Tuesday, 22 April 2025
POLITICS NEWS

"รองโฆษก ปชป." ประนามผู้ไม่หวังดี หยุดปั้นเฟคนิวส์ สร้างความหวาดกลัวตระหนกตกใจในสถานการณ์โควิด-19

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่าจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง ที่ทำให้ประเทศอยู่ในวิกฤตสาธารณสุขและหลายครอบครัวต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจไปอย่างควบคู่กัน เป็นที่น่าเสียใจว่าในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังช่วยกันเร่งแก้ปัญหา กับมีบุคคลบางกลุ่มไม่หวังดี ซ้ำเติมประเทศชาติในรูปแบบของ Fake News ที่ล้วนแต่สร้างความเสียหายและทำให้สังคมสับสน และนำไปสู่การสร้างความตื่นตระหนกและทำให้สถานการณ์บางอย่างเลวร้ายไปกว่าเดิม ซ้ำเติมปัญหาให้มากขึ้นไปอีก 

โดยนางดรุณวรรณ ได้กล่าวต่อว่าแม้การระบาดได้เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันและรุนแรงขึ้นกว่าเดิม กลุ่มคนที่ไม่หวังดีก็ยังมีพฤติกรรมในการสร้าง Fake News คือข้อมูล ข้อความ หรือข่าวอันเป็นเท็จหลอกลวงหรือบิดเบือนจากข้อเท็จจริงมาโดยตลอดตัวอย่างล่าสุดเช่นเรื่องการปล่อยข่าวลวงเรื่อง ศบค. ประกาศเคอร์ฟิว เวลา 23.00 – 04.00 น. ในพื้นที่สีแดง 18 จังหวัด หรือการแพร่ระบาดบริเวณร้านอาหารย่านเยาวราช มีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในพื้นที่เป็นจำนวนมากทำให้มีผู้ที่หลงเชื่อแชร์ข่าวต่อกันไปอีกเป็นจำนวนมาก สร้างความเสียหายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังมีเฟคนิวส์รูปแบบต่าง ๆ เช่นการพาดหัวข่าวทำให้เกิดความเข้าใจผิด การเขียนข่าวหรือทำคอนเทนต์โดยจงใจให้เกิดความเข้าใจผิด การมโนที่มา อ้างอิงไปยังบุคคลหรือแหล่งข่าวด้วย ทั้ง ๆ ที่เขียนโดยคิดหรือมโนขึ้นมาเอง หรืออ้างว่าเป็นข่าวลือในองค์กรที่น่าเชื่อถือ  แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการปลอม หรือตัดต่อ หากไม่สังเกตให้ดีจะดูไม่ออก เพราะการตัดต่อรวมถึงการตัดต่อภาพ เสียง วิดีโอ หรือแม้กระทั่งการเอาโลโก้ของสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือมาใส่ แต่ขั้นที่รุนแรงที่สุดของ Fake News คือการมโนทุกอย่าง ปลอมข่าวขึ้นมา เช่น ปลอมเป็นเว็บสำนักข่าวดัง ถือว่าร้ายแรงมาก เนื่องจากทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นสำนักข่าวนั้น ๆ 

“ขอประนามผู้ที่กระทำไม่ว่าจะทำขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ถือเป็นผู้ที่ผู้ไม่หวังดีกับประเทศชาติ และสมควรได้รับการลงโทษตามกฎหมาย โดยเฉพาะการปล่อย Fake News ในพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉิน และขอให้กระทรวงดิจิทัลฯ ช่วยติดตามสอดส่องอย่างเข้มข้น และที่สำคัญที่อยากฝากไว้สำหรับทุกคนคือ #ไม่แชร์ถ้าไม่ชัวร์ คือไม่ควรแชร์หรือส่งต่อข้อมูลที่ไม่ชัวร์ ที่ตัวเองไม่มั่นใจ โดยเฉพาะข้อมูลที่ไม่มีแหล่งข่าวอ้างอิงปรากฎชัดเจน ที่สำคัญคือหากรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลเท็จ แต่ยังส่งต่อข้อความนั้น กฎหมายก็กำหนดให้ “ผู้ส่งต่อ” มีความผิดและได้รับโทษเช่นเดียวกันกับผู้นำเสนอข่าวเท็จดังกล่าวด้วย” นางดรุณวรรณ กล่าว

