Monday, 23 June 2025
NEWS FEED

‘กรณ์-วรวุฒิ’ เปิดตัว ‘กล้าหางาน’ ช่วยประชาชนหางาน สู้วิกฤตเศรษฐกิจโควิด-19 ย้ำแค่รับเงินแจกเงินคงไม่พอ เปิดเพจ-ทำงานเชิงรุกพื้นที่ บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย หวังช่วยคนไทยนับล้านมีงานทำ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมด้วยนายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า แถลงเปิดตัวโครงการ ‘กล้าหางาน’ เพื่อเป็นช่องทางช่วยหางานให้ผู้ที่ตกงานหรือหางานไม่ได้ มีงานทำ และเป็นช่องทางเชื่อมกับผู้ประกอบการให้ได้คนที่เหมาะสมเข้าทำงาน 

นายกรณ์ กล่าวว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อโควิค-19 ทำให้พี่น้องประชาชนหลายล้านคน ไม่มีงานทำขาดรายได้ เป็นประเด็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแค่ดูผู้ได้รับผลกระทบภาคธุรกิจท่องเที่ยว จะเห็นว่าประชาชนนับล้านคน ขาดรายได้ไม่มีงานทำ ด้วยเหตุผลนี้ พรรคกล้าพยายามหาวิธีแก้ไข ผ่อนหนักให้เป็นเบา ช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโควิด-19 ด้วยโครงการ ‘กล้าหางาน’ เพื่อเชื่อมโยงประชาชนที่หางานทำ ให้กับบริษัทห้างร้านที่ยังต้องการคนอยู่ บนเป้าหมายต้องการยื่นเบ็ดให้ประชาชนสามารถดูแลครอบครัว หารายได้ให้กับตัวเอง ดำรงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี มั่นใจว่าจะเป็นโครงการที่ยั่งยืน ช่วยพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการหาคนมีคุณภาพ มีโอกาส มีงานทำ มีรายได้ 

“กล้าหางาน เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่อยากให้ทุกคนลองใช้ดู เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นโครงการสำคัญของพรรคกล้า เพื่อที่ตอบโจทย์ปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจ เพียงแค่รับเงินหรือแจกเงินคงไม่เพียงพอ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการมีงานทำ ตามหลักเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็กของพรรคกล้า” นายกรณ์ กล่าว 

นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า โครงการ ‘กล้าหางาน’ เป็นรูปแบบการเปิดเพจเฟซบุ๊ก และเปิดกลุ่มสำหรับผู้สนใจ โดยเนื้อหามี 3 ส่วนด้วยกันคือ 

1.) ‘คนหางาน’ สำหรับคนที่ตกงานหรืออยากมีรายได้เสริม อยากมีงานทำ สามารถลงรายละเอียดส่วนตัวว่าตนเองมีคุณสมบัติอย่างไร ต้องการเงินเดือนเท่าไหร่อย่างไร เพื่อให้คนที่มาดูข้อมูล อ่านข้อมูลแล้วเรียกไปสัมภาษณ์ได้ 

2.) ‘งานหาคน’ บริษัทห้างร้านต่าง ๆ ไม่ว่าขนาดใหญ่หรือเล็ก ถ้าต้องการคน สามารถมาลงข้อความที่รับสมัครบุคคลที่ต้องการได้ 

และ 3.) ข้อมูลความรู้ บทความที่เป็นประโยชน์ เช่น เทคนิคการสัมภาษณ์งานอย่างไรให้ได้งาน บทความน่าสนใจเกี่ยวกับสิทธิแรงงาน พนักงานลูกจ้าง เป็นข้อมูลความรู้ที่สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มทักษะตัวเองได้ 

