Sunday, 22 June 2025
NEWS FEED

“พล.ต.อ.ประจวบฯ” ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี กำชับกวดขันมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม อำนวยความสะดวกการจราจร ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ช่วงเทศกาลปีใหม่

(30 ธ.ค. 67) พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี เป็นประธานการประชุมกำชับและติดตามการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย การบังคับใช้กฎหมาย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 โดยมี พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) , พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.นันทวุฒิ สุวรรณละออง รอง ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รอง ผบช.ตชด. , พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ,พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3 , และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประจวบฯ ได้กำชับให้ทุกหน่วยปฏิบัติตามมาตรการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนด ตลอดจน
ข้อกำชับสั่งการและข้อห่วงใยของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย ยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตลอดจนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน และอำนวยความสะดวกการจราจรให้แก่ประชาชน ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยมุ่งหวังให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินการดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบฯ ขับเคลื่อนการปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ

จากนั้น พล.ต.อ.ประจวบฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ร่วมกับฝ่ายปกครองอำเภอเมืองพัทยา กรมเจ้าท่า หน่วยกู้ภัยสว่างบริบูรณ์ พัทยา กต.ตร.สภ.เมืองพัทยา อส.ตร.สภ.เมืองพัทยา และภาคเอกชนในพื้นที่ ประชาสัมพันธ์สร้างการตระหนักรู้ในมาตรการป้องกันปราบปรามและระมัดระวังตนเองจากอาชญากรรม ตลอดจนข้อห่วงใยแนะนำประชาชนและนักท่องเที่ยว สร้างการมีส่วนร่วมของภาครัฐและเอกชน ในการบริหารจัดการยกระดับความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในพื้นที่
อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ย่านถนนคนเดินพัทยา (Pattaya Walking Street) 

สำหรับพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมพร้อมการปฏิบัติในช่วง 10 วันควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึง 5 มกราคม 2568 อย่างมีประสิทธิภาพ มีการตั้งจุดตรวจป้องกันปราบปรามอาชญากรรม 126 จุด พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 888 นาย , จุดสกัด 99 จุด พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 456 นาย , ชุดเคลื่อนที่เร็ว 142 ชุด พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 598 นาย รวมกำลังพลทั้งสิ้น 1,942 นาย พบการปฏิบัติตามมาตรการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

สำหรับการจัดงาน PATTAYA COUNTDOWN 2025 ซึ่งจะมีพื้นที่การจัดงาน บนชายหาดพัทยา จากหน้าโรงแรมฮาร์ดร็อก - แยกนิภาลอดจ์ เนื้อที่ 18,000 ตารางเมตร คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 23,000 คน ได้เตรียมพร้อมกำลังพลหน่วยร่วมปฏิบัติ ประกอบด้วย สภ.เมืองพัทยา , ภ.จว.ชลบุรี , ตำรวจท่องเที่ยว, อำเภอบางละมุง , ฝ่ายเทศกิจ , ฝ่ายรักษาความปลอดภัย และหน่วยงานอื่น ๆ รวม 611 นาย จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว ภ.จว.ชลบุรี (ไดนามิก) ,หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ภ.จว.ชลบุรี และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ภ.2 รวม 42 นาย จัดชุดสืบสวนนอกเครื่องแบบ 15 นาย ประจำจุดสูงข่ม 4 นาย และประกอบแผนจุดก้าวสกัดจับ 40 นาย เจ้าหน้าที่ EOD 4 นาย เพื่อตรวจพื้นที่จัดงานก่อนเริ่มงาน และประจำกองอำนวยการร่วม จนกว่างานจะเสร็จสิ้น มีการใช้กล้อง CCTV ในพื้นที่จัดงาน 16 ตัว รถโมบาย 1 คัน กล้องชายหาด 48 ตัว รวมกล้อง CCTV ทั้งหมดในพื้นที่ 5,061 ตัว พร้อมด้วยชุด Anti Drone บินโดรนตรวจปริมาณนักท่องเที่ยว การจราจร ตรวจจับโดรนไม่ได้รับอนุญาต และลักลอบจำหน่ายพลุ ประทัด ดอกไม้เพลิง 10 นาย , เรือตรวจการรักษาความปลอดภัยทางน้ำ 8 ลำ พร้อมกำลัง 31 นาย นอกจากนี้ ยังมีมาตรการปฏิบัติรองรับเหตุวัตถุต้องสงสัย เหตุระเบิด เหตุอาวุธปืน เพลิงไหม้หรือวางเพลิง บุคคลก่อกวน อากาศยานไร้คนขับ (Drone) ต้องสงสัย ตลอดจนเหตุไฟฟ้าช็อต หม้อแปลงระเบิด และบุคคลวิกลจริต เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายพร้อมปฏิบัติ

