ได้กำหนดบทบาท ฝันให้ไกลไปให้ถึง เก็บทุกๆ คำดูถูก เอามาเป็นแรงผลักดันครับ แต่บางครั้งโชคชะตาก็เหมือนแกล้ง หากไม่มีโควิด ป่านนี้ผมคงได้สมหวังแล้วครับ จบ ป.6 บ้านนอก จบ ม.3 กศน. ตอนจับใบแดงได้ ใช้วุฒิ ม.3 ต่อ ป.ตรี นิติศาสตรบัณฑิต ครับ

– ลุ้นโควต้าเตรียมทหารต่อเลยได้อันดับ 8

– คำนิยามที่ว่าทุกอาชีพมีเกียรติเท่ากัน แล้วทำไมจะต้องดีใจ และยินดีกับการเป็นนักเรียนนายสิบมากกว่าการเป็น รปภ.

– เป็นโอกาสที่ดีครับ ยิ่งใครมีวุฒิ ตั้งแต่ ม.6 ขึ้นไป ยิ่งง่าย สมัครทหาร แป๊บๆ ก็สอบนายสิบได้เลย

– อันดับ 8 รร.นนส. มีโอกาสเข้าเรียน รร.เตรียมทหาร มุ่งสู่ รร.นายร้อย จปร.ต่อไป

– ทุกอย่างในชีวิต มีโอกาสเป็นไปได้เสมอ..

– ชื่นชมค่ะทุกสิ่งเป็นไปได้ขอเพียงไม่ยอมแพ้

‘นิด้าโพล’ เผย!! ปชช. ยังเชื่อมั่นใน ‘ทนายความจิตอาสา’ ชี้!! ยังมีอยู่จริงแท้ แค่ไม่มากเท่าไร ยังคงไว้ใจได้อยู่

(3 พ.ย. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ทนายความจิตอาสาจริง ๆ” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อทนายความ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการมีอยู่จริงของทนายความจิตอาสาที่ช่วยเหลือประชาชนด้วยใจ ไม่สนใจผลประโยชน์หรือการสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.44 ระบุว่า มีจริง แต่ไม่มากเท่าไร รองลงมา ร้อยละ 26.56 ระบุว่า ไม่มั่นใจว่ามีจริง ร้อยละ 16.88 ระบุว่า ไม่มีจริง และร้อยละ 4.12 ระบุว่า มีจริง จำนวนมาก

ด้านบุคคลหรือหน่วยงานที่ประชาชนไว้ใจในการขอความช่วยเหลือหากไม่มั่นใจในความยุติธรรมจากคดีความที่ฟ้องร้องผู้อื่นหรือถูกผู้อื่นฟ้องร้อง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.06 ระบุว่า ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย รองลงมา ร้อยละ 21.83 ระบุว่า ชมรม สมาคม มูลนิธิ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่เกี่ยวข้อง ร้อยละ 19.16 ระบุว่า สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุด ร้อยละ 13.44 ระบุว่า ไม่ไว้ใจใครเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า ทนายอาสาจากสภาทนายความ ร้อยละ 11.37 ระบุว่า ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 ร้อยละ 9.01 ระบุว่า ทนายทั่วไป ร้อยละ 8.17 ระบุว่า ทนายอาสาจากเนติบัณฑิตยสภา ร้อยละ 6.87 ระบุว่า ทนายที่มีชื่อเสียง ร้อยละ 1.60 ระบุว่า นักการเมือง และร้อยละ 4.96 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ สื่อโทรทัศน์ สื่อสังคมออนไลน์

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความไว้วางใจของประชาชนต่อความช่วยเหลือที่จะได้รับจากการใช้บริการหรือขอคำปรึกษาจากทนายความ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.06 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ รองลงมา ร้อยละ 36.11 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 12.52 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย ร้อยละ 8.78 ระบุว่า ไว้วางใจมาก และร้อยละ 0.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.64 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.90 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.46 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.89 สมรส และร้อยละ 2.67 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 0.53 ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 18.02 จบการศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 36.18 จบการศึกษามัธยมศึกษา หรือเทียบเท่า ร้อยละ 9.47 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 30.99 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.81 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี

ตัวอย่าง ร้อยละ 10.92 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.56 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 20.46 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 12.21 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.34 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.85 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 4.66 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

