Friday, 27 June 2025
NEWS FEED

ที่ประชุมครม. เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ภาครัฐและเอกชน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ภาครัฐและเอกชน ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ มีกรอบวงเงินรวม 3.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะใช้จ่ายจาก พ.ร.ก.เงินกู้ แบ่งออกเป็น

1.) มาตรการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กรอบวงเงิน 23,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียนในระบบการศึกษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ปกครอง 2,000 บาทต่อนักเรียน 1 คน พร้อมจัดสรรค่าใช้จ่ายให้แก่สถานศึกษาเพื่อช่วยจัดการเรียนรู้ และลดหรือตรึงค่าใช้จ่ายในโรงเรียนเอกชนให้เท่ากับปีการศึกษา 2563

2.) มาตรการการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมาย คือ นิสิต/นักศึกษาชาวไทย ระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ระยะเวลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

สำหรับแนวทางการดำเนินการ สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ จะได้รับส่วนลดเป็นลักษณะร่วมจ่ายระหว่างรัฐและสถาบันอุดมศึกษาในอัตรา 6:4 โดยค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษาส่วนที่ไม่เกิน 50,000 บาท ลด 50% / 50,001-100,000 บาท ลด 30% และเกิน 100,000 บาท ลด 10% โดยส่วนลดสูงสุดรวมกันไม่เกิน 50% ส่วนสถาบันอุดมศึกษาของเอกชน ค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษา รัฐสนับสนุนในอัตรา 5,000 บาท/คน นอกจากนี้ กระทรวงอว. ยังขอให้พิจารณาเพิ่มเติม ทั้งขยายเวลาผ่อนชำระ จัดหาอุปกรณ์/โปรแกรมสำหรับยืมเรียนออนไลน์ รวมทั้งลดค่าหอพักด้วย


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รศ.พญ.ประภาพร พิสิษฐ์กุล ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิต้านทาน โพสต์ข้อความอธิบายการฉีดวัคซีนสลับไขว้ (ซิโนแวคเข็มแรก - แอสตราเซเนกาเข็มสอง)

รศ.พญ.ประภาพร พิสิษฐ์กุล ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิต้านทาน จาก ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊ก Prapaporn Pisitkun ระบุว่า...

การจะหยุดการระบาดของโควิดและให้ระบบสาธารณสุขไปต่อได้คนส่วนใหญ่จะต้องมีภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโควิด

สถานการณ์การติดเชื้อโควิดในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะยังระบาดกันต่อเนื่องอย่างที่ทุกคนได้เห็นข่าวตัวเลขของผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและข่าวของโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่แทบจะไม่เหลือเตียงรับผู้ป่วยแล้ว

ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (ที่ปลอดภัย) มากกว่าการจะปล่อยให้แต่ละคนติดเชื้อแล้วสร้างภูมิคุ้มกันเอง (อันนี้ไม่ปลอดภัย)

ในสถานการณ์ปัจจุบันทุกภาคส่วนกำลังพยายามบริหารจัดการวัคซีนให้ผู้คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้และได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการฉีดวัคซีนแบบสลับไขว้ระหว่าง SV1/AZ2 (ซิโนแวคเข็มแรก - แอสตราเซเนกาเข็มสอง) โดยมีข้อมูลเบื้องต้นว่ากระตุ้นภูมิป้องกันโควิดได้ แต่ก็ยังมีผู้กังวลใจหลังไมค์มาถามหมอกันมากมายว่ามันจะได้ผลจริงไหม?

วันนี้หมอเลยจะมาเล่าเรื่องการกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยการใช้วัคซีนแต่ละชนิดสลับกันว่าระบบภูมิคุ้มกันของเราจะตอบสนองต่อวัคซีนเหล่านี้อย่างไร มีข้อมูลบ้างไหมที่จะสนับสนุนว่าการทำแบบนี้น่าจะได้ผลหรือไม่?

Q1 : ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองต่อวัคซีนโควิดอย่างไร?

เมื่อร่างกายเจอเชื้อโรคครั้งแรกจากการฉีดวัคซีน ระบบภูมิคุ้มกันหลายตำแหน่งจะถูกกระตุ้น และเพื่อที่ร่างกายจะได้มีภูมิป้องกันต่อการติดเชื้อครั้งหน้าร่างกายจะสร้างเซลล์ที่มีความทรงจำ (Memory cell) หรือสร้างแอนติบอดีขึ้นมา โดยจะเริ่มมีการสร้างในปริมาณไม่มากในช่วงสัปดาห์ที่ 1-2 และถ้าไม่มีตัวกระตุ้นอีกระดับของภูมิคุ้มกันจะลดลง

เพราะฉะนั้นหมายความว่าถ้าเราได้วัคซีนเพียง 1 เข็ม ภูมิคุ้มกันจะขึ้นไม่สูงมาก แต่เมื่อเราทิ้งระยะห่างไปสักพักแล้วฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 2 จะเห็นได้ว่าระดับของแอนติบอดีจะขึ้นไปสูงมากขึ้น และจะมีผลป้องกันการติดเชื้อมากขึ้น ถึงแม้ว่าระดับภูมิคุ้มกันที่ขึ้นนั้นไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นจากการฉีดวัคซีนนี้จะสามารถลดอาการและความรุนแรงของการติดเชื้อได้