นางดรุณวรรณ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ในส่วนของประชาชนก็ควรมีส่วนในการตรวจสอบข่าวปลอมร่วมกันกับภาครัฐด้วย ข้อมูลใดที่ไม่แน่ใจสามารถตรวจสอบได้ผ่านแหล่งข้อมูลของภาครัฐ หรือศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของประเทศไทย สำหรับข่าวที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ควรเสพสื่อหรือฟังข่าวจากหน่วยงานที่เป็นผู้ให้ข่าวอย่างเป็นทางการ ซึ่งภาครัฐเองในปัจุบันโดย ศบค. ก็ได้มีความพยายามในการสื่อสารข่าวด้วยความรวดเร็ว ชัดเจนมากขึ้นแล้ว ในขณะเดียวกันหากประชาชนได้รับข้อมูลที่รวดเร็ว แม่นยำ ก็จะช่วยลดความตระหนกตกใจ ไม่กังวล จนทำให้ต้องไปแสวงหาข้อมูลด้วยตนเองด้วยเช่นกัน

หน.ศปม. ส่งรถทหาร 10 คัน ช่วยภารกิจลำเลียงผู้ป่วยประเภทสีเขียว ไปส่งรพ.สนาม สั่งแสตนบายอีก 20 คัน

เมื่อวันที่ 22 เม.ย. พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (หน.ศปม.) กล่าวถึงกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้นำรถทหาร เข้ามาช่วยในการลำเลียงผู้ป่วยโควิด-19 ว่า จะเข้ามาสนับสนุนในส่วนผู้ป่วยประเภทสีเขียว คือที่แพทย์ได้วินิจฉัยแล้วว่ามีผลเป็นบวก แต่อาการไม่มาก โดยจะเคลื่อนย้ายจากโรงพยาบาล ที่ผู้ป่วยได้เข้ารับการตรวจ และเอ็กซเรย์ปอดวินิจฉัยแล้วเข้าข่ายผู้ป่วยประเภทสีเขียว ไปส่งยังโรงพยาบาลสนาม

เบื้องต้นจนถึงขณะนี้ กองทัพได้สนับสนุนรถทหาร ในภารกิจแล้ว 10 คัน ตามแผนจะใช้ประมาณ 30 คัน โดยจะเป็นรถพยาบาล ของกองพันเสนารักษ์รวมถึงรถสองตอน ที่ต้องแยกระหว่างคนขับกับผู้ป่วยออกจากกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะดำการในกรุงเทพมหานครเป็นหลัก


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“จุรินทร์” ไม่วิเคราะห์นายกฯ ออกคำสั่งส่ง “ธรรมนัส” คุมปักษ์ใต้ ชี้ทุกคนอ่านออก แต่ “วิษณุ” แจ้งที่ประชุม ครม.แล้วว่าจะแก้ไขให้ใหม่จึงต้องรอดู

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อ 20 เมษายนที่ผ่านมา ที่ที่ประชุมรับทราบคำสั่งนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้รัฐมนตรี รับผิดชอบงาน ภายใต้แนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด เพื่อให้การพัฒนา และแก้ไขปัญหาระดับจังหวัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการมอบหมายให้ร้อยเอกธรรมนัส พรมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปดูแลจังหวัดใหญ่ ๆ ในภาคใต้ ทั้งสงขลา ,นครศรีธรรมราช และภูเก็ต 

