Monday, 9 June 2025
POLITICS NEWS

นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า เคยมีประธานบอร์ดคนไหน แสดงอำนาจใหญ่โต สร้างความเสียหายให้แบงก์ชาติ ก่อความพินาศให้เศรษฐกิจไทย จะมีก็แต่ผู้บริหารแบงก์ชาติทำพังเอง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ 2540

(6 พ.ย. 67) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ส่วนตัว ระบุว่า ความเคลื่อนไหวต่อต้านการแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกัน ทั้งในกลุ่มอดีตผู้ว่าฯ นักวิชาการ นักธุรกิจ และกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในวิถีประชาธิปไตย

แบงก์ชาติต้องดำเนินการโดยอิสระเป็นหลักสากล ผมเห็นด้วย แต่เท่าที่ตามดูทั้งข้อกฎหมายและแนวปฏิบัติ ผมยังชั่งใจอยู่ว่าประธานบอร์ดแบงก์ชาติ จะมีฤทธิ์เดชขนาดที่บางฝ่ายกำลังวาดภาพหรือไม่

ผู้ว่าฯคนปัจจุบันจะหมดวาระกลางปีหน้า การแต่งตั้งคนใหม่ทำโดยกรรมการอีกคณะหนึ่ง ซึ่งตั้งโดยรมว.คลัง จากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย บอร์ดไม่มีอำนาจเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

อาจมีข้อสังเกตว่าผู้ว่าฯ มีข้อเห็นต่างกับรัฐบาลหลายครั้ง จะตั้งประธานบอร์ดเพื่อปลดผู้ว่าฯหรือไม่ กฎหมายก็เขียนว่าการปลดเป็นอำนาจครม.โดยคำแนะนำของรมว.คลัง เพราะประพฤติเสื่อมเสียร้ายแรง หรือทุจริต หรือครม.ปลดออกโดยการเสนอของรัฐมนตรี โดยคำแนะนำของบอร์ด ซึ่งถ้าดูจากข้อเท็จจริงก็ยังไม่มีเหตุถึงขั้นนั้น และอีกไม่กี่เดือนจะมีผู้ว่าฯคนใหม่อยู่แล้ว รัฐบาลจะหาเรื่องปลดให้ยุ่งไปทำไม

กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจบอร์ดไปก้าวก่ายนโยบายการเงิน นโยบายสถาบันการเงิน และระบบชำระเงิน เรื่องพวกนี้มีกรรมการที่มีผู้ว่าแบงก์ชาติเป็นประธาน ทำงานโดยอิสระ อำนาจหน้าที่หลักของบอร์ดคือการควบคุมดูแลโดยทั่วไป ไม่ใช่ล้วงลูกลงลึก 

ผมนั่งนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า เคยมีประธานบอร์ดคนไหน แสดงอำนาจใหญ่โต สร้างความเสียหายให้แบงก์ชาติ ก่อความพินาศให้เศรษฐกิจไทย

จะมีก็แต่ผู้บริหารแบงก์ชาติทำพังเอง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ที่เอาเงินทุนสำรองซึ่งกู้ IMF มา ไปสู้ค่าเงินกับกองทุนต่างชาติจนเจ๊งกันระเนระนาดทั้งประเทศ นายกรัฐมนตรีเผชิญแรงเสียดทานต้องลาออก แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆจากแบงก์ชาติ ทั้งในนามบุคคลและองค์กร หรือก่อน 2540 ก็เคยมีเหตุความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ถูกบันทึกว่าเกิดจากแบงก์ชาติมาแล้ว 

แบงก์ชาติต้องอิสระจากรัฐบาลแน่นอน แต่ดูไปบางมุมคล้ายอิสระจากสังคมและประชาชนด้วยหรือไม่

ผมพยายามค้นระเบียบ หลักเกณฑ์ภายใน พบว่าหายากมาก ทั้งที่หลายเรื่องน่าจะสัมผัสได้ เช่น มีส.ส.ฝ่ายค้านท่านหนึ่ง บอกว่าตั้งประธานบอร์ดแล้วก็จะใช้อำนาจตั้งกรรมการกนง. แทนคนเก่าซึ่งจะหมดวาระ 2 คน พูดจนคนเข้าใจไปว่างานนี้บอร์ดชงเองกินเอง ตั้งพวกตัวเองแน่ ๆ

ทั้งที่สอบถามจากผู้อาวุโสที่เคยเป็นบอร์ดเขายืนยันว่าไม่ใช่ บอร์ดต้องตั้งกนง.จริง แต่ตั้งตามชื่อที่แบงก์ชาติเสนอไม่ใช่คิดเอาเอง เช่น ถ้าว่าง 2 ที่ แบงก์ชาติจะเสนอชื่อมา 3 คนขึ้นไปแล้วบอร์ดพิจารณา ยังไงก็ต้องเป็นคนในโผจากผู้ว่าฯ

เรื่องนี้ก็หาระเบียบไม่พบ แต่ได้รับคำยืนยันว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ทำกันมา

การเสนอชื่อประธานบอร์ดขณะนี้มี 3 คน กระทรวงการคลังเสนอชื่อ 1 คน แบงก์ชาติ 2 คน หนึ่งในสองคนที่เสนอมาเป็นนักกฎหมาย ไม่เคยปรากฏว่าเชี่ยวชาญเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง 

