Saturday, 21 June 2025
NEWS FEED

เยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาลี และสเปน ยืนยันเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีน AstraZeneca ต่อให้ครบตามเป้าหมาย แม้จะมีข่าวการค้นพบอาการลิ่มเลือดอุดตันในกลุ่มผู้รับวัคซีนบางราย จนทำให้มีประเทศในสหภาพยุโรปถึง 13 ประเทศระงับการฉีดวัคซีนไปก่อนเพื่อรอการตรวจสอบ

แต่ล่าสุด หน่วยงานการแพทย์แห่งยุโรป หรือ EMA ได้ทำการตรวจสอบวัคซีนของ AstraZeneca อีกครั้งและรายงานผลว่า อาการลิ่มเลือดอุดตัน ไม่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน พร้อมยืนยันว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่จะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 อย่างได้ผล แต่ทั้งนี้ก็สุดแล้วแต่รัฐบาลของแต่ละประเทศสมาชิกจะพิจารณาว่าจะยุติ หรือไปต่อกับ AstraZeneca

และทางเยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาลี และสเปน 4 ประเทศแกนนำหลักของสหภาพยุโรปก็ตัดสินใจไปต่อกับ AstraZeneca โดย นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฌอง คาสเทค ออกมาสนับสนุนการใช้วัคซีน AstraZeneca และกล่าวว่าตอนนี้ที่ฝรั่งเศสยังพบการแพร่ระบาดรุนแรง และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการระบาดระลอกที่ 3 ขึ้น ดังนั้นจึงควรเร่งเดินหน้าโครงการวัคซีนให้เร็วที่สุด และ ฌอง คาสเทค ก็จะเข้ารับการฉีดวัคซีน AstraZeneca ในวันศุกร์ที่ 19 มีนาคมนี้

เช่นเดียวกันกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายบอริส จอห์นสัน ที่เคยมีประสบการณ์ ติด Covid-19 ในระดับรุนแรงมาแล้ว ก็ออกมารับประกันความปลอดภัยของวัคซีน AstraZenca และพร้อมที่จะรับวัคซีนเข็มแรกในเร็วๆนี้ นายบอริส จอห์นสัน ย้ำว่า ติด Covid-19 ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะครับ ถ้ามีวัคซีนมาแล้ว ควรรีบมาฉีดกันดีกว่า

ทางด้านองค์การอนามัยโลกก็ได้ออกแถลงการณ์ว่า วัคซีน AstraZeneca มีความปลอดภัย และมีความเสี่ยงน้อย สามารถฉีดต่อไปได้

ส่วนทางบริษัท AstraZenca แถลงว่า ตอนนี้มีประชากรในยุโรป และอังกฤษมากถึง 17 ล้านคนได้รับวัคซีนของบริษัทเรียบร้อยแล้ว มีรายงานการเกิดลิ่มเลือดอุดตันเพียง 37 เคสที่ไม่น่าจะสัมพันธ์กับผลข้างเคียงหลังได้รับวัคซีน

AstraZenca เป็นหนึ่งในวัคซีน Covid-19 ที่ใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุดในโลก รองจากวัคซีน Pfizer เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยอดจองวัคซีนยังคงล้นหลาม และหนึ่งในจุดมุ่งหมายของทีมพัฒนาวัคซีน AstraZeneca คือการสร้างวัคซีนที่ประชากรทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะด้วยเรื่องราคา การผลิต การขนส่งและการใช้งาน ให้เรียบง่าย และมีประสิทธิภาพสูงนั่นเอง


อ้างอิง:

https://www.bbc.com/news/world-europe-56440139

https://www.bbc.com/news/uk-56452412

https://timesofindia.indiatimes.com/world/europe/french-pm-jean-castex-says-he-plans-to-get-an-astrazeneca-covid-19-vaccine/articleshow/81539624.cms

https://www.newsweek.com/boris-johnson-jean-castex-signal-support-astrazeneca-vaccine-getting-shots-amid-controversy-1577210

'ผู้ว่าฯ ปู' วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี คืนถิ่นสมุทรสาคร คนแห่รับเนืองแน่น ด้านพ่อเมืองบอกรักและคิดถึงที่สุด สมุทรสาคร ขอเวลาพักฟื้นอีก 1 เดือนพร้อมสู้ต่อ

ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ แพทย์ผู้ให้การดูแลฯ ได้เดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมกับ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร หรือผู้ว่าฯ ปู / นางชุติพร วิจิตร์แสงศรี (ภริยา) นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรสาคร และ นางสาววีราพร หรือ น้องน้ำหวาน วิจิตร์แสงศรี (บุตรสาว) เพื่อพบปะกับ นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร หัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชนที่มาร่วมกันต้อนรับอย่างเนืองแน่น

โดยเมื่อขบวนรถของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครมาถึงผู้ที่มาต้อนรับปรบมือส่งเสียงดีใจ ที่ท่านเดินทางกลับมาที่สมุทรสาครด้วยใบหน้าที่สดใส มีรอยยิ้มและสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้น แม้จะยังไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดและครอบครัว โบกมือทักทายทุกคน พร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณที่ทุกคนรักและมารอต้อนรับ ก่อนที่จะเข้าห้องประชุมพันท้ายนรสิงห์ฯ เพื่อพบปะกับผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ประมาณ 30 คน

สำหรับในห้องประชุมหลังจากที่ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ ได้เล่าให้ฟังถึงอาการท่านผู้ว่าฯ และแนวทางการรักษา ตลอดจนกำลังใจที่มีส่วนสำคัญทำให้ท่านผู้ว่าฯ ฟื้นคืนร่างกายกลับมาได้โดยเร็วแล้วนั้น ทางนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ก็ได้กล่าวถึงความรู้สึกตั้งแต่เริ่มแรกที่รู้ว่าติดเชื้อโควิด -19 จนกระทั่งนอนอยู่ในโรงพยาบาลแบบไม่รู้สึกตัว 43 วัน และต้องพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลศิริราชทั้งหมด 82 วัน

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ตนเองได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านการเล่าเรื่องจากแพทย์ผู้ให้การดูแลรักษามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องของโรงพยาบาลสนามที่ตนมุ่งหวังและเชื่อมั่นว่าจะเป็นแนวทางในการป้องกันแก้ไขสถานการณ์โควิดให้ลุล่วงไปได้อย่างแน่นอน จนกระทั่งเมื่อตนเองรู้สึกตัวและสามารถขยับร่างกายได้แล้วนั้น ก็ได้อ่านข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับโควิดที่สมุทรสาครมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้รับรู้ความเคลื่อนไหว ความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น น้ำใจจากทุกภาคส่วนที่หลั่งไหลสู่สมุทรสาคร และความรัก ความสามัคคีของคนสมุทรสาคร ตลอดจนกำลังใจที่ส่งต่อมาให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครอย่างล้นหลาม

นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า สิ่งที่อยากจะบอกกับคนสมุทรสาครคือ “รักและคิดถึงสมุทรสาครมากที่สุด” แม้ตนเองจะไม่ใช่คนสมุทรสาคร แต่การที่ได้มาทำงานที่นี่กว่า 1 ปี ก็รักและคิดถึงที่นี่มากแม้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านก็เสมือนบ้านของตนเอง โดยสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ เป็นบททดสอบที่สำคัญยิ่ง ซึ่งคนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครจะต้องมีส่วนรับผิดชอบในการควบคุมสถานการณ์

ทั้งนี้ตนก็เชื่อว่าการระบาดครั้งนี้จะต้องมีจุดจบ สมุทรสาครจะต้องสามารถกลับขึ้นมายืนได้อีกครั้ง ด้วยความร่วมมือของคนสมุทรสาคร ที่จะทำให้เราสามารถต่อสู้ชนะโควิดได้ในเร็ววันนี้ ส่วนตัวนั้นขอเวลาอีกประมาณ 1 เดือนในการพักฟื้นร่างกายตามคำสั่งของแพทย์ หลังจากนั้นจะกลับมาทำงานรับใช้พี่น้องชาวสมุทรสาคร

ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ยังบอกทิ้งท้ายด้วยอารมณ์แห่งความสุขและเรียกรอยยิ้มด้วยว่า ถ้าวันที่หายเป็นปกติสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้ว คิดว่าจะลงพื้นที่ไหนเป็นจุดแรกนั้น คงตอบไม่ได้ เพราะทุกพื้นที่สำคัญเหมือนกันหมด หากจะระบุไปที่ใดที่หนึ่งกลัวจะทำให้พื้นที่อื่นเกิดความน้อยใจ เพราะการทำงานเลือกพื้นที่ไม่ได้ คงต้องดูความเหมาะสมหรือความจำเป็นในขณะนั้น อีกอย่างหนึ่งคือ บอกไม่ได้ตอนนี้ เพราะกลัวภริยาจะรู้ ห้ามไม่ให้ไปทำงาน

