Sunday, 22 June 2025
NEWS FEED

มงลง ‘นางงามเม็กซิโก’!! ANDREA MEZA จาก เม็กซิโก คว้ามงกุฎ Miss Universe ส่วน ‘อแมนด้า’ สาวไทย ไปไกลสุดรอบ 10 คน

หลังจากเวทีการประกวดนางงามระดับโลก มิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่ 69 (Miss Universe 2020) รูดม่านเปิดการประชันโฉมของนางงามจากทั่วโลก เพื่อเฟ้นหาสาวงามที่เหมาะสมกับการครอบครองมงกุฎแห่งจักรวาล ทำเอาแฟนๆทั่วทุกมุมโลกตั้งตารอและลุ้นหนักมาก

โดย รอบการตัดสิน (Final Round) จัดขึ้น ณ เซมิโนล ฮาร์ดร็อค โฮเทลแอนด์คาสิโน ฮอลลีวูด รัฐฟลอริด้า วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2564 (ตามเวลาท้องถิ่น) ซึ่งตรงกับเช้าวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ตามเวลาประเทศไทย

นางงามทั้ง 73 คนที่เข้าร่วมประกวด ต่างพกความสามารถและความมั่นใจมาโชว์ศักยภาพต่อหน้าคณะกรรมการกันอย่างเต็มที่ และในที่สุด ANDREA MEZA สาวงามจาก เม็กซิโก สามารถคว้าคะแนนจากปลายปากกาของการไปได้มากที่สุด คว้ามงกุฎ Miss Universe 2020 ไปครองได้สำเร็จ 

ผลการตัดสิน 

Miss Universe 2020 ได้แก่ ANDREA MEZA จาก เม็กซิโก 

รองอันดับ 1 ได้แก่ JULIA GAMA จาก บราซิล  

รองอันดับ 2 ได้แก่ JANICK MACETA DEL CASTILLO จาก เปรู

รองอันดับ 3 ได้แก่ ADLINE CASTELINO จาก อินเดีย

รองอันดับ 4 ได้แก่ KIMBERLY JIMENEZ จาก สาธารณรัฐโดมินิกัน


ที่มา : https://www.pptvhd36.com/news/ข่าวบันเทิง/147594
 

พรรคกล้า กทม. ขอรัฐออกมาตรการ เยียวยาผู้กักตัว ขาดรายได้ ทำมาหากินไม่ได้

นายเอกชัย ผ่องจิตร์ หรือโอเล่ เลขานุการกลุ่ม กทม.พรรรกล้า แสดงความเป็นห่วงภาระค่าใช้จ่าย พี่น้องประชาชนที่ต้องกักตัว และรักษาตัวเนื่องจากเชื้อโควิด-19 วอนขอให้รัฐเร่งออกมาตรการเยียวยาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องกักตัวเนื่องจากได้รับผลกระทบต่อการติดเชื้อของ โควิด-19 ในการที่จะต้องขาดรายได้ทำมาหากินซึ่งบางบ้าน บางครอบครัว มีอาชีพค้าขาย แต่ต้องหยุดไป ขาดรายได้ ไม่มีเงิน เพราะมีความใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ติดเชื้อหรือ เป็นผู้ติดเชื้อเสียเองในขณะที่กำลังรักษาตัวหรือกักตัวอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นภาระค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าที่ดิน หรือค่าเช่าแผงร้านค้า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าอยู่ ก็ยังดำเนินต่อ แต่ตนเองไม่มีรายได้ เพราะไม่ได้ออกไปค้าขาย ซึ่งในคลัสเตอร์ ผู้ติดเชื้อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคลัสเตอร์ก่อนหน้านี้หรือคลัสเตอร์ใหม่ ๆ มีพี่น้องประชาชนผู้ได้รับผลกระทบแบบนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนระดับพื้นฐานของประเทศ ที่หาเช้ากินค่ำ 

นายเอกชัย กล่าวว่า รัฐควรใช้ระบบที่มีอยู่ในขณะที่สำรวจผู้ติดเชื้อและผู้ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อที่จะต้องกักตัวให้ลงทะเบียนตามพื้นที่คลัสเตอร์นั้น ๆ เพื่อรับการเยียวยาโดยเร่งด่วน เพราะบุคคลเหล่านั้นได้ผ่านการคัดกรองเชิกรุกของทางภาครัฐไปแล้ว เพราะฉะนั้นข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ ภาครัฐมีอยู่แล้ว และสามารถทำได้เลย จะเป็นการช่วยเหลือด้านเงินเยียวยาผ่านแอพเป๋าตังค์สำหรับผู้กักตัวหรือผู้ติดเชื้อ หรือจะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านอื่น ๆ ก็สุดแล้วแต่ภาครัฐจะพิจารณา เพราะถ้าหากปล่อยช้าหรือเพิกเฉยก็จะทำให้ประชาชนกลุ่มนี้ไม่สามารถกักตัวได้ตามเงื่อนไข เพราะจะต้องออกจากบ้านไปค้าขาย ไปทำมาหากิน เพื่อนำเงินไปชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของตนเองและครอบครัว และหากซ้ำร้ายกว่านั้นเกิดตรวจพบภายหลังว่าติดเชื้อก็จะขยายวงกว้างโดยไม่สามารถควบคุมได้