อดีตผู้บริหารแบงก์ชาติและกลุ่มต่างๆค้านชื่อจากกระทรวงการคลัง แบบนี้ประชาชนมีสิทธิ์คิด
ว่าจะล็อคเป้าให้เข้าทางเฉพาะชื่อที่แบงก์ชาติเสนอเท่านั้นหรือไม่

ถ้าชื่อจากกระทรวงการคลังถูกมองว่าเป็นฝ่ายการเมือง แล้วชื่อจากแบงก์ชาติเป็นฝ่ายทางการเมือง หรือเคยเลือกข้างทางการเมืองมาบ้างหรือไม่

หลักคิดของผมคือ เรื่องนี้อย่าเอาการเมืองเป็นตัวตั้ง เสียงค้านรัฐบาลต้องฟัง แต่ฝ่ายเห็นต่างก็ต้องใช้เหตุผลด้วย ว่ากันที่คุณสมบัติก่อน ถ้ามีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ และคุณสมบัติตามกฎหมาย ทุกคนย่อมมีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกได้ 

องค์กรที่ต้องเป็นอิสระย่อมต้องอิสระ แต่ความอิสระก็ไม่ควรล้นเกิน จนอาจถูกมองเป็นแดนสนธยา ที่ซึ่งตาเปล่าของประชาชนยากจะมองเห็นได้

‘จิรัฏฐ์’ สส. พรรคประชาชน ยอมโพสต์ขอโทษ ปมพูดโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่า “ตุ๊ด” อ้างเป็นคำพูดติดปาก

จากกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ เมื่อเพจเฟซบุ๊ก 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้เผยแพร่คลิป นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคประชาชน ด่าฝ่ายตรงข้ามที่โจมตีว่า “ตุ๊ด” ไม่แมน ไม่ลูกผู้ชาย

ล่าสุดวันนี้ (7 พ.ย.67) นายจิรัฏฐ์ ได้โพสต์ข้อความผ่าน X หรือทวิตเตอร์ว่า กราบขออภัยที่ผมได้พูดคำว่า “ตุ๊ด” ออกไปในรายการสดเป็นอย่างสูงครับ เป็นคำพูดติดปากซึ่งไม่เหมาะสม และไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นที่กำลังพูดถึงอยู่เลยด้วย ถึงแม้ผมจะขอโทษไปแล้วในรายการทันทีหลังจากที่หลุดพูดออกไป แต่อยากขอโทษเป็นทางการอีกครั้งครับ

ต่อมา เพจเฟซบุ๊ก 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้ออกมาโพสต์ถึงเรื่องดังกล่าวว่า พี่ลักแกง ขอโทษที่พูด “เหยียดตุ๊ด” อ้างว่า “เป็นคำพูดติดปาก” แบบนี้แสดงว่าพูดเหยียดบ่อยใช่มั๊ยคะ

ซึ่งมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ขนาดออกสื่อยังขนาดนี้…ถ้าไม่ได้ออกสื่อ…! ตุ๊ดเขาไปคัดเลือกเกณฑ์ทหารกันนะจ๊ะ…

ส่องโปรไฟล์ ‘จิ๊บ-ศศิกานต์’ รองโฆษกรัฐบาลคนใหม่ ร่วมขับเคลื่อนนำเสนอผลงานรัฐบาลแบบเชิงรุก

(6 พ.ย. 67) รู้จัก 'รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี' คนใหม่ในโควตาพรรครวมไทยสร้างชาติ 'นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์' หลังคณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ หรือ จิ๊บ เกิดที่ จ. ตรัง จบการศึกษาชั้นมัธยมต้น จาก โรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง และ มัธยมปลายจาก รร. สาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ. ปัตตานี  

จบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีจาก คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอกสาขาวิทยุ-โทรทัศน์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2

หลังจากนั้น ได้เบนเข็มไปเรียนปริญญาโท สาขา International Marketing Management  University of Surrey ที่ประเทศอังกฤษ 

กว่า 20 ปีที่ ศศิกานต์ คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการบริหารการสื่อสารการตลาดในองค์กรเอกชนใหญ่ๆ  และในฐานะสื่อสารมวลชน เธอได้เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์มากมาย  รวมถึงยังเคยเป็นคอลัมนิสต์บนเว็บไซต์สื่อออนไลน์และสื่อหนังสือพิมพ์อีกด้วย

นางสาวศศิกานต์ ได้ก้าวสู่สนามการเมืองครั้งแรก โดยเป็นหนึ่งใน 30 ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. และเป็นผู้สมัครผู้ว่ากทม. ที่มีอายุน้อยที่สุด เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2565  โดยเธอเป็นผู้สมัครอิสระ ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด 

ต่อมา ปี  2566 นางสาวศศิกานต์ ลงสมัคร สส. ในนามของพรรครวมไทยสร้างชาติ เขต บางแค-ภาษีเจริญ 

และล่าสุด เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ครม.มีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งนางสาวศศิกานต์ เป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 

ศศิกานต์ ให้ความสำคัญกับ จรรยาบรรณในการสื่อสารเป็นอย่างมาก ในฐานะนักสื่อสารมวลชนที่ต้องมีความเป็นมืออาชีพ  ต้องนำเสนอในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์กับประชาชนและสังคม

