Wednesday, 25 June 2025
NEWS FEED

ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ประดับเข็มเครื่องหมายผู้บังคับการเรือ ตำแหน่งที่สำคัญที่สุด เพราะเรือ คือหัวใจของกองทัพเรือ

(6 พ.ย. 67) เวลา 17.30 น. พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในพิธีประดับเข็มเครื่องหมายผู้บังคับการเรือ เพื่อเป็นเกียรติ เป็นขวัญ กำลังใจ และให้เกิดความภาคภูมิใจให้กับนายทหารผู้เข้าร่วม ประดับเข็มเครื่องหมายผู้บังคับการเรือ โดยมีคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ร่วมแสดงความยินดี ที่บริเวณดาดฟ้าเรือหลวงช้าง ท่าเทียบเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

โดย พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ กล่าวให้โอวาทว่า ตำแหน่งผู้บังคับการเรือ ถือได้ว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของกองทัพเรือตำแหน่งหนึ่ง เพราะเรือคือหัวใจของกองทัพเรือ เมื่อท่านได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับการเรือ ท่านจะต้องใช้ความรู้ความสามารถในการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมาย ให้สำเร็จจะต้องดูแลความเรียบร้อยของเรือ ให้มีความพร้อมอยู่เสมอและจะต้องปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาให้อยู่ในระเบียบวินัย รวมทั้งดูแลทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งในเรื่องหน้าที่การงานความเป็นอยู่ ชีวิตและครอบครัวด้วย ผมหวังว่า ท่านจะปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับการเรืออย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลดีต่อกองทัพเรือต่อไป      ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมีความภาคภูมิใจและรักษาเกียรติยศที่ได้รับในครั้งนี้เพื่อตัวของท่านเองและวงศ์ตระกูลสืบไป

นิราช ทิพย์ศรี /นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 0909535645,0945565622/086-3684323

พิพัฒน์ผนึก 9 ราชมงคล - TVD เปิดแพลตฟอร์ม 'ONE TVET' ยกระดับนศ.ไทยสู่ World Skill

(6 พ.ย. 67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความรู้เฉพาะด้านในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยความร่วมมือนี้มีขึ้นระหว่างบริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง ในโครงการ ONE TVET (ONE Technical and Vocational Education and Training) เพื่อสร้างทักษะแรงงานไทยทั้งในด้าน Up Skill และ Re Skill ให้สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานทักษะในระดับโลกได้

โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายวิชัย ทองแตง ประธานที่ปรึกษา บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์, ดร.ธัชพล กาญจนกูล รองเลขาธิการโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC), นายถาวร ชลัษเฐียร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, พลโท กิตติ สมสนั่น กรรมการผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก, รศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ ประธานคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง ตลอดจนภาคเอกชนชั้นนำจากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ OMRON, MICROSOFT, NVIDIA, ZDT และ malaysian institute of technology academy ร่วมเสวนาในหัวข้อ "From Local To Worls Skill"

นายพิพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า โครงการ ONE TVET นี้ถือเป็นโครงการที่ช่วยยกระดับทักษะแรงงานไทย โดยเฉพาะนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่กำลังจะจบมาเข้าสู่ตลาดแรงงาน เป็นโครงการที่มุ่งเน้นให้แรงงานในประเทศไทยมีทักษะความรู้เฉพาะด้านอุตสาหกรรมต่างๆ 

โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ เทคโนโลยีดิจิทัล AI ซึ่งจะช่วยยกระดับทักษะแรงงานไทยสู่ World Skill ให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาของชาติ ทั้งยังสร้างโอกาสในการทำงานในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อประเทศ

ด้านรศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ในฐานะประธานคณะกรรมการอธิการบดีกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กล่าวว่า โครงการนี้เป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง สามารถเข้าถึงการเรียนรู้และทรัพยากรที่จะช่วยเพิ่มทักษะในการทำงานก่อนการเริ่มงานจริง ด้วยการเน้นพัฒนาทักษะของนักศึกษาให้สามารถตอบสนองต่อการเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 โดยสิทธิประโยชน์ของนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการคือ การรับประกันการเข้าทำงานกับบริษัทหรือโรงงานชั้นนำ อีกทั้งยังมีโอกาสได้รับค่าจ้างมากกว่าอัตราเฉลี่ยที่ 25-30% ด้วย

นายวิชัย ทองแตง ประธานที่ปรึกษา บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทชั้นนำและโรงงานจำนวนมากที่เข้ามาตั้งธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกหรือ EEC มีความต้องการแรงงานไทยจำนวนมาก แต่แรงงานไทยประกอบปัญหาเรื่องทักษะที่ยังไม่ตอบโจทย์การทำงานเหล่านั้นได้ จึงเกิดแนวคิดแพลตฟอร์ม ONE TVET ซึ่งเป็นโครงการที่ออกแบบหลักสูตรที่ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการโดยตรง นักศึกษาที่ผ่านหลักสูตร ONE TVET จะมั่นใจได้ว่าจบแล้วมีงานทำ ส่วนทางสถานศึกษาจะใช้การฝึกสอนโดยใช้ทักษะความรู้และเครื่องมือการสอนที่ตรงตามความต้แงการของผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการจะได้นักศึกษาที่มีความพร้อมไปทำงานได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาฝึกงานหลายๆ เดือนอีกต่อไป 