บิดเบือน > ไม่สร้างสรรค์ > ทำคนเข้าใจผิด

บางครั้งคนพูดต้องการสื่อสารอีกอย่าง แต่กลับมีคนบิดเบือน หรือ นำไปตีความเป็นอีกอย่าง ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายๆ

ยุค Fake News เกลื่อนเมือง ต้องมีสติในการรับรู้ข่าวสารอย่างรอบด้าน

สหรัฐฯ พบปัญหาใหม่ บัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ปลอมและขายให้คนที่ไม่ต้องการฉีดวัคซีน

เมื่อประชาชนในสหรัฐฯ ฉีดวัคซีนโควิด-19 จะได้รับ “บัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 (COVID-19 Vaccination Record Card)” ซึ่งออกโดย ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (CDC) เพื่อบันทึกว่า คน ๆ นั้นได้รับวัคซีนยี่ห้อใด จากล็อตไหน เมื่อวันที่เท่าไหร่

บัตรรับรองการฉีดวัคซีนดังกล่าวเป็นหลักฐานเบื้องต้นที่จะทำให้สังคมได้มั่นใจว่า คน ๆ นั้นฉีดวัคซีนโควิด-19 มาแล้วจริง ๆ และมีความเสี่ยงต่ำในการแพร่และติดเชื้อ รวมถึงยังเป็นการเก็บข้อมูลไว้สำหรับนัดหมายการฉีดวัคซีนครั้งต่อไป

แต่เป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้วที่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอได้ออกมาเตือนประชาชนในสหรัฐฯ ไม่ให้ทำ ขาย หรือสนับสนุนให้พิมพ์ “บัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ฉบับปลอม”

ขณะที่อัยการของรัฐมากกว่า 40 คน ได้เตือนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มการช็อปปิ้งออนไลน์ให้ร่วมสอดส่องและปราบปรามการขายบัตรเปล่าหรือบัตรรับรองปลอม

แม้รัฐบาลกลางหรือรัฐบาลของบางรัฐจะไม่ได้มีข้อกำหนดเข้มงวดว่าประชาชนที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 จะต้องแสดงบัตรรับรองเมื่อไปสถานที่หรือรับบริการต่าง ๆ แต่ก็มีบางสถานที่ที่มอบสิทธิพิเศษที่จำกัดไว้ให้เฉพาะผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 เรียบร้อยแล้ว

ตัวอย่างเช่น ทีมกีฬาบางทีมจะจัดให้แฟน ๆ ที่มีประวัติการฉีดวัคซีนนั่งในโซนของผู้ที่ฉีดวัคซีนด้วยกัน หรือบางร้าน เช่น Krispy Kreme และ White Castle และอื่น ๆ จะเสนอของสมนาคุณให้เฉพาะผู้ที่มีหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19

ขณะที่ก็มีบางองค์กร ออฟฟิศ บริษัท หรือสถาบันการศึกษาบางแห่งระบุว่า อนุญาตให้เฉพาะผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วเท่านั้นที่จะเข้าสู่พื้นที่ขององค์กรนั้น ๆ ได้

แต่เพราะไม่ใช่ประชาชนทุกคนที่ต้องการฉีดวัคซีน บวกกับเงื่อนไขของบางองค์กรหรือสถานที่ ทำให้มีคนบางกลุ่มมองว่า การปลอมแปลงบัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ออกโดย CDC อาจเป็นทางออก เพราะเป็นบัตรที่ปลอมแปลงได้ง่าย

เอฟบีไอบอกว่า การทำหรือใช้บัตรรับรองการฉีดวัคซีนปลอม เข้าข่ายใช้ตราของรัฐบาลโดยมิชอบ นั่นเป็นเพราะบัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ใช้ตราของ CDC และกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ มีโทษปรับ และจำคุกไม่เกิน 5 ปี

ในแคลิฟอร์เนียมีเจ้าของบาร์ถูกจับกุมเนื่องจากต้องสงสัยว่าขายบัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ปลอม เขาถูกตั้งข้อหาความผิดทางอาญา รวมถึงการปลอมตราประทับของราชการและการขโมยข้อมูล เพราะในบัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 จะต้องมีการระบุข้อมูลวัคซีนและรหัสของวัคซีนด้วย