เนื่องจากการระบาดของเชื้อโควิดรอบนี้ทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีอาการรุนแรงและมีจำนวนมากเกินกว่าศักยภาพของระบบสาธารณสุขของไทยไปมาก การได้รับการฉีดวัคซีนให้ครบทั้ง 2 เข็มจะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาให้กับผู้ป่วยไม่ให้มีอาการรุนแรงจนต้องเข้าห้องไอซียู (ซึ่งไม่มีเตียงเหลือแล้ว) และทำให้บุคลากรการแพทย์มีกำลังเพียงพอที่จะให้การดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ

Q2 : ระบบภูมิคุ้มกันจะงงไหม ถ้าให้เข็มแรกเป็นชนิดหนึ่งแล้วเข็มสองเป็นอีกชนิดหนึ่ง ระบบภูมิคุ้มกันเราจะรู้ไหมว่าอันนี้เป็นเข็มสอง? (จะสูญเปล่าไหม)

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าระบบภูมิคุ้มกันของเราทุกคนมีความฉลาดกว่าที่เราคาดคิดไว้มาก ๆ

วัคซีนแต่ละชนิดหรือคนละเทคโนโลยีเป็นเพียงวิธีการที่แตกต่างกันในการที่จะส่งชิ้นส่วนของเชื้อโรคเข้าไปให้เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันให้รู้จัก (ดูจากโพสต์หมอก่อนหน้านี้) โดยจุดหมายปลายทางที่วัคซีนทุกชนิดจะจัดส่งข้อมูลของเชื้อโรคไปที่เซลล์ชนิดเดียวกันซึ่งก็คือ Antigen-presenting cells หรือ APC และเมื่อ APC รู้จักหน้าตาของเชื้อโรคก็จะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันด่านหลังทั้ง B และ T เซลล์ เพื่อสร้างภูมิป้องกันโควิด

ดังนั้น ไม่ว่าครั้งแรก (Prime) กับครั้งที่สอง (Boost) จะเป็นวัคซีนคนละชนิดแต่การส่งชิ้นส่วนของเชื้อโรคไปที่เซลล์เดียวกัน เซลล์เม็ดเลือดขาวจะรับรู้ว่าเป็นการกระตุ้นครั้งที่ 1 และซ้ำครั้งที่ 2

ดังนั้น โดยหลักการทางภูมิคุ้มกันการฉีดวัคซีนที่ต่างชนิดกันจึงกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้

นอกเหนือจากนี้แล้ว การฉีดวัคซีนคนละชนิดอาจทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันต่อตำแหน่งของเชื้อโรคที่แตกต่างกันซึ่งอาจส่งเสริมฤทธิ์ของการกระตุ้นภูมิให้ดีขึ้น (ในทางทฤษฏี)

Q3 : มีข้อมูลบ้างไหม (ในทางปฏิบัติ) ที่จะสนับสนุนว่าการฉีดวัคซีนแบบสลับนี้น่าจะได้ผลหรือไม่?

การต่อสู้กับ Pandemic COVID ครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายทราบกันดีว่าจะต้องมีการใช้วัคซีนหลายประเภทเพื่อจัดการกับเชื้อโควิดที่มีการกลายพันธุ์เหล่านี้ และจะมีการขาดแคลนวัคซีนเนื่องจากมีความต้องการอย่างมากทั่วโลก จึงมีผู้วิจัยทำการศึกษาการสลับวัคซีนชนิดต่าง ๆ แล้วดูผลของการสร้างแอนติบอดี และการตอบสนองของ T cells โดยในงานวิจัยนี้ได้ใช้วัคซีนทั้ง 4 ประเภทที่ทำขึ้นในประเทศจีนเพื่อ Proof of concept ว่าการฉีดวัคซีนไขว้แบบไหนจะมีการกระตุ้นภูมิได้ดีที่สุด โดยวัคซีนเข็มแรกและเข็มสองจะฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์ และเจาะเลือดที่ 2 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 2

โดยเราจะสนใจดูผลของการฉีดวัคซีนเชื้อตาย (Sinopharm) และ adenovirus vector (Cansino) ซึ่งเป็นสูตรวัคซีนที่ใกล้เคียงกับที่ประเทศไทยได้เริ่มฉีดกันแล้ว

สำหรับบุคคลทั่วไปอาจดูรูปกราฟแล้วงง ๆ หมอจะสรุปให้ฟังง่าย ๆ คือการฉีดวัคซีนสลับกันระหว่างเชื้อตายและ adenoviral vector สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันชนิดแอนติบอดี้ได้มากกว่าการฉีดวัคซีนเชื้อตายอย่างเดียว (2 เข็ม) หรือ adenoviral vector (1 เข็ม) โดยพบว่าไม่มีความแตกต่างกันของระดับ neutralizing antibody ระหว่างกลุ่มที่ฉีดเชื้อตายก่อนแล้วตามด้วย adenovirus vector เมื่อเปรียบเทียบกับ adenovirus vector ก่อนแล้วตามด้วยวัคซีนเชื้อตาย