พล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความพร้อมในการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย ต่างทุ่มเท เสียสละ และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ พร้อมระดมสรรพกำลังช่วยเหลือประชาชน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รักษาความสงบเรียบร้อย ลดอุบัติเหตุทางถนนและอำนวยการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความสุข ยกระดับความเชื่อมั่นในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นของขวัญมอบให้กับประชาชนและสังคมในช่วงเทศกาลปีใหม่

พิชัย ยกทีมพาณิชย์ พบปะ สภาอุตฯ ให้คำมั่น สนับสนุนเต็มที่-ทำงานใกล้ชิด ตั้งเป้าเดินหน้า FTA สร้างแต้มต่อภาคอุตสาหกรรมไทยทำรายได้จากการส่งออกยั่งยืน

วันที่ (30 ธ.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย นายวุฒิไกร ลีวีระพันธ์ุ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีทุกกรมในสังกัด ร่วมหารือกับนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และคณะผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่า ท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้ความสำคัญกับภาคเอกชนที่จะเป็นกลไปสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน และให้ภาครัฐทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด การได้หารือเพื่อวางแผนการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงช่วยให้เห็นภาพตรงกัน เห็นเป้าหมายที่จะร่วมกันผลักดันนโยบายเศรษฐกิจให้ตอบโจทย์การเติบโตของประเทศเพื่อคนไทยทุกคนไปพร้อมกัน 

นายพิชัย ระบุว่า ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ตนได้ปรับบทบาทการทำงานในยุคใหม่ มุ่งเน้นการบริหารงานในสัดส่วน 80:20 ซึ่ง 80% จะเน้นการทำงานส่งเสริมและทำงานร่วมกับภาคเอกชนเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้ประกอบการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไป 

เน้นให้ความสำคัญกับการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) โดยเฉพาะความสำเร็จของ FTA กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ เอฟตา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกด้วย 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์และ ลิกเตนสไตน์ ที่จะมีการลงนามในเร็ววันนี้  ถือเป็น FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับยุโรป โดยตั้งเป้าจะเร่งเจรจา FTA อื่นๆ ต่อไป เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย รวมถึงการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ช่วยสร้างรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งภาคเอกชนขานรับเป็นอย่างดี และเสนอให้เจรจา FTA กับประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง สร้างแต้มต่อให้ภาคอุตสาหกรรมไทยทำรายได้จากการส่งออกเติบโตอย่างยั่งยืน

กระทรวงพาณิชย์ยินดีสนับสนุนการจัดงานใหญ่ประจำปี “FTI EXPO 2025” โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภายใต้แนวคิด “EMPOWERING THAI INDUSTRY, ELEVATING THAILAND’S FUTURE” งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน บ่มเพาะผู้ประกอบการและส่งผลกับเครื่องยนต์สำคัญทางเศรษฐกิจอย่างการส่งออกที่ยังคงเป็นพระเอกช่วยกระตุ้น GDP ของประเทศ

