Saturday, 12 July 2025
POLITICS NEWS

'นายกฯ' ชื่นชมการนำโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ต่อยอดโครงการ “OTOP Premium Go Inter” สร้างโอกาสสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยสู่ตลาดสากล เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่มั่นคง 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามและชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้นำแนวคิดโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ไปต่อยอดการพัฒนาเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นจากผู้ประกอบการในชุมชนต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น หวังเป็นการพัฒนายกระดับเศรษฐกิจฐานรากของไทยให้สามารถออกสู่ตลาดสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

โดยโครงการพัฒนาและส่งเสริมสินค้า OTOP สู่ตลาดสากล “โอทอปพรีเมียมโกอินเตอร์ (OTOP Premium Go Inter)” ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำเป็นไปตามแนวทางที่นายกฯ ให้ความสำคัญ รัฐบาลมีความยินดีที่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เป็นแกนหลักในการดำเนินงานเพื่อสร้างความยั่งยืนในตลาดสากลภายใต้การใช้ประโยชน์จากโอกาส สิ่งของ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในท้องถิ่น สู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบโจทย์ที่นานาประเทศกำลังให้ความสำคัญ ด้านการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้โลกเน้นการผลิตสินค้าที่เกิดคาร์บอนต่ำและไม่เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนนี้ถือเป็นโอกาสในการผลักดันสินค้าระดับท้องถิ่นไทยให้สามารถเป็นส่วนหนึ่งในตลาดนานาชาติได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
โดยรัฐบาลสนับสนุนการผลักดันให้สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP (One Tambon One Product) มีส่วนในการขยายโอกาสแก่ผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนที่สามารถสร้างผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและมีศักยภาพสูงด้านการแข่งขันให้ง่ายต่อการเข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองและธุรกิจ เข้าถึงนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกหรือให้คุณประโยชน์ด้านการผลิตและการบริการ  อีกทั้งเพื่อแสวงหาแหล่งทุนและตลาดการค้า ต่อยอดผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาชุมชนให้เป็นที่รู้จักและเกิดการบริโภค เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น 
 

"นายกฯ" ยินดีส่งออก-ลงทุนไทยขยายตัว ก.พาณิชย์ มุ่งเป้าดัน  Soft Power 4 หมวดหลัก "อาหาร ดิจิทัลคอนเทนต์ สุขภาพความงาม และสินค้าอัตลักษณ์ไทย" สู่ตลาดต่างประเทศ พร้อมผลักดันการค้าชายแดน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพอใจตัวเลขการส่งออกของประเทศไทย ซึ่งเป็นผลมาจากการนำนโยบายของรัฐบาล ไปขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยปัจจัยสำคัญ ที่ช่วยสนับสนุนตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นคือ การส่งเสริมและผลักดัน Soft Power ของรัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งรัดการส่งออกสินค้าใน 4 หมวดสำคัญ ได้แก่ อาหาร ดิจิทัลคอนเทนต์ สุขภาพความงาม และสินค้าอัตลักษณ์ไทย การจัดทำมาตรการเชิงรุกผลักดันการส่งออกผลไม้ การผลักดันการค้าชายแดน ซึ่งมีคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ ยุโรป เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และอาเซียน ที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายธนกรฯ กล่าวว่า ตัวเลขการส่งออกในเดือน มี.ค.2565 มีมูลค่า 28,859.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 19.5% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 คิดเป็นเงินบาท  มีมูลค่า 922,313 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าการส่งออกสูงที่สุดในรอบ 30 ปี นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติการส่งออกตั้งแต่ปี 2534 การนำเข้ามีมูลค่า 27,400.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18% คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 887,353.2 ล้านบาท เกินดุลการค้า 1,459.1 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 34,960.1 ล้านบาท

