Monday, 9 June 2025
POLITICS NEWS

‘ธนาธร’ ออกจดหมายเปิดผนึกถึง ‘นายกฯ แพทองธาร’ ทบทวนออกสัมปทานซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์

(28 ต.ค. 67) ‘ธนาธร’ ออกจดหมายเปิดผนึกถึง ‘นายกฯ แพทองธาร’ ขอทบทวนการออกสัมปทานรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ชี้อาจเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนพลังงาน

วันที่ 28 ต.ค.67 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เผยแพร่จดหมายถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุ
[จดหมายเปิดผนึกถึงคุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี]

เรื่อง ขอให้ทบทวนการออกสัมปทานรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งอาจเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนพลังงาน

ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นเพราะไม่เห็นด้วยกับการประกาศรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. ที่ท่านนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งเป็นประธาน

ผมเห็นว่าการรับซื้อพลังงานครั้งนี้ รับซื้อด้วยราคาที่แพงเกินไป ไม่มีการเปิดประมูลเพื่อให้มีการแข่งขัน ซึ่งหากดำเนินการต่อไป อาจจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้า ส่งผลให้รัฐและประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงเกินไปโดยไม่จำเป็น  

การจัดซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ครั้งนี้ ใช้ราคาและหลักการเดียวกับการจัดซื้อพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกกะวัตต์ในปี 2565 สมัยที่คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็นนายกรัฐมนตรี การจัดซื้อครั้งนั้น มีเอกชนเสนอขายมากกว่าจำนวนที่รัฐบาลต้องการซื้อถึง 3.3 เท่าตัว (ต้องการซื้อ 5,200 เมกะวัตต์ เอกชนเสนอขาย 17,400 เมกะวัตต์) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคารับซื้อสูงเกินกว่าราคาตลาด จึงมีเอกชนสนใจเสนอขายจำนวนมาก

ในฐานะที่คุณแพทองธารเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ผมขอให้ท่านทบทวนนโยบายการจัดซื้อพลังงาน 3,600 เมกะวัตต์นี้เสียใหม่ การประกาศผู้ได้รับการคัดเลือกจะเกิดขึ้นปลายปีนี้ และลงนามในสัญญาปีหน้า ยังไม่สายเกินไปที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่การใช้พลังงานสะอาดเป็นไปด้วยความเป็นธรรม

ในการตอบกระทู้สดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในสภาผู้แทนราษฎร คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ตอบคุณณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ผู้ตั้งกระทู้ ว่าท่านเห็นด้วยว่าเงื่อนไขมีข้อบกพร่อง และรับปากกับสภาว่าจะทบทวนการซื้อพลังงานครั้งนี้เช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม ผมจำเป็นต้องเรียนท่านนายกรัฐมนตรีว่า อำนาจในการหยุดยั้งแก้ไข ไม่ได้อยู่ที่ท่านรัฐมนตรี แต่อยู่ที่ตัวท่านนายกฯ เอง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ

อย่าให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดเป็นโอกาสให้กลุ่มทุนร่ำรวยขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยนวัตกรรมใดๆ ที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศ

อย่าให้ประชาชนต้องรับภาระการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดด้วยการจ่ายค่าไฟที่แพงขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม

จากการประเมินเบื้องต้น หากการรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ดำเนินต่อไปด้วยเงื่อนไขปัจจุบัน รัฐจะจ่ายค่าไฟแพงกว่าที่ควรจะเป็นหากเกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมถึง 66,000 ล้านบาท (พิจารณาจากมูลค่าปัจจุบัน)

ท่านนายกรัฐมนตรีมีทางเลือกคือ หากต้องการดำเนินนโยบายนี้ต่อ ผมขอให้มีการประมูล ให้เอกชนแข่งขันกัน ไม่ใช่กำหนดราคาตายตัว เช่นเงื่อนไขปัจจุบันหรือเงื่อนไขแบบ 5,200 เมกะวัตต์ของปี 2565 หรือใช้กลไก Direct PPA ที่มีอยู่ ที่เปิดให้ผู้ผลิตซื้อขายกับผู้ใช้ได้โดยตรง

ไปไกลกว่านั้น หากท่านต้องการปฏิรูปอุตสาหกรรมพลังงานอย่างจริงจัง ท่านมีทางเลือกคือการยุติการจัดซื้อครั้งนี้ ปฏิรูปอุตสาหกรรมการผลิตและการขายพลังงาน ให้เกิดการแข่งขันอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม สอดคล้องต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาด  

ท่านนายกรัฐมนตรีย่อมทราบดีว่าพรรคเพื่อไทยก็มีนโยบายที่ต้องการจะลดราคาพลังงาน และปรับเปลี่ยนโครงสร้างและการบริหารจัดการพลังงานเช่นกัน การรับซื้อพลังงาน 3,600 เมกะวัตต์ ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานกำลังทำอยู่นี้ ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงต่อแนวนโยบายของพรรคเพื่อไทย

ค่าไฟแพงไม่ใช่ความบังเอิญ และไม่ใช่ผลจากการแข่งขัน แต่มาจากนโยบายรัฐ 20 ปีที่ผ่านมา เราปล่อยให้นโยบายพลังงานสร้างกลุ่มทุนพลังงานที่รวยเป็นแสนล้านขึ้นในประเทศไทย ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนห่างขึ้นมหาศาล รัฐออกนโยบายเอื้อกลุ่มทุนผูกขาด ส่วนประชาชนต้องแบกรับผลกระทบในฐานะเป็นคนจ่ายค่าไฟ