‘กษิต’ แจงยิบเหตุ รบ.อภิสิทธิ์ยกเลิก MOU 44 พร้อมหนุนเจรจาต่อ แต่ขอยึดผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก

(5 พ.ย. 67) นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณียกเลิกเอ็มโอยู 44 ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่า เพราะสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในขณะนั้น ได้แต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็นที่ปรึกษา เป็นการแสดงออกซึ่งไม่เป็นมิตร แล้วก็แทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจของรัฐบาลไทย โดยนายอภิสิทธิ์ จึงได้ประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 44 ด้วยการนำเรื่องเข้าครม. แล้วครม.มีมติ จากนั้นเป็นเรื่องของหน่วยข้าราชการประจำ

โดยเฉพาะกระทรวงต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องไปดูในรายละเอียดว่าจะต้องทำอย่างไร เช่น จะต้องไปแจ้งสภา และแจ้งไปทางฝ่ายกัมพูชาให้ทราบ แต่เรื่องอยู่ในระหว่างการดำเนินการ จากนั้นเราก็พ้นจากรัฐบาลไปแล้วคือการยุบสภา

นายกษิต กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นเป็นรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ และ รัฐบาลนายเศรษฐาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน แต่เมื่อช่วงปี 57 ก็ได้ยืนยัน โดยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ที่ยังจะคงไว้ซึ่งเอ็มโอยู44 ก็เท่ากับก็ว่าเป็นการยกเลิกมติครม.ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แล้วรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็ได้แต่งตั้งพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย แล้วก็ต่อเนื่องมาจนถึงบัดนี้ เท่ากับว่าเอ็มโอยูก็ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเอ็มโอยู 44 ไม่มีการยกเลิกแล้ว และทางกระทรวงต่างประเทศกำลังเตรียมเรื่องนี้ เพื่อจะเสนอ ครม. เพื่อให้ลงมติแต่งตั้งว่าใครจะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาฝ่ายไทย ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการ

ส่วนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ถ้าเกิดเราไม่เจรจาเรื่องเขตแดนก่อน นายกษิต กล่าวว่า เรามีเอ็มโอยู เพื่อจะเจรจาเขตแดนกับการสำรวจทรัพยากรทางธรรมชาติ ก็ต้องเจรจากันต่อไป และยังไม่ได้เริ่มเจรจา ก็อย่าไปเดาความว่าผลการเจรจาจะออกมาอย่างไร ที่วิพากษ์วิจารณ์กันก็ไม่ถูกต้อง ส่วนที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ยกเลิกเอ็มโอยู44 นั้น ตนคิดว่านายภูมิธรรมต้องไปอ่านมติ ครม.ใหม่ ศึกษาเรื่องราวให้ดี

ในฐานะที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมาก่อน มีข้อแนะนำสำหรับรัฐบาลปัจจุบันอย่างไร นายกษิต กล่าวว่า ตนคิดว่าเราทุกคนก็ต้องรักชาติ ต้องเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง ทุกคนต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ซื่อตรง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีเรื่องส่วนตัวเข้ามา แล้วก็ปล่อยให้คณะผู้แทนเจรจาไป แต่อย่าให้มีนัยยะของการเมือง และผู้มีอิทธิพลเข้ามาแทรกแซง กลุ่มนี้ต้องไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ปล่อยให้คณะผู้แทนไทยเจรจาต่อไป และผลการเจรจาก็แน่นอน ก่อนไปเจรจาก็คงต้องให้รัฐสภารับทราบ ให้ความเห็นชอบประกอบการเจรจา เมื่อผลการเจรจาคืบหน้าเป็นระยะๆ ก็ต้องกลับมารายงานที่รัฐสภา ในฐานะที่เป็นสังคมประชาธิปไตย

‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ เปิดศึกท้ารบ ‘ทนายเดชา’ เหตุเชื่อว่า ลึก ๆ แอบฟอกขาวช่วย ‘ทนายตั้ม’

(5 พ.ย. 67) คลิปบางช่วงบางตอน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ประกาศชักธงพร้อมรบกับ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เนื่องจากรู้สึกว่า การที่ทนายเดชา ไลฟ์เฟซบุ๊ก พูดเรื่องคดีมาดามอ้อย ตั้งข้อสังเกต เรื่องเงิน 71 ล้านบาท ทำไมถึงเพิ่งออกมาร้องเรียน บอกว่า สอบปากคำมาหลายครั้ง ไม่มีหมายจับ คดีจะหมดอายุความ นายสนธิ มองว่า ทนายเดชา ออกมาปั่นกระแส เพื่อให้คนหลงทิศ และลึก ๆ ก็เชื่อว่าช่วยทนายตั้ม

ทนายเดชา ได้มาร่วมออกรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด 35 (วานนี้) ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยฟอกขาวให้ทนายตั้ม สาเหตุที่ นายสนธิ พาดพิงถึงอาจจะไม่พอใจที่ความเห็นไม่ตรงกัน พร้อมให้ตรวจสอบทุกกรณีว่า ไม่มีเรี่องสีเทา ยกเว้นปริมาณแอลกอฮอล์