สำหรับตลาดและการลงทุนในประเทศ เดือนมี.ค.2565 คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 53 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 17 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 36 ราย มีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 10,838 ล้านบาท ส่วนการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ เดือนมี.ค.2565 พบว่า มีการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 10 ราย คิดเป็น 19% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด ลงทุนที่กรุงเทพฯ 29 ราย คิดเป็น 55% และที่อื่น ๆ 14 ราย คิดเป็น 26% มีเงินลงทุน 6,323 ล้านบาท คิดเป็น 58% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยประเทศที่ลงทุนสูงสุด จีน 3 ราย ลงทุน 3,189 ล้านบาท ญี่ปุ่น 2 ราย ลงทุน 630 ล้านบาท และสหรัฐฯ 1 ราย ลงทุน 637 ล้านบาท ที่เหลือเป็นประเทศอื่น ๆ 

‘สกลธี’ เล็งติดสัญญาณเตือนทางม้าลายทั่วกรุง สานต่อกำจัดซากรถเก่ากีดขวางการสัญจร

‘สกลธี’ เล็งติดสัญญาณเตือนทางม้าลายทั่วกรุง เพิ่มความปลอดภัยคนเมือง พร้อมสานต่อกำจัดซากรถเก่ากีดขวางการสัญจร

เมื่อวันที่ 26 เมษายน นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หมายเลข 3 กล่าวระหว่างลงพื้นที่หาเสียงที่เขตบางคอแหลม เขตยานนาวา ว่าวันนี้ตนยังคงลงพื้นที่หาเสียงต่อเนื่องในหลายๆ เขตของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งนอกจากจะมาแนะนำตัวให้กับพี่น้องประชาชนแล้ว ยังต้องการสำรวจปัญหาต่างๆ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงร้องเรียนเรื่องการจราจร ทั้งเรื่องของความหนาแน่นแออัด การจราจรติดขัด และยังขอให้ดูแลเรื่องความปลอดภัย เช่น เรื่องทางม้าลาย ที่ประชาชนยังไม่มั่นใจในความปลอดภัย ที่จะต้องเดินข้ามทางม้าลายใน กทม. แตกต่างกับเมืองใหญ่ในต่างประเทศที่รถยนต์จะหยุดทันทีเมื่อเห็นคนข้ามทางม้าลาย

นายสกลธีกล่าวว่า ทั้งนี้ เรื่องการขับรถคงต้องสร้างจิตสำนึกให้กับผู้ขับขี่ อาจจะต้องใช้เวลา แต่ในส่วนของกรุงเทพฯ ตนคิดว่าสิ่งสำคัญคือการจัดทำทางม้าลายให้ปลอดภัยที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้คนข้ามถนน และเป็นจุดสังเกตที่คนขับขี่จะต้องจอดรถ และรูปแบบควรจะทำให้เหมือนกันในทุกพื้นที่ เพื่อให้ผู้ขับขี่เข้าใจได้ว่าเมื่อมาถึงพื้นที่ใกล้เขตทางม้าลาย จำเป็นที่จะต้องชะลอรถหรือหยุดเพื่อความปลอดภัยไม่มีการขับแซง หรือเร่งความเร็ว

‘วิโรจน์’ บุก!! ‘จตุจักร-บางเขน’ เจาะชุมชน-ตลาดสด งัด 12 ข้อ มัดใจประชาชนเลือกคนนโยบายชัดเจน

‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล พร้อมผู้สมัคร ส.ก.เขตจตุจักร ‘มาร์ท-อภิวัฒน์ ด่านศรีชาญชัย’ เบอร์ 4 เดินหน้าแนะนำตัวหาเสียงกับพี่น้องประชาชนบริเวณตลาดบางเขนและพื้นที่ใกล้เคียง ระหว่างการลงพื้นที่ ทั้งคู่ได้รับเสียงตอบรับจากพี่น้องประชาชนอย่างคึกคัก สะท้อนความต้องการอยากเลือกตั้งผู้ว่าฯ ครั้งแรกในรอบ 9 ปีของคน กทม. ด้านวิโรจน์มั่นใจว่า คนส่วนใหญ่ในเขตจตุจักร รู้จักมาร์ทในฐานะคนทำงานหนักเพื่อพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะช่วงการระบาดของโควิด มาร์ททำงานอย่างหนักช่วยเหลือคนจตุจักรอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนี่จะเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ผู้สมัคร ส.ก. เขตนี้จะสามารถคว้าชัยชนะในพื้นที่นี้ได้