รศ.ดร. อุดมวิทย์ กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือนี้อยู่บนพื้นฐานของการเห็นพ้องด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยมีเป้าหมายหลักคือ 1.พัฒนาทักษะแรงงานไทยสู่ World Skill ให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ S-Curve 2.เพิ่มอัตราการแข่งขันโดยเฉพาะภาคการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจริยะ การแพทย์ การผลิตกึ่งอัตโนมัติ และเทคโนโลยี AI 3.สร้างโอกาสในการทำงานในภาคอุตสาหกรรมทที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ ซึ่งจะช่วยให้แรงงานมีทักษะที่สูงขึ้นพร้อมกับรายได้ในการทำงานที่สูงขึ้นด้วย

สำหรับรูปแบบการดำเนินโครงการ ONE TVET จะมีการนำนักศึกษาในระดับชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4 มาฝึกอบรมผ่านความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของโลก โดยจะมีการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมต่างๆขอประเทศไทย ในโปรแกรมฝึกอบรบจะเน้นทั้งการเรียนรู้เชิงทฤษฏีและปฏิบัติพร้อมทั้งมีการเก็บสะสมคะแนนหน่วยกิตซึ่งจะทำให้นักศึกษาเข้าถึงการเรียนรู้แบบลึกซึ้งนอกจากการฝึกงานแบบทั่วไป เพื่อให้นักศึกษาพร้อมสู่การนำไปใช้ในสายงานจริงของตนเอง

นอกจากนี้ การได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก นอกจากจะทำให้สถาบันการศึกษาผลิตแรงงานสู่ตลาดได้ตรงตามความต้องการแล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมให้บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ เข้ามาลงทุนและสนับสนุนให้มีการฝึกอบรบที่มีคุณภาพและสอดคล้องต่อความต้องการของตลาดแรงงานด้วย

‘JobThai’ เผยนายจ้าง 82% ยินดีรับคนจบไม่ตรงสาย พร้อมเปิด 5 ทักษะที่บริษัทต้องการจากคนวัยทำงาน

(5 พ.ย. 67) นายจ้าง 82% ยินดีรับวัยทำงานที่ไม่จบมาตรงสายงานเข้าทำงาน เพียงแต่ต้องอัปสกิลหรือเพิ่มทักษะในด้านที่เกี่ยวข้องกับงานก็เพียงพอแล้ว

นางสาวแสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ หัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการและผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ JobThai.com  ได้บรรยายในงาน Work Life Fest 2024 ระบุว่า สายงานบางอย่างอาจถูกทดแทนด้วย AI แต่ขณะเดียวกันก็จะเกิดงานใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย
วัยทำงานต้องเอาตัวรอดในตลาดงานโลกอนาคต ด้วยการอัปสกิลให้ตนเอง โดยทักษะที่สำคัญต่อโลกการทำงานแห่งอนาคต ได้แก่ Technical Skills ทักษะความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง, Human Skills ทักษะการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ฯลฯ ส่วน Soft Skill หรือทักษะด้านอารมณ์ วัยทำงานควรมี Soft Skill แบบไหนบ้างจึงจะเป็นที่ต้องการขององค์กร ผลสำรวจพบว่า มี 5 ทักษะทางด้านอารมณ์ (ทักษะด้านลักษณะอุปนิสัยและความสามารถเชิงสมรรถนะ ที่จะช่วยให้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี) เพื่อดึงดูดให้นายจ้างอยากจ้างงานมากขึ้น ประกอบด้วย

1. ทักษะด้านการสื่อสาร Communication : องค์กรต่างๆ ต้องการพนักงานที่สื่อสารรู้เรื่อง ทักษะพื้นฐานฟังพูดอ่านเขียนไม่พอ แต่ต้องต้องสามารถวิเคราะห์และสรุปข้อมูลออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วสื่อสารให้ทาร์เก็ตกรุ๊ปเข้าใจได้

2. ทักษะความน่าเชื่อถือและความรับผิดชอบ : เวลาทำงานพนักงานจะต้องรู้หน้าที่ของตน สามารถรู้ได้ว่าในแต่ละวันมี Task อะไรที่จะต้องทำให้สำเร็จ และจะต้องทำได้อย่างดีมีประสิทธิภาพด้วย งานต้องละเอียดรอบคอบ มีความรับผิดชอบ หากระบุว่าจะส่งงานเมื่อไหร่ก็ต้องทำให้ได้ตามกำหนดเวลานั้น

3. ทักษะการดูแลลูกค้า Customer experience : องค์กรอยากได้พนักงานที่ “อ่านใจลูกค้าให้ออก” เวลาพูดคุยสื่อสารกับลูกค้า ต้องรู้ว่าขณะนั้นลูกค้าใช้โทนเสียงแบบนี้แปลว่าต้องการความช่วยเหลือ หรือกำลังเดือดร้อนแล้วต้องการให้เราช่วยแก้ไขปัญหาบางอย่าง เมื่อรับทราบแล้วเราต้องแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าทันที หากเราไม่ใส่ใจ แก้ปัญหาให้เขาไม่ได้ เขาก็จะไม่ใช้บริการเราอีก แต่ถ้าเราแก้ไขให้ได้ สร้างความประทับใจ ลูกค้าก็จะภักดีต่อแบรนด์ไปอีกนานเท่านาน

4. ทักษะด้านการบริหารคุณภาพ : พนักงานต้องสามารถทำงานที่มีคุณภาพ และตรวจสอบได้ ต้องมีทักษะในการสำรวจตรวจสอบงานของตนเองว่า วิธีการทำงานของเราทำอย่างไรให้มันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หรือสามารถพัฒนางานให้ดีกว่านี้ได้อย่างไรบ้าง ต้องไม่หยุดนิ่งในการพัฒนางานของตนเ

5. ทักษะการฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว Resilience : การทำงานทุกอย่างย่อมเกิดปัญหาขึ้นมาได้เป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อเกิดปัญหาแล้ว วัยทำงานตั้งสติได้อย่างรวดเร็วหรือไม่? ทักษะที่สำคัญอีกอย่างที่พนักงานควรมีคือ Resilience หรือการมีสติ พลิกฟื้นจากวิกฤติกลับมาได้ และแก้ไขปัญหาให้ผ่านไปได้ด้วยดี 

นอกจากนี้ วัยทำงานหลายคนโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ (First Jobber) อาจกังวลว่านายจ้างหรือองค์กรต่างๆ มักต้องการทักษะใหม่ๆ หลายอย่างมากซึ่งอาจจะพัฒนาตนเองได้ไม่พอ หรือไม่ทันกับความต้องการนั้น แล้วยิ่งหากเรียนจบมาในสาขาที่ไม่เป็นที่ต้องการขององค์กรส่วนใหญ่ จะต้องทำอย่างไร

เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล เพราะผลสำรวจเผยว่า นายจ้างมากถึง 82% ยินดีรับวัยทำงานที่ไม่จบมาตรงสายกับตำแหน่งงานนั้น เพียงแต่ต้องมีการอัปสกิลหรือเพิ่มทักษะในด้านที่เกี่ยวข้องกับงานก็เพียงพอแล้ว ยกตัวอย่างเช่น บริษัท JobThai ก็รับพนักงานที่จบวิศวกรรมโยธา ให้เข้ามาทำงานในตำแหน่ง วิศวกรคอมพิวเตอร์ ได้ 

เนื่องจากเขามีการไปอบรมทักษะเพิ่มเติม และเขาก็มีความสามารถทำงานในตำแหน่งนั้นได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเรียนจบสาขาใดมา หากมีทักษะที่ใกล้เคียงกับงานนั้น หรือมีการไปอบรมเพิ่มสกิลให้ตรงกับงานนั้น ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกงาน มีโอกาสได้งานทำแน่นอน

อย่างไรก็ตาม โลกการทำงานยุคนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตลาดงานต้องการแรงงานที่มีทักษะหลากหลายด้าน ยิ่งวัยทำงานมีทักษะหลากหลายองค์กรก็จะยิ่งต้องการตัวมาก เพราะฉะนั้นจึงต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา และปรับตัวให้เท่าทันกับโลกการทำงาน เพื่อที่จะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้เร็ว และประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างชีวิต อย่างยั่งยืน มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และมอบรถเข็นวีลแชร์แก่ผู้พิการ ในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ  

(5 พ.ย. 67) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ  เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายนิพนธ์ โชคภิรมย์วงศา กรรมการปฏิคม นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ  (จังหวัดที่ 15 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จำนวน 23 ครัวเรือน พร้อมมอบจักรยานในโครงการ จักรยานเพื่อน้องสัญจร จำนวน 50 คัน ให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลน จำนวน 5 แห่ง เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน นอกจากนี้มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ยังได้มอบรถเข็นวีลแชร์แก่คนพิการ จำนวน 10 คัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวบึงกาฬในครั้งนี้ทั้งสิ้น 647,630 บาท (หกแสนสี่หมื่นเจ็ดพันหกร้อยสามสิบบาทถ้วน) โดยมี นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ
ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ  พร้อมด้วย นางสาวนิภา ทองก้อน ผู้อำนวยการสำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี คณะมูลนิธิสว่างศรีวิไลธรรมสถาน จังหวัดบึงกาฬ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี  รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ ณ บริเวณหอประชุมที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน  ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม ซึ่งปัจจุบันทางมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ลงพื้นที่มอบอุปกรณ์ฯ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปแล้วทั้งสิ้น 15 จังหวัด 360 ครัวเรือน รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 7,913,654 บาท (เจ็ดล้านเก้าแสนหนึ่งหมื่นสามพันหกร้อยห้าสิบสี่บาทถ้วน) 

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ  www.facebook.com/pohtecktungofficial

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ผู้ปกครองเดือด!! หลังเด็ก 2 คน ถูกปฏิเสธขึ้นเครื่องไปอินเดีย อ้างพ่อ-แม่ไม่เซ็นรับรอง ทั้งที่ตอนจองให้ซื้อตั๋ว ‘ผู้ใหญ่’

(5 พ.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก Happy Study Abroad โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 3 พ.ย.67 โดยระบุว่า รีวิวประสบการณ์เด็กถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่อง Airasia

น้องเล็กเดินทางกับเพื่อนผู้หญิงอีกคน จากดอนเมืองไปชัยปุระ (Dmk-Jai) ด้วยสายการบิน Airasia ไฟล์ท FD 130เด็กทั้งสองได้เช็กอินเวลาประมาณ 17.30 น. โดยพ่อแม่ยืนรอจัดการให้จนเรียบร้อย (ตามตั๋วเครื่องออก 19.30 น.) เด็ก ๆ ได้รับ boarding pass แจ้งเวลาเรียกขึ้นเครื่อง 18.50 น.

