Monday, 1 July 2024
POLITICS

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” อวดเก่งทำประเทศวิกฤติซ้ำ ชี้รัฐบาลบริหารวัคซีนผิดพลาดทำคิดติดโควิดพุ่ง - ตายรายวัน

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกวัน แสดงว่ามาตรการที่รัฐบาลออกมาล้มเหลว ไม่ได้ผล เพราะจากวันที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศมาตรการต่าง ๆ ผลที่ตามมาคือ ปิดโอกาส ประชาชนในการทางทำมาหากิน

พลเอกประยุทธ์มีทุกอย่างทั้งงบประมาณและเครื่องมือในการทำงาน แต่ทำงานไม่เป็นสุดท้ายงบประมาณจำนวน 1.9 ล้านล้านบาทที่ไปกู้มาจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน ผู้ประกอบการที่เข้าไม่ถึงเงินกู้ก็ประสบความลำบาก หลายคนสู้ไม่ไหวฆ่าตัวตายหนีปัญหาเป็นจำนวนมาก กรณีการเยียวยาที่ผ่านมาผลที่ออกมาคือประชาชนเข้าไม่ถึง หรือมีปัญหาในการจ่ายเงินไม่มีทุนทำต่อ จนหลายคนฆ่าตัวตาย รัฐบาลไม่ปรับวิธีการเยียวยา ก็จะมีคนฆ่าตัวตายตามมาเป็นจำนวมมาก

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ใครท้วงติงอะไร ก็มองว่าเป็นการเมืองหาทางโจมตีรัฐบาล แม้คำแนะนำจากฝ่ายค้านจะมีประโยชน์ที่จะพาประเทศฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นไปได้ รัฐบาลกลับไม่ฟังไปฟังแต่คำคนใกล้ชิดที่คอยเชลียร์เพื่อหวังผลทางการเมืองและการอยู่ในอำนาจของคนใกล้ชิดผู้นำประเทศ

“ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดมาจากความไม่รู้และไม่ฟังคำแนะนำจากคนอื่น หากพลเอกประยุทธ์เร่งในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ปัจจุบันคนไทย 77 ล้านคนได้รับวัคซีนเพียง 5 แสนคนซึ่งน้อยมาก และประชาชนยังคงต้องรอไปจนถึงเดือนมิถุนายนถึงจะได้รับวัคซีน รัฐบาลไม่เคยยอมรับผิดว่าบริหารวัคซีนล้มเหลวทำคนไทยเสี่ยงตายรายวัน ตัวเลขคนติดโควิดพุ่งเกือบ 2,000 คนต่อวัน และมีประชาชนตายเพราะโควิดทุกวัน พลเอกประยุทธ์ต้องไม่ควรโทษคนอื่น ไม่ปัดสวะให้พ้นตัวต้องยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามรถและรับฟังคนอื่นบ้างอย่าอวดเก่งอยู่คนเดียว” นายสงครามกล่าว

‘บิ๊กตู่’ ลั่นไม่มีเคอร์ฟิว - ล็อกดาวน์ หวั่นกระทบประชาชนในวงกว้าง พร้อมยอมรับรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง เมื่อตัดสินใจใช้มาตรการต่าง ๆ ออกไป ปลุกคนไทยสู้โควิด ย้ำอีกครั้ง ‘พวกเราต้องชนะไปด้วยกัน’

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 16 เมษายน 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ครั้งที่ 5/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ว่า ตนรู้สึกเจ็บปวด และต้องรับผิดชอบจากการแพร่ระบาดของโควิด ตนไม่ต้องการให้ใครตายสักคน ไม่อยากให้ครอบครัวต้องเสียใจ เพราะตนเป็นคนรักครอบครัว

ทั้งนี้จากการระบาดมาจนถึงระยะที่ 3 ทางรัฐบาลได้นำแนวทางทั้งหมดมาประมวล วิเคราะห์ โดยรับฟังความเห็นจากบุคลากรทางการแพทย์ จากทางสาธารณสุข กรมควบคุมโรค จนนำมาถึงการประชุม ศบค.ใหญ่ ในวันนี้

"การตัดสินใจอะไรต่าง ๆ ผมเจ็บปวด ห่วงใยผู้มีรายได้น้อย อะไรหลายอย่างไม่สามารถตัดสินใจไปทางใดทางหนึ่งได้ ตนเป็นคนรับผิดชอบ ต้องทำให้ดีที่สุด พร้อมปลุกคนไทยว่า พวกเราต้องชนะให้ได้ ยืนยันว่าไม่มีการเคอร์ฟิว ไม่มีการล็อกดาวน์ แต่อาจจะปรับเวลาเปิด-ปิดร้านบางส่วน เมื่อเราหย่อนวินัย สนุกสนาน วันนี้เราเห็นแล้วการ์ดตกเป็นอย่างไร มีการชุมนุมต่อต้าน นั่นคืออันตรายทั้งสิ้น ไม่ได้ว่าผิดกฎหมาย แต่อันตรายไปถึงครอบครัวท่าน” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า จากที่เสนอมาเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก มีคำ 3-4 ประโยค ที่อยากจะฝากไว้ นั่นก็คือ "ประเทศไทยต้องชนะ เมื่อถึงยามคับขันประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ เมื่อถึงคราวปรึกษางาน ต้องการผู้ที่ไม่พูดพล่าม ยามมีข้าวน้ำ ต้องการผู้เป็นที่รัก ยามเกิดปัญหา ต้องการบัณฑิต”

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการจัดหาวัคซีนนั้น ขณะนี้กำลังติดต่อซื้อวัคซีนเพิ่มเติมหลายยี่ห้อ เช่น สปุตนิก วี ของรัสเซีย และไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเทคของสหรัฐฯ เป็นต้น

ก่อนที่จะย้ำชัดเจน ก่อนจบการแถลงข่าวว่า "ไม่เคอร์ฟิว - ไม่ล็อกดาวน์"

ทั้งนี้ ในส่วนของผลการประชุม ศบค.นั้น ได้ยกระดับมาตรการการควบคุมโรค โดยมีสาระสำคัญ ห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันเกิน 50 คน รวมถึงการปิดสถานบริการหรือสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคทั่วราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานประกอบกิจการอาบน้ า สถานประกอบกิจการ อาบอบนวด หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยให้สั่งปิดสถานที่ดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวอย่างน้อยสิบสี่วัน

พร้อมทั้งกำหนดจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือ พื้นที่สีแดง 18 จังหวัด ส่วนอีก 59 จังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุม หรือสีส้ม

โดยพื้นที่สีแดงนั้น ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชลบุรี จังหวัด เชียงใหม่ จังหวัดตาก จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระยอง จังหวัดสงขลา จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดอุดรธานี

ซึ่ง 18 จังหวัด ถือเป็นพื้นที่สีแดง อยู่ในความควบคุมสูงสุด จะมีมาตรการต่าง ๆ ประกอบด้วย

- การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มในร้าน ได้ไม่เกิน เวลา 21.00 น. แต่ขายได้จนถึง 23.00 น.ในลักษณะของ การนำไปบริโภคที่อื่น

- การจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สำหรับร้านอาหารหรือสถานที่จำหน่ายสุรา ห้ามการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน

- ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะ คล้ายกัน ให้เปิดดำเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้นๆ จนถึงเวลา 21.00 น.โดยให้จำกัดจำนวน ผู้ใช้บริการและงดเว้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ยกเว้นส่วนที่เป็นตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกมและสวนสนุก ที่งดการให้บริการ

- ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ตลาดนัดกลางคืน ตลาดโต้รุ่ง ถนนคนเดิน ให้เปิดดำเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้นๆ แต่ไม่เกินเวลา 23.00 น. สำหรับร้าน หรือสถานที่ ซึ่งตามปกติเปิดให้บริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ให้เริ่มเปิดดำเนินการได้ในเวลา 04.00 น.

- สนามกีฬาหรือสถานที่เพื่อการออกกำลังกาย ยิม ฟิตเนส สามารถเปิดให้บริการได้ไม่เกิน เวลา 21.00 น. และสามารถจัดการจัดการแข่งขันกีฬาได้โดยจำกัดจำนวนผู้ชม ในสนาม

สำหรับ พื้นที่ควบคุม หรือพื้นที่สีส้ม 59 จังหวัด กำหนดให้

- การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้การบริการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มและ การบริโภคในร้านได้ ไม่เกินเวลา 23.00 น.

- การจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สำหรับร้านอาหารหรือสถานที่จำหน่ายสุรา ห้ามการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน

- ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะ คล้ายกัน ให้เปิดดำเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้น ๆ จนถึงเวลา 21.00 น. โดยให้จำกัดจำนวน ผู้ใช้บริการและงดเว้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ยกเว้นส่วนที่เป็นตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกมและสวนสนุก ที่งดการให้บริการ

นอกจากนี้ รัฐบาลขอความร่วมมือให้ประชาชนงดหรือ ชะลอการเดินทางในช่วงเวลานี้โดยไม่มีเหตุจำเป็น โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปในเขต พื้นที่ควบคุมสูงสุดซึ่งมีการแพร่ระบาดของโรคที่อาจท าให้เสี่ยงหรือมีโอกาสติดโรค ส่วนการจัดกิจกรรมงานเลี้ยงสังสรรค์ ขอความร่วมมือให้ประชาชนเลื่อนหรือ งดการจัดกิจกรรมสังสรรค์ งานเลี้ยงหรืองานรื่นเริงในช่วงเวลานี้ก่อน

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ยอดผู้ติดเชื้อในไทยแตะหลักพันวันที่ 3 แล้ว ยอดกว่า 1,582 ราย ขณะที่ในอาเซียนยอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

ไทยสั่งระงับวีซ่า 'เดวิด สเตร็คฟัสส์' นักวิชาการสหรัฐฯ อดีต ผอ.โครงการ CIEE ขอนแก่น, ผู้ดูแล 'The Isaan Record' ที่ฝังตัวทำงานในไทยกว่า 35 ปี เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิชาการต่างชาติที่เคลื่อนไหวต่อต้าน ม.112 และวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ ของไทยมาโดยตลอด

จากเฟซบุ๊ก ของประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส ของ หนังสือพิมพ์ ข่าวสดอิงลิช (ที่ปิดตัวไปแล้ว) ได้โพสต์แจ้งข่าวดังนี้

"ด่วน! นักวิชาการ ม.ขอนแก่น เดวิด สเตร็คฟาส David Streckfuss บอกผมว่าถูกระงับใบอนุญาตทำงาน (work permit) กับมหาวิทยาลัยขอนแก่น หลังอยู่เมืองไทยมา 35 ปี (แต่งงานกับคนไทยและมีลูกสอง) หลังจัดงานรวมพลศิลปินและนักเขียนอีสาน เดวิด เคยเขียนหนังสือวิชาการเกี่ยวกับ ม.112 พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Routledge ชื่อ "การนำความจริงขึ้นพิจารณาคดีในประเทศไทย: การหมิ่นประมาท ล้มล้างการปกครอง และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" และเกี่ยวข้องกับสื่ออีสานเรคคอร์ด แกบอกตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 4 คนไปพบผู้บริหารมหาลัย บอกคำสั่งมาจากหน่วยเหนือ"

"อ.David Streckfuss เป็นหนึ่งในชาวต่างชาติไม่กี่คน ที่กล้าพูดความจริงที่หลายคนไทยไม่กล้าพูด หรือไม่กล้ายอมรับ ถ้าแกไม่มีที่ยืนในสังคมไทย ก็แปลว่าสังคมไทยคงไม่มีที่ยืนให้กับคนเห็นต่างในบางเรื่อง"

"อ.เดวิดอยู่ไทยมา 35 ปี แต่งงานกับคนไทยมีลูกสอง เป็นศิษย์ อ.สุลักษณ์ Sulak Sivaraksa เป็นพลังสำคัญให้กับสื่อภูมิภาค อีสานเรคคอร์ด ที่เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการต่อสู้และอัตลักษณ์ชาวอีสาน และเขาเขียนตำราวิชาการที่สำคัญเกี่ยวกับ ม.112 - คนที่ทำประโยชน์ให้กับสังคมไทยเช่นนี้ควรได้รับรางวัลจากสังคมไทย แต่เขากำลังจะไม่มีที่ยืนเพราะรัฐไทยผ่านตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบีบให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นยกเลิกใบอนุญาตจ้างงาน #ป #เดวิด"

สำหรับ "เดวิด สเตร็คฟัสส์" (David Streckfuss) ทำงานกับ สำนักข่าว The Isaan Record ตั้งแต่ปี 2556 และเป็นนักการศึกษาระหว่างประเทศมาเกือบสามทศวรรษ ขณะเดียวกันก็เป็นนักวิชาการอิสระ เขียนบทความให้กับ The New York Times, Wall Street Journal, Asian Nikkei Review และ Al Jazeera เป็นครั้งคราว

โดยล่าสุด เดวิด สเตร็คฟัสส์ ได้ไปร่วมงานเสวนาของ สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย FCCT เกี่ยวกับประเด็นการแก้ไข มาตรา 112 ร่วมกับ เยาวลักษณ์ อนุพันธ์ ทนายสิทธิมนุษยชน และ ส.ส.รังสิมันต์ โรม โดยมีคู่ดีเบต เป็น นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ และ ศาสตรา โตอ่อน

การสั่งระงับวีซ่าทำงานในครั้งนี้ ส่งผลให้ นาย เดวิด สเตร็คฟัสส์ ต้องออกนอกประเทศไทย