ทั้งนี้หลังจากที่ใช้เวลาในห้องประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้มีการรับประทานอาหารร่วมกันเป็นมื้อแรกที่สมุทรสาคร โดยมีเมนูโปรดของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครคือ ข้าวผัดปู ต้มส้มปลากระบอก ปลาหมึกผัดกะปิ กุ้งซอสมะขาม ลอดช่องวัดเจษ และลำไยพวงทอง ส่วนการรับประทานอาหารนั้นก็จัดเป็นเซ็ตสำหรับแต่ละท่าน มีการเว้นระยะห่างตามมาตรการ New Normal


ที่มา: https://www.komchadluek.net/news/local/461546

(เปียงยาง) เกาหลีเหนือประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับมาเลเซีย หลังกัวลาลัมเปอร์ ส่งตัวพลเมืองชาวเกาหลีเหนือรายหนึ่งในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสหรัฐฯ จากคำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศที่เผยแพร่โดยสื่อมวลชนแห่งรัฐเคซีเอ็นเอ

"เมื่อวันที่ 17 มีนาคม เจ้าหน้าที่มาเลเซียก่ออาชญากรรมที่อภัยให้ไม่ได้ บังคับส่งตัวพลเมืองผู้บริสุทธิ์ (ของเกาหลีเหนือ) ไปยังสหรัฐฯ" ถ้อยแถลงระบุกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือระบุ

ถ้อยแถลงระบุต่อว่าด้วยเหตุนี้ กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือ ขอประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตโดยสิ้นเชิงกับมาเลเซีย พร้อมกล่าวประณามสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "พฤติกรรมที่เป็นศัตรู" ที่กระทำกับเปียงยาง โดยโอนอ่อนต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ

ในถ้อยแถลงให้คำจำกัดความบุคคลซึ่งไม่ระบุชื่อรายดังกล่าว ว่าเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการค้านอกประเทศอย่างถูกกฎหมายในสิงคโปร์ พร้อมยืนยันว่าข้อกล่าวหาที่ว่าเขาพัวพันกับการฟอกเงินผิดกฎหมายนั้นเป็นเพียงข้อกล่าวหาที่อุปโลกน์ขึ้นมา

โดยเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ชายชายเกาหลีเหนือนามว่า มุน โชล มยอง ถูกตีตกคำอุทธรณ์สุดท้ายในศาลสูงสุดของมาเลเซีย ในการคัดค้านการถูกส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสหรัฐฯ เพื่อเผชิญข้อกล่าวหาฟอกเงิน

มุน ซึ่งพักอาศัยอยู่ในมาเลเซียกับครอบครัวมานานกว่า 1 ทศวรรษ ถูกจับกุมในปี 2019 ตามหลังมีคำร้องขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนมาจากสหรัฐฯ

ระหว่างขึ้นให้การกับศาล เขาปฏิเสธคำกล่าวอ้างของเอฟบีไอ ที่กล่าวหาว่าเขาเป็นแกนนำแก๊งอาญากรรมกลุ่มหนึ่ง ซึ่งละเมิดมาตรการคว่ำบาตร ด้วยการจัดหารายการต้องห้ามแก่เกาหลีเหนือ และฟอกเงินผ่านบริษัทต่าง ๆ ซึ่งตั้งขึ้นมาบังหน้า

ทนายความเปิดเผว่าเขาเผชิญข้อกล่าวหาฟอกเงิน 4 กระทงและสมคบคิดฟอกเงิน 2 กระทง โดยข้อกล่าวหาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการงานของเขาในสิงคโปร์

ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า มุน ถูกกล่าวหาจัดหาสินค้าประเภทไหน แต่ที่ผ่านมาเคยมีกรณีที่บรรดานักธุรกิจในสิงคโปร์ ส่งข้าวของหรูๆ อย่างสุราและนาฬิกาไปยังเกาหลีเหนือ