นอกจากนี้ วิโรจน์ให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าวว่า เขตจตุจักรเป็นพื้นที่ที่มีความเหลื่อมล้ำสูงอีกเขต เนื่องจากมีคนหลากหลายอาชีพ ประชากรมีรายได้หลายระดับ จึงจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจและอุดหนุนสวัสดิการคนเมือง วิโรจน์ให้ความเห็นเพิ่มเกี่ยวกับเขตจตุจักรว่า ตนกังวลเรื่องการเข้าถึงสาธารณสุขและการจัดการขยะในพื้นที่เขต เพราะช่วงโควิดที่ผ่านมา คนจตุจักรจำนวนไม่น้อยเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุข ทำให้ตนต้องออกนโยบายด้านสาธารณสุขขึ้นมาปิดช่องโหว่ปัญหานี้ ซึ่งก็คือนโยบาย "วัคซีนฟรีจากภาษีประชาชน" ที่เน้นการให้บริการฟรี วัคซีนปอดอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และพร้อมเปลี่ยนศูนย์สาธารณสุข กทม. เป็นศูนย์ฟรีวัคซีน 

ส่วนปัญหาเรื่องการเก็บขยะของพื้นที่ก็เป็นอีกข้อจำกัดหนึ่ง เขตจตุจักรมีตลาดสดจำนวนมาก การจัดการขยะอย่างสม่ำเสมอและการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องผลักดัน ซึ่งที่แล้วมาตนพูดถึงแนวทางการเก็บขยะที่เหลื่อมล้ำกัน สองมาตรฐาน ระหว่างประชาชนและทุนใหญ่ ทุนห้างสรรพสินค้าเสมอ รถขยะ กทม. เก็บขยะห้างวันละสองครั้งทุกวันไม่หยุด แต่กลับเก็บขยะหน้าบ้านประชาชนล่าช้า ซึ่งตนเห็นว่า กทม. ต้องทำงานรับใช้ประชาชนมากกว่าการรับใช้นายทุนห้างสรรพสินค้า 

ต่อเนื่องจากพื้นที่เขตจตุจักร วิโรจน์ เดินทางถึงชุมชนตึกแดง เขตบางซื่อ ด้วยรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง (มอเตอร์ไซค์วิน) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการกระจายรายได้และสนับสนุนประชาชนคนตัวเล็กในพื้นที่ จากนั้นร่วมเดินพบปะประชาชนกับ เนอส ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ผู้สมัคร ส.ก. เขตบางซื่อ เบอร์ 3 เดินหาเสียงพร้อมสื่อสารนโยบายสวัสดิการคนเมือง ระหว่างการหาเสียงมีผู้สูงอายุจำนวนมากให้ความสนใจนโยบายสวัสดิการคนเมือง ที่จะช่วยเติมเงินสวัสดิการให้ผู้สูงอายุเพิ่มอีกคนละ 400 บาท เป็น 1,000 บาท โดยใช้งบกลางของกทม. รวมถึงรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ดิน

ทูตฯสิงคโปร์ เข้าเยี่ยมคำนับปลัดกห. เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับหน้าที่ 

เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่กระทรวงกลาโหม นาย Kevin Cheok (เควิน ฉ็อก) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคำนับ พลเอก วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ณ ห้องพระบารมีปกเกล้า ในศาลาว่าการกลาโหม เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสที่ปลัดกระทรวงกลาโหมเข้ารับหน้าที่ 