แต่ถ้าวัดระดับแอนติบอดีต่อ Spike protein จะพบว่าการฉีดวัคซีนเชื้อตายแล้วตามด้วย adenovirus vector จะให้ระดับแอนติบอดีที่สูงกว่าการฉีดสลับกัน

อย่างไรก็ตามในการศึกษานี้ไม่ได้เปรียบเทียบระดับแอนติบอดีของการฉีดสลับระหว่างวัคซีนเชื้อตายกับ adenovirus vector เปรียบเทียบกับการฉีด adenovirus vector 2 เข็ม จึงทำให้ไม่ทราบว่าประสิทธิภาพของการฉีดจะเป็นอย่างไร ถ้าเปรียบเทียบกับการฉีด Adenovirus vector 2 เข็ม นอกจากนี้ชนิดของ Adenovirus ที่ใช้จาก Cansino ก็แตกต่างจาก AZ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน

แต่ผลที่ได้จากการศึกษานี้บ่งชี้ว่าการฉีดแบบสลับนี้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าการให้วัคซีนเชื้อตาย 2 เข็มอย่างชัดเจน (อ่านเพิ่มเติมที่ https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/22221751.2021.1902245)

Q4 : มีหลักฐานไหมว่าการฉีดวัคซีนสลับชนิดกันนั้นจะมีประสิทธิภาพดีในบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนแบบสลับชนิด?

ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการสลับการฉีดระหว่าง mRNA กับ adenovirus vector

ล่าสุดมีอาจารย์หลายท่านรีวิวแล้ว หมอแนะนำให้ติดตามอ่านเพจ อาจารย์มานพ ซึ่งรีวิวไว้หลายเปเปอร์

สำหรับการไขว้สูตรอย่างที่กำลังทำกันในเมืองไทยเกิดขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดของวัคซีนที่มีให้ใช้ในขณะนี้

(หวังว่าข้อจำกัดนี้จะหมดไปในเร็ววัน) และคงต้องมีการเก็บข้อมูลของประเทศไทยเองว่าประสิทธิภาพจะเป็นอย่างไรเพื่อนำมาปรับสูตรวัคซีนที่เหมาะสมกับสถานการณ์การระบาดและชนิดของเชื้อกลายพันธุ์ต่อไป

>> ข้อแนะนำ

ผู้เกี่ยวข้องควรเตรียมจัดหาวัคซีนให้หลากหลายชนิดและมากเพียงพอ เพราะว่ามีแนวโน้มที่จะต้องได้ใช้วัคซีนไขว้ชนิดต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกัน และมีความจำเป็นที่จะต้อง Boost ให้ผู้ที่ได้รับ Sinovac ไปแล้ว 2 เข็ม (ถึงแม้จะไม่ใช่บุคลากรการแพทย์)

>> Take home message

- การฉีดวัคซีนที่มีในปัจจุบันเพื่อลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยติดเชื้อโควิด (อยากให้รีบไปฉีดกัน)

- การฉีดวัคซีน 1 เข็ม (Prime) มีประสิทธิภาพน้อยกว่าการฉีด 2 เข็ม (Prime + Boost) ดังนั้นควรต้องไปรับวัคซีนเข็มสองตามกำหนด

- วัคซีนทุกชนิดส่งข้อมูลลักษณะหน้าตาของเชื้อให้ที่เซลล์ชนิดเดียวกัน (APC) และสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันปลายทางได้เหมือนกัน (การฉีดวัคซีนไขว้ หรือ Heterologous Prime-Boost สามารถกระตุ้นภูมิได้)

- การฉีดวัคซีนแบบไขว้ระหว่างวัคซีนเชื้อตายกับ adenovirus vector สามารถกระตุ้นภูมิได้ดีกว่าการฉีดเชื้อตายสองเข็ม (ดังนั้นใครที่ได้ Sinovac มาแล้ว 1 เข็มควรดีใจที่จะได้ AZ เป็นเข็มที่สอง เพราะกระตุ้นภูมิได้ดีขึ้น)


ที่มา : https://siamrath.co.th/n/265689

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4484985728187317&id=100000278023117


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กองทัพโต้ไม่เคยทอดทิ้งผู้ป่วยโควิดระหว่างทาง ยันผู้ป่วย​ทั้ง​ 3​ รายร้องขอพลขับขอลงรถเอง 