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ดูแล ว่าตนไม่ขอตอบตรงนี้ และไม่ขอไปวิเคราะห์ เพราะคิดว่าทุกคนก็สามารถเข้าใจได้ไม่ต่างกัน  เพียงแต่ว่านายวิษณุ  เครืองาม  รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วว่าจะมีการแก้ไขปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสม เพราะฉะนั้นก็ต้องรอตรงนั้นก่อน ซึ่งความจริงรัฐมนตรีหลายท่านก็เหมือนที่ปรากฏเป็นข่าว คือจะมีส่วนในการรับผิดชอบพื้นที่ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่

แต่ในส่วนของประชาธิปัตย์รัฐมนตรีหลายท่านก็ไม่ได้เข้าไปดูแลในพื้นที่ตรงนั้น ตัวอย่างเช่นกรณีของนายนิพนธ์ ที่เป็นอดีต ส.ส.สงขลา ดูแลพื้นที่จังหวัดสงขลา และนครศรีธรรมราช แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนให้ไปดูแลจังหวัดตรัง ละสตูล หรือแม้แต่นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ และส.ส.สุราษฎร์ธานี ก็ไม่ได้ดูแลพื้นที่ตนเอง แต่ได้ดูแลพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และหนองบัวลำภู หรือแม้แต่นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่เป็นอดีต ส.ส.พิษณุโลก ก็ไม่ได้ดูแลจังหวัดพิษณุโลก และไปดูแลจังหวัดอำนาจเจริญ ยโสธร และพัทลุงแทน

“แต่ทั้งหมดนี้เมื่อนายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมชี้แจงว่าจะมีการปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นต่อไปก็ต้องรอว่าจะเป็นอย่างไร” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

"เทพไท" ยกผลโพลของ สถาบันปกเกล้า และสถิติแห่งชาติ เรียกร้อง ส.ว.และพรรคการเมือง ฟังกระแสสังคม

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่สถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ จำนวน 22,830 ตัวอย่าง กระจายตามเพศ อายุ อาชีพ และระดับการศึกษา ระหว่างวันที่ 1 - 19 เม.ย.ที่ผ่านมา และพบว่าประชาชนในสัดส่วนร้อยละ 77.5 มีความต้องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ขณะที่ร้อยละ 22.5 บอกว่าไม่ต้องการแก้ไข ซึ่งเป็นผลการสำรวจที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะสถาบันพระปกเกล้า เป็นสถาบันที่ส่งเสริมประชาธิปไตย สังกัดรัฐสภาและสำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นหน่วยงานราชการของรัฐบาล มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบสอบถาม และสำรวจข้อมูลมากที่สุด ซึ่งเชื่อว่าทั้ง2หน่วยงาน มีความเป็นมืออาชีพ มีจรรยาบรรณในการสำรวจความคิดเห็น และมีความเป็นกลางทางการเมือง ไม่ถูกแทรกแซง หรือรับใบสั่งจากนักการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  เมื่อเปรียบกับผลการสำรวจ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของโพลบางสำนัก ที่ขาดความน่าเชื่อถือ เพราะมีการออกแบบสอบถาม และสำรวจความคิดเห็น ตามใบสั่งของฝ่ายการเมือง หรือต้องการผลสำรวจที่เชียร์กลุ่มการเมืองบางฝ่ายเท่านั้น 

สำหรับผลการสำรวจของสถาบันพระปกเกล้าร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่มีผลออกมาชัดเจนว่า ประชาชนร้อยละ 77.5 เห็นด้วยให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งน่าจะเป็นคำตอบเบื้องต้นให้กับพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร ได้นำไปเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงสมาชิกวุฒิสภา ก็ควรจะฟังกระแสของประชาชนว่า มีความต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากน้อยแค่ไหน รวมถึงผลการสำรวจของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น ควรเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. ร้อยละ 39.1 รัฐสภา ร้อยละ 30.8 ซึ่งผลของทั้ง2ข้อนี้ เป็นการชี้ให้เห็นถึงเจตนารมย์ของประชาชน ที่ต้องการให้มีการแก้ ไขรัฐธรรมนูญผ่านตัวแทนของประชาชนเท่านั้น เพียงแต่จะใช้วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) หรือจากรัฐสภาเท่านั้น 