ตัวอย่าง ร้อยละ 20.00 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 4.96 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 13.66 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 30.53 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 12.06 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 4.66 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 2.90 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001-50,000 บาท ร้อยละ 1.99 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,001-60,000 บาท ร้อยละ 0.38 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 60,001-70,000 บาท ร้อยละ 0.08 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 70,001-80,000 บาท ร้อยละ 0.69 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 80,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 8.09 ไม่ระบุรายได้

LINE ประกาศ!! เวอร์ชั่นมือถือรุ่นต่ำกว่าที่กำหนด จะใช้งานไม่ได้ หากไม่อัปเดต!! เป็นเวลานาน อาจไม่สามารถเรียกคืนข้อมูล

(3 พ.ย. 67) ไลน์ (LINE) ประเทศไทย ประกาศแจ้งเตือน ผู้ใช้งานมือถือระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชัน 13.7.0 และ Android เวอร์ชัน 6.0.1 หรือ เวอร์ชันก่อนหน้า จะไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน LINE ได้ ตั้งแต่เดือนพ.ย.2567 เป็นต้นไป

LINE ระบุว่า การรองรับแอปพลิเคชันดังกล่าว บนสมาร์ทโฟนเวอร์ชั่นก่อนหน้า 12.18.0 จะสิ้นสุดลง ในช่วงเดือนพ.ย.2567 ซึ่งหมายความว่า หากผู้ใช้ยังคงใช้ LINE เวอร์ชันเก่าอยู่ จะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการใช้งาน LINE ต่อไป จำเป็นต้องอัปเดตระบบปฏิบัติการมือถือ เป็น iOS เวอร์ชัน 14.0 และ Android เวอร์ชัน 7.0.0 ขึ้นไป จึงจะสามารถอัปเดตแอปพลิเคชัน LINE เป็นเวอร์ชัน 12.18.0 หรือสูงกว่าได้

นอกจากนี้ หากไม่อัปเดตแอปพลิเคชัน LINE เป็นเวลานาน อาจเป็นสาเหตุให้ไม่สามารถเรียกคืนข้อมูลต่าง ๆ เช่น ประวัติการแชทได้

เชียงใหม่-ททท. ผนึกกำลังพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประกาศศักยภาพความพร้อมภาคเหนือจัดงาน "เหนือพร้อม...เที่ยว" 

ททท. ผนึกกำลังพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประกาศศักยภาพความพร้อมภาคเหนือ จัดงาน “เหนือพร้อม...เที่ยว” Kick off แคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” ดีเดย์ 1 พ.ย. นี้

(3 พ.ย. 67) เวลา 18.00 น. ศูนย์วัฒนธรรม โอลด์เชียงใหม่  อำเภอเมืองเชียงใหม่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดงาน “เหนือพร้อม...เที่ยว” ประกาศศักยภาพความพร้อม เร่งสร้างความเชื่อมั่น ฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมเปิดตัวแคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” รับนักท่องเที่ยวช่วง High Season หวังกระตุ้นรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 โดยมีนายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมพิธีเปิดงานและกล่าวแสดงความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยว พร้อมด้วย นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. และคณะผู้ประกอบการจาก 5 ภูมิภาค เข้าร่วมงาน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงใหม่ ได้พบปะแลกเปลี่ยนเจรจาธุรกิจ กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากทั้ง 5 ภูมิภาค 

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวว่า สถานการณ์อุทกภัยในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่  ทั้งในแง่ของการคมนาคมเดินทางเข้าสู่พื้นที่และความเสียหายต่อแหล่งท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์ในจังหวัดภาคเหนือได้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว และตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป แหล่งท่องเที่ยวและสถานประกอบการต่าง ๆ ในภาคเหนือพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้กลับมาเดินทางชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมที่งดงามและทรงคุณค่าของทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงฤดูแห่งการท่องเที่ยวภาคเหนือ ดังนั้นเพื่อสร้างกระแสให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในการเดินทาง ตลอดจนแสดงถึงความพร้อมและศักยภาพของภาคเหนือ ททท. ได้จัดงาน “เหนือพร้อม...เที่ยว” ส่งเสริมให้เกิดการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น ๆ สู่ภาคเหนือ 17 จังหวัด 

โดยในวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2567 ททท. ได้นำผู้ประกอบการและสื่อมวลชนจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า 200 คน ร่วมอัปเดทสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว และเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวภาคเหนือ 17 จังหวัด ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ พร้อมร่วมพิธีสืบชะตาหลวงล้านนาเพื่อความเป็นสิริมงคล ตลอดจนกิจกรรม CSR พร้อมกันนี้ถือเป็นการคิกออฟเปิดตัวแคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เพื่อเดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยวภาคเหนืออย่างเต็มที่ ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อสิ้นสุดปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ภูมิภาคภาคเหนือกว่า 22.13 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวกว่า 164,106 ล้านบาท

นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายได้ผนึกความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวในพื้นที่และช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างเต็มกำลัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2567 โดยได้เตรียมเปิดเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยหลากหลายกิจกรรม เทศกาล งานประเพณีที่มีการผสมผสานทั้งกิจกรรมท่องเที่ยว กีฬา ผลิตภัณฑ์ชุมชน วิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น งานประเพณีลอยกระทงยี่เป็งนครเชียงราย กิจกรรม Mae Salong Trail งานมหกรรมดอกไม้อาเซียน งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม งานเคาท์ดาวน์เชียงราย 2025 ฯลฯ ซึ่งจะช่วยสร้างสีสันรับฤดูท่องเที่ยวของภาคเหนือ และสามารถกระตุ้นให้เกิดการเดินทาง และการกระจายรายได้หมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจภายในจังหวัดได้เป็นอย่างดี
 
นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เหตุการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ถือว่าหนักที่สุดในรอบ 50 ปี ของจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่นับว่าเป็นรายได้หลักของจังหวัด ภายหลังจากเหตุการณ์คลี่คลายลง จังหวัดเชียงใหม่ได้ระดมกำลังทั้งเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ประชาชน และจิตอาสา เร่งฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และในวันนี้จังหวัดเชียงใหม่พร้อมแล้วที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วง High Season ที่กำลังจะมาถึง

 โดยในช่วงปลายปี จังหวัดเชียงใหม่จะมีการจัดกิจกรรม เทศกาล งานประเพณี ที่น่าสนใจ เช่น งานประเพณียี่เป็งเชียงใหม่ มหกรรมดนตรีเชียงใหญ่เฟส เทศกาลงานออกแบบ Chiang Mai Design Week งานวิ่งเมืองไทยเชียงใหม่มาราธอน และงาน Amazing Chiang Mai Countdown 2025 และอีกมากมาย ซึ่งคาดว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ กระตุ้นการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ให้ฟื้นตัวและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” เริ่มต้นวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ททท. ได้ร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ อาทิ โรงแรม/ที่พัก ร้านกาแฟ ร้านอาหาร กิจกรรม DIY แหล่งท่องเที่ยว ร้านของที่ระลึก มอบส่วนลด 50% ของการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ รวมมูลค่าไม่เกิน 400 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ (1 คน/1 สิทธิ์) ให้แก่นักท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวสามารถสแกน QR code เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ ณ โรงแรมที่เข้าพักที่ร่วมโครงการในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด 

โดยเมื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์แล้ว จะได้รับ SMS ยืนยันการเข้าร่วมแคมเปญ ซึ่งจะมีระยะเวลาการใช้งานสิทธิ์ที่ได้รับภายใน 3 วัน (72 ชั่วโมง) นับจากเวลาที่ได้รับ SMS ยืนยัน ทั้งนี้สำหรับการใช้สิทธิ์ส่วนลด นักท่องเที่ยวสามารถใช้สิทธิ์โดยสแกน QR code ณ สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการโดยสังเกตป้ายที่มีโลโก้แอ่วเหนือคนละครึ่ง ทั้งนี้สิทธิ์ในการใช้ส่วนลดมีจำนวนจำกัด ททท. ขอสงวนสิทธิ์ให้กับผู้ที่ลงทะเบียนก่อนจะได้รับสิทธิ์ก่อน (First Come First Served) โดยสามารถเริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 หรือเมื่อครบจำนวนการใช้สิทธิ์

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดการสมัครเข้าร่วมแคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” และตรวจสอบรายชื่อสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ ได้ที่เว็บไซต์ www.แอ่วเหนือคนละครึ่ง.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ TAT Contact Center โทร. 1672