‘เอกนัฏ‘ เผย รทสช.ไม่ขัดแก้ รธน. แม้ไม่มีนโยบายหนุน แต่ย้ำชัด!! ห้ามแตะหมวด 1,2 – มาตรการปราบโกง

’เอกนัฏ‘ เผย รทสช.ไม่ขัดแก้รธน. แม้ไม่มีนโยบาย แต่ขอห้ามแตะหมวด 1,2 – มาตรการปราบโกง เผย “พีระพันธุ์” ขอไปศึกษาข้อกฎหมาย-เอ็มโอยู 44 เพิ่มเติม ห่วงไทยเสียผลประโยชน์

(5 พ.ย. 67) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ว่า ได้มีการพูดคุยกัน 2 เรื่อง คือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยังได้รับคำยืนยันว่า ในส่วนของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะไม่มีการแตะมาตรา 112 ซึ่งเป็นจุดยืนหลักของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด เราจะไม่สังฆกรรมไม่สนับสนุนและพร้อมจะขัดขวางทุกวิถีทางในเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 รวมไปถึงการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต้องไม่นับรวมเรื่องมาตรา 112 และตนได้ชี้แจงในที่ประชุมว่า ในฐานะที่เป็นเลขาธิการพรรค รทสช. เรามีจุดยืนที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มหาเสียงว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่นโยบายหลักของพรรค แต่หากเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่น เราไม่ขัดข้อง แต่จะไม่ต้องแตะหมวด 1 และ 2 ของรัฐธรรมนูญ รวมถึงมาตรการการป้องปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ส่วนจุดยืนของพรรค รทสช.ต่อเรื่องการแบ่งผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชานั้น ภาพใหญ่ของพรรค รทสช. เรารักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่สุดอยู่แล้ว ต้องไม่มีการนำพื้นที่อธิปไตยไปเจรจาต่อรองในทุกรูปแบบ ซึ่งเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ซึ่งได้รับคำยืนยันในที่ประชุมพรรคร่วม ทั้งจากกระทรวงการต่างประเทศ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ว่า ไม่ว่าผลการเจรจาจะออกมาแบบไหน จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศ 

ส่วนสิ่งที่คนกังวลคือ เรื่องเกาะกูด ก็ได้รับคำยืนยันว่า เป็นของประเทศไทยแน่นอน ไม่ว่าการเจรจาจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม หรือจะยกเลิกเอ็มโอยู 44 เกาะกูดก็ยังเป็นของไทย เป็นจุดยืนของพรรคร่วมทั้งหมด ส่วนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน จะต้องเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการด้านเทคนิคฝ่ายไทยหรือไม่นั้น ตนยังไม่ทราบว่ามีใครบ้างที่จะนั่งเป็นคณะกรรมการ ทราบเพียงว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการเดินหน้าต่อจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปี 2557 และรัฐบาลทุกยุคก็ตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาเพื่อไปเจรจากับกัมพูชา ส่วนผลการเจรจาเป็นอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

เลขาธิการพรรค รทสช. กล่าวว่า หลังประชุมพรรคร่วม ตนได้โทรศัพท์หานายพีระพันธุ์ สิ่งที่นายพีระพันธุ์ให้ความสำคัญคือ เรื่องเขตแดน เนื่องจากเป็นนักกฎหมาย จึงจะไปศึกษากฎหมายเพิ่มเติม ทั้งในตัวเอ็มโอยู 2544 และกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะเอ็มโอยู 2544 เดิมทีเป็นภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานด้านความมั่นคง ในส่วนของกระทรวงพลังงานเป็นเรื่องการเจรจาผลประโยชน์ร่วม ซึ่งนายพีระพันธุ์ระบุว่า ในส่วนนี้ต้องดูให้ดี คำว่าผลประโยชน์ร่วมทุกฝ่ายก็อยากได้ ทำอย่างไรจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้ได้มากที่สุด 

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ ยังมีความกังวล เพราะเดิมทีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลมีการสัมปทานไปก่อนหน้านี้ นายพีระพันธุ์จึงกำลังศึกษาอยู่ว่า หากเป็นไปแบบนั้นจริง ประเทศไทยจะได้ผลประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้เกิดความอุ่นใจ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เป็นเรื่องเขตแดนของประเทศ ซึ่งไม่เฉพาะพื้นที่บนเกาะกูดเท่านั้น แต่ในทางกฎหมายยังหมายรวมถึงพื้นที่ในทะเล หรือพื้นที่สิทธิประโยชน์ทางทะเล ถ้าเรายืนยันว่า เกาะกูดเป็นของไทย พื้นที่อื่นที่เกี่ยวเนื่องก็ต้องเป็นของไทยด้วย ซึ่งเป็นที่มาที่ไทยได้ประกาศพื้นที่ไหล่ทวีปเมื่อปี 2516 ไทยก็ต้องรักษาเขตแดนของเรา ส่วนการเจรจาผลประโยชน์ร่วมก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศเช่นกัน 