นายวรวุฒิ กล่าวว่า เพจ ‘กล้าหางาน’ ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยจะพัฒนาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพต่อไปเรื่อย ๆ จนมีผู้ใช้จำนวนมากเข้ามา ซึ่งวันนี้มีตำแหน่งงานรองรับไว้หลายตำแหน่งแล้ว และอยากจะเชิญชวนทุกคนให้ลองเข้าใช้งาน ทั้งหมดไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น และมีทีมงานผู้กล้า (ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.) ของพรรคทั่วประเทศ เป็นทีมงานหลังบ้าน ทำงานเชิงรุกคอยติดตามว่ามีบริษัทห้างร้ายใดในพื้นที่ต้องการบุคลากร ช่วยหางานที่เหมาะสม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์ ช่วยแบ่งเบาภาระและปัญหาวิกฤตแรงงานช่วงโควิด-19 ได้ 

ลิ้งค์เพจ ‘กล้าหางาน’
https://www.facebook.com/klahangarn/

ลิ้งค์กลุ่ม ‘กล้าหางาน’
https://www.facebook.com/groups/klahangarn/?ref=share
 

ทช.ลุยสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ เสร็จแล้ว 36 โครงการ กว่า 418 กม. ตั้งงบปี 65 อีก 158 ล้านบาท ลุย 3 โครงการ 18.8 กม. ช่วงประจวบฯ และชุมพร

ทช.ลุยสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ เสร็จแล้ว 36 โครงการ กว่า 418 กม. ตั้งงบปี 65 อีก 158 ล้านบาท ลุย 3 โครงการ 18.8 กม. ช่วงประจวบฯ และชุมพร ขณะที่กำลังก่อสร้างอยู่ 4 โครงการ ระยะทางกว่า 77 กม. กำหนดเสร็จในปี 64-65 พัฒนาโครงข่ายต่อเนื่องหนุนท่องเที่ยว

นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยถึงโครงการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Thailand Riviera) ว่า ทช.มีแผนการดำเนินการก่อสร้างโครงข่ายถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ในปีงบประมาณ 2565 จำนวน 3 โครงการ ระยะทางรวม 18.829 กิโลเมตร งบประมาณรวม 158.143 ล้านบาท เพื่อให้มีความต่อเนื่อง ได้แก่

1.) ถนนสายเพชรเกษม-สถานีรถไฟทุ่งประดู่-วัดทับสะแก อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 3.418 กิโลเมตร งบประมาณในการก่อสร้าง 20.655 ล้านบาท

2.) ถนนสายบ้านบางคอย-บ้านทุ่งคาน้อย อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ระยะทาง 8.658 กิโลเมตร งบประมาณในการก่อสร้าง 31.994 ล้านบาท

3.) ถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4002 (กม.ที่ 13+100) - บ้านแหลมสันติ (ตอนที่ 2) อำเภอหลังสวน, ละแม จังหวัดชุมพร ระยะทาง 6.753 กิโลเมตร งบประมาณในการก่อสร้าง 105.494 ล้านบาท

ทั้งนี้ ทช.ได้ดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทยอย่างยั่งยืน ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง เพื่อพัฒนาโครงข่ายถนนดังกล่าวให้มีความต่อเนื่อง ส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง ตลอดจนการแก้ไขปัญหาจราจรและเหมาะสมเป็นถนนท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลระดับสากล

ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2552 ถึงปัจจุบัน โดยได้ก่อสร้างไปแล้วจำนวน 36 โครงการ รวมระยะทาง 418.653 กิโลเมตร และในปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างอีกจำนวน 4 โครงการ รวมระยะทาง 77.134 กิโลเมตร ได้แก่

ถนนทางหลวงชนบทสาย ชพ.4012 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4198-เทศบาลปากน้ำหลังสวน อำเภอทุ่งตะโก, หลังสวน จังหวัดชุมพร ระยะทาง 23.589 กิโลเมตร ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 90 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2564 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 195.478 ล้านบาท

ถนนทางหลวงชนบทสาย ชพ.4008 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4001-บ้านโพธิ์แบะ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ระยะทางรวม 24.569 กิโลเมตร ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 94 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2564 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 180.780 ล้านบาท

ถนนทางหลวงชนบทสาย ชพ.4011 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4003 (กม.ที่ 14+350)-บ้านท้องเกร็ง อำเภอสวี, ทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ระยะทาง 9.085 กิโลเมตร ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 27 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2564 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 55.900 ล้านบาท

