Sunday, 15 June 2025
POLITICS NEWS

'รศ.หริรักษ์' อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า...

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า...

ใครก็ตามที่มีส่วนในการริเริ่ม หรือจัดการโครงการ บ้านเอื้ออาทร และโครงการรับจำนำข้าว ไม่มีสิทธิโจมตีรัฐบาลไหนทั้งสิ้นว่าทำให้ประเทศชาติเสียหายยับเยิน เพราะโครงการบ้านเอื้ออาทร และโครงการรับจำนำข้าว คือโครงการที่ทำให้ประเทศเสียหายยับเยินของจริง ชัดเจน

ทั้ง 2 โครงการนอกจากจะมีการทุจริตกันอย่างมโหฬารแล้ว ยังทำให้ประเทศเสียเงินแบบสูญเปล่าอีกมหาศาลอีกด้วย

บ้านเอื้ออาทรหลายแห่งกลายเป็นหมู่บ้านร้างที่มีสิ่งปลูกสร้างคล้ายบ้านที่ดูแล้วไม่อยู่ในสภาพที่จะเป็นที่อยู่อาศัยได้ เรียงกันเป็นแถวยาว ใกล้ชิดกันขนาดที่หากมีคนอยู่ ก็สามารถเปิดหน้าต่างออกมาทักทาย แทบจะจับมือกับผู้ที่อยู่บ้านติดกันได้ นี่คือเงินที่สูญเปล่าทั้งสิ้น

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโครงการรับจำนำข้าว ที่นอกจากจะมีการทุจริตเป็นที่ประจักษ์แล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศ จนบัดนี้รัฐบาลยังใช้หนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ไม่จบไม่สิ้น และยังอีก 13 ปีจึงจะใช้หนี้หมด

ดังนั้นอย่าได้วิจารณ์หรือโจมตีผู้อื่นซึ่งยังไม่แน่ชัดด้วยซ้ำว่าเป็นอย่างที่ถูกโจมตีจริงหรือไม่ ในขณะที่ตัวเองมีส่วนในการทำให้ประเทศเสียหายยับเยิน ของจริง


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4292240754119780&id=100000016923106

“อนุทิน” จับมือ สมาพันธ์ 11 วิชาชีพ สู้โควิด-19 เผย บุคลากรสาธารณสุข ฉีดวัคซีนเกิน 90%

วันนี้ 29 เมษายน 2564  ที่ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมคณะผู้บริหารสธ. เข้าร่วมในงานแถลงข่าว "สมาพันธ์สภาวิชาชีพรวมใจ สู้ภัยโควิด-19" โดยสมาพันธ์สภาวิชาชีพแห่งประเทศไทย ทั้ง 11 สภาวิชาชีพ ประกอบด้วย แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา สภาวิศวกร สภาสถาปนิก สัตวแพทยสภา สภาเทคนิคการแพทย์ สภากายภาพบำบัด และสภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมระดมกำลังบุคลากรในแต่ละวิชาชีพสู้ภัยโควิด-19

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมให้การดูแลประชาชนในทุกมิติ ทั้งการรักษา ป้องกันควบคุมโรค และการทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงมือแพทย์โดยเร็ว ตลอดจนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครอบคลุมจำนวนประชากรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศไทย ตนรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่สมาพันธ์วิชาชีพทั้ง 11 สาขา เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกการป้องกันและควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลได้จัดเตรียมวัคซีนให้กับทุกคนในประเทศไทย ทุกสัญชาติ เพราะเรายึดหลักการว่า "จะไม่มีใครปลอดภัย หากทุกคนยังไม่ปลอดภัย หากเราฉีดแต่คนไทย ไม่ฉีดสัญชาติอื่นที่อยู่ในเมืองไทย เราก็พูดไม่ได้ว่าเราปลอดภัย" ดังนั้น การที่กลุ่มสมาพันธ์วิชาชีพฯ  โดยสาขาวิชาชีพสุขภาพ เข้ามาสนับสนุนภารกิจการฉีดวัคซีน ก็จะสร้างความมั่นใจให้ประชาชน และขับเคลื่อนให้การฉีดวัคซีนบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ

นายอนุทิน กล่าวว่า สธ. ได้ดูแลบุคลากรสาธารณสุข ผู้ทำงานด่านหน้าที่มีโอกาสเสี่ยงสัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ที่ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ให้ปลอดภัยจากการปฏิบัติงาน ด้วยการเร่งฉีดวัคซีนให้ครบ 100% ในเดือน พ.ค. โดยขณะนี้บุคลากรสาธารณสุขได้รับการฉีดวัคซีนเกินกว่า 90% ส่วนประชาชนทั่วไปจะเริ่มฉีดวัคซีนในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ ความช่วยเหลือจากสมาพันธ์ฯ จะช่วยลดอัตราการติดเชื้อในบุคลากรสาธารณสุขได้ และรัฐบาลก็จะจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันให้ผู้ปฏิบัติงาน ทำงานอย่างปลอดภัยมากที่สุด

"ผมในนามของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และคนไทยทุกคน ต้องขอขอบคุณความทุ่มเทเสียสละของจิตอาสาจากทุกสภาวิชาชีพ ที่เข้ามากับ สธ. ในการบริหารจัดการโควิด-19 ส่วนการให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ต้องขอความกรุณาจากสภาวิชาชีพที่มีสมาชิกกว่า 5 แสนคน ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง นำมาสู่การเข้ารับวัคซีนตามเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุข" นายอนุทินกล่าว

“จตุพร”ระบุไล่ “ประยุทธ์” ยก 3 จัดเต็ม ร่วมทุกฝ่ายทั้งการเมือง-ปชช.-นักวิชาการ เผย 1-2 พ.ค.นี้ มี ส.ส. มาร่วมส่งเสียงไล่ประยุทธ์ออกไป “เสรีพิศุทธ์-วิโรจน์-วันมูหะหมัด-ชลน่าน” เชื่อ ปชป.-ภท.ถูกถีบออกก่อนยุบสภา แขวะนายกฯ รวบอำนาจ กม. 31 ฉบับ ยังไม่รู้สึก?

เมื่อ 29 เมษายน 2564 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk โดยกล่าวถึงการจัดอภิปรายของคณะสามัคคีประชาชนในช่วงยก 3 วันที่ 1-2 พ.ค.นี้ จะมีนักวิชาการ ส.ส.หลายคนมาร่วมอภิปรายชำแหละระบอบประยุทธ์ ที่ปกครองประเทสไทยมากว่า 7 ปี แต่ไม่มีผลงานสำเร็จให้คนไทยได้ชื่นชมสักชิ้นงาน 

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอรวบอำนาจจากกฎหมายทั้ง 31 ฉบับมาไว้ที่คนเดียว เท่ากับเป็นการยึดอำนาจจาก ครม.และไม่มี รมต.คนใดคัดค้าน เปรียบเหมือนเป็นการรัฐประหารรูปแบบใหม่  

ดังนั้น การรวบอำนาจเช่นนี้ จึงแสดงถึงประยุทธ์ มีความคิดแยบยลในการยึดรวบอำนาจ จึงดูแคลนคนนี้ไม่ได้ เพราะหากไม่แน่จริงเขาคงจะไม่อยู่มาได้ถึง 7 ปี ทั้งที่การทำงานไม่ได้เรื่องสำเร็จสักเรื่องเลย 

ถึงที่สุดแล้ว การรวบอำนาจล่าสุดของประยุทธ์ เท่ากับทำให้สถานการณ์ของประเทศในขณะนี้ไม่มีอะไรแตกต่างจากการรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค. 2557 แม้ไม่มีทหารออกมาบนถนนก็ตาม โดยสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปกครองของ “ระบอบประยุทธ์” ได้ชัดเจน ว่า ต้องการให้อำนาจทั้งปวงอยู่ที่คน ๆ เดียว คือ ประยุทธ์ เปรียบเหมือนการเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์อีกแบบหนึ่งที่ได้อำนาจต่อเนื่องมาจากการรัฐประหาร 

"มีผู้ใหญ่สงสัยว่า เมื่อประยุทธ์ ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ทำไมจึงไม่เข้าเฝ้าในหลวงเพื่อถวายรายงานโควิด และขอคำปรึกษาจากพระเจ้าแผ่นดิน เพราะบริหารแผ่นดินมา 7 ปี ทำเอาประชาชนย่อยยับในทางเศรษฐกิจ แต่ผู้ใหญ่ฝากมาว่า ทำไมจึงไม่ขอเข้าเฝ้าอีก" 

พร้อมกล่าวว่า การบริหารที่ดีนั้น ไม่จำเป็นต้องรวบอำนาจมาอยู่ที่คนเดียว ต้องเฉลี่ยอำนาจไปอยู่ที่ ครม.รับผิดชอบ ดังนั้น จะเชื่อมั่นในระบบคนๆเดียวได้อย่างไร เพราะเมื่อรัฐประหารมีอำนาจคนเดียวแล้ว ยังไม่มีความสามารถในการบริหารและตระบัดสัตย์คำมั่นสัญญา โดยสิ่งที่รับปากจะปฏิรูปทั้งหลายมาเคยทำได้สักเรื่องเดียว สัญญาจะแก้ รธน.ก็ตระบัดสัตย์ แล้วสุดท้ายกลับไปลงที่ต้องการสืบทอดอำนาจให้ยาวนานอีกตามเดิม 

"ผมขอบอกไปยังพรรคประชาธิปัตย์ว่า วันหนึ่งต้องถูกเขี่ยทิ้งแน่นอนอยู่แล้ว การยึดอำนาจในกฎหมาย 31 ฉบับบอกได้อย่างดีและชัดเจนแล้ว อีกทั้งพรรคภูมิใจไทยที่กลุ่มหมอไม่ทนออกมาไล่นั้น ไม่รู้หรือใครอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น สองพรรคการเมืองนี้ต้องถูกถีบออกก่อนยุบสภาอยู่แล้ว” 