CDC ยังขอให้ประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 จริง ๆ อย่าถ่ายรูปบัตรรับรองลงโซเชียลมีเดียหรือเอาให้ใครดูโดยไม่จำเป็น เพราะอาจมีคนลอกข้อมูลไปเขียนใส่บัตรเปล่าได้

ดร.ไมเคิล มินา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยาที่สำนักวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ม.ฮาร์วาร์ด ระบุว่า การใช้บัตรปลอมนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เพราะหากคุณไม่ได้ฉีดวัคซีนจริงแล้วเกิดติดเชื้อ ก็อาจนำไปสู่คลัสเตอร์ใหม่ ๆ ในพื้นที่ที่ควรจะปลอดเชื้อ

อย่างไรก็ตาม สื่อต่างประเทศยังรายงานพบ บัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของ CDC ฉบับปลอมอยู่ตาม eBay และร้านค้าออนไลน์อื่น ๆ ส่วนมากขายในราคาราว 10-20 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 310-620 บาท)

จอช สไตน์ อัยการสูงสุดของรัฐนอร์ทแคโรไลนากล่าวว่า บุคคลอาจใช้บัตรปลอมเพื่อบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับสถานะการฉีดวัคซีนที่โรงเรียนที่ทำงานหรือในสถานการณ์การใช้ชีวิตและการเดินทางต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในความเสี่ยง 

“การใช้บัตรรับรองการฉีดวัคซีนปลอมที่กำลังขยายตัวนี้อาจทำลายความปลอดภัยของผู้คน ตลอดจนความสำเร็จ ความพยายามในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของประเทศ” เขากล่าว

ทางการสหรัฐฯ กำลังมีการพูดคุยกันถึงการพัฒนาระบบหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่าอาจให้เป็นบัตรรับรองที่มีระบบ “แอนตีปรินต์ (Anti-Ptint)” หรือทำเป็นระบบบัตรรับรองอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงบัตรแทน

ยังไม่มีรายงานว่า มีคดีที่เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงบัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปมากน้อยเพียงใด จึงนับว่าสหรัฐฯ อยู่ในความเสี่ยงที่อาจเกิดการระบาดรุนแรงจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคน

ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสม 32.8 ล้านราย เพิ่มขึ้นรายวันประมาณ 35,000 ราย เสียชีวิตสะสม 584,000 ราย ส่วนสถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด-19 ฉีดไปแล้วมากกว่า 264 ล้านโดส ครอบคลุมประชากร 154.8 ล้านคน หรือ 46.78% ของประชากรทั้งประเทศ


ที่มา : https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ

‘นิพนธ์’ รุดติดตามมาตรการป้องกันโควิด-19 จ.สงขลา เร่งรัดนโยบาย “ฉีดวัคซีนโควิด วาระแห่งชาติ” 'ย้ำ' ภาครัฐรณรงค์สร้างความเข้าใจ ฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ผ่อนหนักเป็นเบาได้ 'ยัน' วัคซีนทุกตัวผ่านการรับรองความปลอดภัย

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ที่ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดสงขลา นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมช.มท.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ และการรณรงค์ฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ตามนโยบายรัฐบาลที่ประกาศให้ฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมติดตามผลดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีนายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมและปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด

นายนิพนธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า "สถานการณ์ป้องกันไวรัสโควิด-19 วันนี้ของประเทศไทย แนวทางที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันให้ประชาชน โดยประชากรในจังหวัดสงขลามีประมาณ 1.4 ล้านคน โดยตั้งเป้าต้องมีประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนไม่ต่ำกว่า 900,000 คน สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปี และกลุ่มเสี่ยงผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค สามารถจองคิวฉีดวัคซีนทางแอพพลิเคชั่น 'หมอพร้อม' หรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน อาทิ รพ.สต. หรือผ่าน อสม. ส่วนประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสงขลา ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนหมอพร้อม ขอให้ติดต่อลงทะเบียนได้ในพื้นที่ อาทิ สาธารณสุขอำเภอ อสม. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โดย สำนักงานธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สงขลา จะรวบรวมรายชื่อและบริหารจัดการด้านสถานที่ให้บริการที่เหมาะสม โดยต้องอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนผู้รับบริการมากที่สุด  ส่วนของบุคลากรของ รพ.สต.ที่ไม่เพียงพอ ขอให้ประสานกับส่วนท้องถิ่น ทั้งจากเทศบาล และ อบต.ที่มีกองสาธารณสุข ให้สามารถลงพื้นที่ช่วย รพ.สต.ในการสำรวจและบูรณาการทำงานร่วมกัน" 