ถนนทางหลวงชนบทสาย ชพ.4019 สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4002 (กม.ที่ 13+100)-บ้านแหลมสันติ อำเภอหลังสวน, ละแม จังหวัดชุมพร ระยะทาง 19.891 กิโลเมตร ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 27 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2565 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 172.082 ล้านบาท


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3655046867934187&id=209934979112077
https://ibusiness.co/detail/9640000046424
 

ไบรอัน เดวิดสัน เอกอัครราชทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อของไทย ถึงแนวทางที่ประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา พร้อมที่จะหนุนไทยในการพัฒนาธุรกิจสายกรีน และพัฒนาเกษตรสมัยใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่จะเป็นภัยคุกคามในอนาคต

โดยนายไบรอัน เดวิดสัน ได้กล่าวว่า อังกฤษสนับสนุนไทยที่มีความมุ่งมั่นลดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่ผ่านมาได้มีความร่วมมือในหลายโครงการ ล่าสุด เป็นโครงการเกษตรสมัยใหม่ผสมผสานกับการลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการ Thai Rice NAMA เพื่อปลูกข้าวอย่างยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การเพิ่มผลผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ 14.9 ล้านดอลลาร์ และดำเนินงานผ่านโครงการ NAMA Facility มีระยะเวลาการดำเนินโครงการ 5 ปี (2562-2566) มุ่งพัฒนาการผลิตข้าวของเกษตรกรจำนวน 100,000 ครัวเรือนในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคกลางได้แก่ จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานีและสุพรรณบุรี ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2.8 ล้านไร่ มีเป้าหมายปรับเปลี่ยนระบบการทำนาในปัจจุบัน ไปสู่ระบบการทำนาแบบยั่งยืน

นายไบรอัน ระบุว่า แนวทางการปลูกข้าวแบบใหม่เน้นประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น ตรงตามมาตรฐานการผลิตข้าวที่ยั่งยืน (Thai Rice GAP ) โดยที่เกษตรกรสามารถปฏิรูปกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับโอกาสที่จะพัฒนาธุรกิจให้ขยายใหญ่ขึ้น นำไปสู่การปรับเปลี่ยนการผลิตข้าวทั้งระบบให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต

นอกจากนี้ อังกฤษยังยืนยันที่จะสนับสนุนไทยในการปฏิรูปให้เกิดระบบการเงินสีเขียว (Green Financing) ผ่านโครงการ ASEAN Low Carbon Energy Programmed ขณะที่ในเดือน พ.ค.นี้ อังกฤษจะจัดเวิร์คช็อปด้านยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนไปสู่เทคโนโลยีขับเคลื่อนแห่งอนาคต

ด้าน ไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า สหรัฐฯ มีความพยายามจะช่วยไทยบรรลุเป้าหมายลดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ยกตัวอย่างที่น่าสนใจโครงการแรกคือ กรอบความร่วมมือหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ซึ่งมีโครงการย่อย ๆ ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตฐานรากทางเศรษฐกิจ และพลังงานอย่างยั่งยืน

ส่วนโครงการที่สอง ดำเนินการภายใต้องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (ยูเสด) ซึ่งสหรัฐฯ สนับสนุนระบบพลังงานที่ทันสมัย เชื่อมโยง และไว้ใจได้ให้กับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่องด้วยงบประมาณ 33 ล้านดอลลาร์ ตามข้อริเริ่ม Asia EDGE เพื่อให้มีการซื้อขายพลังงานในระดับภูมิภาคและเข้าถึงเงินทุนมากขึ้น ตลอดจนภาคเอกชนมีส่วนร่วมมากขึ้น