ที่มา: https://www.facebook.com/336295587309275/posts/801053557500140/

https://www.facebook.com/pravit.rojanaphruk.5/posts/3065470637014100

“เชาว์” ซัด “อานนท์” ถูกหลอกใช้ เป็น "เบี้ย" คนคด หวังกลับมายึด ปชป. ใส่ร้าย "อภิสิทธิ์" หวังตีกัน ไม่ให้กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค ชี้ ไม่ควรค่ากับการเป็นครู เต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิ สร้าง hate speech เกลื่อนโลกออนไลน์  ลั่น พระแม่ธรณีไม่เคยให้อภัยคนทรยศพรรค

เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ เฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง จม.เปิดผนึก ถึงนายอานนท์ ผู้ไม่ควรค่าแก่การเป็นครูบาอาจารย์ มีเนื้อหาระบุว่า หลายวันติดต่อกันที่นายอานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)ออกมาขย่มพรรคประชาธิปัตย์และลามปามไปถึงอดีตนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและอดีตนายกชวน หลีกภัย สองบุคคลเสาหลักสำคัญของพรรคให้เสียหาย ซึ่งก็มีผู้ที่มีหน้าที่ของพรรคตอบโต้ไปบ้างแล้ว ที่จริงผมไม่ยากพูดเรื่องนี้ แต่เห็นว่าการเคลื่อนไหวของนายอานนท์ สอดรับกับข่าวกรองที่ผมได้ยินมาอย่างมีนัยยะสำคัญว่า

มีผู้คิดแผนการชั่วร้ายจะกลับมายึดพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง ลำพังนายอานนท์เป็นเพียงเบี้ยที่ถูกวางให้เดิน โดยอาศัยหวังจะที่ไปโด่งดังจาการที่ไปดีเบทชนะนางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุลหรือรุ้ง แกนนำม็อบราษฎรในรายการทีวีช่องหนึ่ง ทำให้นายอานนท์หลงคิดว่าตัวเองเก่ง แต่หารู้ไม่ว่าการเอาสติปัญญาตัวเอง ซึ่งเป็นถึงครูบาอาจารย์ไปเปรียบเทียบกับเด็กนักศึกษาปี 1 และยังเยาะเย้ยถากถางซ้ำ แทนที่จะให้ความรู้ให้สมกับวุฒิภาวะของอาจารย์ คนที่คิดได้เช่นนี้ถ้าสติปัญญาและวุฒิภาวะไม่บอบบางจริงคงทำไม่ได้   หนำซ้ำการโพสต์ข้อความส่วนใหญ่ผ่านโลกออนไลน์ ล้วนแต่เป็น hate speech สร้างความเกลียดชังในสังคม แทนที่จะให้ข้อมูล ความรู้ ประเทืองปัญญาให้กับผู้คน 

นายเชาว์ ระบุด้วยว่า คนเป็นครูบาอาจารย์ ไม่ใช่แค่มีใบปริญญามาการันตีความรู้ แต่ต้องเป็นผู้อุดมด้วยศีล สมาธิ และปัญญาด้วย แต่พฤติกรรมของนายอานนท์ ขาดทั้งศีล สมาธิ และปัญญา ขาดศีลคือมากด้วยมิจฉาทิฐิ จึงใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์ด้วยข้อความที่ผิดไปจากความจริง ไร้ซึ่งสมาธิ ที่จะทำให้มีสติรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ทำให้เอียงกะเท่เร่ จนส่งผลต่อการให้ความเห็นในทางสาธารณะแบบขาดวุฒิภาวะ เหมือนที่เคยให้ความเห็น แนะเด็กแก้ผ้าไปเรียน หลังออกมาเรียกร้องขอใส่ชุดไปรเวท ซึ่งไม่ใช่วิสัยของบัณฑิตพึงกระทำ ขาดปัญญา คือไม่รู้จักไตร่ตรองข้อมูลที่ได้รับมาว่ามีความเป็นจริงหรือไม่ จึงนำมาขยายผลแบบผิด ๆ และตกเป็นเครื่องมือของผู้อื่นอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะถูกหลอกหรือเต็มใจให้หลอกก็ตาม  

การโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้นายอานนท์เป็นเครื่องมือพุ่งเป้ามาที่อดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นการเอาภาพขณะจับมือกับนายธนาธรที่ลานโพธิ์ธรรมศาสตร์เมื่อการเลือกตั้งปี 62 ซึ่งนายบรรจง ชีวมงคลการ พิธีกรบนเวทีก็ออกมาแก้ให้แล้วว่า เขาเป็นคนบอกให้จับมือกันเองไม่มีอะไร ตลอดไปถึงประเด็นการเจรจากับพรรคเพื่อไทย เพื่อกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยโยงไปถึงนายพริษฐ์ วัชรสินธุ หลานชายว่ากำลังจะไปเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้เห็นว่าเป็นพวกที่ล้มเจ้า ซึ่งผมคิดว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง อีกทั้งยังสะท้อนชัดว่านายอานนท์ ขาดสติปัญญาจะแยกแยะระหว่างคำว่า "ปฏิรูป" กับ"ปฏิปักษ์" งมงายอยู่กับมายาคติของตัวเอง จนพุ่งเป้าทำลายทางเลือกอื่นที่ไม่ตรงกับความคิดตัวเองไปเสียทั้งหมด โดยไม่ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ

“ผมขอให้สติเป็นทานกับนายอานนท์ ไปไตร่ตรองให้ดี ว่ากำลังถูกหลอกใช้จากใครหรือไม่ เพราะเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มองเป็นอ่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นแผนตีกันอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ไม่ให้กลับมาสู่ถนนการเมืองในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง เสี้ยมให้คนในพรรคทะเลาะแตกแยกกันเอง สร้างความเกลียดชังให้คนทั่วไปเข้าใจว่าอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์กำลังจะจับมือกับพรรคเพื่อไทยและพวกล้มเจ้า  นี่คือเกมที่แยบยลของคนเก่าที่เคยคิดจะยึดพรรคประชาธิปัตย์แต่ไม่สำเร็จ ต้องออกจากพรรคไปตั้งพรรคใหม่ สุดท้ายถูกหักหลังลอยเท้งเต้งหมดหนทางไป จึงคิดการใหญ่อาศัยช่วงที่พรรคกำลังอ่อนแอ จะกลับมายึดพรรคอีกครั้งเพื่อใช้พรรคเป็นฐานต่อรองกับกลุ่มอำนาจ โดยลืมไปว่าประวัติศาสตร์ 76 ปี ของพรรคประชาธิปัตย์พระแม่ธรณีไม่เคยให้อภัยคนคิดคดทรยศทิ้งพรรคไปแล้ว ได้กลับมายิ่งใหญ่หรือรุ่งเรืองในพรรคอีก นี้คือความศักดิ์สิทธิ์ของพรรคประชาธิปัตย์ครับ” นายเชาว์ กล่าว