การส่งออกสินค้าหรูบางรายการไปยังเกาหลีเหนือถูกห้าม ส่วนหนึ่งในมาตรการคว่ำบาตรอันกว้างขวางที่สหประชาชาติและประเทศอื่นๆกำหนดเล่นงานเปียงยาง ในนั้นรวมถึงสหรัฐฯ โดยมีจุดมุ่งหมายสกัดโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3989816011079514&id=119425428118611

WHO ออกแถลงการณ์ แนะนำประเทศต่าง ๆ ใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ฉีดให้ประชาชนต่อไป ชี้ประโยชน์ที่ได้รับ มีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (17 มี.ค.) ระบุว่า ประเทศต่างๆควรใช้วัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าต่อไป ในระหว่างที่คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของ WHO ยังคงทำการพิจารณาทบทวนความปลอดภัยของวัคซีนดังกล่าว หลังมีรายงานการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนบางราย

“การฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ช่วยลดอาการป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคอื่น โดยอาการลิ่มเลือดอุดตันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อย และอาการลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำนับเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจที่พบเห็นมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ทั่วโลก”

WHO ระบุว่า แม้เป็นเรื่องปกติที่ประเทศต่าง ๆ จะทำการแจ้งเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่เกิดจากการฉีดวัคซีน แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่ามีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ดี ถือเป็นเรื่องดีที่จะมีการสืบค้นในเรื่องนี้ และสิ่งนี้แสดงว่าระบบการเฝ้าระวังยังคงใช้การได้ ขณะที่ระบบการควบคุมยังคงมีประสิทธิภาพ

WHO แถลงว่า จะทำการเปิดเผยผลการสืบค้นต่อสาธารณะโดยเร็วที่สุด ทันทีที่คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของ WHO เสร็จสิ้นการพิจารณาทบทวนความปลอดภัยของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งขณะนี้ WHO มองว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า มีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และ WHO ขอแนะนำให้ประเทศต่าง ๆ ยังคงใช้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าต่อไป

ขณะนี้ หลายประเทศในยุโรปต่างพากันระงับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า หลังมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากอาการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ และบางรายมีอาการลิ่มเลือดอุดตันในปอดหลังได้รับวัคซีน

รัฐบาลญี่ปุ่นผวาข้อมูลรั่ว สั่งตรวจสอบ แอปพลิเคชัน ‘Line’ หลังสื่อชี้ยอมให้วิศวกรจีนเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งาน ขณะที่บริษัทฯ ออกแถลงการณ์ ยืนยัน ยังไม่มีการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานอย่างไม่เหมาะสมเกิดขึ้นแต่อย่างใด

รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า จะดำเนินการสอบสวนแอปพลิเคชันไลน์ (Line) ของซี โฮลดิ้งส์ คอร์ป ซึ่งอยู่ในเครือของซอฟต์แบงก์ คอร์ปของญี่ปุ่น หลังจากสื่อญี่ปุ่นรายงานว่า Line ได้ปล่อยให้วิศวกรชาวจีนที่เซี่ยงไฮ้เข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานชาวญี่ปุ่นโดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ใช้ทราบ

สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคและสื่อญี่ปุ่นรายอื่น ๆ รายงานก่อนหน้านี้ว่า ภายใต้กฎหมายความเป็นส่วนตัวของญี่ปุ่นนั้น บริษัทต่างๆ ต้องแจ้งให้ผู้ใช้ทราบเมื่อข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ถูกส่งไปยังต่างประเทศ

“ตอนนี้เรายังบอกไม่ได้ว่า Line ละเมิดกฎระเบียบหรือไม่ และเราจะทำการสอบสวนเพื่อหาความจริง” เจ้าหน้าที่รัฐบาลผู้รับผิดชอบกฎหมายความเป็นส่วนตัวกล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ พร้อมเสริมว่า ถ้าหากพบว่า Line กระทำผิดจริง ทางสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นสามารถสั่งให้ทางบริษัทดำเนินการแก้ไขปรับปรุงได้

ด้านโฆษกของ Line ระบุว่า “ไม่มีเหตุการณ์ใดที่เป็นการละเมิดกฎหมายหรือกฎระเบียบต่าง ๆ เราจะยังคงปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบในทุกประเทศ รวมถึงในญี่ปุ่นด้วย”