“ขอย้ำว่า หากเราสามารถฉีดวัคซีนโควิดได้มากถึง 70% ของจำนวนประชากรก็จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ทำให้การระบาดของโรคนี้ลดลง กิจการงานต่าง ๆ จะสามารถเดินไปด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม จึงขอเชิญชวนให้ชาวสงขลาทุกคนร่วมยื่นแสดงความจำนงขอฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 ได้ที่ รพ.สต.ทุกแห่ง ซึ่งจะให้ อสม.ไปเคาะประตูบ้านเพื่อรณรงค์เชิญชวนพี่น้องชาวสงขลาให้ไปฉีดวัคซีน หรือไปที่โรงพยาบาลทุกแห่ง วัคซีนทุกตัวที่รัฐบาลจัดเตรียมไว้ได้มีการศึกษาแล้วว่า ทุกตัวมีความปลอดภัยมีประสิทธิภาพที่ดีพอ และมีระบบดูแลความปลอดภัย โดยหลังฉีดจะต้องนั่งพักรอสังเกตอาการ 30 นาที หากมีอาการแพ้รุนแรงก็สามารถดูแลได้ทันท่วงที จึงต้องสร้างความเข้าใจต่อพี่น้องประชาชนว่า ฉีดวัคซีนเอาไว้ก่อนเพื่อเอาภูมิคุ้มกันเข้าสู่ร่างกายของเรา สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ อีกทั้งนี้มีคณะแพทย์และพยาบาลที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด หลังจากฉีดพักดูอาการแล้วด้วย” นายนิพนธ์ กล่าว

จากนั้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เข้าตรวจเยี่ยมศูนย์บริบาลผู้สูงอายุ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และ ศูนย์บ่มเพาะคนดีมูลนิธิสวนประวัติศาสตร์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นส่วนขยายโรงพยาบาลสงขลานครินทร์เพื่อรองรับผู้ป่วย COVID-19 และ เป็นสถานที่ฉีดวัคซีนให้แก่หน่วยงานและประชาชน โดยได้มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ ชุด PPE จำนวน 150 ชุด และหน้ากากอนามัยจำนวน 4,000 ชิ้นให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ สำหรับใช้ในการปฎิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ให้มีความปลอดภัยป้องกันตนเองในการลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายและติดเชื้อไวรัส COVID-19 และบรรเทาปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัยรวมถึงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับแพทย์ พยาบาล และผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ 

ทั้งนี้ ที่ศูนย์บริบาลผู้สูงอายุองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลสนามของจังหวัดสงขลาเพื่อใช้รองรับผู้ที่มีอาการติดเชื้อของการระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยมีอาคารลำพูนและอาคารลำแพนซึ่งอยู่ภายในสวนประวัติศาสตร์ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์เป็นอาคารรองรับผู้ติดเชื้อ และในส่วนของอาคารศูนย์บริบาลผู้สูงอายุองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาชั้นสองเป็นที่พักของบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ส่วนชั้นล่างใช้เป็นสถานที่ฉีดวัคซีนให้แก่หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ รวมถึงประชาชนทั่วไป ที่ได้ลงทะเบียนเพื่อขอรับการฉีดวัคซีน โดยมีบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลสงขลามาให้บริการในจุดนี้

ผบ.ทร.เปิดตัวเรือข้ามฟากอายุ 50 ปี ที่ปรับปรุงเป็นระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า พร้อมออกทดลองแล่นรับ/ส่งผู้โดยสาร ในแม่น้ำเจ้าพระยา

พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.)  เป็นประธานในพิธีเปิดตัวเรือแตงโมพลังงานไฟฟ้า (ขส.ทร. 1110 ) ซึ่งเป็นเรือข้ามฟาก ในแม่น้ำเจ้าพระยาของกองทัพเรือ ที่มีอายุการใช้งานมานานถึง 50 ปี ที่ท่าเรือราชนาวิกสภา เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือสายงานกิจการพลเรือน และ พล.ร.ต.สาธิต นาคสังข์ เจ้ากรมการขนส่งทหารเรือให้การต้อนรับ และเรียนเชิญผู้บัญชาการทหารเรือชมนิทรรศการการดำเนินโครงการ พร้อมทำพิธีเปิดตัวเรือแตงโมไฟฟ้า จากนั้นผู้บัญชาการทหารเรือได้ลงเรือแตงโมไฟฟ้า เพื่อทดลองนั่งไปยังป้อมวิไชยประสิทธิ์ และกลับมาที่อาคารราชนาวิกสภา ก่อนเดินทางกลับ

ทั้งนี้กองทัพเรือ ได้อนุมัติแต่งตั้งคณะทำงานพลังทดแทนร่วม ระหว่างกองทัพเรือ และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินการด้านความร่วมมือกับภาคเอกชนในการนำพลังงานทดแทนมาใช้ในกองทัพเรือ ในการวิจัยและพัฒนาเพื่อพึ่งพาตนเองตามแนวทางการพัฒนากองทัพเรือที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์กองทัพเรือ 20 ปี (พ.ศ.2560-พ.ศ.2579) ในเรื่องการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือการวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์กับองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมี พลเรือโท ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือสายงานกิจการพลเรือน เป็นหัวหน้าคณะทำงานร่วมฝ่ายกองทัพเรือ นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เป็นหัวหน้าคณะทำงานร่วมฝ่าย บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) และ พลเรือโท สมัย ใจอินทร์ รองผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นรองหัวหน้าคณะทำงาน

