Saturday, 21 June 2025
NEWS FEED

นายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีปัญหาพี่น้องชาวกะเหรี่ยงบางกลอยว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชน การบังคับให้โยกย้ายถิ่นฐานตั้งแต่ปี 2539 และปี 2554 จนมาถึง ปี 2564

ของเจ้าหน้าที่รัฐต่อพี่น้องชาวกะเหรี่ยงบางกลอยเป็นการกระทำที่ไม่เคารพสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม เป็นการโยกย้ายที่ไม่ชอบด้วยหลักการสากลที่รัฐบาลลงนามกับนานาอารยะประเทศ

ตนในนาม ส.ส.พรรคก้าวไกล สัดส่วนชาติพันธุ์ เมื่อทราบว่ามีการใช้กฎหมายที่รุนแรง จึงได้นำเรื่องเข้าสู่กรรมาธิการสามัญ ได้แก่ กรรมาธิการ, เด็ก, เยาวชน, สตรี, ผู้สูงอายุ, ผู้พิการ, กลุ่มชาติพันธุ์และผู้มีความหลากหลายทางเพศ, กรรมาธิการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม รวมถึงยังได้หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อกรณีนี้

ทั้งนี้ เพื่อการแก้ปัญหาในระยะยาว พรรคก้าวไกลและเครือข่ายชาติพันธุ์พรรคก้าวไกล จึงได้ร่วมกันยกร่างกฎหมายว่าด้วย พ.ร.บ.ชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เพื่อเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นรูปแบบการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดยขณะนี้อยู่ในกระบวนการรับฟังความเห็นของประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในแต่ละภูมิภาค และจะนำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรตามขั้นตอนกระบวนการ โดยประเด็นสำคัญในร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย มี 2 ประเด็นหลัก คือ

1.) การยอมรับและรับรองความมีตัวตนของชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตราที่ 70 ในรูปแบบเขตวัฒนธรรมเฉพาะ หรือ เขตวัฒนธรรมพิเศษตามบริบทพื้นที่ของชาติพันธุ์ต่าง ๆ

2.) สร้างกลไกการทำงานประสานความร่วมมือ และการกำหนดแผนงานยุทธศาสตร์ต่างๆร่วมกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายมานพ กล่าวต่อว่า ส่วนงานนอกสภาผู้เเทนราษฎรตนได้ลงพื้นที่พบปะผู้นำชุมชนบางกลอย และร่วมทำงานกับเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมภาคตะวันตก และเครือข่ายภาคี save บางกลอยเพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือทั้งในระยะสั้นและระยะยาวผ่านกลไกคณะทำงานภาคประชาชน และกลไกที่หน่วยงานภาครัฐแต่งตั้งขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับพี่น้องชาวกะเหรี่ยงภาคเหนือระดมข้าวสารและข้าวเปลือก จำนวน 4 ตัน ส่งมอบให้พี่น้องบางกลอยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะเร่งด่วน และล่าสุดได้ลงไปให้กำลังใจผู้ที่ถูกดำเนินคดีจำนวน 22 รายทั้งในพื้นที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และสถานที่ชุมนุมที่ข้างทำเนียบรัฐบาล

ใครพ่น เราจะลบ!! ลูกเสืออากาศ พิทักษ์สาธารณะ ไล่ล่าลบรอยพ่นสีตามกำแพง

ไม่นานมานี้กลุ่ม ‘ลูกเสืออากาศ’ วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง ได้ดำเนินกิจกรรมจิตอาสา ปฏิบัติการลบรอยพ่นสีตามสถานที่สาธารณะบริเวณดอนเมือง บางเขน หลักสี่ ปากเกร็ด บางกระดี เมื่อวันเสาร์ที่ 13 และ วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 

โดยเหตุผลของการลบครั้งนี้ เด็ก ๆ มองว่า... 

“เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม 

“ใครพ่นเราลบ จบนะครับ”
 

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จ่อ ดัน “โชห่วย” เข้าตลาดหุ้น หวังช่วยสร้างความเข็มแข็งให้ธุรกิจเอสเอ็มอีก้าวไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมฯ กำลังหาทางผลักดันให้ร้านค้าปลีกค้าส่งที่อยู่กลุ่มส่งเสริมพัฒนาจากกรมฯ และเป็นร้านค้าต้นแบบ 213 ราย เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพิ่มเติม

เพื่อเป็นการช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทย หลังจากก่อนหน้านี้ สามารถผลักดันเข้าไปจดทะเบียนและมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ สำเร็จแล้ว 2 ราย คือ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) ที่เชียงราย และบริษัท เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น จากัด (มหาชน) ที่หาดใหญ่

สำหรับประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีก้าวไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ โดยสามารถระดมเงินทุนมาใช้ในการขยายกิจการ เพิ่มจำนวนสาขา และแข่งขันกับธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่ได้ อีกทั้งยังทำให้ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของคนไทย มีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง

ปัจจุบัน มีร้านโชห่วยทั้งประเทศประมาณ 4 แสนราย โดยตัวเลขที่ทรงตัวอยู่ในระดับนี้มานาน เพราะมีการเปิดใหม่ และปิดตัวไปเท่าๆ กัน โดยรายเดิมที่ปิดตัวไป มีทั้งทำธุรกิจมานาน และไม่มีลูกหลานมาทำกิจการต่อ จึงต้องปิดตัวไป หรือทำแล้วประสบปัญหา แข่งขันไม่ได้ ก็ปิดตัวไป

แต่ก็มีรายที่ปรับตัว และอยู่รอดได้ ก็ทำธุรกิจต่อ และยังมีรายใหม่ ๆ เข้ามาทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลมีมาตรการช่วยบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งโครงการคนละครึ่ง เราชนะ เรารักกัน ทำให้ร้านโชห่วยมีรายได้เพิ่มขึ้น จึงมีร้านโชห่วยเกิดใหม่มากขึ้นตามไปด้วย

อดีตสมาชิกวุฒิสภา ‘เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ’ ส่งหลักฐาน ถึงป.ป.ช. งัด คลิป - รูปภาพ จากสื่อ จี้ สอบพระเครื่อง ‘บิ๊กตู่ - บิ๊กป้อม’ พ่วง ‘สมพงษ์’ ผู้นำฝ่ายค้าน

เมื่อวันที่ 15 มี.ค.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้ส่งหนังสือถึงประธานกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เนื่องจากเมื่อต้นปี 2564 มีการเผยแพร่ข่าวเปิดกรุพระเครื่องของนายกรัฐมนตรี และเมื่อย้อนไปดูคลิปข่าวที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยให้สัมภาษณ์ และมีการนำเสนอเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 เปิดกรุพระเครื่องของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ได้ปลดกระดุมเสื้อเพื่อโชว์พระที่ห้อยคอ แล้วระบุว่ามีพระมาตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้นับว่าทั้งหมดกี่องค์ และเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 คลิปที่พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีโชว์พระเครื่อง ว่าที่โชว์ยังน้อย จริง ๆ มีเป็นร้อยองค์ และตนก็พกแต่ไม่ได้โชว์

นายเรืองไกร กล่าวว่า "เมื่อค้นหาข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับบัญชีทรัพย์สินฯ ที่พล.อ.ประยุทธ์ ยื่นต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2557 กลับมีไม่ถึง 100 องค์ จึงมีเหตุสมควรตรวจสอบว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยื่นบัญชีพระเครื่องไว้ครบถ้วนหรือไม่ และเมื่อไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอื่นของ พล.อ.ประวิตร ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 4กันยายน 2557 พบว่าไม่มีการยื่นบัญชีทรัพย์สินอื่นไว้เลย ทั้งที่ในคลิปที่มีการนำเสนอผ่านสื่อระบุชัดเจนว่า พล.อ.ประวิตร ก็มีพระเครื่องที่พกอยู่ด้วยเช่นกัน"