ทั้งนี้คาดการณ์ว่าในปี 2568 การส่งออกจะยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการกระตุ้น GDP ของประเทศ ที่ผ่านมาในปีนี้ 11 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ย.) การส่งออกเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 5.1% มีมูลค่า 275,763.6 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 9,695,455 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปี 2567 ยอดส่งออกจะทะลุ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และตั้งเป้าการส่งออกเติบโตในปีหน้าที่ 2-3% แม้จะมีความเสี่ยงรอบด้าน แต่ด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน อย่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ขอยืนยันถึงความพร้อมในการสนับสนุนภาคธุรกิจและภาคเอกชน และในภารกิจสำคัญ เช่น การสร้างสมดุลราคาสินค้า การดูแลราคาสินค้าเกษตร การควบคุมสินค้านำเข้าให้ได้มาตรฐาน นอมินี การเพิ่มมูลค่าให้สินค้าด้วยนวัตกรรม การเจรจาลดภาษีผ่าน FTA และการผลักดันการส่งออกสินค้าและบริการของไทย

ซึ่งทางนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชื่นชมการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ ขอบคุณการทำงานที่เข้าใจปัญหาและสามารถผลักดันนโยบายได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะยินดีต่อความสำเร็จในการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-เอฟตาซึ่งตลอดการเจรจา สภาอุตฯ ได้ให้ข้อมูลประกอบการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำถึงประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อนำไปสู่การเจรจาที่สัมฤทธิผล ก่อให้เกิดแต้มต่อที่เป็นประโยชน์ในทางการค้า การลงทุน และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสภาอุตฯ พร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริมสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนั้น ประธานสภาอุตฯ ยังชื่นชมโครงการสำคัญของกระทรวงฯ เช่น SMEs Pro-active และ GI รวมถึงความพยายามของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในการเปลี่ยนเป็นองค์กรดิจิทัล 100% ด้วย

‘น้าแอ๊ด คาราบาว’ ฝากบทเพลง สุดท้าย!! อาลัยต่อการจากไป ‘แบงค์ เลสเตอร์’

(29 ธ.ค. 67) จากกรณีการเสียชีวิตของ ‘แบงค์ เลสเตอร์’ หนุ่มขายพวงมาลัยสู้ชีวิต หาเงินเลี้ยงคุณยาย เสียชีวิตหลังถูกจ้างให้กินเหล้าแลกเงิน 30,000 บาท ขณะไปร่วมงานเปิดแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี โดยผลชันสูตรเบื้องต้นแพทย์ระบุว่า หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด น้าแอ๊ด คาราบาว ได้บรรเลงบทเพลงสุดท้ายถึงแบงค์ เลสเตอร์ เพื่อเป็นการไว้อาลัย พร้อมระบุเนื้อเพลง ไว้ว่า …

ฉันเป็นชายอกสามศอก แต่หมอบอกว่าฉันเกิดมาเป็นเด็กพิเศษ เด็กพิเศษ เด็กพิเศษ ฉันมียายคอยเลี้ยงดูอยู่ เท่าที่รู้คือยายรักฉันเหมือนลูก โอ้ ยายจ๋า ฉันรักยาย ฉันรักยาย แบกตะกร้าขายพวงมาลัย ร้องแรปไปให้คนสนใจ บ้างก็ซื้อ บ้างไม่ซื้อ ไม่เป็นไร ฉันมีความหวังตั้งใจ อยากปลูกบ้านให้ยายอยู่

ในสังคมโซเชียลมีเดีย คนพิเรนทร์จิตใจพิการ มีอยู่เพื่อยอดวิว สร้างยอดวิว เพิ่มยอดวิว ฉันคือคนที่ตกเป็นเหยื่ออันธพาล หัวใจคะนอง ไร้เมตตา วาสนา ปลูกบ้านให้ยาย จึงไม่สำเร็จ วอนสังคมขอความเป็นธรรม ออกกฎหมายกันคนใจดำ ทำระยำตำบอน ต่อผู้พิการ เด็กพิเศษ เด็กพิเศษ แบงค์ เลสเตอร์

‘ปริญญา’ แซะ!! แล้วลบโพสต์ ใจปลาซิว!! แล้วจะไปสอนเด็กได้ไง

(29 ธ.ค. 67) เฟซบุ๊ก ‘Padipon Apinyankul’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

ผมเองก็ไม่ได้ด้อยค่าคุณปริญญา นะ

คุณปริญญาจะลบโพสต์ทำไม ในเมื่อทำไปแล้วอยากกระแซะนายกฯอันวาร์ ว่าแต่งตัวเหมือนคนขับรถสาธารณะของไทย
เมื่อจะด้อยค่าคนอื่น แต่ถูกคนโต้ตอบแล้วลบ .. ใจปลาซิวแล้วจะไปสอนเด็กให้เป็นเสือ ?