จึงอยากให้สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้รับฟังกระแสของสังคม  และพรรคการเมืองหลายพรรค ที่หาเสียงด้วยนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรจะรักษาสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชน ในการหาเสียงเลือกตั้ง รวมถึงพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ต้องรับผิดชอบ และปฎิบัติตามนโยบายเร่งด่วนข้อ12ของรัฐบาล ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย

"พล.อ.ประวิตร" ประชุม คกก.ยศ.ชาติ ติดตามความคืบหน้า กำชับหน่วยงานหลัก เร่งขับเคลื่อนนำสู่การปฏิบัติ เน้นปชช.มีส่วนร่วม มุ่งเป้า ชาติมั่นคง/ปชช.มีความสุข

เมื่อ 22 เมษายน พ.ศ.2564 พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้เวลา10.00น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบูรณาการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ด้านความมั่นคง ครั้งที่ 1/2564   ณ  ห้องประชุม วิจิตรวาทการ  สมช.  ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุม ได้รับทราบผลการดำเนินงาน ตามมติที่ประชุม คณะกรรมการบูรณาการ ยศ.ชาติ ด้านความมั่นคงเมื่อ 16 เมษายน 63 โดยมีหน่วยงานเจ้าภาพหลัก รับผิดชอบประกอบด้วย กอ.รมน. ,กห. ,กต.และ สมช. ซึ่งมีความคืบหน้า อย่างต่อเนื่อง  ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง จะต้องให้ความสำคัญ ต่อการสร้างความเข้าใจ และการนำแผนดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ ให้เกิดผลสำเร็จ อย่างเป็นรูปธรรม เน้นให้มีการบูรณาการทำงาน ที่การประสานสอดคล้องกัน และให้ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อบรรลุผลสัมฤทธิ์ ตามเป้าหมาย ยศ.ชาติ ด้านความมั่นคง คือประเทศชาติมั่นคง/ประชาชนมีความสุข  พร้อมเน้นย้ำให้มีการทบทวน ยศ.ชาติ และแผนแม่บทฯ ให้มีความทันสมัยสอดคล้องตามบริบท สถานการณ์ของประเทศไทย ทุกๆด้าน อย่างแท้จริง

ขนส่งทางบก ออกมาตรการป้องกันโควิด-19 ขนส่งทั่วประเทศ ตรวจเข้ม ทั้งสถานีขนส่งผู้โดยสารและจุด Checking point ย้ำ!!! รถโดยสารทุกประเภทปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 20) และสอดคล้องกับนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้กระทรวงคมนาคมหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบและกำกับดูแลการให้บริการขนส่งผู้โดยสารที่เป็นการขนส่งสาธารณะทุกประเภท โดยต้องมีการจัดระบบและระเบียบต่างๆ เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคและแนวปฏิบัติตามพื้นที่สถานการณ์ที่ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) กำหนด ซึ่งปัจจุบันได้มีการปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ในจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและพื้นที่ควบคุมในหลายจังหวัด 

ดังนั้น เพื่อให้สามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมการขนส่งทางบกได้ให้สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้มงวดตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะและการให้บริการสถานีขนส่งผู้โดยสาร ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่ง และจุดตรวจเข้มข้นรถโดยสารสาธารณะ Checking Point ทั่วประเทศ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด จนกว่าสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ และขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งพิจารณาปรับลดจำนวนเที่ยวการเดินรถระหว่างจังหวัดในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดเท่าที่สามารถจะทำได้ โดยให้สอดคล้องตามความจำเป็นและให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ ในส่วนของการเดินรถโดยสารสาธารณะในเขตเมืองขอให้ปรับลดการให้บริการในช่วงเวลา 23.00 น. จนถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 
.
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะทุกประเภทยังสามารถให้บริการได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด คือ เว้นระยะห่างระหว่างกันและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น (D-Distancing) สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ทั้งพนักงานขับรถ ผู้ให้บริการ และผู้โดยสาร (M-Mask wearing) จัดให้มีจุดบริการเจลแอลกออฮอล์ล้างมืออย่างทั่วถึงเพียงพอ และล้างมือบ่อยๆ (H-Hand washing) ตรวจอุณหภูมิร่างกาย (T-Temperature) ตรวจหาเชื้อ (T-Testing) ใช้แอปพลิเคชันไทยชนะและหมอชนะ (A-Application) หรือกรอกข้อมูลการเดินทางตามแบบฟอร์มที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดทั้งก่อนและหลังการเดินทางทุกคน 

ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้กำชับให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้มงวดการตรวจคัดกรอง หากพบผู้ที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ผู้ประกอบการขนส่งสามารถปฏิเสธการให้บริการและให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุขทันที นอกจากนี้ให้เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสภายในรถ ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร ขณะเดินทางรถโดยสารปรับอากาศต้องมีการระบายอากาศภายในรถเป็นระยะ และงดการให้บริการอาหารบนรถในระหว่างการเดินทาง รวมทั้งห้ามผู้โดยสารรับประทานอาหารบนรถโดยสารสาธารณะเว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นเท่านั้น เพื่อลดโอกาสเสี่ยงการแพร่หรือรับเชื้อจากการถอดหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าขณะอยู่บนรถโดยสารสาธารณะ อย่างไรก็ตาม หากไม่มีเหตุจำเป็นขอความร่วมมือให้ประชาชนงดหรือชะลอการเดินทาง โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดจำนวน 18 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น ชลบุรี เชียงใหม่ ตาก นครปฐม นครราชสีมา นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต ระยอง สงขลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สระแก้ว สุพรรณบุรี และ อุดรธานี ซึ่งมีการแพร่ระบาดของโรค อาจเสี่ยงหรือมีโอกาสติดโรค

"ปลื้มปีติน้ำพระทัย ในหลวง - พระราชินี"

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทาน "น้ำยาตรวจ PCR COVID-19 " ให้แก่ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ จำนวน 10,000 ชุด มูลค่ารวม 7,200,000 บาท

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) มีประชาชน และข้าราชการทั้งในส่วนกองทัพอากาศ และนอกกองทัพอากาศ มาขอรับการตรวจเป็นจำนวนมาก และการตรวจแบบเต็มศักยภาพของโรงพยาบาล จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีประสิทธิภาพ และช่วยลดการแพร่กระจายโรคได้เป็นอย่างดี จำนวนน้ำยาตรวจ PCR COVID-19 ในห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลจึงเริ่มขาดแคลน จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลขอรับพระมหากรุณาธิคุณขอพระราชทานน้ำยาตรวจ PCR COVID-19 เพื่อให้มีเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลประชาชนด้านเหนือของกรุงเทพมหานคร 

ซึ่งมีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ เป็นโรงพยาบาลรัฐแห่งเดียว ที่ดูเเลประชาชนสิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) เกือบ ๒ แสนคน ให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงต่อไป

ข้าพระพุทธเจ้า ข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานราชการ กรมแพทย์ทหารอากาศ ขอพระบรมราชานุญาต กราบพระบาท ด้วยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ 

“กรณ์” นำทีม บริจาคข้าวอิ่ม 2,000 กิโลกรัมผลิตข้าวกล่อง 30,000 ชุดให้ 'โรงพยาบาลสนาม'

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 จนทำให้มีผู้ติดเชื้อขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ ส่งผลให้โรงพยาบาลมีเตียงไม่เพียงพอต่อการรักษา รัฐบาลต้องจัดหาโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม นอกจากนี้ปัญหาที่ตามมาคือ อาหารเริ่มขาดแคลนในบางพื้นที่เนื่องจากมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และบุคลากรทางการแพทย์เองกีมีจำนวนจำกัดจำเป็นต้องมีจิตอาสามาช่วยเพิ่มเติม 