วันนี้ ท่านมีอำนาจที่จะพิจารณาชะลอ หยุดยั้ง หรือเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัตินี้ ผมหวังว่าท่านจะใช้อำนาจนั้นเพื่อรับใช้ประชาชน

ขอแสดงความนับถือ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
28 ตุลาคม 2567“

‘ปิยะ ปิตุเตชะ’ พร้อมลงชิงนายก อบจ. ระยองอีกสมัย มั่นใจย้ำชัยชนะ ไม่ลาออกก่อนเวลา หวั่นสิ้นเปลืองงบประมาณ

(28 ต.ค. 2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิยะ ปิตุเตชะ หรืออาช้า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เปิดใจกลบกระแสดราม่าจะวางมือทางการเมืองท้องถิ่น เพื่อดันน้องชาย นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงสมัครนายก อบจ.ระยอง แทนในสมัยหน้า ที่จะหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ โดยประกาศชัดเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง และตนก็ไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน ตนจะลงสมัครนายก อบจ.ระยอง สมัยหน้าแน่นอน ตนเป็นนายก อบจ.ระยอง มานานรวม 18 ปี ตามกฎหมายตนลงสมัครได้อีก 1 สมัย และเป็นครั้งสุดท้ายที่ตนจะทำประโยชน์ให้กับจังหวัดระยอง

ส่วนกรณี นายสาธิต ปิตุเตชะ เขายังหนุ่มก็ให้เขาทำอย่างอื่นไป ส่วนสมาชิก ส.อบจ. ที่อยู่ในทีมจะลงสมัคร ส.อบจ.เพียง 90 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์ บางคนมีความประสงค์จะไปลงสมัครนายกเทศมนตรีและนายก อบต.

“ส่วนกรณีว่าทำไมผมไม่ลาออกก่อนหมดวาระเหมือนในหลายจังหวัดเพื่อเลือกตั้งใหม่นั้น สำหรับผมเองคิดว่าถ้าลาออกก่อนเพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ จะทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง คือเลือกตั้งนายก อบจ. แล้วต้องมาเลือกตั้ง ส.อบจ.อีก เสียดายงบประมาณเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกมาก เราจะเอางบประมาณมาทำเพื่อตัวเราเองมันไม่มีประโยชน์หรอก ด้วยสาเหตุนี้จึงไม่ลาออกก่อนหมดวาระ เลือกตั้งครั้งนี้ผมมีความพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุด ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลสามารถคว้าชัยชนะได้ทั้ง 5 เขตของจังหวัดระยอง

ศึกสังเวียน อบจ.นครศรีฯ ยังออกหมัดกันน้อย เหมือนมวยชั้นเชิง แต่ระวังหมุดสวน!! หรือศอกกลับ มีสิทธิ์น็อคทุกคน

(27 ต.ค. 67) หลังจากนายหัวไทรโพสต์ภาพป้ายหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชของผู้สมัครหมายเลข 2 (วาริน ชิณวงศ์-น้ำ)ถูกมือดีฉีกทำลาย ไม่รู้ว่าด้วยฝีมือของใคร แต่มองได้สองมุม คือ เป็นการทำของคู่แข่ง เป็นการข่มขวัญ และเป็นการกระทำของทีมงานผู้ถูกทำลายป้ายเอง เพื่อเรียกคะแนนสงสาร ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการแบบโบราณ ล้าสมัย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของฝ่ายใดก็ตาม

แต่สำหรับนายกองตรีอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ผู้สมัครชิงนายกฯอบจ. หมายเลข 3 จากกลุ่มนครก้าวหน้าก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นทันที กล่าวสำหรับอาญาสิทธิ์ ไม่ขึ้นป้ายหาเสียง ไม่มีรถแห่ ไม่มีหัวคะแนน หาเสียงผ่านสื่อออนไลน์ และลงพบปะแลกเปลี่ยนในชุมชนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

นายกองตรีอาญาสิทธิิ์ โพสต์เฟสบุ๊คระบุว่า พบป้ายหาเสียงของผู้สมัครรายหนึ่ง เป็นป้ายสีน้ำเงิน ที่ติดตั้งอยู่ริมถนนสาย นครฯ-ทุ่งสง ในเขตอำเภอร่อนพิบูลย์ 