“เมื่อนำคำพูดของบิ๊กป้อมที่บอกว่า บิ๊กตู่มีพระเป็นร้อยองค์ ไปตรวจสอบกับบัญชีทรัพย์สินของบิ๊กตู่ พบว่า มียื่นไว้ไม่กี่รายการ ดังนั้น จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่า อาจมีพระเครื่องอีกหลายสิบองค์ที่บิ๊กตู่อาจไม่ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.” นายเรืองไกรกล่าว

นายเรืองไกร ยังขอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอื่นของ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2562 วันที่ 21 สิงหาคม 2562 วันที่ 9 ตุลาคม 2562 วันที่ 26 ตุลาคม 2562 และวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ปรากฏข่าวภาพตามสื่อต่างๆ พบว่านายสมพงษ์ สวมใส่นาฬิกา หรือสร้อยคอหรือมีพระบูชาในห้องทำงานอยู่ด้วย แต่ในบัญชีทรัพย์สินอื่นที่ยื่นไว้เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ไม่มีการยื่นรายการดังกล่าวไว้

นายเรืองไกร กล่าวว่า "ตามคู่มือของ ป.ป.ช. บอกไว้ว่า ทรัพย์สินอื่นถ้ามีมูลค่ารวมกันเกิน 200,000 บาท ก็ต้องยื่นบัญชี เมื่อมีข้อเท็จจริงตามที่กล่าวมา ประกอบกับทั้ง 3 คน เป็นผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะ จึงมีเหตุที่ควรถูกตรวจสอบตามกฎหมายต่อไป ตนจึงส่งหนังสือเพื่อขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอื่นของทั้ง 3 คน ว่า ได้ยื่นไว้ครบถ้วนแล้วหรือไม่"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการยื่นขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบในครั้งนี้ นายเรืองไกร ได้นำคลิป ภาพ และคำสัมภาษณ์จากสื่อต่าง ๆ ที่มีการนำเสนอมาเป็นหลักฐานให้กับ ป.ป.ช.

คืบหน้า อาการของไฮโซดัง ‘ปลาวาฬ’ นักธุรกิจเจ้าของโรงแรมศรีพันวา หลังได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้า แพทย์เผยยังรักษาในห้องไอซียู เนื่องจากสมองกระทบกระเทือน

นายแพทย์เฉลิมพงษ์ สุคนธผล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เปิดเผยถึงอาการของ นายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการโรงแรมศรีพันวา ซึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้รับบาดเจ็บเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 14 มี.ค. 64 ว่า ขณะนี้ผู้ป่วยมีอาการหนัก ยังต้องรักษาตัวในห้องงไอซียู เนื่องจากสมองกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง โดยแพทย์ได้ทำTC สแกนสมอง เพื่อดูว่าเลือดคั่งในสมองหรือไม่ รวมทั้งต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

ทั้งนี้เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.ของวันที่ 14 มี.ค. 64 ร.ต.อ.ชาตรี ชูวิเชียร พนักงานสอบสวน สภ.วิชิต จว.ภูเก็ต ได้รับแจ้งเหตุรถยนต์เก๋งเสียหลักชนเสาไฟฟ้าข้างทางริมถนน หน้าโรงเรียนบ้านอ่าวน้ำบ่อ ต. วิชิต เมือง จ. ภูเก็ต หลังรับแจ้งจึงเข้าตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต

ที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋งป้ายทะเบียน 6 กษ 1245 กรุงเทพมหานคร ชนอัดติดอยู่กับเสาไฟฟ้าโดยคนขับถูกอัดติดภายในรถ เจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตต้องใช้เครื่องตัดถ่างเพื่อนำผู้บาดเจ็บออกมาจากรถใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจึงนำออกมาได้ เบื้องต้นได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และประสานรถยกนำรถเก๋งคันดังกล่าวไปเก็บไว้ที่สภ.วิชิต จว.ภูเก็ต