จากนั้น พ่อแม่ส่งเด็ก 2 คนเข้าไปด้านในเวลา 18.14 น. ขณะที่เด็กๆ ถึงหน้า gate เวลา 18.35 น. น้องเล็กโทร.มาหาแม่เวลา 19.39 น. เพื่อขอบัตรประชาชนแม่ให้เจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกเด็กว่าขอไปทำไม

เวลา 20.20 น. น้องเล็กโทร.มาบอกแม่ว่าไม่ได้ไปแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่ให้ขึ้นเครื่อง ให้แม่มารับกลับ ซึ่งแม่ได้ขอคุยกับเจ้าหน้าที่ เขาถามว่าแม่มาแสดงตัว และได้เซ็นเอกสารตอนเช็กอินไหม แม่บอกว่ามาแสดงตัว แต่เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ไม่ได้ให้เซ็นเอกสารใดๆ 

เจ้าหน้าที่คนนั้นแจ้งว่าเด็กทั้ง 2 คนถูกปฏิเสธการขึ้นเครื่อง เพราะไม่มีเอกสารอนุญาตจากผู้ปกครอง เขาแจ้งว่าเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่เช็กอิน สายการบินจะรับผิดชอบโดยการหาตั๋วใหม่ให้แทน ให้ผู้ปกครองมารับเด็กกลับไป

โดยทางแม่แจ้งเจ้าหน้าที่คนเดิมขอตั๋วเร็วที่สุด เพราะโรงเรียนเปิดเทอมแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าจะติดต่อกลับมา

จากนั้น เวลา 20.35 น. เจ้าหน้าที่พาเด็ก ๆ ออกมาส่งให้กับพ่อแม่ที่อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 3 ต่อมาเวลา 21.21 น. แม่โทร.กลับไปหาเจ้าหน้าที่ที่เดินออกมาส่งเด็ก เพื่อขอทราบสาเหตุโดยละเอียด และขอให้รับผิดชอบความเสียหายอื่นๆที่ตามมา 

เจ้าหน้าที่ตอบกลับว่าสายการบินทำได้เพียงรับผิดชอบตั๋วของเด็ก ๆ เท่านั้น และจะได้เดินทางในวันที่ 5 พ.ย. นี้แทน

ทั้งนี้ ทางเจ้าของโพสต์ได้ข้อสังเกตว่า

1. เจ้าหน้าที่เช็กอินไม่ได้ให้ผู้ปกครองเซ็นเอกสารใดๆเลย (ตอนมาจากอินเดีย เจ้าหน้าที่เช็คอินก็ไม่ได้ให้ผู้ปกครองเซ็นเช่นกัน) พวกเราเลยไม่ได้เอะใจ คิดว่าสายการบินเปลี่ยนวิธีการแล้ว ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาตลอดหลายปีที่เคยไปส่งลูกๆที่สนามบิน เจ้าหน้าที่ก็ส่งเอกสารให้กรอกเสมอ โดยไม่ต้องร้องขอ

2. เด็กๆ ผ่านเจ้าหน้าที่ ตม.ไปได้อย่างเรียบร้อย

3. เด็กๆไปรอหน้าเกทล่วงหน้าประมาณ 1 ชม. ก่อนเวลาเครื่องออก ขณะต่อแถวตรวจ boarding pass เจ้าหน้าที่ตรวจบัตรโดยสารถามอายุ น้องเล็กตอบ 13 และ 12 ปี เจ้าหน้าที่บอกให้รอก่อน ไม่ให้ขึ้นเครื่อง แต่ก็ไม่ได้แจ้งเด็กๆว่าเกิดปัญหาอะไร เด็ก ๆ ทั้งคู่มีโทรศัพท์ หากเจ้าหน้าที่ขอให้โทรหาพ่อแม่เพื่อมาเซ็นเอกสาร ณ เวลานั้น เรื่องจะไม่บานปลายเพราะพ่อแม่ยังรออยู่ที่สนามบิน 

4. เจ้าหน้าที่ขอพาสปอร์ต หรือบัตรประชาชนของแม่เพียงคนเดียว ส่วนผู้ปกครองเพื่อนของน้องเล็กไม่ได้รับแจ้งขอเอกสารใดๆ

5. เจ้าหน้าที่ได้รับบัตรประชาชนของแม่ไป แต่ไม่ได้แจ้งสาเหตุใดๆ เวลาผ่านไป 20 นาที แม่จึงได้รับแจ้งจากน้องเล็กว่าไม่ได้ขึ้นเครื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เหตุการณ์นี่สร้างปัญหาตามมาให้พวกเราอย่างมาก

6. เราซื้อตั๋วไป-กลับจาก Jai - Dmk และน้ำหนักคนละ 30 กิโลกรัมกับสายการบินโดยตรง กรอกวันเดือนปีเกิดของเด็กๆถูกต้อง แต่เจ้าหน้าที่คนเดิมอ้างว่าเรากรอกวันเดือนปีเกิดเด็กไม่ตรงตามจริงทำให้ไม่รู้ว่าเป็น Young Passengers ประเด็นนี้แม่ปฏิเสธกลับไปว่าไม่จริง เพราะเราจองตั๋วเองทุกครั้ง กรอกรายละเอียดตามพาสปอร์ต เด็กทั้งสองอายุมากกว่า 12 ปี ระบบให้จองได้ในช่องจำนวนผู้เดินทางผู้ใหญ่

ผลจากเหตุการณ์นี้
1. เด็กอายุ 12 และ 13 ปี ถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องพร้อมสัมภาระคนละ 30 กิโลกรัม หากผู้ปกครองกลับต่างจังหวัดแล้ว มารับเด็กๆกลับบ้านไม่ได้ จะทำอย่างไร

2. เด็กๆไม่ชอบใจที่กลับไปไม่ทันวันเปิดเรียน เพราะเป็นภาระให้ต้องตามงาน

3. เสียเวลาเดินทางไปกลับจากบ้านไปสนามบินดอนเมืองหลายรอบ

4. กระทบการงานของผู้ปกครองอย่างมาก

5. เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ปกครอง ที่ต้องทิ้งตั๋วเก่า มาซื้อตั๋วใหม่เพื่อกลับต่างจังหวัด มีค่าใช้จ่ายในการอยู่ กทม.ต่ออีก 2 วัน เพื่อรอส่งลูกเดินทางกลับไปอินเดีย