อีกอย่าง ภายใต้ระบอบประยุทธ์นั้น พรรคการเมืองเข้ามาร่วมรัฐบาลทั้งหลายแทบไม่ได้อะไรเลย ทั้งที่พรรคเหล่านี้ตระบัดสัตย์ต่อประชาชนไปเข้าร่วม แล้วการยึดอำนาจด้วยกฎหมาย 31 ฉบับ ยังไม่รู้สึกอะไรอีกหรือ และยังต้องการอยู่เพื่ออำนาจรัฐบาลเท่านั้นหรืออย่างไร 

“คณะสามัคคีประชาชนจึงต้องขับเคลื่อนไม่ให้ประยุทธ์ ทำงานอีก เพราะทำอะไรสำเร็จไม่ได้สักเรื่องตลอด 7 ปี แล้วการรวบอำนาจ 31 ฉบับจะอ้างว่า ไม่มีอำนาจอย่างนั้นหรือจึงแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วเมื่อยึดอำนาจ 22 พ.ค. 2557 มีอำนาจเต็มยังทำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้น จึงต้องไล่ประยุทธ์ ให้ออกไป เพราะไม่สมควรให้เป็นนายกฯ ในประเทศไทยอีกต่อไปแม้แต้เพียงวันเดียว” 

นายจตุพร กล่าวว่า การไล่ประยุทธ์ ในวันเสาร์-อาทิตย์ (1-2 พ.ค.) ที่จะถึงนี้ แบ่งเป็น 2 ภาค โดยภาคเริ่มแรกบ่ายโมงถึงสี่โมงเย็น จะมีหมู่มิตรคณะสามัคคีประชาชน ไทยไม่ทน เปิดเวทีปราศรัย ส่วนภาคสองเป็นช่วงสี่โมงเย็นเป็นต้นไป จะเป็นเวทีแขกรับเชิญทั้งนักการเมืองและนักวิชาการการเข้ามาร่วมด้วย 

โดยสัปดาห์นี้ (1-2 พ.ค.) มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ศ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าเพื่อไทยฝ่ายเศรษฐกิจ นายประพัฒน์ จงสงวน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมทั้งนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือ เต้ พระรามเจ็ด ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และมีอีกหลายคนต้องคิดตาม 

"ผมเชื่อว่าวันนี้ในซีกการเมือง กับฝ่ายประชาชนต่างส่งเสียงเหมือนกัน ว่า ประยุทธ์ ออกไป การมาร่วมของทุกฝ่ายนั้นล้วนจำเป็นอย่างยิ่ง หากไม่สามัคคีกันก็ถูกแบ่งแยกแล้วปกครอง อยู่ในสภาพสังคมไร้อนาคตเหมือนเดิม จึงขอบอกว่า เจตนารมณ์ของคณะสามัคคีประชาชน คือ เปิดประตูทุกบาน ใช้หลักแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ต้อนรับทุกคนในฐานะปัจเจกมาร่วมกันมาไล่ประยุทธ์ ออกไป ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของคนไทยในชาติ” 

ส่วนการประกันตัวเพนกวินและแกนนำราษฎรนั้น นายจตุพร ยืนยันว่า เป็นสิทธิของผู้ต้องหาและทุกคนต้องเคารพในสิทธินี้ด้วย พร้อมกับหวังว่า ทุกคนจะต้องได้ประกันตัวกลับไปสู่อ้อมอก พ่อ แม่ พี่น้อง สิ่งนี้เป็นความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ขณะเดียวกันตนก็เคารพสิทธิของผู้พิพากษาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตนย้ำเสมอว่า การแสดงความคิดแตกต่างทางการเมืองนั้น ไม่ควรต้องมีใครไปถูกขังคุกแม้แต่รายเดียว 

"ผมหวังว่า เมื่อประชาชนทุกฝ่ายส่งเสียงเหมือนกัน นั่นคือเสียงไล่ประยุทธ์ ออกไป วันนั้นความสามัคคีของประชาชนคือจุดเปลี่ยนที่แท้จริงของประเทศนี้ จึงชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมส่งเสียงในวันเสาร์-อาทิตย์นี้ และต่อเนื่อง” 

‘อนุทิน’ เยี่ยมศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ‘นิมิบุตร’ ตั้งเป้า 1 สัปดาห์ไม่มีผู้ป่วยตกค้างที่บ้าน พร้อมวางแผนหลังรักษาผู้ป่วยหมดแล้วเปลี่ยนโรงพยาบาลสนามเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนสำหรับกลุ่มวอร์คอินไม่สามารถลงทะเบียนผ่านระบบ 

เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางไปตรวจศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ โดยศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 แห่งนี้ จะเป็นศูนย์ช่วยบริหารจัดการสำหรับผู้ที่ยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แต่ยังตกค้างอยู่ที่บ้านยังไม่สามารถหาเตียงในสถานพยาบาลได้ เป็นศูนย์ที่ผู้ป่วยติดต่อผ่านคอลเซ็นเตอร์ 02-079-1000 เพื่อให้รถไปรับที่บ้าน หรือเดินทางมาเองโดยรถส่วนตัว เพื่อเข้ารับการดูแลเบื้องต้น คัดกรองและแยกระดับอาการเขียว เหลือง แดง ก่อนส่งต่อไปยังสถานพยาบาลตามอาการ ซึ่งจะลดปัญหาผู้ป่วยติดค้างที่บ้านได้ 