จากการตรวจสอบคนขับรถยนต์เก๋งคันดังกล่าว คือ นายวรสิทธิ อิสสระ หรือ ปลาวาฬ นักธุรกิจ เจ้าของโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ส่วนสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวน


ที่มา : https://www.posttoday.com/social/local/647876

ภาพ มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต

เมื่อต้องมีพ่อ​ 3​ คน​ ใต้นิยามใหม่ของคำว่า "ครอบครัว" ที่ไม่ต้องเป็น "ชีวิตคู่" เสมอไป

เปิดโลกทัศน์สมัยใหม่ กับการใช้ชีวิตคู่ ที่ดูเหมือนจะเป็นกรอบนิยามที่ล้าสมัยไปแล้ว เมื่อการสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องมีเพียงคู่รักหญิง - ชาย สามี - ภรรยา เสมอไป

โดยปัจจุบันคนยุคใหม่เริ่มคุ้นเคยกับครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ซิงเกิ้ลมัม ซิงเกิ้ลแดด หรือ คู่รักเพศเดียวกัน มากขึ้น

แต่นี่อาจเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้น​ หลังจากมีครอบครัวอีกรูปแบบ​ ผ่าน​ชาย​ 3 และเด็ก 1 ที่อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างมีความสุข และพยายามต่อสู้ให้ชาย​ 3​ คนนั้น​ เป็นพ่อที่ได้รับการรับรองสถานะ "บิดา" อย่างถูกต้องตามกฏหมาย

เรื่องมุมมองครอบครัวสุดพิสดารในสายตาของคนอื่น แต่เป็นเรื่องสุดแสนธรรมดาในสายตาของพวกเขา เริ่มต้นจาก เอียน เจนคินส์ ปัจจุบันเป็นถึงผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขต ซาน ดิเอโก้

เขาได้เล่าเรื่องครอบครัว 3 หนุ่มลูกติดของเขา ผ่านหนังสือชื่อ Three Dads and a Baby: Adventures in Modern Parenting และการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดของครอบครัว คือการมีลูก และยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ใส่ชื่อพวกเขาทั้ง 3 คนเป็นพ่อในใบเกิดลูก

โดยเริ่มจากชีวิตในวัยเด็กของ เอียน เจนคินส์ ในรัฐเวอร์จิเนีย ที่รู้ตัวว่าเขาเป็นเกย์ แต่เมื่อเขาบอกความจริงออกไป กลับไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมในสมัยนั้น เขาถูกคนรอบข้างต่อต้านอย่างรุนแรง ไม่มีเพื่อนเลย จนกระทั่งเขาย้ายมาเรียนแพทย์ที่บอสตัน เรียนดีจนได้เป็นถึงอาจารย์หมอ และทำให้เขาได้พบกับ อลัน หนึ่งในลูกศิษย์ของเขา ที่เป็นเกย์เช่นกัน

แล้วทั้งคู่ก็ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน และย้ายมาอยู่ที่เมือง ซาน ดิเอโก้ โดยเอียน ยังคงเป็นอาจารย์สอนที่คณะแพทย์ ใน UC San Diego ส่วน อลัน ทำงานเป็นแพทย์ประจำในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

ทั้งคู่ร่วมชีวิตกันนานถึง 10 ปี จนกระทั่ง อลัน เกิดไอเดียแปลก ๆ​ ว่า ทำไมเราไม่ขยายครอบครัว หาคนร่วมชีวิตเพิ่มหล่ะ

และไอเดียแปลก ๆ​ นี้ ก็พาพวกเขามารู้จักกับ เจอรามี สัตวแพทย์หนุ่มในสวนสัตว์ ซาน ดิเอโก้ ที่ยินดีใช้ชีวิตไตรเน็ต ชัดเจนทุกความถี่ร่วมกัน 3 คน