พล.ต.ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา รองโฆษกกองทัพไทย กล่าวถึงกรณีที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชน ว่าทหารทิ้งผู้ป่วยโควิด 19 เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 26 ก.ค.บริเวณหน้าวัดไผ่ สาทร กรุงเทพฯ โดยระบุว่ามีผู้สูงอายุซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ป่วย ซึ่งเมื่อมีการเผยแพร่ข่าวสารโดยปราศจากการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งทางผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ทราบว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ค.นายสราวุฒิ (ขอสงวนนามสกุล) ผู้ป่วยโควิด 19 ได้เดินทางเข้ารักษาตัวภายหลังทราบว่าติดเชื้อโควิด 19  ที่โรงพยาบาลสนามบุษราคัม ต่อมาทราบว่ารายชื่อของผู้ป่วยยังไม่ปรากฏในระบบการเข้ารับการรักษา ดังนั้นแพทย์โรงพยาบาลสนามบุษราคัม จึงได้พูดคุยกับผู้ป่วย ถึงแนวทางการปฏิบัติตนในเบื้องต้นและแนะนำให้ผู้ป่วยกลับที่พักอาศัยก่อน และในวันรุ่งขึ้นให้กลับมาเข้าระบบการรักษาต่อไป ทั้งนี้ได้มีการประสานศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิด 19 ศปม. ในการอำนวยความสะดวกนำส่งผู้ป่วยกลับที่พักอาศัย 

พล.ต.ธีรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า โดยในระหว่างเดินทาง พลขับได้มีการโทรติดต่อกับผู้ป่วยเป็นระยะ โดยเมื่อถึงบริเวณหน้าวัดไผ่ ผู้ป่วยขอลงเจ้าหน้าที่จึงได้ส่งผู้ป่วย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เดินทางกลับมายังโรงพยาบาลสนามบุษราคัม เพื่อทำความสะอาดรถเตรียมความพร้อมในการรับ-ส่งผู้ป่วยรายใหม่ต่อไป กองทัพไทย ได้สอบถามถึงสาเหตุการนำเสนอข่าวในทางลบว่า มีรถทหารทิ้งผู้ป่วยโควิด ตัวผู้ป่วยเองได้ยืนยันว่า รถของเจ้าหน้าที่ที่นำส่งมิได้ทิ้งผู้ป่วยทั้ง 3 คน พร้อมทั้งยังแสดงความเสียใจที่ทำให้เกิดข่าวดังกล่าว อีกทั้งยังขอบคุณกองทัพและบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ดูแล โดยในวันนี้ทั้ง 3 คน ได้รับการรักษา ที่โรงพยาบาลบุษราคัมเรียบร้อยแล้ว และขอยืนยันว่าข่าวสารที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด

'แอนดี้ หลิว' หรือ 'หลิวเต๋อหัว' ซูเปอร์สตาร์ชื่อดังชาวฮ่องกง ปฏิเสธที่จะแสดงในภาพยนตร์ฮอลลีวูด เนื่องจากสคริปต์ที่เขียนให้กับเขาทำให้คนจีนเสื่อมเสีย

(27 ก.ค. 64) สื่อต่างประเทศ Malaymail รายงานว่า 'แอนดี้ หลิว' หรือ 'หลิวเต๋อหัว' ซูเปอร์สตาร์ชื่อดังชาวฮ่องกง ปฏิเสธที่จะแสดงในภาพยนตร์ฮอลลีวูด เนื่องจากสคริปต์ที่เขียนให้กับเขาทำให้คนจีนเสื่อมเสีย

ผู้กำกับหว่อง จิง ผู้กำกับชื่อดังเปิดเผยว่า หลิว ปฏิเสธบทหลังจากอ่านบทภาพยนตร์โดยไม่ระบุชื่อ

“เขารู้สึกว่าบทบาทที่เขาต้องเล่นทำให้ชาวจีนเสื่อมทราม ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจปฏิเสธ” เว็บ hk01.com อ้างคำพูดของหว่อง

ก่อนหน้านี้ ในช่วงปี 1992 หลิวเคยถูกขอให้ออดิชั่นสำหรับแสดงในภาพยนตร์ฮอลลีวูด เรื่อง M. Butterfly (1993) หรือ มาดามบัตเตอร์ฟลาย แต่หลิวปฏิเสธเนื่องจากตัวละครที่เขาถูกขอให้เล่นนั้น "ต้องเลียนิ้วเท้าของชาวต่างชาติ”

นอกจากนี้เขายังเคยถูกขอให้ออดิชั่นเรื่อง Dragon : The Bruce Lee Story, Spiderman 3 และ Sandman

หลิวเต๋อหัว วัย 59 ปี เพิ่งฉลอง 40 ปีในวงการบันเทิง โดยเขาเป็นนักร้องฮ่องกงที่ได้รับรางวัลมากที่สุด รวมถึงนักแสดงชื่อดังที่ผ่านงานแสดงในภาพยนตร์ 140 เรื่อง ซึ่งเรื่องหนึ่งที่ทิ้งความประทับใจไว้อย่างมาก คือ 'Lost and Love' ในปี 2015 ที่ 'หลิวเต๋อหัว' สวมบทเป็น 'เหลยเจ่อกวน' คุณพ่อหัวใจนักสู้ที่เริ่มออกเดินทางด้วยการขี่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจเพื่อหาตัวลูกชายวัย 2 ขวบที่หายตัวไปเป็นเวลานานถึง 15 ปี