6. เสียเวลาของคนรอรับที่อินเดีย พวกเราต้องแจ้งโรงเรียนว่าไม่ได้เดินทางตามกำหนด และขอให้โรงเรียนมารับใหม่อีกครั้ง

*** ผลกระทบเหล่านี้ควรได้รับการชดเชยจากสายการบิน

ข้อมูลสำคัญ
1. เด็กอายุ12-16 ปี สายการบินถือเป็น Young Passengers ต้องมีผู้ปกครองมาเซ็นเอกสารที่เคาน์เตอร์เช็กอินทุกครั้ง และควรทำหนังสืออนุญาตให้เด็กเดินทางคนเดียวเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ตม. 

2. แม่สอบถามช่องทางร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ Airasia ทั้งที่ Terminal 1 และ 2 ทุกคนตอบเหมือนกันว่ามีช่องทางเดียวคือ website Airasia เรื่องจะถึงหลังบ้านโดยตรง แม่ดำเนินการไปแล้ว ได้รับหมายเลขร้องเรียนมา และต้องรอติดตามสถานะคำร้องเรียนต่อไป

โดยเจ้าของโพสต์ ยังระบุด้วยว่า ใครมีช่องทางร้องเรียน Airasia นอกเหนือจาก website รบกวนช่วยเม้นท์บอกต่อด้วย เนื่องจากรู้สึกเหมือนเด็ก ๆ ถูกรับกรรมจากระบบการทำงานแย่ ๆ ของสายการบิน

Taiwan Excellence ยกทัพนวัตกรรมลํ้า โชว์งาน Taiwan Expo 2024 - เปิดตัว FU BEAR

เมื่อวันที่ (1 พ.ย. 67) ร่วมสัมผัสนวัตกรรมอันล้ำสมัยของไต้หวันได้ที่ “พาวิลเลียน Taiwan Excellence” ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของงาน Taiwan Expo 2024 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 21 ถึง 23 พฤศจิกายน ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (ฮอลล์ 5, บูธหมายเลข 401) โดยภายในงานจะจัดแสดงสินค้าที่ได้รับรางวัลตราสัญลักษณ์ Taiwan Excellence มากถึง 58 รายการ รวมทั้งเปิดโอกาสสุดพิเศษให้เข้าเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ และสัมผัสกับอนาคต ของอุตสาหกรรมสุขภาพ ความยั่งยืน และเทคโนโลยีไปพร้อมกัน

ทั้งนี้ พาวิลเลียน Taiwan Excellence เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานบริหารการค้าระหว่างประเทศ ของไต้หวัน (Taiwan’s International Trade Administration) และสภาส่งเสริมการค้า และการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) ซึ่งในงานเป็นเวทีสำหรับจัดแสดงผลิตภัณฑ์ชั้นนำของไต้หวัน ที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้น ทั้งในแง่คุณภาพ การออกแบบ และนวัตกรรม การได้รับเกียรติคัดเลือกจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของไต้หวัน ในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งตอกย้ำบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมระดับโลก    

นอกจากนี้ยังมีแขกรับเชิญสุดพิเศษในพาวิลเลียนนี้ คือ “FU BEAR” มาสคอตหมีดำจากไต้หวัน ซึ่งจะเปิดตัว อย่างเป็นทางการในประเทศไทยภายในงานนี้ โดย Fu Bear จะเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและไต้หวัน สร้าง ความประทับใจให้กับผู้เข้าชมด้วยความน่ารักสดใส พร้อมสื่อถึงนวัตกรรมและความคิด สร้างสรรค์ ที่อยู่เบื้องหลัง ผลิตภัณฑ์ ของไต้หวัน

นวัตกรรมทั้งหมดที่จัดแสดงในพาวิลเลียนจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ร่วมงานทุกท่าน ผ่านการเปิดตัวนวัตกรรม ล้ำสมัยจำนวนมาก ซึ่งครอบคลุมหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นโซลูชั่นเพื่อความยั่งยืน รวมทั้งเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ซึ่งจะถูกจัดแสดงทั้งในรูปแบบสามมิติ  อุปกรณ์สมาร์ตลีฟวิ่ง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ภายในที่อยู่อาศัย ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อยกระดับชีวิตประจำวันของทุกคน

ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและน่าสนใจภายในพาวิลเลียนนี้ได้แก่ ฟิล์ม “Optiqb Qbarmour” สร้างประสบการณ์ การรับชมแบบสามมิติ ด้วยตาเปล่าจากอุปกรณ์ขนาดพกพา, “YZTEK e+Autoff Compact” อุปกรณ์ควบคุมการทำงาน เตาทำอาหารอัจฉริยะเพื่อความปลอดภัย และ “ible” เครื่องฟอกอากาศแบบสวมใส่ที่ช่วยฟอกอากาศบริสุทธิ์ได้ทุกที่ทุกเวลา มากไปกว่านั้นภายในงานยังมีนวัตกรรมที่โดดเด่นอีก

มากมายไม่ว่าจะเป็น “mbranfiltra” ตัวกรองน้ำแบบพกพาที่สามารถ ผลิตน้ำดื่มสะอาดได้ทุกที่, “Tokuyo” เก้าอี้นวดสุดหรู, “SAUBER Air FLAT™ Wall-mount Air Purifier” เครื่องฟอกอากาศ ติดผนัง พร้อมดีไซน์กรอบรูป และ “INNOLUX” หน้าต่างกรองแสงอัจฉริยะที่ช่วยประหยัดพลังงาน 