โดยคณะทำงานดังกล่าว ได้จัดให้มีโครงการ ติดตั้งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าสำหรับรถโดยสาร เรือเวรข้ามฟาก (เรือแตงโม) เพื่อวิจัยและพัฒนาการใช้พลังงานไฟฟ้าในเรือเวรข้ามฟาก (เรือแตงโม) ในสังกัด กรมการขนส่งทหารเรือ ที่มีอายุการใช้งานมานาน 50 ปี ที่ไม่สามารถใช้งานได้ มาดัดแปลงจากระบบเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง มาปรับปรุงเป็นระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อลดฝุ่น PM 2.5 และมลภาวะในอากาศ

สำหรับเรือข้ามฟากดังกล่าว มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "เรือแตงโม" ด้วยรูปทรงของเรือ ที่มีลักษณะคล้ายลูกแตงโมผ่าซีก แต่ด้วยรูปลักษณ์ของท้องเรือ ทำให้เรือแม้จะเอียงมากเพียงใดแต่ก็ยังสามารถทรงตัวอยู่ได้ โดยปัจจุบันเรือแตงโม สังกัดแผนกเรือบริการ กองเรือเล็ก กรมการขนส่งทหารเรือ เริ่มมีใช้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2495 เป็นต้นมา โดยใช้บริการ รับ-ส่ง กำลังพลกองทัพเรือ และบุคคลทั่วไป ข้ามฟากในแม่น้ำเจ้าพระยา ในเวลาราชการ ระหว่างฝั่งธนบุรีกับฝั่งพระนคร ระหว่างท่านิเวศน์วรดิฐ กับ ท่าราชนาวิกสภา และ ท่าพระราชวังเดิม กับ ท่าราชนาวีสโมสร ปัจจุบันมี เรือให้บริการจำนวนทั้งสิ้น 11 ลำ โดยใช้ชื่อเรือว่า ขส.ทร.1101-1111 และเรือแต่ละลำจะมีนามแฝงโดยตั้งจากชื่อคลองสำคัญ ๆ เช่น บางกอกน้อย บางหลวง ชักพระ ผดุงกรุงเกษม ตลิ่งชัน โอ่งอ่าง เป็นต้น

พล.ร.ท.ประชาชาติ กล่าวว่า "โครงการดังกล่าว เป็นการปรับปรุงเรือข้ามฟากในแม่น้ำเจ้าพระยา หรือ “เรือแตงโม” จากการใช้ เครื่องยนต์ ซึ่งใช้พลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิง เปลี่ยนมาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ซึ่งมีเสียงเบากว่า และลดมลพิษในอากาศได้ โดยโครงการนี้ กองทัพเรือ ได้รับความร่วมมือจาก นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของฉายา “Tesla เมืองไทย” บริจาค มอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอร์รี่ และอุปกรณ์ประกอบ ให้เพื่อใช้ในโครงการนี้ โดยเรือข้ามฟากที่ทำใหม่นี้ จะวิ่งได้ประมาณ 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ที่ความเร็ว 5 น็อต และความเร็วสูงสุด 8 น็อต และที่สำคัญคืออาจเป็นจุดกำเนิด เรือไฟฟ้าอื่น ๆ ของกองทัพเรือ และนอกจากโครงการดังกล่าวแล้ว ทางบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ยังได้ให้การสนับสนุนกองทัพเรือ และ คณะทำงานพลังทดแทนร่วมฯ ในอีกหลายโครงการรวมถึง การใช้เครื่องกำจัดเชื้อโรคในสถานที่ปฏิบัติงานและบนเรือรบของกองทัพเรือ โดยทำระบบปรับอากาศรวมของอาคารและเรือรบให้ปลอดภัยจากเชื้อ COVID-19 ด้วยแสง UVC  

โดยปัจจุบันได้ดำเนินติดตั้งแล้วในหลายพื้นที่ ประกอบด้วย โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ และ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ เรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เรือหลวงมกุฎราชกุมาร เรือหลวงนเรศวร เรือหลวงตากสิน เรือหลวงกระบุรี เรือหลวงบางปะกง และอยู่ระหว่างการติดตั้งอีก 2 ลำ คือ เรือหลวงอ่างทอง และ เรือหลวงสิมิลัน"