“บิ๊กตู่” ถก ศบค.ชุดใหญ่ รับห่วงหลายเรื่อง จำเป็นต้องปรับมาตรการตามความจำเป็น

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 16 เมษายน 2564 ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 5/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวช่วงต้นการประชุมว่า 

ขอขอบคุณทุกภาคส่วนในการบริหารสถานการณ์โควิดด้วยดีเสมอมา ถึงแม้จะมีการแพร่ระบาดในช่วงที่สามที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนทำให้ประชาชนตื่นตระหนก ซึ่งเราก็ต้องปรับมาตรการตามความจำเป็น ตนเองก็มีข้อห่วงใยหลายเรื่องด้วยกัน ทั้งเรื่องการจัดหาวัคซีน การฉีดวัคซีน การบริหารจัดการโควิดไม่ให้มีการแพร่ระบาด ในการตรวจสอบการคัดกรอง การใช้โรงพยาบาลสนาม และการเตรียมจัดหาวัคซีนทางเลือกให้กับภาคเอกชน เราไม่เคยหยุดยั้งการทำงาน ต้องขอขอบคุณคณะทำงาน ศบค. คณะทำงานกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้มีการประชุมหารือกันทุกวันในช่วงที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณในความเสียสละของท่านด้วย

“เสกสกล” จวก “อมรัตน์” สมองกะโหลกกะลา ไร้แก่นสาร จ้องคิดลบกับรัฐบาล เหน็บ ทำได้คิดแค่เกาะหลังม็อบสามนิ้ว

เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวตอบโต้นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “รำคาญทุกจำนวน นับทุกแถลงการณ์ และทุกสถิติของรัฐกะลา ไม่ตื่นเต้นและไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น” ว่า หากนางอมรัตน์ ไม่อยากฟัง ไม่เชื่อในความสามารถของนายกรัฐมนตรีในการแก้โควิด-19 ก็ไม่เป็นไร เพราะคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศฟัง แต่อย่าเป็นตัวถ่วง และที่หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำส.ส. พรรค ไปรับการฉีดวัคซีน ที่สถาบันบำราศนราดูร เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักที่จะรับวัคซีนในวันที่ 1 พ.ค.นี้ เรียกว่าทำตามนโยบายของรัฐหรือไม่ และแสดงว่าหัวหน้าพรรคก้าวไกล และส.ส.เห็นความสำคัญ

“คงมีแค่นางอมรัตน์ ที่สมองกะโหลกกะลา ชอบกล่าวหานายกฯและรัฐบาล คนประเภทนี้สมองกลวง ชอบมองโลกในแง่ร้าย คิดลบตลอดเวลา คิดแต่เรื่องโจมตีใส่ร้ายแบบไร้สาระ และมีนิสัยที่คนไทยทั้งประเทศรู้ดีว่า ชอบไปร่วมชุมนุมกับม็อบสามนิ้วที่ก้าวล่วง จาบจ้วงสถาบัน และชอบโชว์เอาตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัวให้แกนนำคนที่คิดล้มล้างสถาบัน ให้การสนับสนุนแกนนำสามนิ้วทุกรูปแบบ จนคนไทยส่วนใหญ่ที่ปกป้องสถาบัน รู้ถึงนิสัยสันดานจนเอือมระอา และตั้งฉายาให้ว่า เตี้ยหลังม็อบ เพราะชอบแอบเข้าไปร่วมชุมนุมกับม็อบสามนิ้วทุกครั้ง นี่คือพฤติกรรมของคนที่มีหัวกะโหลกกะลา หาอะไรที่เป็นแก่นสารกับชีวิตไม่ได้เลยสักเรื่อง” นายเสกสกล กล่าว

“อนุทิน” ชง ศบค.ชุดใหญ่ “คุมเข้มจ.สีแดง ปิดสถานบันเทิง ยาวสิ้นเม.ย.-ห้ามสังสรรค์ในครอบครัว-ให้อำนาจผู้ว่าฯตัดสิน ห้ามออกนอกเคหะสถานหรือไม่ -ไม่ห้ามข้ามจังหวัด แนะปชช.ให้ดูข้อกำหนดแต่ละพื้นที่ ย้ำ เตียงรพ.ยังเพียงพอ ริงรับสถานการณ์

วันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)หรือ ศบค.ว่า ทางสาธารณสุข จะเสนอที่ประชุมพิจารณามติของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่เสนอปรับโซนสีพื้นที่จังหวัดทั่วประเทศ ส่วนการเดินทางของประชาชนยังคงเดินทางไปมาได้ แต่ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละจังหวัดจะออกมาตรการรองรับอย่างไร รวมถึงให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจตัดสินใจเรื่องการออกนอกเคหะสถาน เช่น จังหวัดสมุทรสาคร เคยประกาศก่อนหน้านี้เพราะเขาทราบถึงสถานการณ์ในจังหวัดดี 

โดยมาตรการในภาพรวมของทั้งประเทศ พยายามจะให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด แต่จะเข้มข้นขึ้นบางเรื่อง โดยจะเสนอห้ามการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารและสถานประกอบการต่าง ๆ และให้ปิด ผับ บาร์ คาราโอเกะ ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ เพราะหวังว่าถ้าประชาชนรวมกลุ่มกันน้อยลง จะลดการแพร่ระบาดได้ ส่วนการจำหน่ายสุราในร้านค้าทั่วไป จะขอความร่วมมือให้ซื้อกลับไปกินที่บ้านแต่ไม่ใช่ว่าห้ามขายในร้านอาหารแล้วไปนัดกันที่บ้าน ดังนั้นจะเสนอศบค.ไม่ให้มีการเลี้ยงสังสรรค์กันสำหรับคนในครอบครัวเพิ่มเติม เพราะจะเป็นการรวมตัวของคนจำนวนมาก 

เมื่อถามถึงกระแสข่าวการรวมกลุ่มเล่นการพนันในโรงพยาบาลสนาม นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงาน คงไม่มีถึงขนาดนั้น ซึ่งผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนามทุกคนถือเป็นผู้ป่วยจะไม่มีการแพร่เชื้อกันเพิ่มขึ้น แต่ถ้ามีการตั้งวงเล่นการพนันกันก็คงต้องออกจากโรงพยาบาลสนามไปเข้าคุก เรื่องนี้ผู้รับผิดชอบในโรงพยาบาลสนามคงต้องไปดูแล หากเป็นการเล่นเพื่อผ่อนคลายไม่ใช่การพนัน คลายเครียดเล่นดีดนิ้ว ไม่ได้แพร่กระจายเชื้อก็โอเค ทั้งนี้วงรอบของการแพร่เชื้อจะอยู่ที่ 2 สัปดาห์ ขอให้เราอึดกันอีก 2 สัปดาห์จะต้องดีขึ้น แม้ตัวเลขอาจจะไม่เป็นศูนย์ แต่เมื่อมีมาตรการออกมา 2 สัปดาห์นี้ตัวเลขจะลดลง หากเราหย่อนมาตรการวงรอบจะไม่ตัดวงจรการระบาด ดังนั้น 2 สัปดาห์หลังจากนี้เราคิดว่าน่าจะตัดวงจรได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเข้มสุด ๆ ก็กังวลว่าประชาชนจะเดือดร้อน เราพยายามทำในระดับที่ระบบสาธารณสุขยอมรับได้ และได้รับความร่วมมือจากประชาชน ก็จะสามารถประดับประคองสถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติได้