โครงการนี้ จะช่วยขยายการค้าและการลงทุนด้านพลังงานในภูมิภาคนี้ โดยดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น บนพื้นฐานการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานลม พลังงานจากแสงอาทิตย์ เพื่อปล่อยก๊าซคาร์บอนให้น้อยที่สุด ไปพร้อม ๆ กับการสร้างเมืองอัจฉริยะที่มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้า การพัฒนาแบตเตอรีกักเก็บพลังงานไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น และปฏิรูประบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ​ ยังทำงานร่วมกับบริษัทต่าง ๆ ในภาคเอกชนด้านพลังงานหมุนเวียน เช่น ให้การสนับสนุนติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี 33 แห่งในประเทศไทย ทั้งยังสนับสนุนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ให้กับบางโรงงานใน จ.ปทุมธานี ซึ่งช่วยผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากถึง 27 เมกะวัตต์เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอากาศถึง 390,000 ตัน นอกจากนี้ ยังสนับสนุนหน่วยงานในไทยในเชิงเทคนิค เพื่อติดตั้งสถานีชาร์จแบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้าหลายแห่งทั่วประเทศไทย

อุปทูตสหรัฐ ย้ำว่า ในฐานะเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกครั้งประวัติศาสตร์ โดยมุ่งเน้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 50-52% ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับปี​ 2548 หรือในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้นจากเป้าเดิมเกือบสองเท่า

ขณะที่เอกอัครราชทูตอังกฤษ เสริมว่า นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศจะออกกฎหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 78% ภายในปี 2578 เมื่อเทียบกับปี 2533 นับเป็นหนึ่งในเป้าด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ท้าทายที่สุดในโลกขณะนี้ และทั่วโลกกำลังเตรียมเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 (COP26) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศอังกฤษในเดือน พ.ย.นี้

เอกอัครราชทูตอังกฤษ และอุปทูตสหรัฐ ได้กล่าวปิดท้ายด้วยการ ยกย่องบทบาทของไทยในฐานะผู้นำด้านการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศในภูมิภาค พร้อมทั้งกระตุ้นให้ทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทยเพิ่มเป้าการมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลกให้เร็วขึ้น


ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/938346
 

ชีวิตแม่ค้า ‘ม้า อรนภา’ ยืนขายห่อหมกกลางสายฝนรอลูกค้า

ในช่วงเวลาที่โควิดยังระบาดหนักแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับพ่อค้า-แม่ค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบมีหน้าร้านหรือแผงลอยก็ตาม และทุกคนก็โดนผลกระทบนี้กันไปหมด อย่างอดีตนางแบบตัวแม่ ‘ม้า อรนภา กฤษฎี’ ที่หลังจากไร้งานในวงการก็ผันตัวเองมาเป็นแม่ค้าออนไลน์ ไลฟ์สดขายเสื้อผ้าบ้าง และจากนั้นก็เริ่มมาขายห่อหมกฝีมือคุณแม่ของเจ้าตัวนั่นเอง

ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เจ้าตัวก็เพิ่งออกมาบอกว่าใกล้จะกลับมามีงานพิธีกรเหมือนเดิมแล้วแท้ ๆ แต่ก็ดันมาเกิดโควิดระบาดใหม่ระลอก 3 ก็เลยทำให้ทุกอย่างชะลอตัวไปอีก รวมถึงการขายห่อหมกตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนเดิม ล่าสุดเจ้าตัวก็โพสต์ภาพกำลังยืนรอลูกค้าอยู่ในเต้นท์ท่ามกลางสายฝน พร้อมกับคำบรรยายภาพว่า “ขีวิตต้องสู้ เดี๋ยวฝนหยุดลูกค้าก็มา เชิญนะคะ”

งานนี้ก็เลยมีทั้งเพื่อน ๆ และแฟนคลับแห่แหนให้กำลังใจกันมากมาย บางคนก็มีแอบเห็นใจ แต่เจ้าตัวก็ตอบแทบทุกคอมเม้นท์ขอบคุณแทบจะทุกคอมเม้นท์เลยทีเดียว


ที่มา : https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000046902

https://www.instagram.com/maornapa/

ศปก.ศบค.จับตาแคมป์คนงานหลักสี่ ขยายวง 11 บริษัทซับคอนแทร็ก หวั่นกระจายเพิ่ม จับตา 6 ชุมชนพื้นที่ใกล้เคียง