แต่ต่อมา อลันก็มาพร้อมกับไอเดียแปลก ๆ​ อีกครั้ง คราวนี้เขาบอกว่าอยากได้ลูกสักคน

เรื่องนี้ทำให้ทั้ง 3 คน ต้องมานั่งโต๊ะคุยกันอย่างจริงจังในเรื่องการมีลูก ซึ่งสถานะครอบครัวอย่างพวกเขา การขอบุตรบุญธรรมคงไม่มีใครอนุมัติ และพวกเขาก็ต้องการลูกที่เป็นของพวกเขาจริง ๆ

เขาจึงตัดสินใจติดต่อหาผู้ที่ประสงค์บริจาคไข่ และก็ได้เมแกน ที่ยินดีบริจาคไข่ให้ แต่ต้องนำไปฝากไว้ในครรภ์ของคุณแม่อุ้มบุญที่ไม่ประสงค์ออกนาม จนได้ลูกคนแรกออกมาเป็นลูกสาว ชื่อ ไปเปอร์ ซึ่งกลายเป็นนางฟ้าตัวน้อยของบ้าน

แต่ปัญหาที่ตามมาคือ พวกเขาทั้ง 3 คน ต้องการระบุว่าเป็นพ่อเด็กอย่างถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อให้ลูกของพวกเขาได้สิทธิ์ผูกพันทางกฏหมายอย่างเสมอภาคทั้ง 3 คน

แต่ปัญหาคือ ตามกฏหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียจะอนุญาตให้ระบุชื่อพ่อในใบเกิดมากกว่า 1 คนได้ต่อเมื่อ พ่อคนปัจจุบันมีความผิดปกติ ที่อาจเป็นอันตรายต่อครอบครัว

ทำให้ ครอบครัว 3 หนุ่มต้องยื่นคำร้อง ต่อสู้เรียกร้องสิทธิ์ในชั้นศาล ยอมเสียค่าทนายหลักแสนดอลลาร์ และค่าดำเนินการมากมาย จนได้สิทธิ์ระบุชื่อพ่อ 3 คนในใบเกิดลูก ซึ่งเป็นเคสแรกในรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือจะเรียกว่าเป็นเคสแรกในสหรัฐอเมริกาก็ว่าได้

ซึ่งตอนนี้ ครอบครัว 3 หนุ่ม เอียน อลัน เจอรามี ก็มีลูกคนที่ 2 เรียบร้อย เป็นลูกชายที่พวกเขาตั้งชื่อว่า ปาร์คเกอร์ จากผู้บริจาคไข่คนเดิม แต่แม่อุ้มบุญคนใหม่ ที่พวกเขาช่วยกันเลี้ยงลูก แชร์ค่าใช้จ่ายร่วมกัน และออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ เมแกน แม่ผู้บริจาคไข่ ที่อยู่ไกลถึงรัฐเทนเนสซี บินมาเยี่ยมเด็กๆ อย่างน้อยปีละครั้ง

และเพื่อไม่ให้ลูกๆสับสนในการเรียกพ่อ ก็ตกลงกันว่าให้เรียก เอียน ว่า Papa เรียก อลันว่า Dada และเรียก เจอรามี ว่า Daddy

การสร้างครอบครัวชาย 3 ที่มีลูกติด ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต และหน้าที่การงานของพวกเขาแล้วในตอนนี้ เพื่อนร่วมงานของ 3 หนุ่มก็รับได้ และคิดว่าเป็นครอบครัวที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครดี

เอียน เจนคินส์ หวังว่าเรื่องราวของครอบครัวของเขา จะช่วยให้คนทั่วไปมีมุมมองในเรื่องครอบครัวที่กว้างกว่าเดิม และเข้าใจว่าการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบมีได้หลากหลายรูปแบบ ไม่จำกัดเฉพาะการมี "ชีวิตคู่" เท่านั้น