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดง อุปกรณ์สำหรับนักปั่นจักรยานอย่าง “WiseChip” ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การปั่นจักรยานด้วยการติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์, “Transcend DrivePro Body 70” กล้องสวมตัวสำหรับการบันทึกภาพ คุณภาพสูง และ “BenQ W4000i” โปรเจคเตอร์เพื่อสร้างบรรยากาศคล้ายโรงภาพยนตร์ในบ้าน ที่ให้ภาพคมชัดระดับ 4K ทั้งหมด ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินค้าจากไต้หวันที่จัดแสดงในพาวิลเลียนนี้เท่านั้น เพราะภายในงานยังมีนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับ คุณภาพชีวิตประจำวันอีกมากมาย

ท้ายที่สุด พาวิลเลียน Taiwan Excellence ยินดีต้อนรับทุกท่าน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริโภคที่ต้องการเดินชมนวัตกรรม สุดล้ำจากไต้หวัน หรือเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพราะภายในงานนี้มีสินค้าที่น่าสนใจสำหรับทุกท่าน แล้วมาพบปะ กับผู้ประกอบการจากไต้หวัน สัมผัสโปรดักต์ล้ำสมัย และเพลิดเพลินไปกับความน่ารักของมาสคอต FU BEAR โดยงานจัดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 21 ถึง 23 พ.ย. 2567 เวลา 10.00 น. ถึง 18.00 น. งานนี้เข้าชมฟรีและเปิดให้ประชาชนทั่วไป

สำหรับเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพาวิลเลียน Taiwan Excellence และผลิตภัณฑ์ 'Best Made in Taiwan' สามารถเยี่ยมชมได้ที่ https://www.taiwanexcellence.org/en

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบ 15 นโยบายการบริหารราชการ เน้นย้ำการเปลี่ยนแนวคิด (MINDSET) ปรับองค์กร เร่งปราบปรามอาชญากรรม เพิ่มขีดความสามารถสถานีตำรวจ ดูแลสวัสดิการตำรวจและครอบครัว สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับพี่น้องประชาชน

(4 พ.ย. 67) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการบริหารราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2568 ณ ห้องแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , ข้าราชการตำรวจระดับ พล.ต.ต. ขึ้นไป พร้อมทั้งสมาคมแม่บ้านตำรวจ จำนวนกว่า 465 นาย เข้าร่วมประชุม ณ ห้องแจ้งยอดสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และถ่ายทอดสัญญาณผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปยังหน่วยงานตำรวจทั่วไปประเทศ เพื่อร่วมรับฟังวิสัยทัศน์และนโยบายการบริหารราชการของผู้บัญชาการตำรวจคนที่ 15 ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน” 

โอกาสนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้อัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานหนังสือชุด ธรรมนาวา “วัง” เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ดังนี้ 
“หลัก “ธรรม” ในพระศาสนา เป็นเรื่องสำคัญต่อมวลมนุษยชาติ และพวกเราทั้งหลายในฐานะทหาร และตำรวจ หลักปฏิบัติธรรมมะนาวาวังนี้ จะช่วยให้พวกเราได้เข้าใจในหลักธรรมคำสอนได้อย่างมีระบบระเบียบ โดยสามารถยึดถือเป็นหลักการและแนวทางในการศึกษา ฝึกปฏิบัติ ตลอดจนถึงการนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต 
อนึ่งการทหาร การตำรวจ กับ หลักธรรมคำสอนในพระศาสนานั้น หากพวกเราได้ทำความเข้าใจในธรรมะและศาสนา คือคำสอนที่ว่าด้วยเรื่องของชีวิต ตามความเป็นจริง สู่การดับทุกข์อย่างลึกซึ้งแล้วนั้น จะส่งผลให้สามารถครองตนและครองคนโดยธรรมได้เป็นอย่างดีและมั่นคงต่อไป”

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบ 15 นโยบายหลัก เน้นหนัก และเร่งด่วน ดังนี้
1. ปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2. เปลี่ยนแนวคิด ค่านิยม และกรอบความคิด (MINDSET) ให้ตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชน
3. สร้างขวัญกำลังใจ ให้รางวัลแก่ “ตำรวจน้ำดี” และพิจารณาลงโทษตำรวจที่ทำไม่ดีอย่างเด็ดขาด
4. ปรับปรุงการให้บริการ การอำนวยความสะดวกในหน้าที่ของตำรวจทุกด้าน พัฒนางานสถานีตำรวจ
5. ส่งเสริม สนับสนุน และแก้ไขปัญหางานสอบสวน รวมทั้งอำนวยความยุติธรรมทางอาญา
6. ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน และเป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ เช่น ยาเสพติด อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ค้ามนุษย์ ผู้มีอิทธิพล อบายมุข บ่อนการพนัน การพนันออนไลน์ สินค้าผิดกฎหมายหรือเลี่ยงภาษีศุลกากร และหนี้นอกระบบ
7. ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และกลุ่มชาวชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจโดยใช้นอมินี แรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองหรือทำงานโดยผิดกฎหมาย
8. สร้างเสริมวินัยจราจร บังคับใช้กฎหมายและแก้ปัญหาด้านการจราจรเพื่อลดอุบัติเหตุ
9. นโยบายเชิงรุกด้านการข่าว ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง
10. สร้างความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชน ประชาสัมพันธ์เชิงรุก และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร
11. ปรับปรุง พัฒนาระบบและวิธีการทำงาน เพื่อสร้างแผนแม่บท (MASTER PLAN)
12. ปรับการบริหารงานบุคคลและงบประมาณใหม่ 
13. ทบทวน แก้ไข ปรับปรุง ระเบียบคำสั่ง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานของตำรวจ และการปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
14. ฝึกอบรม ทบทวน พัฒนา ทักษะ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของตำรวจ
15. จัดสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ที่ตำรวจพึงมีอย่างเต็มที่ รวมถึงการแก้ปัญหาหนี้สินของตำรวจ การสร้างอาชีพเสริมรายได้โดยสุจริต และไม่กระทบกับงานประจำ