ยังจำปรากฏการณ์ม็อบ "ธรรมศาสตร์จะไม่ทน" ในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ได้ไหม ?
ผมจะทบทวนให้ฟัง .. 

การจัดครั้งนั้น ม็อบสามนิ้วนี้ได้รับ "การอนุญาตของคุณ" ให้ใช้สถานที่ใน ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต

เหตุการณ์ก่อนหน้าวันนั้น .. ได้มีม็อบย่อยมาก่อน มีการปราศัยอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งก็จะมีการพูดพาดพิงหมิ่นไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์ 
ซึ่งคุณปริญญาย่อมรู้ดี และดูเหมือนจะเชียร์ม็อบสามนิ้ว แต่ไม่กล้าโจ๋งครึ่ม .. 

แล้วในคืนวันที่ 10 ส.ค. ณ ธรรมศาสตร์รังสิต ที่ผู้ชุมนุมอันประกอบด้วย อานนท์ นำภา , รุ้ง ปนัสยา, เพนกวิน พริษฐ์ ฯลฯ ได้ขึ้นเวทีหมิ่นสถาบัน
แล้วได้ให้ "กระเทยปวิณ" "สมศักดิ์ เจียม" ซึ่งล้วนมีคดี ม.112 หมิ่นประมาทและอาฆาตมาดร้ายต่อกษัตริย์ ขึ้นบนจอผ้าโปรเจคเตอร์กลางเวที เพื่อร่วมปราศัย

คำทุกคำ ล้วนพุ่งเป้าทำลายสถาบันกษัตริย์และโจมตีโดยตรงต่อรัชกาลที่ 10
พอจบการปราศัย วันต่อมา คุณปริญญากลับบอกว่า ไม่ทราบว่าผู้ชุมนุมจะทำแบบนี้ .. 
ไม่ทราบจริงหรือ ? 

อ้าว ! แล้วที่ผ่านมา การชุมนุมต่าง ๆ พวกสามนิ้วก็ทำแบบนี้ตลอด .. คุณแกล้งไม่รู้ ?
สิ่งที่ทำได้แก้เกี้ยว ก็คือการออกมาขออภัย ว่าไม่ทราบ ถ้าทราบจะไม่ให้ใช้สถานที่
โถ เด็กน้อย .. 

การแสดงความรับผิดชอบในเรื่องใหญ่ ที่ได้มีส่วนทำให้เกิดขึ้นแล้ว ส่งผลไปแล้ว ก็คือแค่ขออภัย 
นึกว่าจะลาออกจากตำแหน่งรองอธิการบดี

ดังนั้น เมื่อคราวนี้เกิดกรณีการแซะนายอันวาร์ นายกฯมาเลเซีย ว่ามีรสนิยมการแต่งตัวเทียบกับคนขับรถสาธารณะของไทย 
พอข่าวกระจายได้ผล แล้วลบ 
แล้วมาบอกภายหลังว่า ไม่ได้ด้อยค่า
ก็เข้าใจธาตุแท้ของคนชื่อ ปริญญา ได้

ผมแค่มาพิมพ์เล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ฟัง ไม่ได้มาด้อยค่า .. 
เพราะคุณไม่มีค่าอันใด เพื่อจะให้ด้อย . 
คนชื่อปริญญา ก็ใช่ว่าจะมีปัญญา กันทุกคน

จบ ป.ตรีเอกภาษาจีน มาชงกาแฟขาย ริมทางด้วย ‘รถมอไซต์’ หอมอร่อยจ้า!! เพราะใช้ ‘อราบิก้า - โรบัตต้า’ อย่างดี หอมมาก

(29 ธ.ค. 67) เพจ ‘ขยี้ข่าว’ โพสต์ข้อความ ระบุว่า ...