แม้หนังเรื่องนี้ใช้ทุนสร้างไม่สูงมาก เพราะจุดมุ่งหมายในการสร้างหนังเรื่องนี้ของเขา ก็เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนได้เห็นถึงปัญหาการลักพาตัวเด็กในประเทศจีน แต่หนังดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีบน 'บ็อกซ์ ออฟฟิศ' และสิ่งที่น่าปลื้มใจยิ่งกว่า คือ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา 'เหลยเจ่อกวน' ตัวจริงก็ได้มีโอกาสพบกับ 'ซินเจิ้น' ลูกชายที่เขาไม่ได้พบเจอหน้ามานานถึง 24 ปีเต็ม หลังจากที่ผลการตรวจดีเอ็นเอบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าทั้งคู่เป็นพ่อลูกกันจริง ๆ และเมื่อหลิวได้ทราบข่าว ก็ทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ China.org.cn พอร์ทัลของจีน ยังได้รายงานว่า หลิวเต๋อหัวไม่เคยสร้างบัญชีเครือข่ายโซเชียลบนแพลตฟอร์มใด ๆ มาก่อน เพิ่งจะเปิดบัญชีแรกบน 'โต่วอิน' (Douyin) เมื่อก่อนตรุษจีน เดือนกุมภาพันธ์ โดยในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง มีผู้ติดตามมากกว่า 24 ล้านคน และมีผู้ติดตามมากกว่า 50 ล้านคนในเวลาไม่ถึงสัปดาห์หลังจากเปิดบัญชี นับเป็นหนึ่งในบุคคลที่ผู้ติดตามมากที่สุดในโต่วอิน

สำหรับเรื่องดังกล่าว กำลังสะท้อนให้เห็นว่า แม้คำว่า 'ฮอลลีวูด' ชื่อเสียงหรือแม้แต่เงินทอง จะมีมูลค่าอย่างมากมายแค่ไหน แต่หากสิ่งตอบแทนเหล่านั้น มาพร้อมการกระทำในสิ่งที่เหยียดหยามศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิแห่งชาติพันธุ์ ก็ไม่อาจซื้อคนได้ทุกคนเสมอไป...


ที่มา : https://mgronline.com/china/detail/9640000073296

https://www.malaymail.com/news/showbiz/2021/07/26/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กองทัพเรือจัดตั้งศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 แบบ Call Center  ให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ทั่วประเทศ ทั้งบนบก และในทะเล  

พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ แบบ Call Center ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ทั่วประเทศ ทั้งบนบก และในทะเล เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา

ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือมีหน้าที่ประสานและให้ความเหลือประชาชน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนผู้ป่วย COVID-19 ฉุกเฉิน และประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุดโดยศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ  ได้จัดรถยนต์ในการสนับสนุนการเคลื่อนย้ายทางบกจำนวน 65 คัน และเรือสนับสนันการเคลื่อนย้ายในทะเลจำนวน 10 ลำ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ดังนี้

1.ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือประจำพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีกรมการขนส่งทหารเรือเป็นหน่วยรับผิดชอบ หมายเลขโทรศัพท์ å02-475-5238 และ 02-475-5499 โดยจัดรถยนต์ให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 4 คัน ได้แก่ รถบรรทุกขนาดใหญ่ 2 คัน และรถยนต์บรรทุกขนาดเล็ก 2 คัน ทั้งนี้ดำเนินงานสนับสนุนกับหน่วยให้บริการประชาชนของกองทัพเรือ 8 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

2.ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ ประจำพื้นที่ จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง มีฐานทัพเรือสัตหีบเป็นหน่วยรับผิดชอบ  หมายเลขโทรศัพท์ 038-438-474 และ 038-438-163 โดยจัดรถยนต์ให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 4 คัน ได้แก่ รถยนต์โดยสารขนาดใหญ่ 2 คัน และรถตู้โดยสาร 2 คัน

3.ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ ประจำพื้นที่ จ.จันทบุรี และ จ.ตราด มีกองกําลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดเป็นหน่วยรับผิดชอบ   
•พื้นที่ จ.จันทบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 039-312-172  และ 039-447-1440
•พื้นที่ จ.ตราด หมายเลขโทรศัพท์ 039-312-172
•พื้นที่ในทะเล หมู่เรือลาดตระเวนชายแดน/1 รับผิดชอบ หมายเลขโทรศัพท์ 039-518-519
โดยจัดรถยนต์ให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 42 คัน เรือ 4 ลำ ได้แก่ มีรถโดยสารขนาดใหญ่ 14 คัน รถโดยสารขนาดเล็ก 18 คัน รถบรรทุก 10 คัน เรือหลวงตากใบ เรือ ต.113 เรือ ต.237 และเรือ ต.272

4.ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ ประจำพื้นที่ จ.สงขลา มีทัพเรือภาคที่ 2 เป็นหน่วยรับผิดชอบ  หมายเลขโทรศัพท์ 074-325-804 – 5  โดยจัดรถยนต์ให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 3 คัน ได้แก่ รถยนต์บรรทุกขนาดเล็ก 3 คัน