เมื่อถามถึงความพร้อมเตียงสำหรับคนไข้ นายอนุทิน กล่าวว่า ยืนยันว่ามีเพียงพอ แต่บุคคลากรทางการแพทย์เรามีเท่านี้ ดังนั้นเมื่อเราใช้มาตรการที่เข้มข้นอยู่ในช่วงนี้ก็หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากประชาชนมนการป้องกันตัวเองด้วย เพราะจำนวนผู้ป่วยแต่ละวัน ในช่วงสัปดาห์หลังจากนี้จะค่อย ๆ ลดลงไป ขณะที่กทม.ก็เตรียมโรงพยาบาลสนามไว้แล้ว ถ้าไม่ถึงขั้นจำเป็นมากเราก็อยู่ในระบบสาธารณสุข ในโรงพยาบาลจะดีกว่า แต่ถ้าเราไม่มีมาตรการอะไรเลยแบบนั้นจะไม่พอ จำเป็นต้องใช้โรงพยาบาลสนาม และต้องเน้นการรักษาที่บ้าน ซึ่งเราไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้น ยืนยันตอนนี้ยังดูแลไหวอยู่ ก็อยากให้ทุกคนได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างเต็มที่ แต่ก็ยอมรับว่าการเข้ารักษาตัวของประชาชนตอนนี้ยากกว่าเดิม เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงกว่าก่อนหน้านี้ 

ตอนนี้ถ้าใครเป็นก็ขอว่าให้กักตัวอยู่ในบ้านและเว้นระยะห่างกันที่สุด หน้ากากอนามัยต้องไม่หลุด แต่ระบบก็จะไล่ส่งรถไปรับให้ทุกคนมารักษาพยาบาล และตอนนี้ก็เริ่มมีการให้ผู้ป่วยที่มีรถส่วนตัวให้เข้ามาที่โรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สำหรับแผนการกระจายวัคซีนที่เพิ่งได้รับมา 1 ล้านโดสเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา จะเน้นกระจายไปที่บุคลากรทางการแพทย์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ยืนยันเราไม่ปิดกั้นการจัดหาวัคซีนและพร้อมให้ทุกฝ่ายร่วมดำเนินการ

นายก ฯ มอบนโยบายให้ สคร. กำกับรัฐวิสาหกิจให้มีการทำงานรูปแบบใหม่ สร้างรายได้ เน้นบริการประชาชน เพิ่มห่วงโซ่ทางธุรกิจ พร้อมเร่งรัด โครงการบ้านเคหะสุขประชา สร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย

เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบนัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2564  ทางไกลผ่านระบบวิดิโอ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน เมื่อเช้าวันเดียวกันนี้เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการจัดทำแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ  ร่วมทั้งพิจารณาโครงการ “บ้านเคหะสุขประชา” บ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพื่อสร้างความมั่นคงเรื่องที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนตามแนวทางนโยบายของรัฐบาล โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมประชุมด้วย

ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นภาพรวมรัฐวิสาหกิจไทย 52 แห่งซึ่งมีทั้งกลุ่มรัฐวิสาหกิจเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศและกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบริการสาธารณะ ต้องสร้างแนวทางและวิธีการทำงานใหม่  สามารถทำเงิน สร้างรายได้ให้กับประเทศ บริการประชาชน ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มห่วงโซ่ทางธุรกิจ เพิ่มแนวทางการลงทุนร่วมภาคเอกชนในรูปแบบ PPP เพื่อลดภาระด้านงบประมาณภาครัฐ

ซึ่งต่อไปจะมีการนำผลประกอบการและการบริการประชาชนมาเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินผลการดำเนินงานของแต่ละรัฐวิสาหกิจด้วย นายกรัฐมนตรียังย้ำการจัดทำแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจที่ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ ความมั่นคง ความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน การสร้างโอกาส ความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางสังคม การเติมโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ และต้องสอดคล้องกับการปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล ภายใต้ BCG Model โดยมีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  นายกรัฐมนตรี กำชับให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ไปพิจารณาให้แนวทางบริหารจัดการบริษัทในเครือรัฐวิสาหกิจที่ปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 123 แห่งโดยคำนึงถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจและสอดคล้องกับภารกิจของรัฐวิสาหกิจแม่ รวมทั้งให้มีการพิจารณาดำเนินการ กรณีบริษัทในเครือที่ไม่จำเป็นต่อการดำเนินงานต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดภาระของภาครัฐในอนาคตเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา โดยตั้งแต่ 2559  รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ริเริ่มกระบวนการพิจารณาจัดตั้งบริษัทในเครือต้องผ่านการพิจารณา คนร. ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา  

ทั้งนี้ ในที่ประชุมเร่งรัดการเคหะแห่งชาติดำเนินโครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อยในโครงการ  “บ้านเคหะสุขประชา” ภายใต้แนวคิด “บ้านเคหะสุขประชา = บ้านพร้อมอาชีพ” จำนวน 100,000 หน่วย ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและทั่วประเทศ   ในระยะเวลา 5 ปี โดยให้มีการพิจารณานำการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (PPP) มาใช้ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะเสนอแนวทางการดำเนินการในที่ประชุม  คนร. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง

“นายกรัฐมนตรีย้ำถึงความสำคัญของรัฐวิสาหกิจว่า เป็นพลังขับเคลื่อนประเทศ พร้อมฝากให้บุคคลที่ถูกแต่งตั้งเข้ามาเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยสุจริต โปร่งใส เป็นธรรม และส่งเสริมให้การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานด้วย” นายอนุชากล่าว

รมว.สุชาติ นำทีมเช็คความพร้อมสถานที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุกผู้ประกันตน ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนฯ (ไทย – ญี่ปุ่น) ดินแดง กทม. ก่อนเปิดบริการ 17 เม.ย.นี้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะ ลงพื้นที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจสอบความพร้อม ของสถานที่สำหรับเปิดใช้เป็นช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 ,39 และ 40 ที่อยู่ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวก ในวันเสาร์ที่ 17 เมษายนนี้

เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการตรวจความพร้อมของสถานที่เพื่อสำหรับเปิดใช้เป็นช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 ในวันเสาร์ที่ 17 เมษายนนี้ เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่อยู่ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม และคณะผู้บริหารสำนักงานประกันสังคม นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. นายสมบูรณ์ หอมนาน ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยนายสุชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยผู้ประกันตนจากกรณีการแพร่ระบาด ของโควิด -19 จึงกำชับกระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และ สปสช.เป็นการเพิ่มช่องทางหรือทางเลือกหนึ่งเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัดหรือรอคิวนาน 

ในวันนี้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องจึงได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจความพร้อมของสถานที่ที่จะเปิดใช้เป็นช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยจะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้ (17 เม.ย.64)

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับในทุกด้านหากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงมากขึ้น ซึ่งผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้หารือกำหนดแนวทางที่จะร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยจะเปิดให้ผู้ประกันตนที่จะเข้ารับการตรวจสามารถลงทะเบียนจองคิวตรวจผ่านระบบแอพพลิเคชั่นออนไลน์ สำหรับผู้ประกันตนที่จะได้เข้าตรวจคือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คัดกรอง ทั้งนี้ หากผู้ประกันตนรายใดตรวจพบเชื้อโควิด-19 จะต้องส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่าย ในสังกัดสำนักงานประกันสังคม โดยจะได้รับการรักษาฟรี ซึ่งมีอยู่จำนวน 81 แห่ง ที่มีความพร้อม มีเตียงรองรับกว่า 1,000 เตียง มี HQ 200 กว่าเตียง

สำหรับขั้นตอนการลงทะเบียนออนไลน์เพื่อจองคิวตรวจของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39, และ 40 สามารถเข้าเว็บไซต์ https://www.google.com แล้วพิมพ์คำว่า แรงงานเราสู้ด้วยกัน แล้วคลิกที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php จากนั้นผู้ประกันตน กรอกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หรือเลขพาสปอร์ต กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ซึ่งเป็นบุคคลที่มีกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการป่วย ซึ่งเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์มาตั้งแต่เมื่อวานนี้ (15 เม.ย.64) เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป โดยแต่ละวันสามารถตรวจได้วันละ 3,000 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 1,500 คน ช่วงบ่าย 1,500 คน ทั้งนี้ ผู้ประกันตนจะต้องพกบัตรประชาชน พร้อมสำเนา 1 ชุด เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจด้วย หากผู้ประกันตนรายใดลงทะเบียนแล้วไม่มาตรวจตามนัดจะต้องลงทะเบียนใหม่ และเมื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด -19 เรียบร้อยแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที เนื่องจาก ผลการตรวจจะส่งทาง SMS ให้ผู้ประกันตนทราบตามหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้

“ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช.กำหนด สามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php เพื่อจองคิวตรวจโควิด-19 ซึ่งช่องทางดังกล่าวกระทรวงแรงงาน ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และ สปสช.เพื่ออำนวยความสะดวก ลดความแออัดและเพิ่มช่องทางให้กับผู้ประกันตน ได้เข้าถึงการตรวจโควิด -19 ซึ่งหากพบเชื้อสามารถเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดได้อย่างทันท่วงที” รมว.สุชาติ กล่าวในตอนท้าย

"นฤมล" ชวนฝึกออนไลน์ ช่วง Work From Home

รมช.แรงงาน ขานรับนโยบายรัฐบาล กำชับแรงงานช่วง work from home แนะฝึกออนไลน์กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสพัฒนาตนเองรับวิถีชีวิตใหม่ ลดเสี่ยงติดโควิด-19

วันที่ 16 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งกำหนดมาตรการจำกัดการแพร่ระบาดให้เร็วที่สุด ซึ่งมีการประชุม ศบค. ชุดใหญ่ในวันนี้ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ด้วยการเชิญชวนให้คนไทย หยุดอยู่บ้าน งดการเดินทาง การรวมกลุ่ม โดยในส่วนของหน่วยงานราชการและเอกชน กำหนดให้พนักงานและเจ้าหน้าที่ work from home จะเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ช่วยหยุดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวต่อไปว่า การฝึกอบรมที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ดำเนินการฝึกอย่างต่อเนื่องนั้น ได้มีมาตรการป้องกันอย่างเคร่งคัด ทั้งการคัดกรอง การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และการใช้แอลกอฮอล์ล้างมือให้บ่อยครั้ง รวมถึงจำกัดจำนวนคนเข้าอบรม ไม่เกิน 20 คน นอกจากนี้ ยังจัดโปรแกรมการฝึกออนไลน์ ในรูปแบบ VDO Training ในช่วงที่แรงงานต้องหยุดอยู่บ้าน สามารถเข้าเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ได้ถึง 16 หลักสูตร โดยสามารถดูรายละเอียดและเข้าเรียนรู้ได้ที่ www.dsd.go.th เมนู ฝึกทักษะออนไลน์ (online Training) ปัจจุบัน ได้เพิ่มหลักสูตรที่ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ในกลุ่มของ Microsoft office  สำหรับหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้ว ประกอบด้วย การเรียนรู้ด้านช่าง ภาษาต่างประเทศ ทั้งภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี และภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรเกี่ยวกับอาชีพอิสระ เช่น การทำอาหาร การทำขนม และงานศิลปะประดิษฐ์ เป็นต้น ผู้สนในสามารถลงทะเบียนเข้าฝึกอบรมตามเว็บไซต์ที่แจ้ง หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4

 “ถ้าทุกคนช่วยกันและปฏิบัติตัวตามมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้กำหนด  เชื่อมั่นว่าจะสามารถหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปได้อย่างแน่นอน” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

ส.ส.ก้าวไกล รุดฉีดวัคซีนกันโควิด-19 ย้ำรัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนให้เร็วและหลากหลาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้แจ้งทางแอปพลิเคชันไลน์ถึง ส.ส. เรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ว่า ส.ส.ที่มีความประสงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สามารถไปรับการฉีดวัคซีนได้ที่ สถาบันบำราศนราดูร ห้องประชุมอัจฉรา วันที่ 16-30 เมษายน 2564 เวลา 09.00-16.00 น.ในวันเวลาราชการ สำหรับ ส.ส. ท่านใดที่อยู่ในระหว่างการกักตัว สามารถรับบริการได้หลังจากที่ครบกำหนดการกักตัวแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 ที่ห้องประชุมอัจฉรา สถาบันบำราศนราดูร  นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล นำทีม ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้แก่ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ นายสุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร นายสมเกียรติ ถนอมสินธุ์ นายวุฒินันท์ บุญชู นายกัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล นางสาวณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ นายธีรัจชัย พันธุมาศ และนายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ที่ไม่อยู่ในช่วงกักตัวเพื่อสังเกตอาการและไม่มีความเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อเป็นการรณรงค์และป้องกันการเเพร่ระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 
 