โดยความร่วมมือของไทยและสิงคโปร์ จะเป็นการพัฒนาไปสู่ความร่วมมือในหลายมิติ อาทิ ด้านสาธารณสุข การเปิดพรมแดน ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเมืองอัจฉริยะ การพัฒนาอย่างยั่งยืน เศรษฐกิจสีเขียวตามแนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ของไทย กับ Green Plan 2030 ของสิงคโปร์ ตลอดจน Digital Economy

“ชัชชาติ” ลุยหาเสียงย่านอโศก ยกพื้นที่สีเขียวของมศว.นำร่องเปิดให้ปชช.ใช้ไม่มีวันหยุด แนะวิธีเจรจาราคารถไฟฟ้า พร้อมยึดประโยชน์เป็นที่ตั้ง

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  ลงพื้นที่หาเสียงมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) และเดินตลาดรวมทรัพย์ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักมีประชาชนให้การต้อนรับและสนใจขอถ่ายรูปร่วมด้วย โดยนายชัชชาติ กล่าวว่า มศว.เป็นตัวอย่างที่ดีของการแบ่งปันพื้นที่สาธารณะให้ผู้ค้าเข้ามาขายของได้ โดยมีค่าใช้จ่ายไม่สูง มองว่า กทม. ต้องพยายามจัดหาพื้นที่เหล่านี้เพื่อลดค่าใช้จ่ายของผู้ค่า โดยการเข้าไปเป็นตัวกลางในการประสานระหว่างหน่วยงานรัฐ หรือเอกชน เพื่อจัดให้มีพื้นที่สาธารณะสำหรับให้ประชาชนเข้ามาจัดตลาดนัด ซึ่งจะสามารถช่วยลดภาระของผู้ค้าหาบเร่แผงลอย และเกิดช่องทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย และมศว.ยังมีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ มีสนามกีฬาที่เปิดให้คนภายนอกเข้ามาใช้งาน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ในการสร้างพื้นที่สาธารณะอยากเสรอนโยบายเพิ่มเวลา เพิ่มการเข้าถึงพื้นที่สาธารณะ เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่สาธารณะที่เป็นของส่วนราชการมีเวลาเปิดปิดที่จำกัด และส่วนมากจะปิดทำการในวันเสาร์ อาทิตย์ ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ ดังนั้นหากมีการปรับวัน-เวลาให้บริการให้สอดคล้องกับความต้องการประชาชน  จะเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น

นายชัชชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า เราอยากมีพื้นที่สาธารณะให้ประชาชนได้ใช้กัน เป็นพื้นที่ลานกว้างก็เปิดเป็นตลาดนัดให้พ่อค้าแม่ค้ามาขายของกันก็จะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งกทม. เองต้องพยายามจัดหาพื้นที่แบบนี้ให้พ่อค้าแม่ค้า อีกทั้งจะช่วยลดปัญหาหาบเร่แผงลอยได้ ส่วน มศว. มีพื้นที่สีเขียวที่อยู่ข้างในเปิดให้ประชาชนมาใช้บริการ แม้พื้นที่สีเขียวหลายไที่จะปิดในวันเสาร์-อาทิตย์ ดังนั้น กทม. ต้องหาพื้นที่พวกนี้แล้วให้ประชาชนมาใช้งานได้

“ราเมศ”ฉะ “เต้น” เป็นคนนอก อย่าเสนอหน้าโจมตีปชป. เหน็บว่างมาก เอาเวลาไปเยี่ยม “บุญทรง-ภูมิ”ดีกว่า 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ ​วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ถึงการลาออกของบุคคลต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในพรรคจนถดถอย ว่า พรรคการเมืองทุกพรรค ปัญหาคือสิ่งที่อยู่คู่กัน ระยะเวลาที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ผ่านมาได้ทุกสถานการณ์ เป็นสถาบันทางการเมืองเดียวที่อยู่มายาวนานที่สุดในประเทศไทย มีหัวหน้าพรรคมาแล้ว 8 คน ไม่เคยมีเรื่องทุจริต ไม่มีใครต้องหนีคดีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ต่างประเทศ พรรคไม่เคยถูกยุบเพราะทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง ทำหน้าที่ได้หมดทั้งฝ่ายค้าน และรัฐบาล