ตราบใดที่ครอบครัวอิ่มอุ่นด้วยความรัก ความเข้าใจ บทบาทของพ่อ และแม่ ก็มีได้หลายหลายไม่จำกัดนิยามจริง ๆ


อ้างอิง:

https://edition.cnn.com/2021/03/06/us/throuple-three-dads-and-baby-trnd/index.html?

utm_source=fbCNNi&utm_term=link&utm_content=2021-03-13T11%3A29%3A07&utm_medium=social

หอการค้าไทย - จีน มั่นใจ เศรษฐกิจฟื้น พร้อมชง ศบค. เร่ง ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ คาดช่วยนักท่องเที่ยวปีนี้เพิ่ม 8 ล้านคน ย้ำ!! หากช้าจะเสียโอกาสให้ประเทศอื่นที่มีความพร้อมมากกว่า

หอการค้าไทย - จีน ได้จัดทำผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจหอการค้าไทย - จีน ซึ่งสำรวจความคิดเห็นจากคณะกรรมการหอการค้าไทย - จีน และสมาคมธุรกิจ รวม 409 คน ต่อภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2564 โดยสำรวจในระหว่างวันที่ 18 - 26 ก.พ.2564 พร้อมทั้งมีข้อเสนอให้รัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด-19

นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย - จีน เปิดเผยว่า หอการค้าไทย - จีน จะทำหนังสือถึงศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อไวรัสโควิด-19 (ศบค.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อให้รีบดำเนินมาตรการออก ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ให้เร็วที่สุดภายในเดือน มี.ค.2564 หลังจากที่ประเทศไทยเริ่มมีทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปแล้ว

ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการออกวัคซีนพาสปอร์ตแล้ว ศบค.ควรกำหนดให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนพาสปอร์ต ไม่ต้องกักตัวแล้ว เพราะไม่มีความจำเป็นที่ต้องกักตัวแล้ว ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทยปีนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 8 ล้านคน และคาดว่าในจำนวน 8 ล้านคน จะเป็นนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมากกว่า 2 ล้านคน

“หอการค้าไทย - จีน อยากให้รัฐบาลรีบดำเนินการเรื่องของวัคซีน พาสสปอร์ต ให้เร็วที่สุด เพราะหากช้าไทยสูญเสียตลาดนักท่องเที่ยวให้กับประเทศอื่นที่มีความพร้อมมากกว่า ซึ่งขณะนี้คนจีนมีความต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศมาก ประเทศที่เป็นตัวเลือกก็คือ เอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย เพราะเห็นว่าประเทศไทยปลอดภัย”

นอกจากนี้ หากมีวัคซีนพาสปอร์ต ออกมาภายในเดือน มี.ค. คาดว่านักท่องเที่ยวจะเริ่มเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยได้อย่างช้าสุดภายในเดือน เม.ย.เป็นต้นไป ส่วนการท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นปกติเหมือนก่อนเกิดโควิด-19 คาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีก 2 ปี หรือประมาณปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566

ส่วนการชุมนุมทางการเมืองจะกระทบต่อการท่องเที่ยวหรือไม่นั้น นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า นักท่องเที่ยวจีนไม่กังวล เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ก็ไปท่องเที่ยวตามหัวเมืองหลักของประเทศ โดยจังหวัดหลักที่นักท่องเที่ยวต้องการไป คือ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา

สำหรับผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจหอการค้าไทย - จีน พบว่า 60% มั่นใจเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในไตรมาส 2 จะเติบโตต่อเนื่อง แม้จะยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ในส่วนของการส่งออกของไทยไปจีน ผลสำรวจส่วนใหญ่เห็นว่าการส่งออกของไทยไปจีนจะเพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจของจีนที่เติบโตต่อเนื่อง และการนำเข้าของไทยจากจีนก็เริ่มฟื้นตัวเช่นกัน รวมทั้งแนวโน้มการลงทุนในไทยของนักลงทุนจีนจะไม่ลดลงและมีทิศทางเพิ่มขึ้น ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้าประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากมาตรการการสนับสนุนการท่องเที่ยวและการมีวัคซีน ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลจีนได้เริ่มมีการฉีดให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ หอการค้าไทย - จีน คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโต 1.5 - 2.5% เพราะยังมีความกังวลต่อเศรษฐกิจไทยใน 5 ด้าน โดยเฉพาะการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ต่อเนื่องไปถึงปี 2565 ปัญหาเสถียรภาพการเมือง เศรษฐกิจโลกที่ยังคงตกต่ำต่อเนื่อง ปัญหาหนี้ภาครัฐและหนี้ครัวเรือนของไทย และประสิทธิภาพของวัคซีนที่ไทยกำลังทยอยฉีดว่าได้ผลมากน้อยแค่ไหน

รวมทั้งผลสำรวจยังเห็นว่า การฉีดวัคซีนจะมีส่วนช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทย และเห็นด้วยว่าหากต่างชาติได้รับการฉีดวัคซีนแล้วสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว โดยเฉพาะจะช่วยหนุนภาคท่องเที่ยวของไทยที่รับผลกระทบหนัก และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเร่งด่วน เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวเป็นเครื่องจักรสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ดังนั้นจึงสนับสนุนให้รัฐบาลออกมาตรการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว และต้องการเข้ามาเที่ยวพักผ่อนในประเทศไทย โดยขอให้ภาครัฐเร่งรัดการออกนโยบายให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนมีเวลาเตรียมตัว และนักท่องเที่ยวต่างชาติจะได้วางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้า

“ดัชนีเชื่อมั่นในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 เห็นแนวโน้มการขยายตัวทางการค้าไทยและจีน สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในเดือน ม.ค.2564 และการค้าไทยและจีนมีมูลค่า 7,579 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6.11% ซึ่งผลสำรวจส่วนใหญ่มองการส่งออกไปจีนในปีนี้จะเพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจของจีนที่เติบโตต่อเนื่อง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการเศรษฐกิจจีนปีนี้เติบโต 8.1% เป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออกไทย”

ส่วนความเห็นเกี่ยวกับธุรกิจรายสาขาที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ยังคงเป็นธุรกิจออนไลน์มากที่สุด รองลงมาเป็นธุรกิจพืชผลเกษตร โลจิสติกส์ ธุรกิจบริการสุขภาพ และเกษตรแปรรูป ในขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นกลุ่มที่เห็นว่าควรได้รับการแก้ไขมากที่สุด รองลงมาเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง


ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/926950

รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สั่งเร่งหาข้อเท็จจริง กรณีปล่อยกลุ่มการเมืองโฟนอินหาเสียง ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยมุกดาหาร พร้อมสั่งห้ามจัดกิจกรรมทางการเมืองในสถานศึกษาของกระทรวงฯ เด็ดขาด

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่าตามที่มีข้อมูลปรากฏเป็นข่าวกรณีที่นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ได้มีการโฟนอินเพื่อไปร่วมพูดคุยกับน้อง ๆ นักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยมุกดาหาร เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมิได้นิ่งนอนใจ

และได้สั่งการทันทีที่ทราบเรื่องไปยังนายอัมพร พินะสา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกภายใต้สามมาตรการ คือ

หนึ่ง ห้ามมิให้สถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการทุกแห่งจัดกิจกรรมทางการเมืองเพื่อใช้ในการหาเสียงสำหรับกลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองโดยเด็ดขาด

สอง ให้สถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการทุกแห่งมีมาตรการเฝ้าระวัง สอดส่อง แบบเข้มงวดไม่ให้ผู้ปกครอง ศิษย์เก่า หรือบุคคลหนึ่ง บุคคลใด เข้ามาทำกิจกรรมในสถานศึกษาเพื่อหวังผลทางการเมือง