โดย นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า วันนี้การฉีดวัคซีนไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการป้องกันเฉพาะตนเองเท่านั้น แต่เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในการร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นในประเทศ เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันและทำมาหากินประกอบอาชีพได้ใกล้เคียงกับสภาพปกติ รวมทั้งการไม่เป็นภาระต่อระบบสาธารณสุขเมื่อเกิดการติดเชื้อด้วย เพราะวัคซีนมีผลทำให้ลดความหนักของอาการจากโรคโควิด

นางสาวศิริกัญญา กล่าวต่อว่า รัฐบาลยังคงจำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีนให้เกิดความสมดุล อย่างเร่งด่วน โดยสำรองวัคซีนทางเลือกต่าง ๆ ให้มีความหลากหลายกว่าที่เป็นอยู่ เพราะหากเกิดอุบัติการณ์จากการฉีดวัคซีนยี่ห้อใดที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน และมีความจำเป็นต้องระงับการฉีดวัคซีนยี่ห้อนั้นไว้ก่อนเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง เช่น กรณีการเชื่อมโยงกับภาวะการเกิดลิ่มเลือด จนทำให้หลายประเทศในยุโรปกำหนดข้อแนะนำเกี่ยวกับอายุของผู้รับวัคซีนแอสตราเซเนกา หรือประเทศเดนมาร์กที่ยกเลิกการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาทั้งหมด หรือกรณีที่สหภาพยุโรปจะไม่ต่อสัญญากับผู้ผลิตวัคซีนชนิดไวรัล เวกเตอร์ ได้แก่ แอสตราเซเนกา และ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งเมื่อสัญญาสิ้นสุดลง ประเทศจะได้มีวัคซีนทางเลือกอื่นในการฉีดให้กับประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด

"การฉีดวัคซีนในวันนี้มีความจำเป็นอย่างมาก ในเมื่อวัคซีนที่รัฐบาลมีอยู่มีกระจุกอยู่เท่านี้ ประชาชนก็จำเป็นต้องฉีด เพราะในมุมของเราและสังคมโดยรวม การฉีดดีกว่าการไม่ฉีด แต่หากรัฐบาลสามารถกระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีนที่ดีกว่านี้ มีวัคซีนทางเลือกที่หลากหลายในปริมาณที่สมดุลเพียงพอ ความเสี่ยงจากการฉีดวัคซีนที่ประชาชนต้องแบกรับก็จะลดลง ประชาชนก็จะมีโอกาสได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคที่สูงขึ้น ในขณะที่รัฐบาลก็จะสามารถบริหารการฉีดวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมั่นใจ" นางสาวศิริกัญญา กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื่องจาก กระทรวงสาธารณสุข ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปเริ่มลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นและไลน์ “หมอพร้อม” ได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป เพื่อลงคิวเข้ารับการฉีดวัคซีน พรรคก้าวไกลจึงขอเชิญชวนให้ทุกคนไปลงทะเบียนและเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุดเพื่อพลิกฟื้นประเทศกลับสู่ภาวะปกติ

"อนุทิน" วางกรอบคุมโควิด 19 ระลอกใหม่ ต้องคลี่คลายใน 1 เดือน เผยเป้าฉีดวัคซีนทีมสาธารณสุขครบ 100% ในสัปดาห์หน้า

เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 ที่สถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวขณะตรวจเยี่ยมการให้บริการวัคซีนโควิด-19 กับประชาชนโดยระบุว่า ได้รับการประสานงานจากสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ให้สมาชิกรัฐสภา อาทิ ส.ส. ส.ว. มารับบริการวัคซีน ซึ่งใครก็ตามที่เข้าข่ายตามเกณฑ์การรับวัคซีนระยะแรก เช่น ต้องพบปะผู้คนจำนวนมาก เดินทางบ่อย มีโรคประจำตัวตามเกณฑ์รับบริการ ก็ต้องให้ฉีดแน่นอน เพราะท่านทั้งหลาย ล้วนเป็นประชาชนเหมือนกัน ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกล จะมารับวัคซีนในวันนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าได้วิจารณ์เรื่องประสิทธิภาพของวัคซีน นายอนุทิน ตอบว่า นักการเมือง ก็เป็นประชาชน ถ้ามีองค์ประกอบเป็นไปตามเกณฑ์การรับบริการ ก็ฉีดได้ ขอเรียนว่าวัคซีนที่ไทยนำเข้ามามีประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ได้ผ่านการตรวจสอบมาอย่างดีแล้ว ขอให้ผู้รับบริการมั่นใจ 

ผู้ที่ได้รับวัคซีน จะไม่ป่วยหนักแล้วจะไม่เสียชีวิต อย่างไรก็ตามถึงจะฉีดวัคซีนไปแล้วแต่ก็ต้องตั้งการ์ดสูง สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ ถ้าทำงานที่บ้านได้ อยากให้ดำเนินการเรื่องนี้ การทำงานที่บ้าน ไม่ทำให้ประสิทธิภาพของานตกลงเลยไปเลย ตนเคยทำงานที่บ้านแล้ว ได้งานมากกว่าเดิมด้วย สำหรับแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ขอให้ท่านดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเคร่งครัด ท่านเป็นบุคลากรที่สำคัญอย่างยิ่งต่อชาติบ้านเมือง เป็นด่านหน้าในการ ป้องกันโรคระบาดและปกป้องชีวิตคนไทย ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขวางเป้าว่าภายในสัปดาห์หน้าจะให้บริการบุคลากรทางการแพทย์ครบ 100% เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ท่านในการปฏิบัติหน้าที่ 

ส่วนเรื่องความพร้อมของทรัพยากร จากที่มีกระแสข่าวว่าเตียงไม่พอนั้น นายอนุทินเปิดเผยว่า ในความเป็นจริงแล้วเราได้มีการสำรองเตียงเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินและมั่นใจว่าเตียงมีพอต่อความต้องการอย่างแน่นอน วันนี้ ได้ขยายการให้บริการของโรงพยายาลสนาม และกำลังเร่งเปิดฮอสพิเทลเพิ่มเติม ในส่วนของยา อุปกรณ์ป้องกัน บุคลากร ได้วางแผนไว้แล้ว แต่พร้อมปรับเปลี่ยนทุกสถานการณ์ เช่นเดียวกับการรักษา ที่ให้เป็นหน้าที่ของทีมแพทย์ ส่วนฝ่ายผู้บริหาร ยืนยันว่า ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ 

วางกรอบไว้ว่า จะต้องคลี่คลาย สถานการณ์การระบาดของคลัสเตอร์สถานบันเทิงให้ได้ภายใน 1 เดือน ที่ตั้งระยะเวลาไว้แบบนี้ เพราะมีเกณฑ์ว่า หากผู้ติดเชื้อ มาจากคลัสเตอร์ สถานบันเทิง เมื่อได้สั่งปิดให้บริการ พร้อมไปกับใช้มาตรการที่เข้มข้น เท่ากับ ตัดวงจรแพร่เชื้อ วงรอบของการระบาดน่าจะยุติลงในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน แต่หากระหว่างนั้น พบคลัสเตอร์ใหม่ การควบคุมโรคก็ต้องอาศัยระยะเวลานานขึ้น สำหรับเรื่องข้อมูลข่าวสาร ภาครัฐ เปิดเผยทุกความเป็นจริง ไม่มีการปิดกั้นข้อมูลสำหรับฝ่ายการเมืองที่มีข้อเสนอแนะหรือมีข้อสงสัยหากเป็นไปด้วยเจตนาดีต่อชาติต่อบ้านต่อเมืองต่อประชาชนก็พร้อมตอบทุกคำถาม 