“ยังไม่ถึงกับว่า นายพีระพันธุ์ไม่สบายใจเรื่องนี้ เพียงแต่สไตล์การทำงานของท่านต้องศึกษาให้เกิดความละเอียดในทุกเรื่อง จนกว่าท่านจะมั่นใจ เพราะมันเป็นเรื่องข้อกฎหมาย มีกฎหมายระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง และทำกันมา 20-30 ปีแล้ว ทุกอย่างมันอยู่ในใจของเราอยู่แล้ว ต้องทำให้รอบคอบ อย่าให้ประเทศไทยเสียผลประโยชน์ ต้องไปดูว่า ที่ผ่านมาได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่”นายเอกนัฏ กล่าว

สส. โกงเกณฑ์ทหาร-ใช้ สด. 43 ปลอม อีกหนึ่งความมัวหมองของนักการเมืองไทย

(5 พ.ย. 67) คนไทยที่มีหัวใจเป็น “ลูกผู้ชายตัวจริง” ถ้าไม่ได้ผ่านการเรียน รด. ครบ 3 ปี เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปเกณฑ์ทหารตามปกติเฉกเช่น “ผู้ชายไทย” ทั่วไป จึงจะถือว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เอาเปรียบเพื่อนชายไทยด้วยกัน และยังได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่มีความกล้าหาญ มีความสุจริตใจ พร้อมที่จะปฏิบัติตนตามกฎกติกาของสังคม   

บางคนร่างเป็นชาย กายอยากเป็นหญิง แม้ร่างกายจะซ่อนความตุ้งติ้งไว้ภายใน แต่เมื่อมีหัวใจที่เข้มแข็งไม่แพ้ชายไทยแท้ ก็มีทั้งเลือกเรียน รด. ตอนชั้นมัธยมปลาย และมีทั้งรอไปเกณฑ์ทหารเสี่ยงจับใบดำใบแดง ก็ต้องยกย่องว่าเป็น “คนดีของสังคมไทย” ในแบบหนึ่ง

ส่วนผู้ชายไทย ที่ รด. ก็ไม่เรียน ขณะที่เพื่อน ๆ ต้องลงทุนแต่งชุด รด. อดทนถือหนังสือคู่มือนักศึกษาวิชาทหารเล่มหนาเกือบครึ่งฝ่ามือ โหนรถเมล์ไปฝึกสัปดาห์ละหนึ่งวันเป็นเวลายาวนานถึงสามปี และในตอนใกล้จบหลักสูตรก็ต้องไปฝึกภาคสนามที่ “เขาชนไก่” จังหวัด กาญจนบุรี อีกเจ็ดวันเต็ม ๆ แล้วพอถึงเวลาที่ตนเองต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ก็ยังหนี หรือโกงอีก นอกจากจะมีความผิดทางกฎหมาย ยังมองเห็นความผิดปกติในเรื่องของ “นิสัยใจคอ” สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดถึงการเป็นคนที่ชอบ “โกงเวลาชีวิตของคนอื่น” คนประเภทนี้ขาดความเสียสละ แล้งน้ำใจ ขาดความเคารพนับถือทั้งต่อตนเอง และสังคมส่วนรวม ถือเป็นคนที่ไม่น่าคบค้าสมาคม

ผู้ชายที่แค่การเกณฑ์ทหารยังหนี ยังโกง ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพที่สูงส่งหรอก แค่มีอาชีพ “หาเช้ากินค่ำ” ก็ยังไม่พ้นข้อหาน่ารังเกียจไปได้ เพราะถือว่าเป็นผู้ชายที่มีพฤติกรรมที่เอาเปรียบสังคม 

แต่ถ้ามีอาชีพเป็นถึง “นักการเมือง” ได้กินเงินเดือนจากภาษีอันเหนื่อยยากของประชาชน แต่มาถูกขุดคุ้ยว่าเคยหนีการเกณฑ์ทหาร แถมยังโกหกสังคมด้วยการโชว์ใบ สด.43 ปลอมอีก ต้องถือว่าเป็นนักการเมืองในระดับ “ชั่วเรียกพี่” นอกจากสมควรต้องได้รับโทษทางกฎหมาย เงินเดือนที่ได้รับจากภาษีของประชาชนมาตลอดการเป็น ส.ส. สมควรต้องคืนหลวงให้ครบทุกบาททุกสตางค์ 

ถ้าไม่มีเงิน ก็ลองไปขอเรี่ยไรจาก “คน 14 ล้าน” ที่ยังหูหนวกตาบอดอยู่ หรือไม่ก็ไปปรึกษา “ทนายนักต้มตุ๋นสังคม” ที่กำลังเป็นข่าวดู ถามเขาว่าเมื่อถูกผู้คนจับได้ไล่ทันแล้วว่าเป็นคนที่ “ปลิ้นปล้อน” สถานการณ์แบบนี้ควรทำตัวอย่างไรดี 

เพราะถึงอยู่ ก็ไม่สู้ตายดีกว่า อยู่แบบหมา มันเสียชาติชาย

ลุ้น ‘นิพนธ์-นายกฯชาย’ จะเลือก ‘เก่า หรือ ใหม่’ ยืนอยู่ฝั่งไหนในศึกชิง ‘นายกฯอบจ.สงขลา’

(5 พ.ย. 67) น่าสนใจเมื่อ ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ประกาศเจตนารมณ์ ‘ทดแทนแผ่นดินเกิด เดินตามรอย ‘ป๋า-พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์’ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานองคมนตรี รัฐบุรุษอาวุโสผู้ล่วงลับ