สาม ให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่เขตการศึกษาในพื้นที่รับผิดชอบดูแลโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณมุกดาหาร เร่งหาข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และรายงานผลกลับมายังกระทรวงศึกษาธิการโดยเร็ว

ทั้งนี้ ในกรณีที่ทราบว่าบุคลากรของสถานศึกษามีพฤติกรรมในการเอื้ออำนวยประโยชน์ให้บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้ามาใช้สถานศึกษาเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองจะต้องมีบทลงโทษตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด

นางดรุณวรรณ ยังกล่าวต่อด้วยว่า คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ยินดีสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ทางด้านประชาธิปไตยให้กับนักเรียน นักศึกษา ตามหลักการการสร้างพลเมืองประชาธิปไตย และพร้อมเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม แต่ต้องเป็นไปภายใต้แนวทางการให้ความรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ที่มิได้หวังผลทางการเมืองหรือมีประเด็นอื่นใดแอบแฝง

“ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่า ท่านรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คุณหญิงกัลยา มิได้นิ่งนอนใจและได้สั่งการไปยังผู้เกี่ยวข้องทันทีที่ทราบเรื่อง พร้อมทั้งกำชับทุกภาคส่วนที่จะต้องไม่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นอีกในสถานศึกษาทุกแห่งภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ” นางดรุณวรรณ กล่าว

รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ หนุนเลื่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย 64 ออกไป 2 สัปดาห์ หวังช่วยเพิ่มโอกาสนักเรียนสอบติดคณะที่ตั้งใจมากขึ้น เหตุเพราะโควิด ทำให้ไม่สามารถเรียนได้ตามปกติ

นางสาวศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ หนุนนักเรียน เรียกร้องเลื่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีการศึกษา 2564 ขอให้นายกฯ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทบทวนการเลื่อนสอบสองสัปดาห์ สอบ GAT-PAT จากวันที่ 20 - 23 มี.ค. 2564 เป็นวันที่ 1 - 4 เม.ย. 2564 และเลื่อนสอบวิชาสามัญ จากวันที่ 3 - 4 เม.ย. 2564 เป็นวันที่ 17 - 18 เม.ย. 2564 ส่วนสอบ O-NET วันที่ 27 - 28 มี.ค. 2564 และ สอบ กสพท (กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย) วันที่ 10 เม.ย. 2564 ตามกำหนดการเดิม เพื่อเพิ่มโอกาสให้นักเรียนในการสอบเข้าเรียนคณะต่าง ๆ ตามที่ตั้งใจไว้

เนื่องจากผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้นักเรียนไม่สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนตามปกติได้ และเห็นว่านักเรียนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงการเรียนการสอนออนไลน์ได้บางส่วน และรวมถึงการติวนอกเวลา ทำให้นักเรียนมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวสำหรับการสอบเพิ่มเติมเพราะต้องใช้เวลาในการอ่าน และทำความเข้าใจบทเรียนด้วยตนเอง ดังนั้นการเลื่อนสอบ 2 สัปดาห์ จะเป็นทางออกที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้นักเรียนอีกจำนวนมากในสอบเข้าคณะที่ตั้งใจไว้

เพราะคะแนนเพียงครึ่งคะแนนก็ทำให้มีตัวเลือกคณะมากขึ้นแล้ว และเชื่อว่านักเรียนที่พร้อมสอบเข้าใจ และอยากเห็นเพื่อน ๆ สอบเข้าคณะที่ตั้งใจไว้ด้วยเช่นกัน ในเรื่องบางเรื่องเราไม่สามารถเอาเสียงส่วนมากหรือส่วนน้อยว่าอยากเลื่อนสอบหรือไม่มาใช้ได้ในการตัดสินใจ แต่ควรยึดหลักว่าอะไรจะเป็นการช่วยเพิ่มโอกาส และสร้างศักยภาพให้กับเยาวชนอนาคตของชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top