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ว่า หน่วยงานภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ระดมสรรพกำลังในการจัดตั้งศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยผ่อนคลายปัญหาคอขวดการส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 ในกรุงเทพฯ โดยผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 ติดต่อผ่านคอลเซ็นเตอร์ของเครือข่ายเอไอเอส เบอร์ 02-079-1000 จำนวน 40 คู่สาย จากนั้นจะมีรถจากเครือข่ายต่าง ๆ ที่เข้ามาร่วมทำงานไปรับที่บ้านมายังศูนย์ หรือสามารถเดินทางมายังศูนย์ด้วยตนเองแต่ต้องมาด้วยรถส่วนตัว จากนั้นศูนย์จะตรวจคัดกรองอาการแล้วส่งต่อไปยังสถานพยาบาลต่อไป หรือหากเกิดกรณีโรงพยาบาลเต็มที่ศูนย์ก็มีเตียงรองรับ 200 เตียง 

“ที่ผ่านมาอาจจะมีปัญหาการส่งต่อผู้ป่วยไม่ทัน กระทรวงสาธารณสุข คำนึงถึงภาวะจิตใจของประชาชนโดยเฉพาะผู้ติดเชื้อที่รอรถพยาบาลอยู่บ้าน ท่านคงมีความกังวล ญาติ ๆ สมาชิกในครอบครัวก็คงจะกังวล จึงระดมเครือข่ายทั้งหมดเข้ามาทำงาน ซึ่งโดยได้รับความกรุณาจากท่านพิพัฒน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ท่านปลัด การกีฬาแห่งประเทศไทย กรมพลศึกษาตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข เรามีเป้าหมายว่าภายใน 1 สัปดาห์ จะไม่มีผู้ป่วยติดค้างและไม่ได้รับการรักษา เรามีอุปกรณ์เวชภัณฑ์พร้อม มีระบบการส่งต่อ คัดแยกพร้อมจะแก้ไขปัญหานี้ได้” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว 

นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีแผนว่าภายหลังสามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้หมดแล้วจะปรับทั้งศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 และโรงพยาบาลสนามที่เกิดขึ้นทั่วประเทศเป็นสถานที่สำหรับฉีดวัคซีนให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่วอร์คอินเข้ามารับวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สะดวกในการลงทะเบียนผ่านระบบจองวัคซีน คือเพียงมีบัตรประชาชนก็เข้ารับวัคซีนได้ โดยพื้นที่โรงพยาบาลสนามเดิมจะสะดวกกับการให้บริการเนื่องจากวัคซีนโควิด-19 เป็นวัคซีนใหม่ ต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับเป็นพื้นที่เฝ้าสังเกตอาการหลังการฉีดวัคซีน 30 นาที  

“ที่เราจะให้มีพื้นที่สำหรับผู้ที่วอร์คอินเข้ามารับวัคซีนได้ เพราะเรามั่นใจว่าจะมีวัคซีนส่งเข้ามาจำนวนมาก ตั้งแต่ 1 มิถุนยน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป เพียงพอให้ประชาชนที่จองผ่านทางแอปพลิเคชั่น กับอสม. รวมถึงช่องทางอื่น ๆ รับเป็นบุคคลเป็นกลุ่ม ตลอดจนผู้จะวอร์คอิน โดยทุกกลุ่มจะได้รับรับวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว 

“ศุภชัย” เปรียบ “เสี่ยหนู” ยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางหมู่บ้านกระสุนตก ฝาก “บิ๊กตู่” มองให้ดีสงครามโควิด ใครเป็นขุนศึกร่วมรบ-รับหอกดาบแทน ถ้าไม่ใช่ “อนุทิน” ชี้ แคมเปญล่ารายชื่อไล่พ้นรมว.สธ. แค่ระบายอารมณ์-หวังผลทางการเมือง

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า นาทีนี้ “ชายเดียว” ที่ยืน “โดดเดี่ยว” ในหมู่บ้านกระสุนตก คงหนีไม่พ้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ที่โดนจัดหนัก จัดเต็ม ถูกจับเป็น “แพะ” บูชายัญ จากสถานการณ์โควิด-19 ทันทีที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อดีดขึ้นไปถึงพันจนทะลุสองพันกว่า บาปทุกอย่างก็ตกอยู่ที่ “เสี่ยหนู” ทั้ง ๆ ที่เมื่อมีการระบาดในสถานบันเทิงรอบนี้ กระทรวง หมอ ก็เสนอมาตรการป้องกัน และคาดการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ว่าหากไม่มีการจัดการใด ๆ หลังสงกรานต์จะเกิดอะไรขึ้นเอาไว้แล้ว