ผู้แทนพิเศษเลขายูเอ็นเมียนมา หวังไทยสนับสนุนกระบวนการนำความสงบสุขกับมาสู่เมียนมาอีกครั้ง ด้าน “บิ๊กตู่” พร้อมสนับสนุนตามฉันทามติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus) ของอาเซียน มุ่งหวังให้เมียนมาเกิดสันติภาพและเสถียรภาพ

เมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 14 พ.ค. ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางคริสทีเนอ ชราเนอร์ บูร์เกเนอร์ (Mrs. Christine Schraner Burgener) ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมา เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ,ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย

นายกรัฐมนตรี กล่าวยินดีที่หารือกับผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมาอีกครั้ง หลังเคยพบปะกันเมื่อครั้งที่นางคริสทีเนอดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย ซึ่งการกลับมาไทยครั้งนี้ในฐานะผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมาสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานของนางคริสทีเนอ จนได้รับความไว้วางใจจากสหประชาชาติให้ดูแลในเรื่องสถานการณ์ในเมียนมา โดยประเด็นนี้ได้รับความสนใจจากอาเซียนและประชาคมโลก ซึ่งการประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อเดือนเมษายน ไทยให้ความสำคัญกับแนวทาง D4D ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เสนอต่อที่ประชุม และพร้อมสนับสนุนฉันทามติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus) ของอาเซียน ทั้งนี้ ไทยได้ติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ในเมียนมาอย่างใกล้ชิด มุ่งหวังให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในเมียนมา และหวังว่าผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมาจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากการเยือนครั้งนี้ รัฐบาลพร้อมรับฟัง และแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์

ขณะที่ ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องเมียนมา กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้กลับมาเยือนไทยและหารือกับนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง การมาเยือนไทยและภูมิภาคอาเซียนครั้งนี้ เพื่อหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องถึงสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา โดยจากการหารือกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมาที่กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย จึงประสงค์ที่จะสานต่อกระบวนการเจรจาดังกล่าวต่อไปเพื่อนำความสงบสุขกับมาสู่เมียนมาอีกครั้ง หวังว่าไทยจะสนับสนุนกระบวนการดังกล่าว และแสวงหาความร่วมมือกับกองทัพเมียนมาในการหาทางออกอย่างสันติ

จากนั้น ทั้งสองฝ่าย หารือถึงการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นย้ำว่า ไทยดำเนินการทุกวิถีทางอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้สถานการณ์ในเมียนมาคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตลอดจนให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งไทยมีประสบการณ์ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เพื่อนบ้านมายาวนาน มีการติดตามสถานการณ์ตามแนวชายแดนอย่างใกล้ชิด และเตรียมการวางแผนรับมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังยืนยันว่าจะไม่มีการส่งผู้หนีภัยกลับไปเมียนมาหากต้องเผชิญกับอันตราย โดยมีการตั้งศูนย์เพื่อรองรับผู้หนีภัยหลายแห่งตามแนวชายแดน รวมทั้งให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้ที่บาดเจ็บ

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้ให้กำลังใจผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติฯ สำหรับภารกิจเดินทางเยือนไทยและภูมิภาคครั้งนี้ พร้อมหวังว่าผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติฯ จะช่วยสร้างความเข้าใจต่อประชาคมโลกถึงสถานการณ์ในภูมิภาค

เช็คอีกครั้ง ก่อนไปรับวัคซีนโควิด-19

ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม แนะการเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 กรณีผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว หากรับประทานยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนได้รับวัคซีน และผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ อัมพฤต อัมพาต ไม่ควรหยุดยา ยกเว้นกรณีที่แพทย์แนะนำให้หยุดยาชั่วคราว เพื่อให้ผลลัพธ์ของวัคซีนมีความแม่นยำ


ที่มา : https://www.facebook.com/ThaiRedCross/posts/4090202611013371

จีน-รัสเซีย ประสานพลังผลักดัน "การฑูตวัคซีน" เร่งผลิตวัคซีน 260 ล้านโดสให้ประเทศกำลังพัฒนา หวังสร้างมิตรประเทศทั่วโลก

สุภาษิตว่าไว้ คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย ถ้างานใดทำคนเดียวแล้วไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าได้สองคนช่วยกันทำ ก็อาจถึงเป้าหมายได้ไวขึ้น

เหมือนดังเช่น พันธมิตรเฉพาะกิจ 'จีน-รัสเซีย' ที่ต่างฝ่าย ต่างต้องการที่จะเดินหน้าโครงการ Vaccine Diplomacy หรือ 'การฑูตวัคซีน' เพื่อพิชิตใจชาวโลก แต่ดูเหมือนทั้งสองประเทศยังไปไม่ถึงไหนด้วยข้อจำกัดที่แตกต่างกัน