พี่เขา จบ ปริญญาตรีเอกภาษาจีน ตกงานเลยย้ายมาจากภูเก็ตมาหางานในอมตะแต่ยังหางานไม่ได้ก็เลยมาขๅยกาแฟริมทางด้วยรถมอไซต์ 1 คัน แก้วละ 40บ. รสชาติดีนะ กาแฟหอม เขาใช้กาแฟอราบิก้าเชียงรายผสมโรบัตต้าจากภาคใต้ ลงตัวดีแหะ รอนานหน่อยแต่คุ้มค่า สายชิลต้องลอง

ให้กำลังใจคนสู้ชีวิต!!

พิกัด ตรงสะพานลอย หน้าวิทยาลัยอีเทค ฝั่งวิทยาลัย ใครผ่านมาแถวหนองตำลึง อีเทค มาช่วยพี่เขาซื้อกันนะคะ

‘สาธารณสุขจังหวัดตาก’ เอาจริง!! สั่งสอบข้อเท็จจริง ‘คลิปพยาบาล’ สั่ง!! ไม่ให้ดูแลผู้ป่วย หากผิดจริงเอาผิด ‘ทางกฎหมาย – ทางวินัย’

(29 ธ.ค. 67) นพ.พิทักษ์พงษ์ จันทร์แดง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตาก กล่าวถึงกรณีสื่อสังคมออนไลน์มีการโพสต์คลิปวิดีโอ ผู้สวมชุดพยาบาลดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในหอผู้ป่วยของโรงพยาบาล ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในโรงพยาบาลแม่ระมาด จังหวัดตาก ซึ่ง นพ.สุภโชค เวชภัณฑ์เภสัช รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 ได้มอบหมายให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยด่วน เบื้องต้นได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงระดับโรงพยาบาลแล้ว โดยให้เรียกผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดมาให้ข้อมูลเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ และให้ย้ายผู้ที่ปรากฏอยู่ในคลิปทั้งหมด ไปทำหน้าที่อื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยก่อน

เมื่อได้ข้อสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว หากผิดจริงจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป โดยในส่วนของโรงพยาบาลแม่ระมาด ได้ออกประกาศชี้แจงเหตุการณ์แล้ว โดยยืนยันว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และโรงพยาบาลมีนโยบายห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ราชการอยู่แล้ว รวมถึงจะเข้มงวดไม่ให้มีเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นอีก

“การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานพยาบาล จะมีความผิดตามมาตรา 31 พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2541 ซึ่งกำหนดเรื่องสถานที่ห้ามดื่ม เช่น วัด สถานที่ทางศาสนา สถานพยาบาล สถานที่ราชการ สถานศึกษา ปั๊มน้ำมัน สวนสาธารณะของราชการ เป็นต้น ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนจะผิดวินัยขั้นใดขอให้รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการก่อน รวมถึงเรื่องความผิด ทางจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ ตรงนี้จะเป็นหน้าที่ของสภาวิชาชีพอย่างสภาการพยาบาลในการพิจารณา เพราะหนึ่งในการประพฤติตนตามจริยธรรมและจรรยาบรรณ คือ จะต้องไม่กระทำผิดต่อกฎหมาย” นพ.พิทักษ์พงษ์ กล่าวทิ้งท้าย

“ผบช.ภ.2” สั่งคุมเข้มอาวุธ ป้องกันเมาทะเลาะวิวาทในแหล่งท่องเที่ยว กำชับทำคดีอย่างเป็นธรรม เหตุแทงหนุ่มญี่ปุ่นดับ พร้อมประสานสถานทูต ช่วยเหลือจัดการศพ