แถลงการณ์ทางเว็บไซต์ของ Line ในเวลาต่อมามีใจความว่า ทางบริษัทขออภัยที่ทำให้เกิดความกังวล และไม่ได้อธิบายอย่างเพียงพอเพื่อให้ผู้ใช้ทราบถึงนโยบายเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลของบริษัท และระบุเพิ่มเติมว่า ยังไม่มีการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานอย่างไม่เหมาะสมเกิดขึ้นแต่อย่างใด


ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/71886

โรงงานผลิตเสื้อผ้าของ Uniqlo แบรนด์ดังของญี่ปุ่น ในพม่า 2 แห่งถูกไฟไหม้หลังเกิดเหตุจลาจลในเมืองย่างกุ้ง หลังจากที่มีการลอบวางเพลิงโรงงานเย็บผ้าของผู้ประกอบการชาวจีนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

โรงงานดังกล่าวอยู่ภายใต้การดูแลของ Fast Retailing ผู้ผลิตเสื้อผ้าหลายแบรนด์ดังของญี่ปุ่น ได้แก่ Uniqlo GU ที่เพิ่งขยายโรงงานผลิตเสื้อผ้าในพม่าถึง 6 แห่ง เพื่อเป็นฐานการผลิตหลักให้กับโรงงานแม่ในญี่ปุ่น

แถมในจำนวนนั้นเป็นโรงงานที่ตั้งอยู่ในเมืองย่างกุ้งถึง 5 แห่ง หนึ่งในจุดศูนย์กลางของการประท้วงที่รุนแรงที่สุดในพม่า ที่ตอนนี้รัฐบาลทหารพม่าได้ประกาศกฎอัยการศึกครอบคลุมในหลายเขตของเมือง

แต่แล้วเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทางบริษัทที่ญี่ปุ่นได้ออกมาแถลงข่าวยืนยันว่าโรงงานผลิตเสื้อของ Uniqlo ได้ถูกมือมืดลอบวางเพลิงถึง 2 แห่งในช่วงวันอาทิตย์ที่เกิดการจลาจล และกล่าวว่าโรงงานถูกระบุเป็นเป้าหมายในการโจมตี และตอนนี้กำลังประเมินมูลค่าความเสียหาย แต่ยังโชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตในโรงงาน

ในพม่าเริ่มมีผู้ประกอบการจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุน สร้างโรงงานผลิตสินค้าในพม่ามากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะผู้ผลิตแบรนด์ Uniqlo ตั้งใจจะใช้พม่าเป็นฐานการผลิตสินค้าหลักส่งออกไปทั่วโลก

แต่จากเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วง และเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างดุเดือด ที่ตอนนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 180 คน เหตุจลาจล เผาทำลายโรงงาน ทรัพย์สินมีอยู่ทั่วไปและยากจะควบคุม จน ทาง Uniqlo กำลังพิจารณาที่ถอนฐานการผลิตออกจากพม่าไปประเทศอื่นแทนเพื่อความปลอดภัย

ไม่ใช่เพียงแค่โรงงานของจีน และญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบเต็มๆจากเหตุจลาจลวางเพลิง ตอนนี้โรงงานผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ใหญ่อย่าง H&M ที่มีโรงงานในพม่าถึง 40 แห่ง และอีกหลายเจ้าจำเป็นต้องปิดโรงงานชั่วคราวแล้วในตอนนี้

และหากสถานการณ์บ้านเมืองในพม่ายังคงมีความรุนแรง และยืดเยื้อ นักลงทุนต่างชาติจึงเริ่มคิดจะยุติการดำเนินธุรกิจในพม่า และย้ายฐานออกไป ซึ่งไม่เป็นผลดีกับเศรษฐกิจพม่า ที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ และการผลิตเสื้อผ้า

อุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้า และสิ่งทอของพม่าเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังจากที่พม่าเริ่มเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลทหารสู่รัฐบาลพลเรือนตามครรลองประชาธิปไตยตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา ด้วยข้อได้เปรียบด้านค่าแรง และบรรยากาศทางการเมืองที่เริ่มกลับมาดีขึ้น เป็นสิ่งจูงใจให้ผู้ประกอบการแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำของโลกนำเม็ดเงินมาลงทุนตั้งโรงงานในพม่ากันมากขึ้น จนอุตสาหกรรมนี้กลายเป็นหนึ่งเสาหลักของเศรษฐกิจพม่า