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. กล่าวว่า ในที่ประชุมอีโอ กระทรวงสาธารณสุข และศปก.ศบค. พุ่งเป้าไปที่คลัสเตอร์ระบาดในกรุงเทพฯ ชั้นใน 5 เขต ได้แก่ เขตหลักสี่ ที่มีปริมาณผู้ติดเชื้อสูง รองลงมาคือป้อมปราบศัตรูพ่าย ราชเทวี คลองเตย และเขตห้วยขวาง

โดยพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะ ผอ.ศปก.ศบค. ได้ให้ทำจุดตรวจสอบการกระจายเชื้อ เพื่อดูความหนาแน่นของพื้นที่ต่อการกระจายของประชากรแต่ละพื้นที่ในกรุงเทพฯ แยกพื้นที่สีแดงยังพบติดเชื้อต่อเนื่อง สีเหลืองไม่พบผู้ป่วยในช่วง 14 วันและเฝ้าระวังอยู่ ซึ่งแบ่งเป็น 4  กลุ่มใน 50 เขต คือ พื้นที่ที่มีปริมาณระบาดมากและเพิ่มขึ้นเร็ว จำนวน 25 เขต ปริมาณระบาดมากแต่เพิ่มช้า 6 เขต ไม่มากแต่เพิ่มเร็ว 17 เขต และปริมาณระบาดไม่มากและเพิ่มช้าเฝ้าระวังตามระบบ 2 เขต

โดยแยกเป็น 28 คลัสเตอร์กระจายอยู่ใน 18 เขต คือดินแดง วัฒนา คลองเตย หลักสี่ลาดพร้าว ราชเทวี พระนครป้อมปราบศัตรูพ่าย สวนหลวง ปทุมวัน สาทร สัมพันธวงศ์ จตุจักร บางรัก ประเวศ วังทองหลาง รามคำแหง บางกอกน้อย และห้วยขวาง 

สำหรับคลัสเตอร์ระบาดสูงสุด 5 อันดับแรก คือ แคมป์ก่อสร้าง เขตหลักสี่ แขวงดินแดง เขตดินแดง ตลาดห้วยขวาง เขตดินแดง คลองถมเซ็นเตอร์ และวงเวียน 22 เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และแคมป์คนงานก่อสร้าง เขตวัฒนา

โดยแคมป์ก่อสร้างในเขตหลักสี่และอิตาเลี่ยนไทย ได้ถูกยกขึ้นมาหารือถึงแผนการจัดการ เนื่องจากอยู่กันแออัด และยังมีบริษัทซับคอนแทร็กที่รับเหมาต่อเนื่องไปที่ต่าง ๆ อีก 11 บริษัท และอื่น ๆ อีก ซึ่งในกลุ่มนี้กำลังติดตาม ส่วนสถานที่อื่นอีก 8 แคมป์ ที่กระจายตัวอยู่ยังติดตามหาต่อและเป็นแผนการที่ต้องเข้าไปดู จึงขอความร่วมมือพี่น้องคนไทยและชาวต่างชาติ ขอให้เสียสละช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ช่วยตัวเองและคนอื่นในการให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ตามที่มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อเข้าไปปรับปรุงสถานที่ให้ถูกสุขลักษณะ ฝ่ายความมั่นตรวจสอบห้ามเข้าออกพื้นที่เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่และเคลื่อนย้าย เป็นเวลา 14 วัน

ซึ่งผู้อำนวยการเขตหลักสี่ได้มีประกาศมาตรการขอความร่วมมือ เฝ้าระวังในแคมป์, แยกกักผู้ป่วยกับการผู้สัมผัสเสี่ยงสูง, เฝ้าระวังนอกแคมป์, ซีลแคมป์ก่อสร้าง , จัดการสิ่งแวดล้อมในแคมป์, บริหารวัคซีนสำหรับพื้นที่ระบาด, และปิดการทำงานของอีก 11 บริษัทซับคอนแทร็กหากเป็นผู้เกี่ยวข้องขอให้รายงานและแจ้งให้สำนักงานเขตหรือสำนักอนามัยกทม. รับทราบว่าไปรับงานที่ไหนบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดการกระจายของโรค

นอกจากนั้นต้องดูอีก 6 ชุมชนรอบข้าง คือ แฟลตตำรวจอิสระ ชุมชนอยู่แล้วรวย ชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลาง ชุมชนกองบัญชาการศึกษา ชุมชนรักถิ่น และชุมชนเปรมสุขสันต์ ทั้งนี้ ผอ.ศปก.ศบค. ได้พูดคุยกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการขอความร่วมมือกับผู้นำแต่ละชุมชน ทำความเข้าใจในการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด

ทั้งนี้ขอเป็นกำลังใจซึ่งกันและกันเราจะผ่านช่วงเวลาความยากลำบากไปด้วยกัน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมีความหมายต่อทุกคนและทุกชีวิต ทุกคนไม่ต้องการเจ็บไข้ได้ป่วย พรากจากคนที่รัก เราจะผ่านไปได้ด้วยความร่วมมือกันโรคระบาดสอนเรามาในอดีตว่าสิ่งที่จะผ่านไปได้คือภูมิคุ้มกันหมู่การดูแลสุขลักษณะส่วนตัวและส่วนรวม และคนในครอบครัวจะช่วยให้ผ่านพ้นความยากลำบากไปด้วยกัน

‘เอิ๊ก พรหมพร’ รีวิวฉีด Sinovac เข็มแรก ยัน ไม่รู้สึกอะไร ไร้อาการ ฉีดเสร็จทำงานต่อได้เลย!!

เรียกได้ว่าช่วงนี้เหล่าคนบันเทิงตบเท้าเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 กันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทางด้านพิธีกรสาวมากเสน่ห์ "เอิ๊ก พรหมพร ยูวะเวส" ได้ออกมาเล่าประสบการณ์การฉีดวัคซีนเข็มแรกผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมทั้งบอกว่า การฉีดวัคซีนเจ็บน้อยกว่าฉีดโบท็อก

"ฉีด Sinovac เข็มแรกเรียบร้อย ไม่รู้สึกอะไรเลย ฉีดเสร็จทำงานต่อค่ะ #เจ็บน้อยกว่าbotox. #ไม่ง่วงไม่หน่วงไม่มีไข้ไม่มีไรเลย. #วัคซีนยี่ห้อที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่เข้าร่างกายเร็วสุด. #ฉีดเพื่อชาติเพื่อคนที่คุณรัก"


ที่มา : ig https://www.instagram.com/erkerkja/

ยูเอ็น เตรียมพิจารณา ปิดล้อมอาวุธ 'เมียนมา' งดจัดส่งอาวุธแก่คณะรัฐประหาร สกัดปราบปรามผู้ชุมนุม

ที่ประชุมสมัชชาแห่งสหประชาชาติในวันอังคาร (18 พ.ค.) เตรียมพิจารณาร่างญัตติไม่ผูกมัดญัตติหนึ่ง เรียกร้องระงับจัดหาและส่งมอบอาวุธแก่คณะรัฐประหารเมียนมาในทันที จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ยูเอ็นรายหนึ่งในวันอาทิตย์ (16 พ.ค.)

ต่างจากญัตติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ญัตติของที่ประชุมสมัชชาแห่งสหประชาชาติเป็นมติที่ไม่ผูกพัน แต่จะเป็นการส่งสารทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้หากไม่สามารถบรรลุความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ เมื่อนั้นที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเต็มคณะ ซึ่งประกอบด้วยรัฐสมาชิก 193 ชาติ จะทำการโหวตญัตติดังกล่าว

ร่างญัตติเสนอโดยผู้แทนจากลิกเทนสไตน์ ภายใต้การสนับสนุนของสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ และมันจะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมเต็มคณะในเวลา 19.00 จีเอ็มทีของวันอังคาร (18 พ.ค.) ตรงกับเมืองไทย 02.00 น.เช้ามืดวันพุธ(19 พ.ค.)