ทว่า เหตุผลทาง “เศรษฐกิจ” นำ “สุขภาพ” ดังนั้น ในเวลาที่คนทั่วไปกำลังพักผ่อนช่วงวันหยุดยาว ทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข ภายใต้การนำของ “หมอหนู” จึงต้องทำงานที่ “หนัก” อยู่แล้ว ให้ “หนักขึ้นไปอีก” เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น วัคซีนก็ยังต้องหา วางแผนการฉีด เตรียมสถานพยาบาลรองรับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ จนเมื่อเกิดภาวะ “ฝีแตก” ผู้ติดเชื้อสูงสุดเกือบเหยียบ 3 พัน มีผู้ป่วยที่ยังไม่ได้เตียง มีผู้เสียชีวิต คนบางกลุ่มก็ชี้ว่า เป็นความผิดของ “อนุทิน” ระดมทำแคมเปญลงชื่อขับไล่พ้นจาก “เก้าอี้” เพื่อระบายอารมณ์ และหวังผลทางการเมือง

ปัญหาการจัดส่งผู้ป่วย การจัดหาเตียง “มีจริง” ตัว “เสี่ยหนู” ก็ยอมรับ และแก้ไขด้วยการตั้งศูนย์แรกรับ ส่งต่อผู้ป่วย แบบไม่ปริปากถึงเรื่องราวเชิงลึกใด ๆ แม้เห็นกันชัด ๆ อยู่แล้วว่า “ปัญหานี้” เกิดขึ้นเพียงพื้นที่ กทม. ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจเต็มของสธ. ถามว่า 76 จังหวัด ที่มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทำไมไม่มีปัญหาแบบนี้ คำตอบจึงอยู่ในคำถาม ที่ผ่านมาสิ่งที่ “เสี่ยหนู” ทำ คงไม่ได้ดีที่สุด ถูกใจทุกคนที่สุด แต่การทำงานที่ผนึกกับทีม สธ. จนทำให้ไทยประคับประคองสถานการณ์สู้กับโควิด -19 มาได้จนถึงวันนี้  

การจัดหาวัคซีนซิโนแวค ด้วยคอนเน็คชั่นส่วนตัว เต็มใจควักกระเป๋า ถ้าจะทำให้จัดส่งเร็วขึ้น การวางแผนจัดหาวัคซีน ที่ไทยไม่เข้าร่วมโคแวค ซึ่งวันนี้ชัดเจนแล้วว่าโคแวค ไม่สามารถจัดหาวัคซีนให้ได้ตามที่ตกลงไว้  แต่ไทยมีสยามไบโอไซแอนท์ ที่ผลิตวัคซีนได้ภายในประเทศของเราเอง ยาฟาวิพิราเวียร์ที่มีอยู่ในสต็อก คน ๆ นี้ ไม่มี “เครดิต” เลยหรือ
        
ส่วนการที่ “นายกลุงตู่” ใช้วิธีพิเศษ รวบอำนาจจากหลายกระทรวง และตั้งคณะกรรมการ 4 คณะ เพื่อมาทำเรื่อง โควิด-19 ก็ไม่ใช่เครื่องหมายที่จะมาตีตราว่า “เสี่ยหนู” กับ กระทรวงหมอจัดการไม่ได้ เพราะถ้ามองให้ดี ๆ จะเห็น “ชัดในชัด” ว่าไม่มีอะไร “ใหม่” ทั้งการหาวัคซีน การฉีดวัคซีน ทุกอย่างเป็นไปตามที่ สธ. วางแผนไว้ทั้งสิ้น สิ่งที่ “นายก” ทำคือการบริหารอารมณ์ ความรู้สึกของภาคเอกชน ให้คนมีความคิดเห็นได้มีพื้นที่แสดงออก มีส่วนร่วมในการทำงาน
       
แค่อยากฝากถึง “บิ๊กตู่” ว่าในการศึกโควิด-19 ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ใครคือขุนศึกร่วมรบ ก็เห็นมีแต่ “รองนายกหนูเพียงหนึ่งเดียว” ที่เป็น “หนังหน้าไฟ” ออกมา “ไฟท์” กับทุกเหตุการณ์ ฟาดกับฝ่ายตรงข้าม รับหอกรับดาบให้ลุงอย่างไม่เกรงสิ่งใด คำตอบชัดคือ “เสี่ยหนู” เวลานี้รัฐบาลควรเป็นหนึ่งเดียว อย่าให้ผู้ไม่หวังดีที่คอยเป่าขนหาแผล คิดว่าเจอรอยแยก แล้วปั่นให้ปริแตก “คนที่มีใจจริง” ไม่ใช่คนที่ออกฉาก แล้วมีแต่คำพูดที่สวยหรู แต่คือคนไม่ฆ่าน้องที่ทำงานใต้บังคับบัญชา ไม่ฟ้องนายที่เป็นผู้นำทีม ไม่ขายเพื่อนที่ต้องทำงานร่วมกัน

#คนภูมิใจไทย
#พรรคภูมิใจไทย

“วิรัช” ป้อง “นายกฯ” แก้ โควิด-19 ดีเลิศ ชี้ หากเป็นคนอื่นคงบริหารห่วย วอน พักการเมือง หันจับมือ ฝ่าวิกฤตก่อน