ข้อเน้นย้ำในการปฏิบัติราชการและความร่วมมือด้านต่าง ๆ
1. การสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการ ต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ โดยเฉพาะในสถานีตำรวจที่ต้องให้บริการประชาชน
2. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ต้องไม่ปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบกระทำความผิดเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง และประกอบอาชีพโดยผิดกฎหมาย
3. การดูแลนักท่องเที่ยว การรักษาความปลอดภัย ดูแลอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
4. การบริหารจัดการจราจร อำนวยความสะดวกการจราจร ป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล
5. สนับสนุนความร่วมมือในการทำงานของสมาคมแม่บ้านตำรวจร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
6. ผู้บัญชาการ/ผู้บังคับการ จะต้องเป็น Influencer ด้วยตนเอง ให้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง
 
ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเน้นย้ำ จะต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงทุกด้านภายในองค์กรตำรวจ ขอให้ตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ เข้าถึงประชาชน สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับตำรวจ และขอให้สามัคคี ร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชนและสังคมโดยรวม

‘โค้ชทีมเยาวชน’ ตัดพ้อฟุตบอล 7 คนรายการดัง หลังให้ดาวรุ่งทีมชาติฟอกขาวลงเเข่งเพื่อเป็นเเชมป์

กลายเป็นประเด็นดรามาหลังจบการเเข่งขันฟุตบอล 7 คนรายการใหญ่ 'กีฬา 7 HD' ซึ่งเเชมป์ปีนี้ตกเป็นของ ภัทรบพิตร อคาเดมีบุรีรัมย์ ด้วยการถล่มชนะ ราชวินิตบางแก้ว 7-1

ด้าน อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ กุนซือมากประสบการณ์ ที่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลระดับนักเรียนมากมาย กับการแข่งขันฟุตบอลนักเรียน 7 คน แชมป์กีฬา 7HD แชมเปียนคัพ ซึ่งปัจจุบันทำทีมหมอนทองวิทยา ออกมาโพสต์ตัดพ้อเเกมบ่นว่าภัทรบพิตรใช้นักกีฬาระดับทีมชาติยกทีม การจะเป็นเเชมป์ไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งรายการนี้ควรจะเป็นการปั้นดาวรุ่งไปติดทีมชาติมากกว่าให้ทีมชาติมาเล่นเพื่อเอาเเชมป์

"จบไปแล้วครับสำหรับฟุตบอลรายการที่ดีรายการหนึ่งสำหรับนักเรียนนั้นคือกีฬานักเรียนฟุตบอล7คน แชมป์กีฬา7สี ก็ต้องแสดงความยินดีกับแชมป์ปีนี้คือ รร. ภัทรบพิตร จากบุรีรัมย์และก็ขอให้กำลังใจกับรองแชมป์ปีนี้ รร. ราชวินิตบางแก้ว สมุทรปราการ ถึงแม้ผลมันจะออกมาแบบชนะกันอย่างมากมายก็ต้องยอมรับหัวใจของนักกีฬาราชวินิตบางแก้วสู้แล้วครับ แต่สู้ไม่ได้เพราะอะไรหลายท่าน ๆ ก็พอจะเข้าใจกันได้เราแข่งขันกันมาหลายปีแล้ว สำหรับเวทีแชมป์กีฬา7สี เราน่าจะมาสังขยานากฎกติกากันใหม่ไหมกติกาเก่าไม่พัฒนาหลาย ๆ อย่างปกติแล้ว7สี มุ่งหาดาวรุ่งเพื่อช่วยชาติแต่ปัจจุบันมันไม่ใช่เพราะตอนนี้เราเอาดาวรุ่งทีมชาติฟอกขาวใหม่ เพื่อเป็นแชมป์7สี มองดูแล้วมันยังไงไม่รู้แต่ถ้าแข่ง7สี เสร็จแล้วสามารถสร้างดาวรุ่งเข้าสู่ทีมชาติได้ เราถือว่าการจัดการแข่งเราประสบความสำเร็จ เพราะช่วยชาติได้ส่วนตัวแล้วไม่อยากเห็นฟุตบอลรายการนี้เป็นฟุตบอลเดินสายแสวงหาผลประโยชน์กัน เพราะเป็นกีฬานักเรียนสมัครเล่น อย่าเอาฟุตบอลอาชีพเข้ามาเดี๋ยวมันจะเสื่อมมนต์ขลังฟุตบอล7สี ฟุตบอลดาวรุ่งมุ่งทีมชาติครับ" โพสต์ของอาจารย์ สกล

อย่างไรก็ตามกระเเสมีเเบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย 1 ก็เห็นด้วยเเต่ก็มีอีกกระเเสที่มองว่าทีมอื่น ๆ อย่าง โรงเรียนท่าข้ามก็มีนักเตะจากชลบุรี หรืออัสสัมชัญธนบุรีก็มีตัวดัง ๆ เยอะ แต่ที่ภัทรบพิตรคว้าเเชมป์เพราะนักกีฬามีระเบียบวินัย

'วิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี IRPCT & เจริญชัยฯ (อ.กรอ.อศ)' ร่วมเสริมสร้างสื่อการเรียนการสอน การบริหารจัดการพลังงานและการอนุรักษ์พลังงาน แบบ IoT Real Time  น้อมรับนโยบายการทรวงศึกษาธิการ 'เรียนดี มีความสุข'

เมื่อวันที่ (30 ต.ค.67) นายปรีดา บุญศิลป์ ผู้จัดการใหญ่ วิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี หรือ IRPCT ได้เรียนเชิญนายประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษโครงการเชิญผู้เชี่ยวชาญและภูมิปัญญา ด้วยแผนกวิชาช่างไฟฟ้าและเทคนิคพลังงาน วิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี ได้กำหนดจัดโครงการผู้เชี่ยวชาญและภูมิปัญญา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกได้รับความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องการตรวจสอบพลังงานและระบบไฟฟ้า พร้อมวิเคราะห์บริหารจัดการพลังงาน การอนุรักษ์พลังงาน พร้อมร่วมระบบพลังงานสะอาดด้วย IoT (สินค้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ NiA)                    

โดยมีนักศึกษาเข้าร่วมอบรมจำนวน 242 คน กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการภาคเอกชน สถานศึกษา และหน่วยงานต่างๆ ในการสนับสนุน ส่งเสริมให้มีสื่อการเรียนการสอนที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ สร้างโอกาสการมีงานทำและส่งเสริมการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีอย่างจริงจัง เพื่อพัฒนาผู้เรียนใหมีคุณภาพและสมรรถนะตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ นำไปสู่การมีรายได้ระหว่างเรียน และจบแล้วมีงานทำ 

ที่สำคัญทำให้นักศึกษาอาชีวะ มีความพร้อมเข้าสู่โลกอาชีพ ได้ทันตามความต้องการกำลังคนของประเทศ สามารถประกอบอาชีพหรือเป็นผู้ประกอบการได้ ระบบดังกล่าวช่วยตรวจเช็ค วิเคราะห์พลังงาน บำรุงรักษา ด้านความปลอดภัย อัคคีภัย แบบ IoT ในการให้ความรู้ด้านการจัดการพลังงานแบบเรียลไทม์ (IoT) ส่งเสริมหลักสูตร สื่อการเรียนการสอนทันสมัยสุดในอาเซียนเรื่องบำรุงรักษาและมาตรฐานความปลอดภัย อัคคีภัย ของหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อเป็นประโยชน์และ ตรงต่อความต้องการของ ภาคประกอบการ เป็นกำลังคนอาชีวศึกษาสมรรถนะสูงเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม เศรษฐกิจของประเทศต่อไป

สมุทรปราการ-'เสี่ยหมี' เดินหน้าธุรกิจเปิดตัว 'ตลาดคิงคองมาร์เก็ต' แบบครบวงจร

ที่ตลาดคิงคองมาร์เก็ต ปากซอยเทศบาลบางปู 59 ถนนสุขุมวิท ตำบลท้ายบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ นายไพบูลย์ วสุโสภณ หรือเสี่ยหมี ผู้บริหารตลาดคิงคองมาร์เก็ต จัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระ พร้อมทั้งบวงสรวงสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องในโอกาสเปิดตลาดใหม่คิงคองมาร์เก็ต โดยได้รับความเมตตาจาก พระครูปลัดประพลฌศักดิ์ พลญาโณ ดร. เจ้าอาวาสวัดชัฏป่าหวาย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำพระภิกษุสงฆ์ จำนวน 9 รูป จากสำนักสงฆ์ห้วยน้ำหนัก ตำบลตะนาวศรี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคล 

โดยมี พลเอกบุญเกิด วาดวารี พร้อมด้วย นางพรวิภา แซ่ลิ้ม ดร.สังวาลย์ เกตุงาม นายกก่อตั้งสมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาค พ.ต.อ.สุวิชา ชั้นงาม ผกก.สภ.ปากคลองรังสิต พร้อมทั้งญาติสนิท สมาชิกกลุ่ม 80 ฅน ปากน้ำ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมในพิธีทำบุญครั้งนี้

โดยทางด้าน เสี่ยหมี หรือนายไพบูลย์ วสุโสภณ  กล่าวว่า วันนี้ได้จัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระเพื่อความเป็นสิริมงคลในการเปิดตัวตลาดใหม่ โดยใช้ชื่อว่าตลาดคิงคองมาร์เก็ต ภายในสถานที่แห่งนี้ประกอบไปด้วยสนามแบดมินตันจำนวน 6 คอร์ด เปิด 24 ชม. ฟิตเนสคิงคองคลับ เปิด 24 ชม.ห้องจัดเลี้ยง จุคนได้ประมาณ 80-100 คน ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง 

ร้านบุฟเฟ่ต์หมูกะทะ โซนตลาดนั่งชิว คาเฟ่ โดยบรรยากาศช่วงเย็นนั่งริมคลองฟังเพลงเบาๆ ตั้งแต่วันนี้จะลองเปิด run down ไปเรื่อยๆ และมีพิธีเปิดจริงในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ อย่างไรก็ตามขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวตำบลท้ายบ้านใหม่ ชาวตำบลบางปูใหม่ และตำบลใกล้เคียง มาร่วมใช้บริการกันได้ที่ตลาดคิงคองมาร์เก็ต ปากซอยเทศบาลบางปู 59 ถนนสุขุมวิท 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top