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมด้วยนายอะตอม สัมพันธภาพ หัวหน้ากลุ่มกล้าอาสา และพ.ต.อ.ทศพล โชติคุตร์ ผู้กล้า-ชุมพร เป็นตัวแทนบริจาค “ข้าวอิ่ม” ข้าวหอมมะลิอินทรีย์จาก จ.มหาสารคาม ในรอบแรกจำนวน 2,000 กิโลกรรมให้กับ ทีม Food For Fighters เพื่อนำไปทำข้าวกล่อง ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสนาม ซึ่งคาดว่าจะผลิตได้จำนวน 30,000 ชุด 

นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคกล้าร่วมกับโครงการเกษตรเข้มแข็งของชาวนามหาสารคาม และโครงการ Food For Fighters ของภาคเอกชน นำโดยคุณเต้-พันชนะ ตัวแทนสมาคมท่องเที่ยวและร้านอาหาร เป็นตัวกลางในการรับบริจาคเพื่อสมทบทุนจัดซื้อ “ข้าวเปอร์เซ็นต์-อินทรีย์” ให้กับโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ ซึ่งการบริจาคครั้งนี้ สามารถช่วยคนได้ 2 ต่อ ต่อแรกคือช่วยชาวนาผู้ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ ต่อที่สองมอบอาหารดีให้แก่จิตอาสา และผู้ป่วยโรงพยาบาลสนาม บุคลากรทางการแพทย์ และอาสาสมัคร ที่ต้องทำงานกันอย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลานานผู้สนใจสามารถร่วมสมทบทุนเพื่อจัดซื้อข้าวเปอร์เซ็นต์-อินทรีย์ โดยผ่านโครงการ “เกษตรเข้มแข็ง” เลขที่บัญชี 902-7-11390-2 ธนาคารกรุงเทพ

“จุรินทร์” ไม่วิเคราะห์ “บิ๊กตู่” ปรับโฉม รมต.ขับเคลื่อนไทยฯ ส่ง “ธรรมนัส” คุมปักษ์ใต้ ส่วน รัฐมนตรีจองปชป. คุมพื้นที่อื่น เชื่อทุกคนเข้าใจได้ไม่ต่างกัน

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา รับทราบคำสั่งนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้รัฐมนตรี รับผิดชอบงาน ภายใต้แนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด เพื่อให้การพัฒนา และแก้ไขปัญหาระดับจังหวัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการมอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัส พรมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปดูแลจังหวัดใหญ่ ๆ ในภาคใต้ ทั้งสงขลา ,นครศรีธรรมราช และภูเก็ต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ดูแลว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงการแก้ไขปรับเปลี่ยน เพื่อความเหมาะสม ซึ่งรัฐมนตรีแต่ละคน จะมีส่วนในการรับผิดชอบพื้นที่ที่มีผู้แทนราษฎรอยู่ 

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ รัฐมนตรีหลายคนไม่ได้เข้าไปดูแลพื้นที่นั้น เช่นกรณีของนายนิพนธ์ ที่เป็นอดีต ส.ส.สงขลา ดูแลพื้นที่จังหวัดสงขลา และนครศรีธรรมราช แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนให้ไปดูแลจังหวัดตรัง และสตูล หรือแม้แต่นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์คนใหม่ และส.ส.สุราษฎร์ธานี ก็ไม่ได้ดูแลพื้นที่ตนเอง แต่ได้ดูแลพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด และหนองบัวลำภู หรือแม้แต่นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่เป็นอดีต ส.ส.พิษณุโลก ก็ไม่ได้ดูแลจังหวัดพิษณุโลก แต่ไปดูแลจังหวัดอำนาจเจริญ ยโสธร และพัทลุงแทน

เมื่อถามว่า การปรับเปลี่ยนดังกล่าวนี้มีนัยยะทางการเมืองใด ๆ หรือไม่  นายจุรินทร์ กล่าวปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ และไม่ขอวิเคราะห์ด้วย เนื่องจากเชื่อว่า ทุกคนสามารถเข้าใจถึงการปรับเปลี่ยนดังกล่าวได้ไม่ต่างกัน และไม่ขอตอบด้วยว่า การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ จะมีผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของ ส.ส.ในพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้ดูแลรับผิดชอบในจังหวัดที่ตนเป็น ส.ส.หรือไม่ 