ปัญหาที่เกิดขึ้นในพรรคขณะนี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องแก้ปัญหากันไป พรรคไม่ได้หวั่นไหวแต่อย่างใด ทุกคนพยายามช่วยกันแก้ปัญหาเพื่อให้พรรคเดินไปข้างหน้าได้ นายณัฐวุฒิเป็นคนนอกจึงไม่รู้รายละเอียด การเสนอหน้าอาศัยจังหวะมาพูดเพื่อโจมตีพรรคฯ ประชาชนมองออกว่าทำเพื่ออะไร อย่ากังกลกับเรื่องพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคฯเป็นสถาบันทางการเมือง ต้องเดินหน้าทำงานให้กับประชาชนและประเทศต่อไป

‘บิ๊กตู่' บอกยังไม่สรุป คนละครึ่งเฟส 5  ไปต่อหรือพอแค่นี้ “ย้ำ” งบประมาณมีอยู่จำกัด

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนแทนนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับมอบหมาย ต่อคำถามรัฐบาลมีแนวทางแก้ปัญหาสินค้าราคาแพงอย่างไร และนโยบายคนละครึ่งยังจะไปต่อหรือไม่ หรือจะมีนโยบายอื่นมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ โดยนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า กระทรวงการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักงบประมาณ ต้องหารือว่าจะทำอะไรได้ ทุกคนก็ทราบดีว่างบประมาณขณะนี้มีจำกัด 

‘ประยุทธ์’ รับทราบความก้าวหน้าอีอีซีไอ ชี้ 6 กลุ่มเป้าหมายอุตสาหกรรมพัฒนาต่อเนื่อง ‘ย้ำ’เสนอโครงการ ขออนุมัติงบฯต้องสนองยุทธศาสตร์ชาติ

ที่ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงข่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า การประชุมครม.มีหลายวาระเพื่อพิจารณา รวมถึงโครงการต่อเนื่องและโครงการใหม่ เพื่อให้ครม.พิจารณาแก้ไข ทั้งระยะเร่งด่วน การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว ซึ่งตนย้ำในเรื่องของยุทธศาสตร์ชาติที่วางอยู่ไว้ในปัจจุบัน การทำงานของครม.จะมีการเสนอแผนงานโครงการขึ้นมา เพื่อขอนุมัติใช้งบประมาณที่จะต้องตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลวางแผนไว้

ทั้งนี้ บางโครงการที่กำลังดำเนินการในขณะนี้ ด้านเศรษฐกิจเราก็รับทราบการพัฒนาความก้าวหน้าเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซีไอ) ที่เป็นการต่อยอดนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเราวางแผนไว้ ในเรื่องของโครงสร้างเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยอีอีซีไอถูกวางไว้เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมทั้งประเทศ ซึ่งตนได้ไปติดตามความก้าวหน้าในโครงการพัฒนาพื้นที่วังจันวัลเลย์ ที่จ.ระยอง อยู่บ่อยครั้ง

“บิ๊กตู่”โว นักลงทุนญี่ปุ่นเล็งไทยตั้งฐานการผลิตหลายด้าน ปลื้มชาวสงขลา-พัทลุง แห่ให้กำลังใจรัฐบาลทำงานต่อ ยอมรับงบน้อยต้องใช้อย่างจำกัด 

ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในที่ประชุม ครม.เรื่องด้านการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน รายงานผลการเยือนประเทศญี่ปุ่นในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา โดยหารือกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจการค้าญี่ปุ่น และประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญีาปุ่น หรือเจโทร รวมถึงผู้บริหารองค์กรธุรกิจชั้นนำของญี่ปุ่น ผลการดำเนินการเป็นที่น่ายินดีได้กระชับความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ และมีข้อตกลงระดับทวิภาคีหลายเรื่องด้วยกัน โดยเฉพาะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนโดยตรงสูงที่สุดในประเทศไทย

แสดงให้เห็นว่าไทยมีแรงดึงดูดอย่างมากต่อบริษัทเอกชนของญี่ปุ่นและเขาแสดงความประสงค์จะร่วมมือลงทุนแห่งอนาคตสูงขึ้นในงานใหม่ๆหลายด้าน เช่น ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งแวดล้อม พลังงาน หรือการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนร่วมกัน และการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งวันนี้เราเดินหน้าไปพอสมควรโดยการจัดงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมาก็ได้เห็นแล้ว รัฐบาลจะเอาทุกอย่างมาสานต่อทำให้ครบถ้วน และเขายินดีมีความประสงค์จะร่วมผลิตอีวีและส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอีวีในภูมิภาคด้วย รวมถึงการผลิตแบตเตอรรี่คุณภาพสูงในไทย การตั้งโรงงานเซลล์แบตเตอรรี่ และร่วมกันสนับสนุนสตาร์ทอัพในไทยด้วย รวมถึงความร่วมมือด้านยารักษาโรค การวิจัย การผลิตยา ทั้งนี้เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการแพทย์ 
  
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้พูดคุยกันถึงเรื่องความร่วมมือการค้าการเกษตรระหว่างไทยกับภูฏาน โดยจะมีการส่งออกสินค้าด้านการเกษตรไปยังภูฏานและด้านศิลปวัฒนธรรมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ทั้งนี้ยังมีจอร์แดนที่ ครม.ได้ตกลงเห็นชอบในการจัดโครงการแลกเปลี่ยนทางศิลปวัฒนธรรมด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านอาหาร ภาพยนตร์ฟิล์ม ผ้าและการออกแบบแฟชั่น เผยแพร่ต่อยอดวัฒนธรรมไทยเพื่อสร้างอิทธิพลและอำนาจการแข่งขันที่เรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งรัฐบาลผลักดันมาโดยตลอด และมีหลายกิจกรรม ถ้าเราเร่งผลักดันขับเคลื่อนเร่งยุทธศาสตร์เหล่านี้ให้ดี แต่ละกระทรวงช่วยกันในโครงการต่างๆก็จะสามารถต่อยอดต้นทุนทางวัฒนธรรมได้มากมาย ส่งผลให้เรามีชื่อเสียงในอีกหลายๆด้าน 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้นำเสนอผลการดำเนินงานโครงการอาคารแสดงประเทศไทย (Thailand Pavilion) ที่ดูไบ ติดอันดับ 1 ใน 5 ของผู้เข้าชมสูงสุด ซึ่งมีผู้เข้าชมมากกว่า 2 ล้านราย สร้างความประทับใจและความสนใจในการมาเยี่ยมเยือนประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะยุคหลังโควิดที่ไทยจะเปิดประเทศ หลายอย่างจะดีขึ้นตามลำดับ นี่คือสิ่งที่เขาประทับใจและสอดคล้องกับการลงพื้นที่จังหวัดสงขลาและพัทลุงของตนเอง ซึ่งพบว่าทุกคนมีความสุขเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะมีความหวังจากสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเฉพาะการปรับมาตรการเรื่องท่องเที่ยว ทั้งทางบก ทางอากาศ และทางเรือ ซึ่งเราได้มีการปรับมาเป็นระยะ จนอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ทั้งนี้ต้องขอบคุณพี่น้องจังหวัดสงขลาและจังหวัดพัทลุงที่ให้การต้อนรับตนและคณะเป็นอย่างดี และให้กำลังใจในการทำหน้าที่ในการปฏิบัติงานของรัฐบาลต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top