(29 ธ.ค. 67) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) สั่งการตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี สอบสวนคดีทำร้ายชาวญี่ปุ่นจนเสียชีวิต หน้าสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง เมื่อเช้าตรู่ที่ผ่านมา อย่างเป็นธรรมรอบคอบ และกำชับให้ออกมาตรการเข้มในการเฝ้าระวังกลุ่มคน บุคคลที่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง ป้องปรามการทะเลาะวิวาท การดื่มสุรา การรวมกลุ่มสังสรรค์ ของประชาชน และนักท่องเที่ยวที่อาจสุ่มเสี่ยงนำไปสู่การทะเลาะวิวาทรุนแรง โดยย้ำว่าต้องเพิ่มความถี่ในการออกตรวจ แสดงกำลังหรือปรากฏกายของเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งการสุ่มตรวจค้นอาวุธอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวที่มีผู้คนจำนวนมาก

ผบช.ภ.2 เผยถึงเหตุการณ์ทำร้ายชาวญี่ปุ่นว่า รับรายงาน จาก พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผกก.สภ.เมืองพัทยา ว่า เมื่อเวลาประมาณ 05.57 น. วันนี้ (29 ธันวาคม 2567) ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา รับแจ้งเหตุตรวจสอบพบชายชาวญี่ปุ่นถูกอาวุธมีดแทงที่หน้าอกได้รับบาดเจ็บสาหัส ในย่าน วอล์กกิ้งสตรีท พัทยา โดยนอนหมดสติ ทราบชื่อ นายเซตะ อายุ 27 ปี ประสานนำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนผู้ก่อเหตุ ชื่อนายเดวิด อายุ 36 ปี ชาวไทย สามารถควบคุมตัวได้ทันทีในที่เกิดเหตุ สอบสวนผู้อยู่ในเหตุการณ์ทราบว่าผู้เสียชีวิตเห็นผู้ก่อเหตุมีปากเสียงกับแฟนสาว ถึงขั้นทำร้ายร่างกายอยู่ริมถนน จึงเข้าห้าม เกิดการชกต่อยกัน ก่อนแยกย้าย แต่ผู้เสียชีวิตได้กลับมาหาผู้ก่อเหตุอีกครั้งพุ่งเข้าจะชกต่อย ผู้ก่อเหตุจึงใช้มีดแทงไปที่ผู้เสียชีวิตจนล้มลง แล้ววิ่งหนี แต่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคุมตัวไว้ได้

“คดีนี้ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ยึดมีดของกลาง สอบปากคำพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุ ให้ผู้เห็นเหตุการณ์ชี้ภาพยืนยันตัวผู้ก่อเหตุ นำร่างผู้เสียชีวิตส่งชันสูตร รพ.ตำรวจ ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายผู้ต้องหา ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดในร่างกายผู้ต้องหา โดยได้กำชับให้ดำเนินคดีอย่างเป็นธรรม รอบคอบ พร้อมประสานสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกในการประสานญาติ และจัดการศพด้วย” ผบช.ภ.2 กล่าว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจสภาพการจราจรถนนพระราม 2 และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง สถานีตำรวจทางหลวงวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี และจุดบริการประชาชนเขาย้อย จ.เพชรบุรี”

วันนี้ (29 ธ.ค. 67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะ ได้เดินทางตรวจสภาพการจราจร ถนนพระราม 2 ต่อเนื่องถนนเพชรเกษม พบว่าสภาพการจราจรสายตะวันตกและสายใต้ เส้นทางถนนพระราม 2 (ทล.35) และถนนเพชรเกษม (ทล.4) วันนี้การจราจรคล่องตัวเดินทางสะดวก สาเหตุเนื่องจากผู้ใช้ทางส่วนใหญ่ทยอยเดินทางกลับตั้งแต่ช่วงวันที่ 25-28 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวานนี้ (28 ธันวาคม 2567) ถนนพระราม 2 มีการจราจรหนาแน่นตลอดทั้งวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้เปิดช่องทางพิเศษในจุดที่มีการจราจรหนาแน่น และอยู่ประจำจุดอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง 