เป็นประเด็นการเมืองที่มีประชาชนสนใจสอบถามกันในเฟสบุ๊คจำนวนมาก พร้อมส่งข้อมูลให้ความเห็นในเฟสบุ๊คของ อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ว่ามีป้ายของผู้สมัครถูกทำลาย ทั้งสองค่ายสีน้ำเงินและสีฟ้า และประชาชนจำนวนมากต่างสอบถามด้วยความสงสัย ว่ายังไม่พบป้ายหาเสียงค่ายสีส้มของนายอำเภออาญาสิทธิ์ เบอร์3 ติดตั้งตามถนนต่างๆ ซึ่งนายกองตรีอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ได้ตอบเฟสบุ๊คว่า #ป้ายเบอร์3 นั้นได้ติดไว้ในอ้อมอก ในหัวใจ ของพี่น้องชาวนคร แล้ว ดูได้จากโทรศัพท์มือถือ สื่อออนไลน์ เฟสบุ๊ค , ไลน์ สาธารณะ เนื่องจากนายกองตรีอาญาสิทธิ์#เบอร์3 คิดใหม่ ทำใหม่  ไม่ใช้รูปแบบการหาเสียงติดป้าย ไล่แห่ รถเปิดเครื่องเสียงให้รำคาญชาวบ้านแบบเดิมๆ แต่มุ่งหน้าเข้าไปพูดคุย กับประชาชน เรื่องปัญหาเรื่อง อาชีพ รายได้ ปัญหาอื่นๆ และเชิญชาวนา ชาวไร่ คนทุกชนชั้นนั้นในเมืองนครฯ มาร่วมกันสนับสนุนเลือกเบอร์3 เพื่อเข้าไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ความยากจน ไม่มีรายได้ ของชาวนคร 

การหาเสียงเลือกตั้งถ้าเป็นมวยก็เริ่มเข้าสู่ยกที่ 2 แล้ว ยกละ 10 วัน เหลืออีก 3 ยก ถ้าเป็นมวยไฟท์เตอร์ ยกสองต้องมีออกหมัดกันบ้างแล้ว แต่ถ้าเป็นมวยชั้นเชิง ยกสองอาจจะยังติ้ดเฉิ้งกันไปอีกหน่อย ดูชั้นเชิงของคู่ต่อสู้

มวยคู่เอกเป็นการชกกันระหว่าง ‘ต้อย ศิษย์เดชเดโช’ กับ ‘น้ำ สิงห์น้ำเงิน’ ยกแรกผ่านไป ถือว่า ต้อย ศิษย์เดชเดโช มีคะแนนนำไปก่อน สะท้อนผ่านการระดมสรรพกำลัง เดินสายพบปะ รถตระเวนแห่หาเสียงไปทั่ว พร้อมกับการเปิดเวทีปราศรัยย่อยในระดับชุมชน พร้อมกับป้ายหาเสียงพรึบ อันเป็นตัวบ่งชี้ถึงความพร้อม และการบริหารจัดการทีมที่พร้อมกว่า

ส่วนน้ำ แม้จะออกพบปะประชาชนอยู่เนืองๆ แต่ยังเน้นชุมชนเมือง หรือตลาดที่เป็นย่านอยู่อาศัยหนาแน่น ยังไม่เปิดเวทีปราศรัย รอความพร้อมทั้งผู้ช่วยปราศรัย และการจัดตั้งคนมาฟัง ที่สำคัญคือต้องหลีกทางให้กับฝนฟ้า ที่ช่วง 27-28-29 ตุลาคมนี้ยังมีฝนลงมาอยู่ เวทีปราศรัยแรกที่บ้านเกิดปากพนังจึงยังไม่ปรากฏ ป้ายหาเสียงก็ยังเห็นแค่ประปราย เข้าใจว่าป้ายหาเสียงชุดใหญ่จะเสร็จ และติดตั้งเต็มพิกัด 1-2 พ.ย.นี้

การเปิดเวทีปราศรัย รถแห่ รวมถึงการติดตั้งป้ายแนะนำตัว เป็นภาพด้านกว้างของการหาเสียง คะแนนหลักต้องมาจากการจัดตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งผ่านหัวคะแนน แกนนำชุมชน ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเป็นการจัดการในทางลับที่คนนอกไม่อาจรู้ได้ และไม่รู้ว่า คู่แข่งทำกันไปแล้วแค่ไหน เพียงพอจะประเมินว่าจะชนะได้แล้วหรือยัง

เหลือเวลาอีกเพียง 3 ยก หรือ 30 วัน เมื่อเกมเดินไปสู่ยก 3-4-5 เชื่อว่า แต่ละคนจะต้องออกหมัดหนักขึ้น และยก 5 ต้องออกหมัดน็อคกันแล้ว ใครน้ำเลี้ยงดี ฟิตซ้อมมาดี ก็จะมีแรงอึด ยืนแลกหมัดได้จนยกสุดท้าย และเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะไปครอง

ประชาธิปัตย์นำร่อง 'เมืองคอนโมเดล' สำเร็จ สส.ปชป.นครศรีธรรมราช ขอบคุณ 'รัฐมนตรี เฉลิมชัย' แก้ปัญหาฉับไวมอบสมุดที่ดินทำกินคทช.ล็อตแรก1หมื่นราย8หมื่นไร่รอของขวัญปีใหม่ครบ 3 แสนไร่