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวถึงการจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาล ว่า การจัดการในต่างจังหวัดดีกว่ากรุงเทพมหานคร เพราะดูแลเข้มงวด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการ หากพบว่ามีการติดเชื้อในหมู่บ้านใดจะสั่งปิดหมู่บ้านนั้นทันที ต่างจากกรุงเทพฯที่ต้องระดมหลายหน่วยงานเข้ามาแก้ไขปัญหาช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยตกค้าง ดังนั้นในภาวะนี้ไม่อยากให้การเมืองไปเพิ่มความวุ่นวายกับรัฐบาล ที่ต้องตั้งหลักแก้ไขปัญหา ส่วนที่หลายฝ่ายอยากให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีลาออก มองว่าไม่ใช่ประเด็น เพราะเป้าหมายของพรรคพปชร.คือทำอย่างไรให้การบริหารสถานการณ์โควิดผ่านไปได้ด้วยดี

ผู้สื่อข่าวถามว่าเวลานี้สังคมวิจารณ์ว่ารัฐบาลบริหารงานห่วย นายวิรัช กล่าวว่า ยอมรับว่ามีผู้ติดเชื้อมาก และที่หนักคือในพื้นที่กรุงเทพฯแต่ประเมินแล้วว่า สถานการณ์น่าจะเอาอยู่ สิ่งที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี บริหารถือว่าดีเกินสำหรับการบริหารในสถานการณ์ช่วงวิกฤต เพราะแก้ไขทุกสถานการณ์ได้ฉับไว และไม่ห่วยเพราะถ้าเป็นคนอื่นมาบริหารคงจะห่วยกว่านี้ ส่วนที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน เรียกร้องให้นายกฯลาออก ในสายตาฝ่ายค้านบริหารอย่างไรก็ไม่ดี ต้องว่าตลอด แต่สำหรับพรรคร่วมรัฐบาล คิดว่านายกฯบริหารดีอยู่แล้วและต้องให้กำลังใจอย่างเต็มที่

เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล บางคน แสดงความเห็นโจมตีนายกฯนายวิรัช กล่าวว่า เห็นเพียงแค่ 2-3 ราย และมี ส.ส.พรรคพปชร.ตอบโต้กลับไป ถือเป็นความเห็นส่วนตัวของ ส.ส.แต่ละคน อย่าเก็บเป็นประเด็นที่ผ่านมาก็มีมาทุกยุคทุกสมัย ทั้งนี้ตนประสานงานภายในพรรคร่วมรัฐบาลตลอด หากมีเหตุการณ์ที่กระทบกระทั่งบ้างก็ต้องห้ามปราม เป็นเรื่องปกติของพรรคร่วมรัฐบาลแต่พยายามขอความร่วมมือให้ทุกคนอยู่นิ่งเพื่อให้การบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย 

“ธรรมนัส” ลั่น ปม “บิ๊กตู่” แบ่งงานคุมใต้ไม่มีปัญหา ยัน ไม่ได้ตีหัวเมืองใคร ปัดตอบ รมต.นินทานายกฯ เชื่อ พรรคร่วมไม่ตีจาก ไม่หวั่นศาล รธน.วินิจฉัย สถานะส.ส.-รมต.ปมติดคุก ตปท. 5 พ.ค.นี้ 

เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี ที่ 85/2564 เรื่องมอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดที่มอบหมายให้ ร.อ.ธรรรมนัส ดูแลภาคใต้ ว่า ช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาทำงานในฐานะรมช.เกษตรฯ และตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม รวมถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร. แต่งตั้งและมอบหมายให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ ถือว่าได้ลงพื้นที่ทุกจังหวัดและทำพื้นที่มาตลอด

ดังนั้นการแบ่งงานให้รัฐมนตรีรับผิดชอบในแต่ละจังหวัด ไม่ใช่ประเด็นและไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายให้ดูแลจังหวัดไหน ก็ไปเกือบทุกจังหวัดอยู่แล้ว ไปเยี่ยมประชาชนเดือดร้อนทุกที่ และการแบ่งงานเป็นอำนาจของนายกฯไม่ใช่อำนาจของรัฐมนตรี เมื่อตัดสินใจมอบหมายว่าให้ใครทำแล้ว หน้าที่ของรัฐมนตรีคือต้องทำให้ดีที่สุด ทั้งนี้ยังไม่ได้คุยกับทางพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องนี้ ส่วนนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ก็คุยกันอยู่แล้ว 

ผู้สื่อข่าวถามว่าการมอบหมายให้ไปดูภาคใต้ ถูกมองว่าไปตีหัวเมืองพรรคร่วมรัฐบาล ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่ใช่ 

เมื่อถามว่าเรื่องนี้อาจทำให้มีปัญหากับพรรคประชาธิปัตย์ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า คิดมากกันเอง อย่าไปคิดมาก เพราะเราทำงาน เป้าหมายสูงสุดคือพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่มีเรื่องอื่น เมื่อถามย้ำว่าจะกลายเป็นความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเป็นส.ส.พรรคพปชร. แต่มีพรรคพวกเยอะ ทุกพรรคเราเป็นเพื่อนกัน เป็นพวกกัน มีอะไรก็หันหน้าพูดคุยกัน 