ดังนั้นการลุกฮือของชาวพม่า และสถานการณ์ที่บานปลายก็จะส่งผลต่อการลงทุนของต่างชาติที่เริ่มพิจารณาย้ายฐานลงทุนไปประเทศอื่นที่มีข้อได้เปรียบด้านค่าแรงเหมือนกัน เช่น บังคลาเทศ เวียดนาม อินโดนิเซีย หรือ จีน ที่จะส่งผลเสียต่อการเติบโตของเศรษฐกิจพม่าไปอีกยาว


อ้างอิง :

https://asia.nikkei.com/Spotlight/Myanmar-Coup/Uniqlo-parent-latest-victim-in-Myanmar-garment-sector-violence?fbclid=IwAR3soA0LGFO_RUizpRTa8nj_yG6gDxFUexV03GeiLS7H0nswAy8xLwQL6CU

https://www.japantimes.co.jp/news/2021/03/16/business/corporate-business/myanmar-fast-retailing-fire/


By : Jeans Aroonrat

แฟนคลับ เฮ! “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย” ยอมใจอ่อนเปิดอินสตาแกรมแล้ว ใต้ชื่อแอคเคาท์ @birdthongchaiofficial แถมเปิดใช้แปปเดียวยอดฟอลโล่เพียบ!

เรียกได้ว่า ไม่มีใครไม่รู้จักนักร้อง นักแสดงมากฝีมือคนนี้กับ “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย” ที่ฝากผลงานฮิตไว้มากมาย ซึ่งล่าสุด ก็มีข่าวดีหลังจากมีการเรียกร้องจากเหล่าแฟนหลับกันมายาวนาน

เพราะว่า “ป๋าเบิร์ด” ได้เปิดช่องทางให้ติดตามอัพเดตชีวิต ผ่านแอคเคาท์อินสตาแกรม ให้พี่ น้อง แฟนคลับ ได้ติดตามกันแล้ว โดยใช้ชื่อแอคเคาท์ว่า “@birdthongchaiofficial”

แน่นอนว่าคนดังระดับนี้ยอมใจอ่อนเปิดแอคเคาท์อินสตาแกรม ทั้งทีผู้คนก็ต่างให้ควาามสนใจเหล่าแฟนคลับก็แห่กันไปกดฟอลโล่กับพรึ่บ เพียงในเวลาแค่ไม่กี่ชั่ว เรียกได้ว่าวันเวลาลาทำอะไรไม่ได้กับความดัง ของ ป๋าเบิร์ด คนนี้เลยนะเนี่ยย

คิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เตือนสหรัฐฯ อย่ากระทำการใด ๆ ที่จะทำให้ ‘หลับไม่ลง’ เมื่อรัฐบาลโจ ไบเดน เริ่มส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งรัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศเยือนประเทศพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

หนังสือพิมพ์โรดอง ชินมุน ของทางการเกาหลีเหนือตีพิมพ์ถ้อยแถลงของคิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึนผู้นำเกาหลีเหนือ หลังจากสหรัฐและเกาหลีใต้เปิดฉากซ้อมรบร่วมเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ขอแนะนำรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ ที่กำลังหาทางแพร่กระจายกลิ่นดินปืนในดินแดนเกาหลีเหนือว่า หากอยากนอนหลับสบายตลอด 4 ปีข้างหน้า ทางที่ดีอย่าได้หาเรื่องตั้งแต่ต้น ที่จะทำให้ข่มตาหลับไม่ลง 

นับเป็นครั้งแรกที่เกาหลีเหนือแสดงท่าทีต่อรัฐบาลไบเดนที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม แม้ว่ายังไม่เอ่ยชื่อไบเดนโดยตรง และมีขึ้นหลังจากที่ พล.อ.ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหม และนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางถึงญี่ปุ่นเมื่อวานนี้ เพื่อเริ่มการเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก หวังตอกย้ำความร่วมมือต่อต้านอิทธิพลจีนและการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