สุพิศ ยังโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความ ‘ พร้อม’ ชีวิตนี้เพื่อสงขลา หรือแม้แต่ ‘ผู้ประสานสิบทิศ สุพิศ พิทักษ์ธรรม ชีวิตนี้พร้อมเพื่อสงขลา

ประโยคเหล่านี้เป็นการสะท้อนเจตนารมณ์ ในการใช้ชีวิตหลังจากนี้ไป คือการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ที่ปัจจุบันมี ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ นั่งบริหารอยู่ และจะหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคม 2567 นี้ และจะมีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568สุพิศยังกล่าวอ้างถึงผู้หลักผู้ใหญ่สองคนว่าให้การสนับสนุน คือ นิพนธ์ บุญญามณี อดีตนายกฯอบจ.สงขลา อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย และนายกฯชาย-เดชอิศม์ ขาวทอง อดีตนายกฯอบจ.สงขลา รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข ก็ไม่แน่ใจว่า สองคนที่สุพิศกล่าวอ้างถึง ได้มีการคุยกันในรายละเอียดแล้วมากน้อยแค่ไหน เพราะยังมีรายละเอียดของการสนับสนุนอีกมาก และที่น่าจะเป็นประเด็น คือการจัดทีมคนลงสมัคร ส.อบจ.ในอนาคตด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ทั้งนิพนธ์ และนายกฯชาย จะต้องส่งคนของตัวเองไปสมัครเป็น ส.อบจ.ด้วย สุพิศเองก็ต้องมีคนของตัวเองลงสมัครด้วย บวกรวมกับส.อบจ.เก่า น่าจะเกิดปัญหาความซ้ำซ้อนกันในพื้นที่

การได้ถ่ายรูปร่วมกันในวันชิงชนะเลิศฟุตบอลคิงคัพ อาจจะไม่ใช่สัญญาณ 100% ว่าให้การสนับสนุน เพียงแต่สถานการณ์บังคับ ต้องได้ยินจากปากของทั้งสองท่าน หรือได้เห็นพฤติกรรมของการช่วยเหลือ จึงจะเชื่อได้ว่า สนับสนุนจริง การได้พบปะกินข้าวกันในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่บ้านเขารูปช้าง ถือเป็นเรื่องปกติที่นิพนธ์เปิดรับผู้สนับสนุนทุกอาทิตย์อยู่แล้ว

ยังเชื่อไม่ได้ 100% ว่า นิพนธ์ นายกฯชาย จะให้การสนับสนุนสุพิศ จนกว่าจะได้เห็นอะไรที่ชัดกว่านี้ สำหรับนิพนธ์ ผมเชื่อว่า ‘เลือดข้นกว่าน้ำ’ ด้วยเลือด ‘น้ำเงินขาว’ จากรั้วมหาวชิราวุธเช่นเดียวกับ ‘ไพเจน’ ใจของนิพนธ์จึงน่าจะอยู่กับไพเจนมากกว่า ส่วนเรื่องความหมองใจกันน่าจะเป็นเรื่องเล็กที่เคลียร์ใจกันได้ คุยกันได้ ผิดก็ขอโทษกันไป ปัญหาชาติบ้านเมืองสำคัญกว่า 

ส่วนนายกฯชายเดิมใจอยู่กับไพเจนอยู่แล้ว เขานัดเจอกันบ่อย แต่ด้วยแรงดูดที่หนักหน่วงทำให้ใจของนายกฯชายไขว้เขวไปบ้าง แต่ถึงวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างตกผลึก เชื่อว่า ยังมีเวลาให้เปลี่ยนใจได้ อนาคตกับที่ยืนสำคัญกว่า

กล่าวสำหรับสุพิศการกล่าวว่าจะเดินตามรอยป๋า ไม่ได้เป็นผลดีต่อเขามากนัก เพราะป๋า มีภาพลักษณ์ที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรมที่สูงส่ง นอกจาก ‘เกิดมาต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน’ แล้ว ป๋า ยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ประจักษ์ ไม่มีข้อกล่าวหา ร้องเรียนตลอด 8 ปี ของการเป็นนายกรัฐมนตรี

อีกแค่เดือนกว่าๆ นายกฯไพเจนจะหมดวาระแล้ว และอีกไม่กี่วันก็จะได้รู้ข้อเท็จจริงว่า นิพนธ์-นายกฯชาย ช่วยใครกันแน่ หรืออาจจะวางเฉยในสถานการณ์ได้เสียก็เป็นได้

กต. ยัน ‘เกาะกูด’ ของคนไทย ป้อง MOU44 ไม่จำเป็ฯต้องยกเลิก พร้อมเเจงยิบ 5 ประเด็นร้อน

(4 พ.ย. 67) กระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดการบรรยายสรุปสถานการณ์เรื่อง เรื่องพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (Overlapping ClaimsArea: OCA) ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นางสุพรรณวษา โชติกญาณ ถัง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยของสาธารณะ

อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ อธิบายประเภทของเขตทางทะเลและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ปี ค.ศ. 1982 และชี้แจงที่มาของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) ระหว่างไทย-กัมพูชา ขนาดประมาณ 26,000 ตร.กม. เกิดจากการประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยของทั้งสองประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายได้ทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน

อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ชี้แจงว่า MOU 2544 นี้เป็นข้อตกลงที่กำหนดกรอบและกลไกการเจรจาร่วมกัน ไม่ได้หมายถึงการยอมรับการอ้างสิทธิของอีกฝ่าย โดยทั้งสองประเทศต้องดำเนินการเจรจาต่อไป MOU 2544 กำหนดให้เจรจาทั้งเรื่องการแบ่งเขตทางทะเลและการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน โดยใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศและประโยชน์ร่วมกัน กลไกหลักคือ คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ด้านความมั่นคง กฎหมาย และพลังงาน ซึ่งได้มีการประชุมไปแล้วในปี 2544 และ 2545 นอกจากนี้ยังมีคณะอนุกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Sub-JTC) และคณะทำงานร่วมเกี่ยวกับการกำหนดเขตทางทะเลและการพัฒนาร่วม

แนวทางในการแก้ปัญหา OCA ที่ทั้งไทยและกัมพูชาเห็นพ้องต้องกัน มีดังนี้ (1) ข้อตกลงต้องได้รับการยอมรับจากประชาชนทั้งสองประเทศ (2) ต้องนำเรื่องให้รัฐสภาของทั้งสองประเทศพิจารณาอนุมัติ และ (3) ข้อตกลงต้องสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการ JTC ฝ่ายไทย และเมื่อทั้งสองฝ่ายแต่งตั้งคณะกรรมการ JTC แล้ว ไทยจะเสนอกรอบการเจรจาให้รัฐบาลเห็นชอบ จากนั้นจะทาบทามการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาต่อไป รวมถึงการแต่งตั้งกลไกย่อยต่าง ๆ

กระทรวงการต่างประเทศยืนยันการเจรจาเรื่อง OCA บนพื้นฐานของกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อผลประโยชน์ของชาติ เช่นเดียวกับที่เคยปฏิบัติกับประเทศอื่น

ในช่วงการตอบคำถามสื่อ อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ได้ตอบคำถาม 5 ข้อดังนี้:

1. เกี่ยวกับคำถามที่ว่า MOU 2544 จะทำให้ไทยเสียเกาะกูดหรือไม่ อธิบดีชี้แจงว่า เกาะกูดเป็นของไทยตามสนธิสัญญากรุงสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ซึ่งยืนยันสิทธิอธิปไตยเหนือเกาะกูดอย่างชัดเจน

2. MOU 2544 ขัดกับพระบรมราชโองการการประกาศเขตไหล่ทวีปหรือไม่ อธิบดีระบุว่า การดำเนินการตาม MOU 2544 สอดคล้องกับพระบรมราชโองการ โดยอิงตามอนุสัญญาเจนิวา ค.ศ. 1958 อย่างไรก็ตาม สิทธิเหนือทรัพยากรใต้ท้องทะเลขึ้นกับการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน

3. MOU 2544 เป็นการยอมรับเส้นของกัมพูชาหรือไม่ อธิบดียืนยันว่าแต่ละฝ่ายมีสิทธิ์เคลมพื้นที่ของตนเองภายในประเทศ ไม่มีผลผูกพันระหว่างประเทศ MOU ไม่ได้บังคับให้ยอมรับเส้นของกัมพูชา

4. การยกเลิก MOU 2544 ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ มาจากการเจรจาชายแดนที่ไม่คืบหน้าในช่วงความตึงเครียดปี 2552 แต่ในปี 2557 กระทรวงเห็นว่า MOU 2544 มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย และทุกรัฐบาลที่เข้ามารับช่วงต่อยอมรับว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการสร้างความโปร่งใสในการเจรจา

5. เกี่ยวกับการสร้างเขื่อนของกัมพูชาในพื้นที่ OCA อธิบดีระบุว่าการสร้างเขื่อนนี้ถูกประท้วงถึงสามครั้ง ตั้งแต่ปี 2541 2544 และปี 2564 เนื่องจากการก่อสร้างบางส่วนรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิ ซึ่งผลของการประท้วงทำให้หยุดการก่อสร้างของเอกชน "เราก็ต้องแสดงสิทธิเหนืออธิปไตย และเรื่องดังกล่าวอยู่ในการติดตามของกองทัพเรือ และสมช. อย่างใกล้ชิด" อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ กล่าว

‘นพดล’ วอนหยุดปั่นกระแสไทยเสีย ‘เกาะกูด’ ย้ำชัด เกาะเป็นของไทย อย่าใช้ความเท็จโจมตีดั่งกรณีเขาพระวิหาร

‘นพดล’ วอนหยุดปั่นกระแสไทยเสียเกาะกูด หยุดใช้ความเท็จโจมตีอย่างที่ตนเคยถูกใส่ร้ายเรื่องเขาพระวิหาร แต่พอศาลยกฟ้องกลับเงียบหายไปหมด