โฆษกสหประชาชาติรายหนึ่งเปิดเผยกับเอเอฟพีว่าร่างญัตตินี้เรียกร้องให้ระงับจัดหาทั้งทางตรงทางอ้อม ขายหรือส่งมอบอาวุธทุกชนิด กระสุน รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้านการทหาร

ร่างนี้ ซึ่งเจรจากันมานานหลายสัปดาห์ ได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ 48 ชาติ แต่เกาหลีใต้เป็นเพียงชาติเดียวของเอเชียที่ให้การสนับสนุน

ทั้งนี้ร่างญัตติดังกล่าวยังเรียกร้องให้กองทัพ "ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน" และหยุดใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบกับพวกผู้ประท้วงอย่างสันติ เช่นเดียวกับปล่อยตัวประธานาธิบดีวิน มิ้นต์ นางอองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และทุกคนที่ถูกควบคุมตัว ตั้งข้อหาและจับกุมโดยพลการ นับตั้งแต่เหตุรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์

นอกจากนี้แล้วร่างญัตติดังกล่าวยังเรียกร้องให้นำฉันทมติ 5 ข้อที่ 10 ผู้นำจากสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เห็นพ้องต้องกันในวันที่ 24 เมษายน มาใช้ในทันที เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ทูตพิเศษของยูเอ็นที่จะเดินทางไปเยือนเมียนมา และเพื่อมอบการเข้าถึงด้านมนุษยธรรมอย่างปลอดภัยและไร้ข้อจำกัด

ความเคลื่อนไหวของสหประชาชาติมีขึ้นหลังจากเอ็นจีโอหลายแห่งเรียกร้องมานานให้ใช้มาตรการปิดล้อมอาวุธกับเมียนมา

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ในถ้อยแถลงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเมียนมามาแล้ว 4 ครั้ง ทว่าแต่ละครั้งนี้มันถูกลดระดับให้อ่อนลง ในการเจรจาต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะจากจีน


(ที่มา:เอเอฟพี)

https://www.fm91bkk.com/fm99130

กระแส ‘หนัง-ซีรีส์ไทย’ ดังไกลถึงเมืองจีน วัยรุ่นจีนแห่ใส่ชุดนักเรียนไทย-ถ่ายรูปอัพโซเชียล

ใครจะไปคิดว่าชุดนักเรียนของเด็กไทย ที่ก่อนหน้านี้มีกระแสจากเด็กบางส่วนเรียกร้องให้กระทรวงศึกษา ไม่บังคับให้ต้องใส่มาเรียน จะกลายมาเป็นแฟชั่นที่ระบาดอย่างมากมายในประเทศจีน ไม่แพ้เชื้อโควิดที่ระบาดไปก่อนหน้านี้

อาจเป็นเพราะชุดนักเรียนไทยนอกจากจะดูเป็นเครื่องแบบที่บ่งบอกถึงสถานะการเป็นนักเรียนแล้ว มันยังดูสวย และเป็นเอกลักษณ์ ไม่แพ้กับชุดนักเรียนของประเทศญี่ปุ่น, เกาหลี และจีนเลยทีเดียว

กระแสความฮิตที่ว่านี้อาจเพราะชุดนักเรียนไทย ถูกนำเสนอในหนัง และซีรีส์ไทย ซึ่งหนังพวกนี้เรียกได้ว่าโด่งดังไปไกลยันต่างประเทศ และหนังที่เรียกว่าเป็นหนังที่โดนใจชาวจีนมาก ๆ ก็คงจะต้องยกให้กับเรื่อง ”สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก”

หนังที่เรียกว่านำเสนอชีวิตนักเรียนไทยผ่านชุดนักเรียนได้เป็นอย่างดี ตลอดจนซีรีส์เรื่อง “เด็กใหม่ ซีซั่น 2”  ที่เรียกว่าโด่งดังติดอันดับ Netflix ไปหลายประเทศ ก็ยิ่งทำให้ชุดนักเรียนไทยกลายเป็นที่สนใจของชาวต่างชาติ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะว่า ตอนนี้ในประเทศจีนชุดนักเรียนไทยนั้นได้กลายเป็นแฟชั่นสุดฮิตในหมู่วัยรุ่นจีนไปเสียแล้ว โดยเฉพาะช่วงนี้ที่จีนกลับมาอินเรื่อง “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก” กันอีกรอบ เรียกว่าฮิตติดลมบนกระแสไม่แผ่วไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีต่อกี่ปี 