จากนั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ณ สถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ในพื้นที่วังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี และจุดบริการประชาชนเขาย้อย จ.เพชรบุรี เพื่อให้กำลังใจข้าราชการตำรวจในสังกัดที่ปฏิบัติหน้าที่ให้บริการประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมีสภาพการจราจรคับคั่ง เนื่องจากพี่น้องประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด ในส่วนหน่วยบริการตำรวจทางหลวงวังมะนาว ซึ่งเป็นหน่วยบริการขนาดใหญ่ มีผู้มาใช้บริการจำนวนมาก เช่น แวะสอบถามทาง แวะเข้าห้องน้ำ รวมถึงมีผู้ที่ต้องเดินทางในระยะทางไกล มาลงทะเบียนเข้าพักค้างตามโครงการ “ห้องพักทั่วไทย จากใจตำรวจทางหลวง” เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้ให้บริการผู้เข้าพักได้รับความประทับใจ และชื่นชมกับโครงการนี้

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบนโยบายในการปฏิบัติงานกำชับให้ข้าราชการตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ และมีจิตสาธารณะในการให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่สัญจรเดินทาง รวมถึงจะต้องประพฤติตนอย่างเหมาะสมโดยเฉพาะในเวลาสวมเครื่องแบบปฏิบัติหน้าที่ ในขณะเดียวกันก็จะต้องเตรียมความพร้อมเต็ม 100% เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสภาพการจราจรและอุบัติเหตุ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากขึ้นในช่วงเทศกาลสำคัญ พร้อมนี้ได้มอบหมวกนิรภัยให้แก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่ได้สวมหมวกนิรภัย เพื่อเป็นการรณรงค์ให้การขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

‘น้ำยำปลาร้าแม่บุญล้ำ’ ย้ำ!! ความแซ่บ ‘ผู้ได๋ก็ยำได้’ อร่อยซู๊ดปาก อีหลีเด้อ พร้อมทาน ทันทีที่ หมอชิต 2 แค่ลองเขย่า แล้วเท อร่อยเฮ!!นัวคัก ทั้งหมู่บ้าน

(29 ธ.ค. 67) ร่วมส่งท้ายปี การันตีความแซ่บ กับ ‘น้ำยำปลาร้าแม่บุญล้ำ แค่เขย่า แล้วเท ก็ได้รสชาติกลมกล่อมพร้อมทาน ผู้ได๋ก็ยำได้’ 

แจกน้ำยำและยำฟรีที่สถานีขนส่งใหญ่ (สถานีขนส่งหมอชิต 2, สถานีกลางกรุงอภิวัฒน์, สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ และสถานีนครชัยแอร์) 

ให้ทุกคนได้ลิ้มลองความแซ่บแบบฟรีๆ ส่งท้ายปี 2567

สตม. เร่งตรวจสอบคนไทย 2 ราย บนเครื่องบิน “เซจู แอร์” หลังประสบอุบัติเหตุที่เกาหลีใต้

จากกรณี เครื่องบิน เซจู แอร์ ที่บินออกจากไทยเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.67 เวลา 01.30 ตามเวลาประเทศไทย ประสบอุบัติเหตุขณะลงจอดที่เกาหลีใต้ ผู้โดยสาร 175 ราย เผยเสียชีวิตแล้ว 28 ราย ขณะนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง 

ล่าสุด วันนี้ (29 ธ.ค.67) เวลา 10.30 น. พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3 โฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ได้สั่งการให้เร่งตรวจสอบ และประสานงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเกาหลีใต้ ทราบว่า สาเหตุที่เกิดจากระบบในการลงจอดขัดข้อง เป็นเหตุให้เครื่องบินกระแทกกับรันเวย์ แล้วลื่นไถลไปประสบอุบัติเหตุ แล้วเกิดระเบิดที่ตัวเครื่องขึ้น เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตแล้ว 28 คน

โฆษก สตม. กล่าวว่า เครื่องบิน เซจู แอร์ ลำนี้ บรรทุกผู้โดยสารทั้งหมด 175 คน เป็นชาวเกาหลีใต้ 173 คน โดยมีคนไทย จำนวน 2 คน และยังมีลูกเรืออีก 6 คน รวมเป็น 181 คน เบื้องต้นกำลังเร่งตรวจสอบว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 28 คนเป็นใครบ้าง ทั้งนี้ ผบช.สตม.ได้สั่งการให้เร่งประสานข้อมูล โดยหากทราบข้อมูลแล้วจะรีบรายงานให้ทราบในทันที 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top