นักวิเคราะห์ในเกาหลีใต้มองว่า ที่ผ่านมาการออกถ้อยแถลงของเธอมักเป็นการส่งสัญญาณว่าเกาหลีเหนือเตรียมเพิ่มท่าทีแข็งกร้าว จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเกาหลีเหนืออาจยั่วยุทางทหารระหว่างหรือหลังจากที่รัฐมนตรีทั้งสองคนของสหรัฐเสร็จสิ้นการเยือนพันธมิตร ส่วนช่วงไม่กี่วันก่อนไบเดนเข้ารับตำแหน่ง นายคิม จอง อึน ตราหน้าสหรัฐว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของประเทศ และใช้พิธีสวนสนามเปิดตัวขีปนาวุธนำวิถียิงจากเรือดำน้ำรุ่นใหม่ อย่างไรก็ดี ตอนที่ประธานาธิบดีไบเดน ขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆ เกาหลีเหนือก็ไม่ได้ยิงทดสอบขีปนาวุธเป็นการท้าทายอย่างที่เคยทำมา

ท่าทีของเกาหลีเหนือมีขึ้น ท่ามกลางการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ที่ลดขนาดลงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่นางเจน ซากี โฆษกหญิงประจำทำเนียบขาว ไม่ได้กล่าวถึงแถลงการณ์จากน้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือ แต่ยอมรับว่า จนถึงปัจจุบันรัฐบาลเกาหลีเหนือยังไม่ตอบกลับความพยายามติดต่อผ่านทุกช่องทางของรัฐบาล รวมถึงผ่านคณะผู้แทนถาวรเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ มาตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ และใน 1 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ เองไม่ได้มีการเจรจากับเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่องแม้จะมีความพยายามมาจากฝ่ายสหรัฐฯ ก็ตาม

ขณะเดียวกัน นายโนบูโอะ กิชิ รัฐมนตรีกลาโหมของญี่ปุ่น พบปะกับ พล.อ.ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ ที่กรุงโตเกียว เรื่องความเคลื่อนไหวทางทหารของกองทัพจีนในบริเวณทะเลจีนใต้ ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะหลายแห่ง นายกิชิ กล่าวว่า บรรยากาศในทะเลจีนใต้และทะเลฝั่งตะวันออกเต็มไปด้วยความตึงเครียดและรุนแรง

จากการเคลื่อนไหวทางทหารทั้งของกองทัพจีน และกองทัพสหรัฐฯ จนน่าวิตกกังวลเกี่ยวกับความมั่นคง ประเทศพันธมิตรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบ่งพื้นที่ในทะเลจีนใต้จึงหวังว่า สหรัฐฯ กับจีนจะใช้วิธีทางการทูตด้วยการเจรจาจำกัดกรอบการเคลื่อนไหวทางทหารในพื้นที่ขัดแย้ง เพื่อให้บรรยากาศต่าง ๆ ดีขึ้น จนนำไปสู่การเจรจาในระดับต่อไปได้


ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์/บีบีซีนิวส์
https://www.naewna.com/inter/559622

จีนเตรียมผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเข้าประเทศ ด้วยการออกวีซ่าให้แก่ชาวต่างชาติจากบางประเทศ ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของจีน หากสถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้น จนสามารถกลับมาเดินทางได้ตามปกติอีกครั้ง

โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงปักกิ่งว่า สถานทูตจีนในหลายประเทศพร้อมเปิดให้ประชาชนในบางประเทศที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของจีนแล้วสามารถยื่นขอวีซ่าเข้าจีนได้ สถานทูตจีนในสหรัฐฯ แถลงลงวันที่ 15 มีนาคม ว่า ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดรับการยื่นขอวีซ่าจากผู้รับการฉีดวัคซีนจีนที่จะเดินทางเข้าจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อไปทำงาน ทำธุรกิจ หรือความจำเป็นทางมนุษยธรรม เช่น กลับไปพบหน้าครอบครัว ผู้มีสิทธิยื่นขอวีซ่าจะต้องรับการฉีดวัคซีนจีนครบ 2 โดส หรืออย่างน้อย 1 โดส ในช่วง 14 วันก่อนยื่นขอวีซ่า และมีผลการตรวจเชื้อโควิดเป็นลบ ด้านสถานทูตจีนในอินเดีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อิตาลี และศรีลังกาก็ออกประกาศลักษณะเดียวกัน

จีนกำลังเร่งเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนผลิตเองในประเทศที่ได้รับอนุมัติแล้ว 4 ขนาน ได้แก่ Sinapharm, Sinovac, Coronavac และวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทอันฮุย จื้อเฟย หลงเขอ ไบโอฟาร์มาซูติคัล ให้แก่คนในประเทศ แต่ยังไม่อนุมัติวัคซีนที่ผลิตจากต่างประเทศแม้แต่ขนานเดียว