อดีต ส.ส.ปชป. วัชระ เพชรทอง เชื่อ “ตู่-จตุพร” ปลุกม็อบ “ตู่ชนตู่” ขึ้น รอดูพัฒนาสู่ม็อบสามัคคีไม่เอาลุง ชี้ชั้นเชิงชวนมวลชนยังเก๋า เชื่อจุดติดใหญ่เมื่อไรรัฐยกกฎหมายไล่สอยรายคน

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์การออกมาเคลื่อนไหวม็อบ 4-4-4 ภายใต้การนำของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่ม นปช.ที่มีเป้าหมายจะขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า

ตนมองว่าแม้นายจตุพรว่าจะถูกหลายฝ่ายดิสเครดิตทั่วสารทิศ แต่จะเห็นว่านายจตุพรไปตามคำเชิญของนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานกลุ่มญาติฯ ซึ่งมีนักต่อสู้เดือนตุลา กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน และเครือข่ายคนทุกสีจึงย่อมมีน้ำหนักในการเคลื่อนไหว อีกทั้งนายจตุพรยังเป็นผู้ที่เจนจัดในการปลุกม็อบ นำม็อบและจบม็อบตั้งแต่ยุคพฤษภาทมิฬ จนถึงยุคคนเสื้อแดง ยุทธปัจจัยในการนำและเคลื่อนม็อบ จึงมีประสบการณ์อย่างโชกโชน เรียกว่าแค่หลับตาก็รู้ว่าจะเดินหมากอย่างไร ดังนั้น ยุทธการณ์ “ตู่ชนตู่” จึงประมาทไม่ได้เป็นอันขาด

นายวัชระ กล่าวอีกว่า ส่วนบรรดาคนเสื้อแดงที่กลับใจไปอยู่กับรัฐบาล หากนับตามฝีมือแล้วยังห่างชั้นนายจตุพรอยู่มาก แต่ก็เข้าตำราโบราณว่าไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ภาพลักษณ์ชายชุดดำ และวลีเผาบ้านเผาเมืองอาจคาใจคนกรุงเทพฯ จำนวนมาก แต่การพุ่งเป้าล้มรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียวย่อมทำให้ได้แนวร่วมมากขึ้น จึงต้องดูจังหวะการเคลื่อนไหวที่อาจมีการประสานให้ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่ทำเนียบรัฐบาลโดยมีการนำแบบรวมหมู่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต หรือจัดตั้งองค์กรเฉพาะกิจขึ้นมาแบบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กปปส.หรือไม่

“สถานการณ์ความเบื่อหน่าย พล.อ.ประยุทธ์ กำลังเข้าสู่ช่วงสุกงอมหรือไม่ ให้ดูที่ยุทธการเปิดไพ่ทีละใบว่ามีผู้นำมวลชน ผู้นำนักเรียนนิสิตนักศึกษา นักวิชาการ ชาวนาชาวไร่ ผู้นำเกษตรกร พรรคการเมือง นักการเมือง ผู้นำแรงงานหรือกลุ่มพลังกดดันทางสังคมได้ทยอยเปิดตัวเข้าร่วมอย่างเป็นระบบหรือไม่ มีมวลชนเข้าร่วมหลังเทศกาลสงกรานต์แบบไหลมาเทมาหรือไม่ ถึงจุดนั้นรัฐบาลก็ต้องตั้งรับให้ดี ผมคิดว่ารัฐบาลคงใช้กฎหมายเป็นตัวหลักในการจัดการกับม็อบหรือผู้นำม็อบ คงจะมีการตรวจสอบเป็นรายบุคคลว่าใครมีคดีความอยู่ในชั้นไหนหรือหน่วยงานใดบ้าง แล้วใช้กำลังภายในจัดการทีละคนทีละกลุ่มเพื่อตัดกำลัง เหมือนที่กลุ่ม กปปส.เคยโดนมาแล้ว”

นายวัชระมองด้วยว่า ม็อบ “ตู่ชนตู่” จะพัฒนาสู่ม็อบ “สามัคคีคนไม่เอาลุงตู่” ในที่สุด แต่จุดจบจะเป็นอย่างไรก็ต้องติดตามอย่ากะพริบตา เพราะคู่ชกครั้งนี้สมศักดิ์ศรี ไม่ใช่ม็อบเด็กๆ คิกขุอาโนเนะ ที่ไม่รู้จักว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เพราะเมื่อสภาไม่ใช่ทางออกของการแก้ไขปัญหา การอภิปรายนอกสภาและมีเป้าหมายเพื่อขับไล่รัฐบาล จึงเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรของการเมืองไทย ซึ่งอาจจบลงแบบ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อ หรือ ลาออก หรือ ยุบสภา หรือ รัฐประหาร หรือ ม็อบถูกรัฐบาลกวาดล้างพ่ายแพ้ไปก็เป็นได้


ที่มา: https://mgronline.com/politics/detail/9640000036009

‘บิ๊กตู่’ เรียกถกทีมเศรษฐกิจ และฝ่ายกฎหมาย รัฐบาล หารือ 4ประเด็นด้านเศรษฐกิจ ทั้งแผนฟื้นฟูการบินไทยเข้า ก่อนชง ครม. - ช่วยเหลือโควิด รอบ 3 -แก้หนี้ครู และ กยส. -สรุปแอปพลิเคชันลงทะเบียนรับวีคซีน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เรียกประชุม นัดพิเศษ ทีมเศรษฐกิจ และ ฝ่ายกฎหมายรัฐบาล  อาทิ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการ สมช. และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย 

ซึ่งมีวาระการหารือที่สำคัญ 4 เรื่องคือ แผนฟื้นฟูการบินไทย ก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในวันอังคารที่ 17 เม.ย.นี้ นอกจากนี้ ยังหารือถึงแผนบรรเทาผลกระทบโควิดรอบที่ 3 รวมทั้งการแก้ปัญหาหนี้ กยส. และหนี้ครู รวมทั้ง ข้อสรุปการลงทะเบียนรับวัคซีน ผ่านแอปพลิเคชัน ที่ธนาคารกรุงไทย รับเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ อย่างไรก็ตามภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ นายกรัฐมนตรีจะยังไม่มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยได้รับการประสานว่าการชี้แจงจะมีภายหลังการประชุม ศบค.ในช่วงเย็น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top