5.ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือประจำพื้นที่ จ.ภูเก็ต และจ.พังงา มีทัพเรือภาคที่ 3 เป็นหน่วยรับผิดชอบ  
• พื้นที่จังหวัดภูเก็ต ที่หมายเลขโทรศัพท์ 076-391-598 
• พื้นที่จังหวัดพังงา ที่หมายเลขโทรศัพท์ 076- 453-354
โดยจัดรถยนต์ให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 8 คัน เรือ 6 ลำ ได้แก่ รถบรรทุกขนาดใหญ่ 4 คัน เล็กบรรทุกเล็ก 4 คัน เรือหลวงชลบุรี เรือหลวงมันใน เรือหลวงแหลมสิงห์ เรือ ต.233 และเรือพยาบาล 2 ลำ 

6.ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19  กองทัพเรือ ประจำพื้นที่ จ.นราธิวาส มีหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน กองทัพเรือเป็นหน่วยรับผิดชอบ  หมายเลขโทรศัพท์ 073-565-3677  โดยจัดรถยนต์ให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 4 คัน ได้แก่ รถยนต์โดยสารขนาดเล็ก 4 คัน

โดยศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ ประจำพื้นที่ จว.พังงา โดย ทัพเรือภาคที่ 3 ได้สนับสนุนรถบรรทุกขนาดใหญ่ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด 19 จำนวน 20 ราย จากหมู่บ้านบางคลี ม.8 ต.นาเตย อ.ท้ายเหมือง จว.พังงา ซึ่งเป็นพื้นที่คลัสเตอร์การระบาดใหม่ของ จ.พังงา ไปเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตะกั่วป่า จ.พังงา และศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ ประจำพื้นที่ จว.จันทบุรี โดย กองกําลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด สนับสนุนรถยนต์โดยสารขนาดเล็กจำนวน 2 คัน ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่หายจากโควิด 19  จำนวน 8 ราย โดยเคลื่อนย้ายจากโรงพยาบาลสนามกองทัพเรือบ้านจันทเขลม ส่งที่บริษัทขนส่งจันทบุรีเพื่อให้เดินทางกลับภูมิลำเนา

ไฟเขียวทำระบบดิจิทัล ไอดี ยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบแนวทางการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (ดิชิทัล ไอดี) ด้วยการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล หรือ เอฟวีเอส ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอ พร้อมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยเร่งพัฒนาระบบนี้ไปให้บริการกับหน่วยงานของรัฐและเอกชน โดยให้กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นที่ปรึกษาแนะนำงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ระบบนี้ มีความมั่นคงปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือ สอดคล้องตามกฎหมาย หลักเกณฑ์ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง 

ทั้งนี้ยังมอบหมายให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและจัดทำระบบเอฟวีเอส โดยครอบคลุมการพัฒนาและติดตั้งซอฟแวร์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) การจัดหาอุปกรณ์และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลสำหรับการให้บริการและการทดสอบประสิทธิภาพและความมั่นคงปลอดภัยของระบบ และพัฒนาเกณฑ์มาตรฐาน และข้อตกลงการให้บริการของระบบ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นสำหรับการบริหารงานและการให้บริการ และให้กระทรวงมหาดไทย หรือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  รายงานการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ในส่วนของการพัฒนาระบบดิจิทัล ไอดี ให้ครม.ทราบเป็นระยะ

สำหรับการพัฒนาและจัดให้มีระบบเอฟวีเอส เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการพัฒนาระบบ ดิจิทัล ไอดี ของประเทศ ในส่วนของการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางสนับสนุนบริการภาครัฐ สำหรับประชาชนและธุรกิจในการเข้าถึงบริการภาครัฐในรูปแบบของการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จโดยระบบดิจิทัล ไอดี ซึ่งรวมถึงระบบเอฟวีเอส จะสามารถนำมาทดแทนกระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางกายภาพ โดยผู้ใช้บริการไม่ต้องเดินทางไปพิสูจน์ตัวตนยังที่ทำการหรือสาขาของหน่วยงานที่ต้องการทำธุรกรรมทุกครั้งได้

ส่วนระบบเอฟวีเอสที่กระทรวงมหาดไทยจะพัฒนาขึ้น  เป็นระบบที่จะใช้ในการพิสูจน์และยืนยันตัวตน ของผู้รับบริการระบบหนึ่ง โดยมีกลไกการทำงานที่ใช้เทคโนโลยีในการระบุตัวบุคคลด้วยการเปรียบเทียบภาพใบหน้าที่ผู้รับบริการถ่ายส่งเข้าระบบกับฐานข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ โดยใช้เอไอ ที่มีความแม่นยำตามเกณฑ์มาตรฐานสากล และแจ้งผลในรูปแบบร้อยละของความถูกต้องของภาพถ่ายกับฐานข้อมูลภาพใบหน้า

บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ผู้ผลิตวัคซีนใบยา ป้องกันโควิด-19 เผย เปิดรับอาสาสมัครทดสอบวัคซีน สิงหาคมนี้

ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ CEO และ Co-founder บริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม จำกัด เผยว่า “วัคซีนใบยา” ป้องกันโควิด-19 ผลิตจากใบพืช เป็นผลงานสตาร์ทอัพแห่งจุฬาฯ บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด (ภายใต้ CU Enterprise) โดยสองนักวิจัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ และรองศาสตราจารย์ ดร.วรัญญู พูลเจริญ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬา

วัคซีนใบยา เป็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิด subunit vaccine ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมในต่างประเทศมานาน เช่น แคนาดา และเกาหลีใต้ โดยผลิตจากหลายแหล่ง เช่น พืช แมลง ฯลฯ วัคซีนใบยา ใช้ใบยาสูบสายพันธุ์ดั้งเดิมจากออสเตรเลียทำหน้าที่เสมือนโรงงานผลิตชิ้นส่วนของไวรัสซึ่งเป็นไวรัสที่ไม่ก่อให้เกิดโรคเมื่อฉีดวัคซีนใบยาเข้าไปในร่างกาย วัคซีนจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของเรา หากติดเชื้อโควิด-19 ก็จะป้องกันได้

ภายหลังได้รับวัคซีนต้นแบบตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 คณะผู้วิจัยได้ดำเนินการทดสอบวัคซีนใบยากับสัตว์ทดลอง เช่น หนูขาวและลิง ซึ่งพบว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในสัตว์ทดลองได้ผลสูง หลังจากนั้น จึงเริ่มสร้างโรงงานต้นแบบการผลิตวัคซีนที่อาคารจุฬาพัฒน์ 14 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2564 โรงงานเนื้อที่ 1,200 ตร.ม. มีกำลังการผลิตวัคซีนเดือนละ 1-5 ล้านโดส

“สิงหาคม 2564 เราจะเปิดรับอาสาสมัครเพื่อทดสอบวัคซีนกลุ่มแรกจำนวน 50 คน อายุ 18-60 ปีโดยอาสาสมัครต้องมีสุขภาพแข็งแรงและไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน การทดสอบวัคซีนจะเริ่มในเดือนกันยายนอาสาสมัครจะได้รับการฉีดวัคซีนจำนวนสองเข็ม เว้นระยะเวลาห่างกัน 3 สัปดาห์ เมื่อทดสอบกับอาสาสมัครกลุ่มแรกเสร็จเราก็จะทดสอบวัคซีนกับอาสาสมัครกลุ่มอายุ 60-75 ปี ต่อไป” ผศ.ภญ.ดร.สุธีรากล่าว และ คาดว่าวัคซีนใบยาจะพร้อมฉีดให้คนไทยช่วงกลางปี 2565 ในราคาต้นทุนโดสละ 300-500 บาท

นอกจากนี้ คณะนักวิจัยยังได้พัฒนาวัคซีนใบยารุ่นที่ 2 เพื่อรับมือการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 ซึ่งคาดว่าจะพร้อมทดสอบกับอาสาสมัครปลายปี 2564 โดยจะปรับปรุงศักยภาพของวัคซีนในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันดีขึ้นด้วย


ที่มา : https://www.naewna.com/local/590517


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ปรารีณา' อดีตสส. พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความถึง ณวัฒน์ อิสรไกรศีล พร้อมท้าให้ลงสมัคร ส.ส.

27 ก.ค. 64 ปารีณา ไกรคุปต์ อดีตส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล พิธีกรคนดัง ที่ป่วยโควิดว่า ในที่สุดก็...ยอมสละเตียง ควรจะให้เตียงคนป่วยหนักไปตั้งนานแล้ว ยื้อจนน่าเกลียด แถมไปด่าหมอ ยืนยันตอนหมอเชิญออก ตอนนั้นอาการไม่หนักแล้วอย่าแถ แหลโชว์เอกสาร ไม่งอแง ไม่เห็นแก่ตัวนะคะ

วันนี้พูดดูถูก ดูหมิ่นผู้นำประเทศ และยกตนเองไม่หยุดหย่อน ถามว่า ไม่อาย ไม่กระดาก หรืออุจาดตัวเองบ้างเหรอ ถ้าคิดว่าตนเองเก่งจัง ดีจัง วิเศษจัง สมัยหน้าลองมาสัมผัสประชาธิปไตย ลองสมัครเป็นนายกไปเลย หรือเป็นคนราชบุรี ไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องไปคิดเทียบรัศมีนายก มาแข่งสมัครกับปารีณาก่อนก็ได้ ท้าเลยว่า ได้คะแนนไม่เกิน 300 เพราะสังคมไทยเกลียดคนพูดจาหยาบคาย พฤติกรรมหยาบคาย อาจเกิดจากพ่อแม่ไม่สั่งสอน หรือดื้อด้าน สอนแล้วไม่ฟัง สุดท้ายอาจกลายเป็นสถุล อาจเสียหายไปถึงรากเง่าหว่านกอ ฝากด้วยนะ หัดพูดเพราะ ๆ แบบนายกด้วย นะจ๊ะพูดเป็นไหม ผู้ชายที่พูดนะจ๊ะ หรือนะคะทุกคนในโลก คือคนมีเสน่ห์ แลดูน่ารัก จึงทำให้เวลานายกไปไหนมีแต่คนขอถ่ายรูป ส่วนณวัฒน์ถ้ากลับมาราชบุรี นอกจากจะไม่มีใครขอถ่ายรูปแล้ว อาจเจอปาไข่ รองเท้า หรือขี้ใส่ปาก