เมื่อถามว่านายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นในลักษณะยังไม่ค่อยพอใจ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่ทราบเพราะเป็นความเห็นส่วนตัวของนายจุรินทร์ 

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่นายกฯระบุในครม.เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา ว่ามีคนนินทา ร.อ.ธรรมนัส กล่าวพร้อมกับหัวเราะว่า เรื่องนี้ไม่ทราบและตนก็ไม่ค่อยอยู่ในครม.เพราะส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ 

เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายค้านเรียกร้องให้นายกฯลาออกเพราะบริหารจัดการแก้โควิด-19 ล้มเหลว รวมถึงไม่แก้รัฐธรรมนูญตามที่สัญญา ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เรื่องโควิด-19 เวลานี้ ถ้าพูดภาษาทหารก็เป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 เป็นการต่อสู้ของมนุษย์ที่เป็นสิ่งที่ชีวิตกับสิ่งที่มองไม่เห็น และกระทบมนุษย์ทั่วโลก ดังนั้นคนไทยต้องช่วยกันทุกฝ่าย เพื่อแก้ปัญหาให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤต ทั้งรัฐและเอกชนเดินหน้าไปด้วยกัน คนไทยเรารักกันเมื่อมีวิกฤตต้องช่วยกัน อย่าเอาการเมืองมาเล่นมากเกินไป ส่วนข้อเรียกร้องของฝ่ายค้านก็เป็นเรื่องของฝ่ายค้าน โดยการแก้ปัญหารัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภาที่ต้องขับเคลื่อน 

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลอาจใช้สถานการณ์โควิด ตีตัวออกห่างจากพรรคพปชร.และนายกฯ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นว่าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคต่างก็คิดว่าเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เวลานี้ประชาชนเดือดร้อนไม่ควรมาคุยเรื่องการเมือง แต่ให้ช่วยเหลือประชาชนเพราะคำตอบสุดท้ายประชาชนก็จะดูและพิจารณาว่าพรรคร่วมพรรคใดที่ประชาชนจะไว้วางใจและคิดว่าการออกมาแสดงความคิดเห็นใด ประชาชนเขามองอยู่ 

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่ในวันที่ 5 พ.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ นัดอ่านวินิจฉัยวินิจฉัยสถานะส.ส. และสถานะรัฐมนตรี จากกรณีเคยต้องคำพิพากษาจำคุก ของศาลต่างประเทศ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่กังวล เราทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายและเป็นอยู่ทุกวันให้ดีที่สุด 
 

'ราเมศ' หนุน พาณิชย์ จัดการเดลิเวอรี่ ขึ้นค่าบริการ เอาเปรียบ ปชช 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณี มาตรการรับมือโควิดพาณิชย์ สั่งคุมเข้มค่าบริการดีลิเวอรี่ป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภคว่า สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวเต็มที่ เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนมายังพรรคหลายรายอยากให้ภาครัฐเข็มงวด เพราะหากมีการเอาเปรียบโดยการขึ้นค่าบริการในการส่งของกินของใช้แบบเดลิเวอร์รี่ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมประชาชนในสถานการณ์เช่นนี้ การสั่งอาหารมารับประทานที่บ้าน รวมถึงของกินของใช้สั่งผ่านระบบออนไลน์ ใช้วิธีการส่งแบบเดลิเวอร์รี่ ก็จะเป็นอีกหนึ่งความร่วมแรงร่วมใจป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นกัน

การที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พาณิชย์ ได้สั่งการให้แต่ละจังหวัดเข้าไปดำเนินการ เข้าไปตรวจสอบอัตราค่าบริการในส่วนของธุรกิจเดลิเวอรี่มากขึ้น เพราะในช่วงโควิดประชาชนหันมาใช้บริการการส่งแบบเดลิเวอรี่เพิ่มมากขึ้น เพื่อไม่ให้มีการเอาเปรียบเรื่องของราคาค่าบริการกับภาคประชาชน ถือได้ว่าเป็นนโยบายที่ดี ที่จะทำให้ประชาชนไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ จะช่วยประชาชนทั่วไปได้เป็นอย่างมาก แต่สิ่งสำคัญขณะนี้ เราคนไทยทุกคนจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกัน สามัคคีกัน ในทุก ๆ ด้าน พึ่งพาอาศัย เห็นอกเห็นใจกัน ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน เชื่อว่าเราจะก้าวข้ามสถานการณ์นี้ไปด้วยกันอย่างแน่นอน

‘นายกโต้ง’ นพพร อุสิทธิ์ นายก อบจ.ชุมพร พร้อมคณะ สมทบเงินรวม 7 แสนบาท ร่วมกับ ‘กลุ่มเพื่อน ส.ส.ลูกหมี-ส.ส.ลูกช้าง’ นำโดย ชุมพล จุลใส - สุพล จุลใส อีก 3 แสนบาท รวมเป็นเงิน 1 ล้านบาท มอบให้กับ ผวจ.ชุมพร ใช้ต่อสู้โควิด ที่ผู้ติดเชื้อเพิ่มต่อเนื่อง