นภาพร/เชียงใหม่

กองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ กองเรือยุทธการ นำกำลังพลร่วมบริจาคโลหิต ในกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 71 ปี

น.อ.หญิง นงลักษณ์ สิงหโกวินท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริการสุขภาพ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ให้การต้อนรับ พล.ร.ต.อารยะ สิงหเสมานนท์ ผู้บัญชาการกองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ กองเรือยุทธการ พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชา และกำลังพลในสังกัด จัดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา กองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ ครบรอบ 71 ปี 6 พฤศจิกายน 2567

โดยร่วมกันบริจาคโลหิตให้กับ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ณ โรงพยาบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

นิราช ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

กห. ขานรับนโยบายรัฐบาล เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดจังหวัดร้อยเอ็ด นำร่องจังหวัดสีขาว ทั่วประเทศ

(3 พ.ย. 67) พลตรีธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผย ณ วัดบ้านเขวาทุ่ง ตำบลเขวาทุ่ง อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมสั่งการโมเดล การแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด 1 ใน 25 จังหวัด ที่กำหนดเป็นพื้นที่นำร่องจังหวัดสีขาว ทั่วประเทศ 

โดยรัฐบาล ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ถือเป็นวาระแห่งชาติ และขอให้ทุกภาคส่วนมุ่งมั่นดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป พร้อมยกระดับให้เข้มข้นขึ้น ขยายผลการดำเนินงานไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ตามภูมิภาค โดยมี จังหวัดนำร่อง 10 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ : เชียงใหม่ ภาคกลาง : อุทัยธานี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : สกลนคร นครพนม ภาคตะวันออก : ระยอง ภาคใต้ : นครศรีธรรมราช ตรัง นราธิวาส โดยต้องเป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติด หรือ ปัญหายาเสพติดลดลงกว่าร้อยละ 90 การแก้ไขปัญหายาเสพติดให้หมดไป โดยทุกหน่วยงานต้องบูรณาการร่วมกันทั้งในการป้องกัน สกัดกั้น และฟื้นฟู รวมถึงต้องมีการพัฒนาเชื่อมระบบข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ 

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบนโยบายจึงได้สั่งการให้เหล่าทัพ ใช้เครื่องมือ ยุทโธปกรณ์ และทรัพยากรที่มีอยู่ในการป้องปราม ป้องกัน สกัดกั้นยาเสพติดแนวพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ตอนในของประเทศ การกวดขันกวาดล้าง ตัดวงจรการค้ายาเสพติด รวมถึงการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีและสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน  ตลอดจนการเตรียมสถานพยาบาลในสังกัดของเหล่าทัพ ในการฟื้นฟู รักษาบำบัดผู้ติดยาเสพติด ทั้งนี้ นรม. ได้มอบหมายให้ รอง นรม./รมว.กห. ร่วมบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มสถานพยาบาล จัดทำโมเดลบำบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด โครงการธวัชบุรี โมเดล เป็นพื้นที่นำร่องในการบำบัด ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดอย่างครบวงจร ครอบคลุมถึงสุขภาพกาย และสุขภาพใจที่แข็งแรง รวมถึงการจัดอบรมพัฒนาทักษะสร้างอาชีพ เพื่อให้ผู้เข้ารับการบำบัดได้มีทักษะ ความรู้ สามารถประกอบอาชีพ เลี้ยงชีพและอยู่ร่วมในสังคมได้

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหม ได้ดำเนินการในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ทั้งด้านการป้องกันและปราบปราม การสกัดกั้น ความร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจน การบำบัดรักษามาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมในการบูรณาการร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเข้มงวดจริงจัง ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อให้ยาเสพติดหมดไปจากประเทศไทย

นิราช ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

“ร้านอาหารครัวดอกไม้ขาว เข้าร่วมงานเปิดตัวยิ่งใหญ่! “MONOPOLY : Bangkok Edition” บอร์ดเกมระดับโลก”

(2 พ.ย. 67) ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 5 Craftstudio จัดงานเปิดตัวของ  MONOPOLY : Bangkok Edition” บอร์ดเกมระดับโลก” โดยงานนี้เป็นความร่วมมือ ผนึกกำลัง ททท. และพันธมิตร สร้าง Global Awareness เดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก โดย มีนายธีระศิลป์ เทเพนทร์ รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานในพิธี  ร่วมด้วยบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล วิลเลจ บริษัท Winning Move ผู้ผลิตเกม MONOPOLY ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ Hasbro บริษัทผู้ผลิตเกมและของเล่นชั้นนำระดับโลก และพันธมิตรที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญในเกมส์