เมื่อวันที่ (3 พ.ย.67) นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการปั่นกระแสว่าไทยจะเสียเกาะกูด และเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก เอ็มโอยู 44 รวมทั้งพาดพิงตนให้คนเข้าใจผิดเรื่องเขาพระวิหารแบบแผ่นเสียงตกร่องว่า ตนขอใช้สิทธิถูกพาดพิง คนที่เป็นห่วงโดยสุจริตก็มี และบางคนเป็นคนที่เคยร่วมจุดกระแสคลั่งชาติในปี 2551 โดยใช้ความเท็จใส่ร้ายว่าตนซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ทำให้ไทยเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา ทั้ง ๆ ที่ไทยยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินศาลโลกไปแล้วตั้งแต่ปี 2505 ต่อมาในปี 2551 กัมพูชาเอา 1.ตัวปราสาทและ 2.พื้นที่ทับซ้อนไปขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก แต่รัฐบาลและตนเจรจาจนกัมพูชายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และยอมขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทซึ่งเป็นของเขามาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ตนถูกโจมตีใส่ร้ายเท็จว่าขายชาติและไปฟ้องเอาผิดตน ซึ่งต่อมาในปี 2558 ศาลฎีกาก็ได้พิพากษายกฟ้องตน และในคำพิพากษาก็ได้ระบุว่าสิ่งที่ตนทำถูกต้องและประเทศจะได้ประโยชน์จากการกระทำของตน ข้อเท็จจริงคือตนไม่ได้ขายชาติ แต่คือคนที่ปกป้องชาติ แต่คนบางกลุ่มยังไม่สำนึกว่าการจุดกระแสคลั่งชาติเรื่องเขาพระวิหารในปี 2551 ทำให้มีการปะทะตามแนวชายแดน มีทหารเสียชีวิต และทำให้ในปี 2554 กัมพูชากลับไปศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อยื่นตีความคำพิพากษาศาลโลกปี 2505 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสื่อมทรามลงในเวลานั้น ถามว่าคนเหล่านี้จะรับผิดชอบอย่างไร

นายนพดล กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่เรียกร้องให้ไทยยกเลิกเอ็มโอยู 44 นั้น คำถามคือถ้ามันจะทำให้ไทยเสียหายจริง นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีต่างประเทศที่ไปลงนามเอ็มโอยู 44 จะไปเซ็นได้อย่างไร นอกจากนั้นมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงและกฎหมาย 3 เรื่องใหญ่ที่ต้องตอบคือ 1.การกล่าวหาว่าเอ็มโอยู 44 จะทำให้เสียเกาะกูดนั้นก็ไม่จริง เกาะกูดเป็นของไทยตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ไม่มีใครสามารถยกเกาะกูดให้กัมพูชาได้ เกาะกูดเป็นอำเภอหนึ่งของไทยและไปเที่ยวได้ตลอด 2.กล่าวหาว่าเอ็มโอยู 44 ไปยอมรับเส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศ และจะทำให้ไทยเสียสิทธิทางทะเล ก็ไม่เป็นความจริงอีก เนื่องจากเนื้อหาของเอ็มโอยู  44 ไม่ได้ยอมรับเส้นที่กัมพูชาลากแต่อย่างใด เพราะถ้ายอมรับ แล้ว เราจะไปเจรจากันทำไม โดยเฉพาะที่ต้องเน้นคือเนื้อหาในข้อ 5 ของเอ็มโอยู 44 ที่ระบุไว้ชัดเจนว่าตราบใดที่ยังไม่มีข้อตกลงเรื่องการแบ่งเขตพื้นที่ทางทะเล ให้ถือว่า เอ็มโอยู 44 และการเจรจาตาม เอ็มโอยู 44 จะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิ์ทางทะเลของทั้งไทยและกัมพูชา  

นายนพดล กล่าวต่อว่า และ 3.ส่วนที่กล่าวหาว่ารัฐบาลนี้มุ่งแต่จะเจรจากับกัมพูชา เพื่อขุดน้ำมันและแก๊สในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนก่อน โดยไม่สนใจพื้นที่ทางทะเลนั้น ก็เป็นข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริง เนื่องจากไม่สามารถทำได้ตามกรอบเอ็มโอยู 44 เพราะ ก) การเจรจาแบ่งพื้นที่ทางทะเล และ ข) การเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมหรือ JDA ต้องทำคู่ผูกติดกันไป แยกจากกันไม่ได้ (indivisible package) ตามที่ระบุในข้อ 2 ของ เอ็มโอยู 44

“ผมสงสัยว่ารัฐบาลที่ผ่านมาก็เจรจาโดยใช้เอ็มโอยู 44 ไม่เห็นมีการประท้วง ผมเห็นว่าพี่น้องคนไทยควรได้รับทราบข้อเท็จจริง ไม่ใช่การให้ความเห็นที่ไม่ถูกต้อง คนที่แสดงความห่วงใยโดยสุจริต รัฐบาลคงพร้อมรับฟัง ส่วนคนที่บิดเบือนใส่ร้ายก็ขอยุติได้แล้ว บางคนเคยร่วมจุดกระแสคลั่งชาติเรื่องเขาพระวิหาร ยังไม่สำนึกรับผิดชอบต่อความเสียหายที่ทำขึ้น ผมเคยถูกใส่ร้ายเรื่องเขาพระวิหาร ทำลายผม ครอบครัวผม แต่พอศาลฎีกาท่านยกฟ้องตนและคำพิพากษาระบุว่าสิ่งที่ผมทำถูกต้องและประเทศจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่ตนทำ กลับเงียบหายไปหมด” นายนพดล กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top