เมื่อเวลา 09.09 น. (29 เม.ย. พ.ศ.2564) ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 หน้าที่ทำการ อบจ.ชุมพร นายนพพร อุสิทธิ์ นายก อบจ.ชุมพร,คณะผู้บริหาร, สจ.ของ "ทีมพลังชุมพร" และคณะ ร่วมกับ “กลุ่มเพื่อน ส.ส.ลูกหมี-ลูกช้าง นำโดย นายชุมพล จุลใส ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 จ.ชุมพร, นายสุพล จุลใส ส.ส.พรรครรวมพลังประชาติไทย เขต 3 จ.ชุมพรและเพื่อน ๆ ได้มอบเงินจำนวน 1 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นของคณะผู้บริหารและสจ.ของ "ทีมพลังชุมพร” และคณะ จำนวน 7 แสนบาท รวมกับของ “กลุ่มเพื่อน ส.ส.ลูกหมี-ลูกช้าง” อีก 3 แสนบาท โดยมี นายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย นายแพทย์จิรชาติ เรืองวัชรินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชุมพร เป็นผู้รับมอบ

นายนพพร อุสิทธิ์ นายก อบจ.ชุมพร กล่าว ในฐานะที่ผมเป็นนายก อบจ.ชุมพร ทราบดีว่า การต่อสู้เอาชนะกับโรคติดต่อร้ายแรงที่กำลังแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ครอบคลุมไปทั่วประเทศแล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึง อสม.ต้องทุ่มเทและเสียสละอย่างหนักตลอด ซึ่งทาง อบจ.เองก็ได้สนับสนุนงบประมาณอยู่ตลอดเช่นกัน โดยเป็นไปตามภารกิจหน้าที่ตามกฎหมาย และตามมติของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด แต่สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน หากรอพียงการสนับสนุนงบประมาณของทางราชการเพียงอย่างเดียว ด้วยระเบียบและข้อกฎหมาย อาจไม่ทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคได้ การพร้อมใจกันสมทบเงินเป็นก้อนแรก เพื่อหวังว่าจะสามารถทำให้การปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์มีความคล่องตัวและทันต่อสถานการณ์มากยิ่งขึ้น จนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้โดยเร็วในที่สุด หากจำนวนเงินดังกล่าวยังไม่เพียงพอ พวกเรายินดีที่จะระดมทุนเพิ่มให้ในโอกาสต่อไปอีก

ด้าน นายชุมพล จุลใส กล่าว ขณะนี้ชาวบ้านและพี่น้องประชาชน มีความเดือดร้อนอย่างหนัก มีความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ที่มีแนวโน้มยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มเพื่อน ส.ส.ลูกหมี-ลูกช้าง ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการพุดคุยหารือกันอยู่ตลอด ว่า จะมีวิธีใดบ้างที่จะสามารถช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์ ชาวบ้านและพี่น้องประชาชนได้ เพราะพวกเรามาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน พี่น้องเดือดร้อน เป็นทุกข์ เราก็ต้องหาทางช่วยเหลือบรรเทา ซึ่งในเบื้องต้นจึงได้ร่วมกันกับ ทีมพลังชุมพร เพื่อมอบเงินให้กับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชุมพร เพื่อให้เกิดความคล่องตัว จะได้ทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคได้


ธนากร โกศลเมธี รายงาน

พท.ชวนคนไทยนับหนึ่ง ลั่น “ประยุทธ์” ต้องลาออก ไม่ต้องอยู่เป็นนายกฯ อีกต่อไป

เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2564  ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นางสาวอรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรค พท.แถลงว่า พรรค พท.อยากเห็นท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลต่อการบริหารงานผิดพลาดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ทั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านขีดเส้นตายการลาออกของ พล.อ.ประยุทธ์จากการล้มเหลวผิดพลาดในการบริหารงานของ ดังนั้นการลาออกของ พล.อ.ประยุทธ์จึงเป็นการแก้วิกฤตในสถานการณ์วิกฤต เพื่อให้ประเทศนับหนึ่งใหม่อีกครั้งจากที่ผ่านมาติดลบ สิ่งที่รัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ต้องทำคือการลาออก ทั้งจากการล้มเหลวการบริหารจัดการวัคซีน เงินกู้ 1 ล้านล้านที่ใช้ไม่เกิดประโยชน์ การบริหารแบบไม่กระจายอำนาจ รวบอำนาจ สะท้อนถึงความล้มเหลว ไม่ว่าจะรวบอำนาจอีกกี่ครั้งแต่นายกฯ ยังเป็น พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ดังนั้นพล.อ.ประยุทธ์ไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นนายกฯ อีกต่อไป 

นางสาวอรุณี กล่าวอีกว่า ส่วนที่ภาคเอกชนจะจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมนั้น แต่รัฐบาลอาจมองว่าการจัดหาวัคซีนทางเลือกเป็นการกระทำระหว่างรัฐบาต่อรัฐบาล แต่ถ้าเอกชนที่มีศักยภาพควรให้มีการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมได้ ดังนั้นอยากยืนยันว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องนับหนึ่งใหม่ ประเทศก้าวต่อไปโดย พล.อ.ประยุทธ์ต้องลาออก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top