​นายธีระศิลป์ เทเพนทร์ รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา การท่องเที่ยวแห่ง
ประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น ไม่เพียงสำหรับแฟน ๆ ของเกมกระดาน MONOPOLY เท่านั้น แต่ยังสำหรับทุกคนที่รักประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพมหานคร “การร่วมมือครั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้นำความคลาสสิกของ MONOPOLY มาผสมผสานกับเสน่ห์อันเปี่ยมด้วยสีสันของกรุงเทพมหานครฯ สำหรับ MONOPOLY: Bangkok Edition มีจุดเด่นอยู่ที่การนำเสนอแลนด์มาร์คทางศิลปะและวัฒนธรรม ถนนในเมืองหลวงที่ครึกครื้น โรงแรมหรูที่สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ระบบขนส่ง และอาหารการกิน ที่สะท้อนถึงความเป็นกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง MONOPOLY: Bangkok Edition ยังสามารถเป็นของสะสมและของที่ระลึกที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวทุกท่าได้ย้อนรำลึกถึงการเดินทางมายังประเทศไทย พร้อมกับเพื่อนและครอบครัว” และขอขอบคุณพันธมิตรที่เข้าร่วมในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม หรือร้านอาหาร ซึ่งได้มีร้านอาหารครัวดอกไม้ขาวที่ได้มีการคัดเลือกมาอย่างดี

​ทั้งนี้ ร้านอาหารครัวดอกไม้ขาว โดย นางสาวพิมตา วิริยะโรจน์ หรือคุณพิม เจ้าของร้านฯ ได้กล่าวถึงกิจกรรมในครั้งนี้ว่า มีความยินดีและปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก  ถือว่าเป็นร้านที่มีสไตล์อาหารแบบไทยดั้งเดิม และสูตรที่พัฒนามากว่า 20 ปี มีลูกค้าให้การยอมรับมาช้านาน ซึ่งการเข้าร่วมเป็นแลนด์มาร์คแห่งหนึ่งในบอร์ดเกมระดับโลกครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และขอเดินหน้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยเพื่อดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้ามาเที่ยวชมประเทศไทย ทั้งนี้สามารถดูข้อมูลกิจกรรมและข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับร้านดอกไม้ขาวได้ที่ https://whiteflowerbkk.net/en

ฮิปโปนอนกิน!! เฝ้าทรัพย์ เด่นเรื่องงาน ค้าขายดี เมตตามหานิยม ใครเห็นก็หลงรัก หัวปักหัวปำ

(2 พ.ย. 67) นาทีนี้อะไรก็ฉุดไม่อยู่ กับความโด่งดังของ ‘หมูเด้ง’ ที่รันไปทุกวงการ 

ล่าสุดกระแสฟีเวอร์ ลามไปถึงวงการสายมู ส่งให้เพจ ‘อีซ้อขยี้ข่าว’ ได้ออกมาแฉ รูปยันต์หมูเด้ง รุ่นฮิปโปนอนกิน พร้อมกับมีตัวอักษรรอบ ๆ รูปของหมูเด้ง ที่กำลังนอนยิ้มอย่างมีความสุขบนถุงเงิน

โดยระบุข้อความว่า ‘ผุดอีก ยันต์หมูเด้งเฝ้าทรัพย์ รุ่นฮิปโปนอนกิน เด่นเรื่องค้าขายรุ่งเรือง ช่วยด้านเมตตามหานิยม ใครเห็นหลงรักหัวปักหัวปำ…’

งานนี้หลังจากที่โพสต์ดังกล่าว ได้แชร์ออกไปนั้น ก็ทำให้ชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นหลากหลายมุมมอง

‘ยันต์ พันธ์ผสม คือ กัมพูชา+แอฟริกันตะวันตก+ไทย’

‘สงสารน้อนนน’

‘สงสัยต้องไปหาสักยันต์หมูเด้งไล่สวบบ้างซะแล้ว’

‘บูชาแล้วจะหิวแต่ขาหมู’

‘สังคมอยู่ยากขึ้นทุกวัน’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top