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช เปิดเผยวันนี้ว่า ต้องขอขอบคุณ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะที่ได้เดินทางมาแจกสมุดประจำตัวผู้ได้รับการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติท้องที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการที่ตนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์นครศรีธรรมราชได้หารือในสภาผู้แทนราษฎรเรื่องที่ดินทำกินทับซ้อนระหว่างรัฐและประชาชน ในนครศรีธรรมราชมีทั้งหมด 380,000 ไร่ในความเป็นจริงแล้วมีที่ดินมากกว่านี้ เป็นปัญหามาอย่างยาวนานนับร้อยปีบางพื้นที่อยู่กันมาหลายชั่วอายุคนไม่ได้มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินเลย หลังจากได้มีการหารือในสภา รมว ทส.จึงได้เรียกไปพูดคุยกันหาแนวทางในการแก้ไข สุดท้าย รมว.ทส. จึงได้นำเสนอเข้าสู่โครงการ คทช.จึงได้แจกสมุดคู่มือให้กับเกษตรกรทุกท่าน ทั้ง 11 อำเภอ ทั้งหมดกว่า 10,000 ราย ที่ดินจำนวน 80,000ไร่ และเหลือพื้นที่เข้าโครงการแล้วอีก 300,000 ไร่ รมว มา รับปรกแล้วปีใหม่นี้จะมอบให้กับเกษตรกรทั้งหมด ทั้งนี้ สส.นครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 6 ท่านได้เดินหน้าแก้ปัญหาให้ประชาชนในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องภายใต้” เมืองคอนโมเดล“

”ต้องยอมรับว่า โครงการ คทช.นอกเหนือจากแจกคู่มือที่ดินทำกินแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีปัญหาเข้าไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ไม่ได้ก็สามารถเข้าไปดำเนินการได้เป็นสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชต้องขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีนโยบายเรื่องนี้มองเห็นและทำงานอย่างรวดเร็วในการคิกออฟแจกคู่มือที่ดินทำกินให้กับเกษตรกรในพื้นที่และต่อไปแจกทั่วทั้งประเทศ 12 ล้านไร่โดยนครศรีธรรมราชเป็นพื้นที่นำร่อง

ต่อข้อถามนครศรีธรรมราชยังมีพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจอีกมากน้อยเพียงใดว่า “ผมเชื่อว่ายังคงมีพื้นที่ไม่ได้สำรวจอีกประมาณ 5-6 แสนไร่ ซึ่งในพื้นที่นั้นอาจจะอยู่ในพื้นที่สูงต้องดูว่าอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน อุทยาน รวมถึงพื้นที่ลุ่มน้ำหรือไม่ จึงเป็นหน้าที่ของ สส.ปชป.ที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป” 'ส.ส.ชัยชนะ'กล่าว

จากนายก อบจ. สู่โทษจำคุก 6 ปี ศาลทุจริตสั่งฟัน ‘ชาญ พวงเพ็ชร์’

(24 ต.ค. 67) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 พิพากษาจำคุก 6 ปี 18 เดือน นายชาญ พวงเพ็ชร์ และพวกรวม 7 คน คดีทุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพ ในโครงการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอุทกภัยใน จ.ปทุมธานี

เนื่องจากเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 นัดอ่านคำพิพากษา คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายชาญ พวงเพ็ชร์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี กับพวกรวม 7 คนเป็นจำเลย

ในคดีหมายเลขดำที่ อท5/67 ในข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 กรณีทุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพในโครงการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอุทกภัยใน จ.ปทุมธานี จำนวน 2 ครั้ง เมื่อปี 2554 มูลค่าหลักล้านบาท แต่ถูกเลื่อนเรื่อยมา

จนวันนี้ศาลอ่านคำพิพากษาจำคุกนายชาญ กับพวก 2 กระทง กระทงละ 5 ปี รวม 10 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษหนึ่งในสาม เหลือกระทงละ 3 ปี 9 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 18 เดือน

เปิดข้อมูล ‘แกนนำม็อบปี 63’ โดน 112 ไปแล้วอย่างน้อย 12 คน ลี้ภัย 2 ราย เพนกวิน-ไมค์ ระยอง จับตา หลังรายงานนิรโทษล่มในสภา

(24 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากข้อมูลในฐานข้อมูลของ 'ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน' ที่รับทำคดีให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม ผู้เสียหาย หรือเหยื่อทางการเมือง เผยแพร่ข้อมูลสถิติว่า นับตั้งแต่ 24 พ.ย. 2563 เป็นต้นมา ถึง 20 ต.ค. 2567 มีบุคคลถูกจับกุมข้อหาตามมาตรา 112 แล้วอย่างน้อย 275 คน ใน 307 คดี โดยสรุปมีคดีที่สิ้นสุดแล้ว จำนวน 77 คดี คดีที่อยู่ในชั้นศาลจำนวน 163 คดี

โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็น ประชาชนไปร้องทุกข์กล่าวโทษ 162 คดี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร้องทุกข์ 11 คดี คดีที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไปร้องทุกข์ 9 คดี คดีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ร้องทุกข์ 1 คดี ส่วนที่เหลือคือคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหา

โดยพฤติการณ์ส่วนใหญ่ที่ถูกตั้งข้อหามาจาก การปราศรัยในที่ชุมนุม 59 คดี การแสดงออกอื่น ๆ เช่น การติดป้าย พิมพ์หนังสือ แปะสติ๊กเกอร์ เป็นต้น 72 คดี คดีเกี่ยวกับการแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์ 169 คดี และยังไม่ทราบสาเหตุ 7 คดี