ส่วนที่ด่าปารีณาว่า ปารีณากินป่า ปารีณาขโมยป่า เป็นผู้พิพากษาเหรอจึงจะมาตัดสินว่าใครผิดใครถูก มั่นใจในความบริสุทธิ์ เพราะตรงนั้นมันไม่ใช่ป่า แต่เป็น สปก ท้ากราบตีนกันไหม ถ้ารับคำท้าแจ้งกลับมาด้วย

สงสัยว่าเรื่องกินป่าทำไมไม่ ด่าธนาธรกินป่าบ้าง หรือแม่ธนาธรกินป่าบ้าง ทำไม!!!!! อันนั้นน่ะ ธนาธรและแม่เอาไป ส่วนหนึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ส่วนหนึ่งเป็นป่าชุมชน ส่วนหนึ่งเป็นป่าไม้ถาวร ของจริงเลย...จัดไปมั่งสิ แถมตอนแม่ธนาธรซื้อป่า มีเอกสารเขียนชัดเจนเลยว่าเป็นป่าแล้วยังจะซื้ออีก ปารีณาก็ร้องไป 2 ปีไม่คืบ เพราะสังคมมันเหลื่อมล้ำ เวลาจะดำเนินคดีกับเศรษฐีมันจะยากมาก ก็เพิ่งจะปีนี้แหละ ที่ถูกดำเนินคดีเรื่อง ธนาธรบุกรุกป่า แม่ธนาธรบุกรุกป่า ทุกวันนี้ เรื่องไปถึงไหนทำไมไม่พูด เรื่องมันช้าเหลือเกิน ทำไม!!!! ไม่พูดพูดซิ พูดว่าธนาธรกินป่าบ้าง

พูดเสร็จแล้ว ช่วยถามแม่ธนาธรต่อด้วยว่า ทำไมลูกชายยังไม่ได้เป็นนายกฯ สา....มารถ....ออกเอกสารสิทธิ์ในที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าไม้ถาวรได้อย่างไร ตอนนี้เอกสารสิทธิ์ทั้งหมดก็ถูกเพิกถอนสิทธิ์และคืนป่าไปจำนวน 3,500 ไร่แล้ว พูดบ้างดิ

บอกตรง ๆ ว่า สภาพคุณวันนี้ มันคล้ายคนทรงเจ้า สะบัดหัว สั่น สบถ ไม่คิดเลยว่า โควิด....สามารถกินสมองคนได้

#บ้านเมืองมีกฎหมาย #หยุดละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น #เขย่าขวดด้วยเวลากินยา


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/111223


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เช็กรายชื่อ ‘นักกีฬาระดับโลก’ ของไทย ในโอลิมปิกเกมส์ 2020 ดีกรีไม่ธรรมดา!

โอลิมปิกเกมส์ 2020 ครั้งล่าสุดนี้ มีนักกีฬาไทยเดินทางไปร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 41 คน และลงทำแข่งในประเภทกีฬากว่า 14 ชนิด หลายคนในจำนวนนี้ เป็นนักกีฬาอาชีพ ที่มีดีกรีเป็นมือวางอันดับโลก งานนี้เรียกว่าไม่ธรรมดา และมีลุ้นเหรียญกันสนุกแน่นอน ใครเป็นใครกันบ้าง THE STATES TIMES รวบรวมมาให้ได้ทราบกัน..


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“พลังอาสาช่วยหมอ” ขอเชิญร่วมบริจาคเพื่อก่อสร้างหอผู้ป่วยสนามเร่งด่วน

ขอเชิญร่วมบริจาคเพื่อก่อสร้างหอผู้ป่วยสนามเร่งด่วนและจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์รองรับผู้ป่วย COVID- 19 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ในวันที่บุคลากรด่านหน้าต้องการกำลังเสริม ทั้งอุปกรณ์และสถานที่รองรับผู้ติดเชื้อโควิดที่เพิ่มขึ้นทุกวัน

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ขยายพื้นที่รองรับผู้ติดเชื้อโควิด สร้างหอผู้ป่วยสนามเร่งด่วน และจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ 11 ชนิด

หอผู้ป่วยสนามเร่งด่วน กำหนดระยะเวลาก่อสร้าง 12 -15 วัน บริเวณลานหลังอาคารแพทยพัฒน์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยสร้างอาคารแบบโครงสร้างชั่วคราว จำนวน 6 หลัง เมื่อแล้วเสร็จจะรองรับผู้ป่วยได้ 83 – 90 เตียง 

ภายในหอผู้ป่วย ประกอบด้วย พื้นที่พักผู้ป่วยที่มีความดันอากาศเป็นลบ ห้องทำงานพยาบาลและแพทย์ พื้นที่เก็บวัสดุการแพทย์ ห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนชุด PPE ระบบกล้องวงจรปิดติดตามสภาพผู้ป่วยและอื่นๆ

ร่วมส่งพลังใจให้บุคลากรด่านหน้ามีพลังในการสู้เพื่อพวกเราต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top