ไม่เชื่อลองสังเกตจากรูปที่เอามาฝาก ลองดูที่ตัวอักษรย่อของโรงเรียน ด.ณ. ซึ่งเป็นตัวอักษรเดียวกันกับในเรื่อง “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก” ที่ใบเฟิร์นใส่นั่นแหละ

ถ้าจะถามว่างานนี้เค้าฮิตกันแค่ไหน ก็ต้องบอกว่า ชนิดที่แม่ค้า พ่อค้าจีน หลายเจ้าต้องรีบเอามาลงบนร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง แว่ว ๆ มาว่าขายดีกันเป็นเทน้ำเทท่าเลยแหละ


ที่มา : https://www.facebook.com/869836633121664/posts/3673662486072384/?d=n
https://www.facebook.com/293462357395830/posts/5511198898955457/?d=n
https://www.sanook.com/campus/1404719/
 

‘กัญจนา ศิลปอาชา’ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มอบหมายให้ ‘ผู้นำคนพิการ’ จัดทัพเตรียมถุงยังชีพ เพื่อ บรรเทาทุกข์คนพิการ ‘สู้ภัยโควิด 19’ นำร่องในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด 5 จังหวัด

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2564 ณ มูลนิธิออทิสติกไทย (กทม.) อาจารย์ชูศักดิ์ จันทยานนท์ ประธานสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ได้กล่าวว่า ตามที่ได้รับความอนุเคราะห์จากท่าน ‘กัญจนา ศิลปอาชา’ ประธานมูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย มอบเงินให้กับ 'มูลนิธิออทิสติกไทย' จำนวน 1 ล้านบาท เพื่อดำเนินการจัดถุงยังชีพมอบให้แก่คนพิการและครอบครัวโดยมอบหมายให้ ‘สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย’ และ ‘องค์การคนพิการระดับชาติ’ ทำหน้าที่มอบถุงยังชีพให้แก่คนพิการในเขตพื้นที่เสี่ยงกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงเข้มและเป็นพื้นที่ควบคุมในช่วงสถานการณ์เชื้อไวรัส Covid-19 ที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้

ในการนี้ ‘ผู้แทนองค์การระดับชาติ’ ได้เดินทางมารับมอบเพื่อนำไปจัดเตรียมบรรจุใส่ในถุงยังชีพและจะเริ่มดำเนินการนำไปมอบให้แก่คนพิการครอบครัวคนพิการโดยเร็ว

ถึงแม้การได้รับความอนุเคราะห์ในครั้งนี้เป็นจำนวนที่ไม่มากและไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนพิการโดยทั่ว แต่ก็ถือได้ว่าคนพิการในประเทศไทยเรานั้น ยังมีผู้หลักผู้ใหญ่ใจบุญ ที่เสียสละทรัพย์สิน แรงกายแรงใจ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการสู้ชีวิตในช่วงสภาวะคับขันของเชื้อโรคไวรัส Covid-19 ให้กับคนพิการ ในครั้งนี้

อีกทั้ง อาจารย์ชูศักดิ์ จันทยานนท์ ยังได้ขอเชิญชวนผู้หลักผู้ใหญ่ใจบุญ เจ้าของสถานประกอบการ เจ้าของร้านค้า และบุคคลทั่วไป ที่มีจิตใจอันเป็นกุศล อยากจะช่วยเหลือคนพิการสามารถติดต่อมายัง ‘สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย’ ได้ตลอดเวลาเพื่อในอนาคต จะได้สามารถช่วยเหลือคนพิการที่อาศัยอยู่ในตามต่างจังหวัดได้ด้วยเช่นกันในคราวต่อไป

สรุปมาให้แล้ว! 6 ข้อเด่น ‘โมเดลจีน’ ชนะโควิด

6 ข้อเด่น ‘โมเดลจีน’ ชนะโควิด : ตัดสินใจเร็ว ใช้ยาแรง รวมใจด้วยศรัทธา ใช้ประโยชน์ Data ไร้วิวาทะนักการเมือง สื่อสร้างพลังบวก


ที่มา: รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศจีน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top