สำหรับบรรดาแกนนำมวลชนเมื่อปี 2563 นั้นถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 มีอย่างน้อย 12 คน เช่น 'อานนท์ นำภา' มี 25 คดี ปัจจุบันศาลตัดสินไปแล้ว 4 คดี รวมโทษจำคุก 14 ปี 20 วัน 'พริษฐ์ ชิวารักษ์' หรือ 'เพนกวิน' มี 14 คดี โดยศาลตัดสินแล้ว 1 คดี โทษจำคุก 2 ปี แต่เจ้าตัวได้หลบหนี และลี้ภัยอยู่ต่างประเทศในขณะนี้ เช่นเดียวกัน 'ไมค์' ภาณุพงศ์ จาดนอก ที่มีคดีติดตัว 9 คดี ตัดสินแล้ว 1 คดีโทษจำคุก 4 ปี แต่เจ้าตัวหลบหนีลี้ภัยไปแล้วเช่นกัน

ขณะที่ 'รุ้ง' ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล มี 10 คดี เบนจา อะปัญ 8 คดี ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา 6 คดี พรหมศร วีระธรรมจารี 6 คดี ชูเกียรติ แสงวงค์ วรรณวลี ธรรมสัตยา เกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณ 4 คดี ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล 3 คดี ส่วน 'ไบรท์' ชินวัตร จันทร์กระจ่าง อดีตแกนนำม็อบช่วงปี 2563-2564 แต่ปัจจุบันเขาอ้างว่ากลับตัวกลับใจ และยอมรับคำสารภาพทุกข้อหา มีคดีติดตัว 8 คดี

นี่ยังไม่นับบรรดา 'มวลชน' ที่ติดสอยห้อยตาม 'ม็อบราษฎร' อีกหลายคนที่ต้องโทษติดคุกในคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง และคดีตามมาตรา 112 อีกหลายคดีเช่นเดียวกัน

ทั้งหมดคือบุคคลที่ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 โดยคดีทั้งหมดอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีแม้แต่คดีเดียวที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี ดังนั้นกลุ่มคนข้างต้น จะได้รับอานิสงส์ในการ 'นิรโทษกรรม' หรือไม่ 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งมีการศึกษาเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิด ม.112 แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น

ผลการพิจารณาปรากฏว่าสภาผู้แทนราษฎร มีมติไม่เห็นด้วยกับข้อสังเกตในรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โดยมีผู้ลงมติ 428 คน ลงมติเห็นด้วย 152 คน ไม่เห็นด้วย 270 คน งดออกเสียง 5 คน และไม่ลงคะแนนเสียง 1 คน

‘เพื่อไทย’ มีมติหนุนข้อสังเกต-รายงานนิรโทษกรรม ด้าน ‘นพดล’ ย้ำ พท.ไม่มีความคิดล้างผิด ม.110 และ 112

(24 ต.ค. 67) นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมสส.พรรค ถึงการลงมติวาระพิจารณาการลงมติโหวตจะรับข้อสังเกตรายงานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาแนวทางการตราร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม หรือไม่ ว่า รายงานนี้ไม่ใช่การพิจารณากฎหมาย ไม่ใช่การพิจารณาว่าจะมีหรือไม่มีมาตรา 112 รายงานนี้เป็นเพียงผลการศึกษาว่าหากต้องทำกฎหมายนิรโทษกรรมต้องทำอย่างไร ซึ่งตนพยายามอธิบายมาหลายครั้งและนายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ก็พูดชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมมาตรา 112 จากการฟังในที่ประชุมทั้งหลายก็มีแนวโน้มไปในทิศทางนั้น ฉะนั้น จึงได้ย้ำว่าที่ประชุมไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมมาตรา 112 เพียงแค่ตอนนี้ไม่ใช่การพิจารณากฎหมาย เพียงแค่เป็นวาระการศึกษากฎหมาย 

นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่ประชุมจะลงมติกันในวันนี้ได้หรือไม่นั้น นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานสส.พรรค พท. ได้ถามความเห็นอย่างรอบด้าน จึงมีข้อสรุปว่าร่างรายงานนี้ที่เป็นรายงานที่เสนอโดยพรรค พท. และได้มีการประชุมกมธ.มา 19 ครั้ง ซึ่งกมธ.ไม่มีใครคัดค้านในรายงานนี้ว่าไม่ถูกต้อง ฉะนั้น ในที่ประชุมพรรค พท.จึงมีความเห็นว่าเราจะรับทราบรายงาน รวมถึงเห็นชอบกับข้อสังเกต ส่วนพรรคอื่นจะไม่เห็นชอบ ก็แล้วแต่แต่ละพรรค แต่พรรค พท.ควรเห็นชอบเพราะเป็นรายงานของพรรค พท.ที่เสนอ แต่เมื่อถึงเวลาจะไม่เห็นชอบมันผิดข้อเท็จจริง แต่หากสมาชิกจะเห็นแตกต่างกันไป เราก็ไม่ว่าอะไร ให้เป็นดุลยพินิจแต่ละคน แต่โดยหลักจะไปในแนวทางที่เห็นชอบ 

เมื่อถามว่า พรรคร่วมรัฐบาลควรโหวตไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า การโหวตเป็นเอกสิทธิ์ การที่พรรคร่วมรัฐบาลจะมีความเห็นอย่างไร ตนทราบ แต่ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของเขา เราไม่ได้ว่าอะไรกัน 

ด้านนายนพดล กล่าวว่า จากที่ตนเคยอภิปรายไปและพรรค พท. ก็มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าพรรค พท.ไม่มีนโยบายและไม่มีความคิดที่จะนิรโทษกรรมความผิดในมาตรา 110 และมาตรา 112 ฉะนั้น การที่มีบางสื่อนำเสนอไปว่าพรรค พท.จะดันนิรโทษกรรมมาตรา 112 จึงไม่ต้องกับข้อเท็จจริง ย้ำว่าพรรค พท.จะไม่นิรโทษกรรมมาตรา 112 

พระดัง พิธีกร นางฟ้า เทวดา ดารา รัฐมนตรี ใครร่วมทำผิดล้วนต้องติดคุก..ไม่มีข้อยกเว้น!!