นอกจากนี้ ยังส่งออกหรือบริจาควัคซีนที่ผลิตเองให้แก่หลายประเทศ เช่น ตุรกี อินโดนีเซีย กัมพูชา ปากีสถาน ส่งผลให้สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลก ประกาศแผนร่วมมือกันเตรียมส่งวัคซีนให้กับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียเช่นกันเพื่อแข่งขันกับจีนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘การทูตวัคซีน’ เต็มรูปแบบ

ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดภายในประเทศ หลังจากที่พบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่นเป็นที่แรกของโลกเมื่อปลายปี 2019 แต่เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่ผู้เดินทางจากต่างประเทศจะนำไวรัสเข้ามาแพร่จนเกิดการระบาดซ้ำ จีนได้ใช้นโยบายจำกัดการเข้าเมือง โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศภายใต้วัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น มาทำงาน เป็นต้น และผู้ที่ได้รับอนุญาตแล้วก็จะต้องผ่านกระบวนการกักตัวตามระเบียบ


ที่มา : รอยเตอร์

https://www.naewna.com/inter/559621

หลังจากความเห็นขององค์การยาแห่งยุโรป (อีเอ็มเอ) เกี่ยวกับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าในเชิงบวกปรากฏขึ้นเมื่อวันก่อน ก็ดูจะช่วยคลายข้อกังวลให้ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และ มาริโอ ดรากิ นายกรัฐมนตรีอิตาลีในวันอังคาร (16 มี.ค.) ได้เป็นอย่างมาก

โดยอีเอ็มเอ ได้แถลงยืนยันถึงความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในประโยชน์ของวัคซีนตัวดังกล่าวที่เหนือกว่าความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของมัน

“ถ้อยแถลงในเบื้องต้นในวันนี้จากอีเอ็มเอ ช่วยสร้างกำลังใจ” ถ้อยแถลงของทั้งคู่ที่เผยแพร่โดยสำนักนายกรัฐมนตรีของดรากิ หลังจากผู้นำทั้งสองชาติหารือกันทางโทรศัพท์

ถ้อยแถลงระบุต่อว่า ฝรั่งเศสและอิตาลีจะกลับมาเริ่มฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในทันที หากว่าได้ไฟเขียวจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของอียู ซึ่งคาดหมายว่าจะมีการแถลงการตัดสินใจในวันพฤหัสบดี (18 มี.ค.)

สำหรับในกรณีของอิตาลี การระงับใช้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้านั้น หมายความว่ามีการฉีดวัคซีนประชาชนชนน้อยลงราว ๆ 200,000 ภายในสัปดาห์นี้ จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวรัฐบาล แต่จากถ้อยแถลงของอีเอ็มเอส น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา จนช่วยให้โครงการฉีดวัคซีนคืนสู่ระดับปกติ

ก่อนหน้านี้ ฝรั่งเศส, อิตาลี, เยอรมนี และประเทศอื่นๆ หลายชาติในสหภาพยุโรป ได้ระงับใช้วัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทสัญชาติอังกฤษ - สวีเดนแห่งนี้ ท่ามกลางความกังวลว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับเหตุเสียชีวิตจากภาวะลิ่มเลือดอุดตัน

อย่างไรก็ตาม เอเมอร์ คุ้ก ผู้อำนวยการองค์การยาแห่งยุโรป ระบุในวันอังคาร (16 มี.ค.) ว่าทางหน่วยงานของเขา “ยังคงเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่าประโยชน์ของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในการป้องกันความเสี่ยงอาการรุนแรงถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 มีมากกว่าความเสี่ยงจากผลข้างเคียง”

ในขณะที่ได้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดแก่ประชาชนไปแล้วหลายล้านโดส พบว่ามีคนจำนวนเล็กน้อยเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันถึงขั้นเสียชีวิตหลังได้รับวัคซีน

ซึ่งมุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกและแอสตร้าเซนเนก้า ที่ระบุว่า “ณ เวลานี้ไม่พบข้อบ่งชี้ว่าวัคซีนเป็นสาเหตุของอาการเหล่านั้น” พร้อมเน้นว่าคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบ “กำลังตรวจสอบอาการไม่พึงประสงค์ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับทุกวัคซีน”


ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000025533


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top