โดยรัสเซีย ซึ่งพัฒนาวัคซีน Covid-19 ได้เป็นชาติแรก ๆ ในโลก และมีรายงานประสิทธิภาพในการป้องกันป่วยหนักจาก Covid-19 สูงถึง 91.7% ซึ่งตั้งเป้าว่าจะผลิตวัคซีน Sputnik V ให้ได้มากถึง 630 ล้านโดส ส่งออกไป 100 ประเทศ แต่จนถึงตอนนี้ยังผลิตส่งออกได้ไม่ถึง 12 ล้านโดส แม้คาดว่ารัสเซียน่าจะมียอดสั่งจองสูงถึง 2 พันล้านโดสแล้วในตอนนี้แล้วก็ตาม

แต่ในทางตรงกันข้าม จีนมีกำลังผลิตและกระจายวัคซีนออกไปได้กว้างขวางกว่า โดยเฉพาะประเทศในย่านอาเซียน ที่จีนส่งวัคซีนไปแล้วมากกว่า 100 ล้านโดส ทั้ง Sinovac และ Sinopharm และสามารถผลิตได้ถึงพันล้านโดส ภายในปีนี้ เสียแต่ว่าด้วยค่าตัวเลขประสิทธิภาพวัคซีนที่น้อยกว่าวัคซีนของชาติตะวันตก จึงทำให้หลายชาติลังเลที่จะสั่งซื้อวัคซีนจากจีน

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเกิดการประสานพลังพันธมิตรวัคซีน จีน-รัสเซีย ด้วยการนำจุดเด่นของแต่ละฝ่ายมาเติมเต็มซึ่งกันและกัน โดยรัสเซียได้เซ็นสัญญา ให้บริษัทยาของจีนถึง 3 แห่ง ผลิตวัคซีน Sputnik V เพื่อช่วยผลิตวัคซีนให้ก่อน 260 ล้านโดส เป้าหมายเพื่อส่งให้กับประเทศยากจนอีกหลายสิบประเทศที่ยังเข้าไม่ถึงวัคซีน และประเทศที่กำลังเดือดร้อนจากการระบาดของ Covid-19 เช่น อินเดีย เม็กซิโก และ อาร์เจนตินา

อย่างไรด็ตาม แม้วัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทยาในสหรัฐอเมริกา อย่าง Pfizer และ Moderna จะมีรายงานประสิทธิภาพสูงกว่า และเป็นที่ต้องการอย่างมากทั่วโลก

แต่จากการศึกษาข้อมูลของ Duke University มหาวิทยาลัยชั้นนำในรัฐนอร์ธ แคโรไลน่า พบว่า ตอนนี้ชาติตะวันตกอย่าง อังกฤษ แคนาดา และ นิวซีแลนด์ ได้สั่งจองวัคซีนไปหมดทุกแห่งแล้ว และบางประเทศได้ยอดสั่งซื้อมากกว่าจำนวนประชากรถึง 3 เท่า แต่ในขณะที่บางประเทศอย่างอาร์เจนติน่า ยังสั่งซื้อวัคซีน Pfizer ไม่ได้เลย จึงจำเป็นต้องสั่งวัคซีน Sputnik V และ Sinopharm มาใช้ ทำให้ยอดการสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อทั่วโลกเริ่มตระหนักว่า วัคซีนที่ดีคือวัคซีนที่มีให้ฉีด และการรออาจไม่ทันเวลา ทั้งจีน และ รัสเซีย จึงผนึกกำลังกันผลิตวัคซีน Sputnik V ที่ Made in China เพื่อส่งไปยังประเทศกำลังพัฒนาที่ยังรอวัคซีนอยู่ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศกำลังเดือดร้อนจากการระบาดรอบใหม่อยู่ในขณะนี้

สำหรับการร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสให้ทั้งจีน และ รัสเซียสามารถขยายแผน "การฑูตวัคซีน" ไปยังประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะกับประเทศที่เป็นพันธมิตรกับอเมริกามาช้านานอย่าง เม็กซิโก อาร์เจนตินา และอินเดีย

นับเป็นอีกกลยุทธ์ที่น่าสนใจในเชิงการตลาด แถมยังช่วยโลกฝ่าวิกฤติไวรัส Covid-19 ได้ในวงกว้างด้วย และหากสหรัฐอเมริกาเห็นท่าไม่ดี จะเร่งปล่อยวัคซีนสู่ตลาดโลกออกมาแข่งกัน ก็จะช่วยให้เรามีวัคซีนในท้องตลาดมากขึ้นเช่นกัน

เรียกได้ว่าจุดดีของการประกาศเปิดศึก "การฑูตวัคซีน" ของชาติมหาอำนาจ จีน-รัสเซีย ที่ทั่วโลกอาจได้อานิสงค์กันอย่างถ้วนหน้าก็เป็นได้


อ้างอิง:

https://edition.cnn.com/2021/05/11/china/china-russia-covid-vaccine-dst-intl-hnk/index.html

https://apnews.com/article/middle-east-europe-russia-china-coronavirus-b041b3ad9d699de25a05c8f7ebcb4eb

https://www.marketwatch.com/story/russia-looks-to-china-to-help-produce-its-sputnik-v-covid-19-vaccine-01620023486

มีชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเสียชีวิตแล้วมากกว่า 100 คน ในความขัดแย้งทางทหารกับอิสราเอลในช่วง 4 วันที่ผ่านมา จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ในกาซาเมื่อวันพฤหัสบดี (13 พ.ค.)

จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขในกาซา ซึ่งปกครองโดยขบวนการเคลื่อนไหวอิสลามิสต์ "ฮามาส" ระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 103 คน ในนั้นเป็นเด็ก 27 คนและผู้หญิง 11 คน นับตั้งแต่วันจันทร์ (10 พ.ค.) ส่วนจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่ที่ 580 ราย

ในฝั่งของอิสราเอล มีผู้เสียชีวิต 7 รายนับตั้งแต่วันจันทร์ (10 พ.ค.) ในนั้นรวมถึงเด็ก 6 ขวบ หลังจรวดลูกหนึ่งตกใส่บ้านของครอบครัวหนูน้อยรายนี้

ก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี (13พ.ค.) กองทัพอิสราเอลเผยว่าฝูงบินรบของพวกเขาโจมตีที่ตั้งทางทหารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการข่าวกรองขององค์กรก่อการร้ายฮามาส "ฝ่ายปฏิบัติการฮามาสหลายสิบคนอยู่ที่ตั้งดังกล่าวระหว่างการโจมตี" ถ้อยแถลงระบุ

ในช่วงค่ำวันพฤหัสบดี (13 พ.ค.) จรวดหลายสิบลูกถูกยิงออกมาจากฉนวนกาซา และเล็งเป้าหมายเข้าใส่เมืองอัชดอดและเมืองอัชเคลอน ซึ่งอยู่ริมฝั่งทะเลทางภาคใต้ของอิสราเอล เช่นเดียวกับในบริเวณใกล้เคียงสนามบินเบนกูเรียน ทางภาคกลาง ส่งผลให้เที่ยวบินโดยสารขาเข้าทั้งหมดต้องเบี่ยงไปลงจอดที่ท่าอากาศยานรามอน ทางภาคใต้แทน

อิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศ หลังจากฮามาสยิงจรวดใส่เยรูซาเลมและเทลอาวีฟเมื่อวันจันทร์ (10 พ.ค.) เพื่อตอบโต้ที่ตำรวจอิสราเอลปะทะกับชาวปาเลสไตน์ใกล้มัสยิดอัล-อักซอในเยรูซาเลมตะวันออกระหว่างที่ชาวปาเลสไตน์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ถือศีลอดช่วงเดือนรอมฎอน

โฆษกกองทัพอิสราเอลยังแถลงว่า กองทัพได้ส่งกำลังทหารสู้รบไปประจำการตามแนวชายแดนติดต่อกับกาซา และอยู่ในขั้นตอนการเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการภาคพื้นดิน คล้ายกับที่อิสราเอลเคยเปิดฉากบุกภาคพื้นดินระหว่างสงครามอิสราเอล-กาซาในปี 2014 และปี 2008-2009

นอกจากอิสราเอลกับปาเลสไตน์มีการโต้ตอบกันด้วยจรวดและการโจมตีทางอากาศแล้ว ภายในอิสราเอลเองยังเกิดเหตุรุนแรงในหลายเมือง หลังจากชนกลุ่มน้อยชาวอาหรับบางส่วนออกมาประท้วงเพื่อให้การสนับสนุนปาเลสไตน์ มีรายงานว่า ชาวอาหรับหลายคนถูกชาวยิวรุมทำร้ายในช่วงคืนวันพุธ (12 พ.ค.) และชาวยิวคนหนึ่งถูกคนอาหรับยิงในเมืองล็อดที่มีการประกาศเคอร์ฟิว

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ แสดงความหวังว่า การต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์และฮามาสจะจบลงในเร็ว ๆ นี้ วอชิงตันยังมีแผนส่งผู้แทนพิเศษ ฮาดี้ แอมร์ ไปเจรจากับทั้งสองฝ่าย ขณะที่อังกฤษก็เรียกร้องให้อิสราเอลและฮามาสถอยออกมาจากสถานการณ์ที่ทำท่าจะบานปลาย

ทว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของรัฐยิวประกาศว่า จะโจมตีทำลายศักยภาพทางทหารของฮามาสและกลุ่มอื่น ๆ ในกาซาต่อไป


(ที่มา:เอเอฟพี)

https://mgronline.com/around/detail/9640000046275


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top