(22 ต.ค. 67) มหากาพย์แชร์ลูกโซ่ “ดิไอคอน” ที่ “กลุ่มบอสโจร” สุมหัวกันหลอกปล้นผู้เสียหายไปนั้น กำลังเปลือยให้เห็นถึง “ความเน่าเหม็นของสังคมไทย” ชนิดหมดไส้หมดพุง 

ใครก็ตามทั้งพระดัง พิธีกร นางฟ้า เทวดา ดารา หรือรัฐมนตรีที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ ทั้งที่ละเอียดรอบคอบมาดีมากพอแล้ว หรือไม่เคยศึกษาลงลึกให้ถ้วนถี่ใด ๆ เลย เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “แชร์นรกแสนล้าน” ทางใดก็ตาม บัดนี้ก็ได้เวลาแล้วที่ “เงาบาป” กำลังไล่ล่าให้ต้องร่วมรับผิดชอบชีวิตน้อย ๆ ของผู้เสียหาย

บาปที่เกิดจากการร่วมเสพสุขบนความทุกข์ระทมใจของผู้บริสุทธิ์นั้น ไม่ต่างจากการจุดไฟเผาให้เขาต้องดิ้นตายทั้งเป็นต่อหน้าต่อตา กรรมรูปแบบนี้ไม่ต้องรอชาติอื่นมาลงทัณฑ์ ทำกับใครเขาไว้ในชาติใด ก็ชดใช้โดยเร็วในชาติชีวิตนั้นทันที 

ส่วนใครเป็นมวย และมีบารมีมาก ก็อาจจะดึงเกมให้ตัวเองอยู่นอกคุกได้นานหน่อย แต่ค่อนข้างแน่ใจว่างานนี้ไม่ช้าก็เร็วใครที่เคยมีเอี่ยวในการโฆษณาชวนเชื่อ คอยพูดชม เชียร์ หรือช่วยชักจูงให้ผู้คนมาเป็น “ทาสแชร์” จนหมดเนื้อหมดตัว ย่อมจะมีปัญหากับชีวิตไม่มากก็น้อยแน่นอน  

บางคนที่เคยตีกินจากความมั่งคั่งของ “บอสนักต้มตุ๋น” เหล่านี้ เงินบาปเหล่านั้นกำลังย้อนศรชีวิตตนเอง หันมาทิ่มแทงให้แต่ละวันต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ หลายคนที่คิดว่าตัวเองอาจจะโดนแน่ ๆ จึงคิดหาวิธีตีตัวออกห่างในสารพัดรูปแบบ บ้างก็เก็บตัวเงียบ บ้างทำไม่รู้ไม่ชี้ บ้างก็ไปซ่อนตัวต่างประเทศ แม้สื่อจะไล่ขุดเอาหลักฐานเก่า ๆ มาโปรยให้สังคมเห็นรายวัน แต่คนที่เก๋าเกมก็ยังไม่หลงกลสื่อง่าย ๆ หลายรายจึงยังต้องไล่บี้ในข้อกฎหมายต่อไป 

แต่ไม่ว่าจะมีใครเข้าปิ้งตาม “บอสอวดรวย” ที่ไปนอนรับกรรมในตะรางแล้วหรือไม่ อย่างไร คดีนี้ก็เปลือยให้เห็นล่อนจ้อนถึง “ความเบาปัญญา” ของสังคมไทยอีกครั้ง 

คนดัง คนมีชื่อเสียงแทบจะทุกวงการ ต่างกระโจนเข้าหาเงินก้อนโต ช่วยกันพูดเชียร์ สนับสนุน ส่งเสริม ผลักดัน ให้เหล่ามหาโจรซึ่งก็ไม่ได้ดูฉลาด กลายเป็นกลุ่มคนที่ดูน่าเชื่อถือในสังคม จนเกิดเหยื่อผู้น่าสงสารเต็มบ้านเต็มเมือง อย่าลืมว่าเหยื่อจำนวนมากไม่ได้มาเพราะ “บอสโนเนม” แต่มาหมดตัวเพราะมีคนที่น่าเชื่อถือทำให้ “บอสมหาโจร” เหล่านี้มันโด่งดัง

แล้วเวลานี้จะบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวได้อย่างไร?