“ผมไม่ขอตอบตรงนี้ และไม่ขอไปวิเคราะห์ด้วย ผมคิดว่าทุกคนสามารถเข้าใจได้ไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่า รองฯ วิษณุ ได้ชี้แจงในที่ประชุม ครม.แล้วว่าจะมีการแก้ไขปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสม ซึ่งความจริงรัฐมนตรีหลายท่าน จะมีส่วนในการดูแลพื้นที่ที่เป็น ส.ส.อยู่ แต่บังเอิญในส่วนประชาธิปัตย์ รัฐมนตรีหลายคนไม่ได้เข้าไปดูแลในพื้นที่ตรงนั้น” นายจุรินทร์ กล่าว

“กห.” สั่งขยาย รพ.ทหาร และเพิ่ม รพ.สนาม รองรับผู้ป่วยโควิด ที่อาจมีปริมาณเพิ่มขึ้น

เมื่อวันที่ 21 เม.ย. พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม  เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม และปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ประชุมร่วมกับทุกเหล่าทัพ เพื่อรับทราบความพร้อมของ รพ.สนาม สนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขตามนโยบายของ นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก 

สำหรับภาพรวม สถานภาพโรงพยาบาลสนาม ที่กระทรวงกลาโหม โดยทุกเหล่าทัพ เร่งจัดตั้งขึ้นสนับสนุน กระทรวงสาธารณะสุข ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล รวมทั้งจังหวัดต่างๆรวม 24 แห่ง จำนวน 3,725 เตียง ปัจจุบันอยู่ในสถานะพร้อมใช้งาน

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหม โดย กองทัพบก (ทบ.)ยังได้สนับสนุน กำลังพล ยานพาหนะ เตียงและเครื่องใช้ กับหน่วยงานต่างๆ เพื่อจัดตั้ง รพ.สนาม อีก 7 แห่งในพื้นที่ต่างๆ รวม 3,085 เตียง ซึ่งอยู่ในสถานะพร้อมใช้งานเช่นกัน โดย รพ.สนาม ดังกล่าว มีการทำงานร่วมกันแล้วกับ รพ.หลักในพื้นที่ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น เช่น รพ.มงกุฎวัฒนะ ทำงานร่วมกับ รพ.สนาม ของหน่วยทหาร ปตอ.1 พัน 6 ในการส่งตัวผู้ป่วยในพื้นที่ กทม.เข้ารับการรักษา เป็นต้น

ทั้งนี้ พล.อ.ชัยชาญ ได้ย้ำขอให้ทุกเหล่าทัพ เร่งสนับสนุนนโยบายของ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในการจัดตั้ง รพ.สนาม สนับสนุนกระทรวงสาธารณะสุข ให้มีปริมาณเพียงพอ รองรับผู้ป่วยที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น และให้พิจารณาขยายขีดความสามารถของ รพ.ทหารในพื้นที่ต่างๆ ที่ปัจจุบันดูแลประชาชนทั่วไปและเจ้าหน้าที่รัฐที่เจ็บป่วยอยู่ ให้สามารถรองรับการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิดในพื้นที่ โดยให้สำรวจและเตรียมความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขในสังกัดกระทรวงกลาโหม  ที่มิได้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาล ให้พร้อมสนับสนุนทางการแพทย์เมื่อจำเป็นด้วย พร้อมทั้งยังได้กำชับ ขอให้ทุกเหล่าทัพ ประสานกับ ศปม. เพื่อสนับสนุนการทำงานของ ศบค.ในการดูแลรักษาผู้ป่วยและการควบคุมโรคในพื้นที่ต่าง ๆ  เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดของโรคระดับพื้นที่ให้ได้โดยเร็ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top