นับถอยหลัง ชี้!! ชะตา ‘ทักษิณ-พท.-นายกอิ๊งค์’ กับ ‘คดีล้มล้างฯ ภาคสอง’ คาด!! ศาลรธน. มีมติพ.ย.นี้ หากฝ่าวิกฤตไม่พ้น ปีหน้า อาจได้เห็น ยุบสภา

(23 ต.ค. 67) ใกล้เข้าไปอีกนิด  ชิดเข้าไปอีกหน่อย  คาดว่าไม่เกินเดือนพ.ย.2567 คงจะได้เห็นทิศทางที่แจ่มชัดสำหรับคดีเรียกกันสั่นๆว่า ‘คดีล้มล้างฯภาคสอง’

วันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งบางประการกรณี นายธีรยุทธ  สุวรรณเกษร  ยื่นร้องขอให้ศาลรธน.วินิจฉัยตามรธน.มาตรา 49 สั่งการให้ทักษิณ  ชินวัตร  (ผู้ถูกร้องที่1)และพรรคเพื่อไทย(ผู้ถูกร้องที่2) เลิกกระทำการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ซึ่งผู้ร้องกล่าวหากล่าวอ้างไว้ 6 ประเด็น  

ยกตัวอย่าง2 ประเด็น(ตามสำนวนการสรุปในเอกสารแถลงข่าวของศาลรธน.

ประเด็นที่1 -ผู้ถูกร้องที่1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพักชั้น 14 รพ.ตำรวจในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อไม่ให้ต้องรับโทษในเรือนจำ  ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤติ

ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลเศรษฐา  ทวีสิน อดีตนายกฯเพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกฯคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1

ดังที่ทราบกันดีว่าคดีนี้นายธีรยุทธใช้โมเดลเดียวกับคดีล้มล้างฯภาคแรก กรณี ‘พิธา-ก้าวไกล จนเกิดการยุบพรรค  คือการใช้สิทธิตามรธน.มาตรา 49ยื่นต่ออัยการสูงสุดมาก่อน  แต่ครบ15วันอัยการสูงสุดไม่มีคำตอบ  จึงใช้สิทธิยื่นต่อต่อศาลรธน...

ศาลรธน.วันที่ 22 ต.ค.ประชุมมีมติให้ส่งหนังสือไปยังอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วบ้างอย่างไร  และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด  โดยให้จัดส่งต่อศาลรธน.ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ

นับนิ้วถอยหลัง  15 วันบวกระยะเวลาที่ศาลต้องมีเวลาพิจารณาข้อมูลต่างๆ...คาดว่าพุธที่ 27 พ.ย.บวกลบ7วัน  น่าจะเป็นหมุดหมายที่ศาลจะได้..ประชุมตัดสินว่าจะรับคดีล้มล้างฯภาค2  หรือไม่...ซึ่ง”เล็ก  เลียบด่วน” ได้เคยวิเคราะห์ไปบ้างแล้วว่า..โอกาสที่ศาลรธน.จะรับไว้พิจารณาหรือไม่นั้นก้ำกึ่ง  แต่เอียงๆไปในทาง ‘น่าจะรับ’...

บรรดากูรู  นักวิชาการ นักสังเกตการณ์ให้ความเห็นตรงกันว่าในบรรดา กระสุน6เม็ด..กรณีปมลับชั้น 14  ที่โยงใยไปถึงพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยลดโทษให้1ปี  แต่อดีตนายกฯทักษิณสร้างปริศนาให้ตัวเองว่า..ติดคุกจริงหรือไม่!? คือประเด็นที่แหลมคมที่สุด.. 

ศาลรธน.รับไว้พิจารณาวันไหน..อดีตเทวดาชั้น 14 ก็คงร้อนๆหนาวๆ 

ไม่เพียงกรณีคำร้องของนายธีรยุทธ...อีกด้านหนึ่งนายกฯแพทองธาร  ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย  ก็ถูกคำร้องร้องเรียนต่อกกต.,ปปช.อีกยุบยับ...นับนิ้วทุกกรณีแล้วมีมากถึง 21 คำร้อง  ทั้งเรื่องคุณสมบัตินายกฯ,การครอบงำพรรคและฯลฯ  ซึ่งไม่กี่วันก่อนเลขาธิการกกต.ออกมายอมรับแล้วว่า..คำร้องยุบพรรคเพื่อไทยบางคำร้องมีมูล...

ในส่วนของกกต.ก็ต้องใช้เวลาสอบสวนรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริง 1-2 เดือน...
ใครที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงตามคำร้อง..หากกรณีคำร้องคดีล้มล้างฯศาลไม่รับไว้พิจารณา..ก็มีลุ้นคดียุบพรรคจากกกต.ที่อาจจะได้เห็นการยื่นคำร้องต่อศาลรธน.ต้นปีหน้า..

ในขณะเดียวกันหากศาลรธน.รับไว้พิจารณาทั้งกรณีคดีล้มล้างฯและคำร้องของกกต. กว่าจะมีคำตัดสินวินิจฉัยก็ต้องใช้เวลาอีกปีเศษเป็นอย่างน้อย.. 

ดังนั้นถ้ารัฐบาลอุ๊งอิ๊งไม่ไปเดินเหยียบเปลือกกล้วยล้มหัวคะมำเป็นอัมพฤกษ์อำมพาตไปเสียก่อน  ก็มีช่วงเวลาให้บริหารประเทศไปอีกนานพอประมาณ

แม้จะมีกระแสข่าวลือลอยมาปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวว่า...ถ้าต้นปีกลางปีหน้า 2568 ถ้าจนมุมจริงๆ นายกฯอิ๊งค์อาจจะทิ้งไพ่ใบใหญ่..ยุบสภา ล้างไพ่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย.. 

ซึ่ง ‘เล็ก  เลียบด่วน’ พินิจแล้วเห็นว่าถ้าจะเกิดก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนั้น...

แม้ทีม ‘เจ้ต้อย’ จะเป็นต่อ ก็จะประมาททีม ‘น้ำ วาริน’ไม่ได้ ใช้ไม้เด็ด!! ‘น้ำซึมบ่อทราย’ แทรกซึม ทุกพื้นที่ กระแสเริ่มมา

(23 ต.ค. 67) ถ้ายอมรับความจริง ต้องบอกว่า ‘น้ำ-วาริน ชิณวงค์’ ผู้สมัครชิงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช (อบจ.)หมายเลข 2 จากกลุ่มนครเข้มแข็ง ยังเป็นรอง ‘เจ้ต้อย’ กนกพร เดชเดโช อดีตนายกฯอบจ. ผู้สมัครนายกฯอบจ.หมายเลข 1 จากกลุ่มพลังเมืองนคร

เจ้ต้อยเป็นต่อในฐานะเป็นแชมป์ บริหาร อบจ.มาเกือบ 4 ปี แน่นอนว่าผลงานมี เป็นที่ปรากฏ ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในแวดวงการเมือง กลุ่มพลังสตรี ในฐานะประธานสตรีนครศรีธรรมราช

ไม่ใช่แค่นั้นเจ้ต้อยยังเป็นภริยาของ ‘วิฑูรย์ เดชเดโช’ อดีตนายกฯอบจ และยังเป็นแม่ของ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ และ พิทักษ์เดช เดชเดโช สส.ประชาธิปัตย์ นครศรีฯ เป็นแม่ของ ‘ทอ-พิชิตชัย เดชเดโช’ ส.อบจ.นครศรี อันเป็นเครื่องข่ายใหญ่ เชื่อมโยงไปถึงระดับท้องที่ ท้องที่

แต่ก็มีคำถามมากมายประเดและดังเข้าหาเจ้ต้อย สังเกตเห็นในสังคมออนไลน์ว่า ลาออกแล้วมาสมัครใหม่ทำไม หรือบางเรื่องในรอบเกือบ 4 ปี ทำไมไม่ทำ เหล่านี้เป็นต้น แต่เจ้ต้อยก็ให้คำตอบไว้ชัดว่า การลาออกก่อนหมดวาระ เกิดจากข้อจำกัดในการใช้งบประมาณแก้ไขปัญหาในกรอบ 180 วัน กับปัญหาที่เห็นอยู่ในอนาคต คือปัญหาภัยพิบัติ ก็เป็นเหตุผลที่รับฟังได้ นายกฯอบจ.หลายจังหวัดในโซนภาคกลาง นครสวรรค์ 
พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง อุทัยธานีก็ลาออกก่อนหมดวาระด้วยเหตุผลเดียวกัน

ส่วน ‘น้ำ-วาริน’ โตมาทางสายธุรกิจ เช่น ธุรกิจคอมพิวเตอร์ ร้านอาหาร และล่าสุดกับการทำสวนส้มโอทับทิมสยาม เคยเป็นประธานหอการค้านครศรีฯ และกรรมการหอการค้าไทย ในทางการเมือง ก็ถือว่าเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยเรียนเคยเป็นนักศึกษากิจกรรม เคยเป็นนายกสโมสรนักศึกษา การเลือกตั้ง สส.ครั้งที่แล้ว เกือบได้ลงสมัคร สส.ในเขตบ้านเกิดในนามพรรคภูมิใจไทย แต่ด้วยเขตซ้ำซ้อนจึงต้องหลีกทางให้ ‘มานะ ยวงทอง’

หลังการเลือกตั้ง ‘น้ำ’ ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัว ‘พิพัฒน์ รัชกิจประการ’ รมว.กระทรวงแรงงาน จนเมื่อ ‘เจ้ต้อย’ ลาออกจากนายกฯ อบจ. ‘น้ำ’ จึงกราบลาพิพัฒน์ ทิ้งเก้าอี้ หิ้วกระเป๋ากลับบ้านด้วยมาดสาวมั่น ตั้งใจรับใช้ภารกิจทางการเมืองในตำแหน่ง นายกฯ อบจ.นครศรีฯ พิพัฒน์ก็ให้การสนับสนุนเต็มกำลัง

‘สู้เต็มที่ไม่มีถอย’ พิพัฒน์ กล่าวกับเพื่อนในวงสังสรรค์ที่หาดใหญ่ เป้าหมายคือต้องชนะ

แม้การฟอร์มทีมบริหารของ ‘น้ำ’ จะดูไม่สด ไม่ใหม่ แต่การจัดวางคนเพื่อคุมพื้นที่ หาคะแนนน่าสนใจ เป็นการจัดวางคนเพื่อสะสมแต้ม เก็บเล็กผสมน้อย เก็บทุกเม็ดเท่าที่ ค่อยๆเดินอย่างสุขุมนุ่มลึก แทรกซึมเข้าไปเรื่อย กระแสก็จะค่อยๆมา

หมากเกมการเดินของทีมยุทธศาสตร์น้ำ เป็นกลยุทธ์ที่ประมาทไม่ได้ แม้วันนี้จะเป็นรอง แต่ในทางการเมือง 30 กว่าวันที่เหลืออะไรก็เกิดขึ้นได้

ประชาชนจะเป็นผู้กำหนดในวันเดินเข้าสู่คูหา 24 พฤศจิกายนนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top