Monday, 9 June 2025
POLITICS NEWS

‘เต้ อาชีวะ’ ตอกกลับ ‘ธนาธร’ โลกสวยป้องพม่าเถื่อน ตรรกะสุดป่วย

เพจวันนี้พรรคส้มโกหกอะไรแฉยับ นายธนาธร แห่งค่ายส้ม โชว์วิสัยทัศน์เรื่องแรงงานพม่า ระหว่างเดินหาเสียง อบจ. อุดรธานี โดยมีใจความว่า คนพม่ามาเมืองไทยเหมือนกับที่ลูกหลานเราไปทำงานที่เกาหลีใต้ แล้วถูกเหยียบย่ำ เราชอบมั๊ย ดังนั้นเอาใจเขามาใส่ใจเรา ในฐานะเจ้าบ้าน 

ส่วนทางด้านชาวอุดร รู้สึกคับข้องใจ จึงถามต่อว่า ช่วงหลังแรงงานพวกนี้กําเริบเสิบสาน อันธพาลไปทั่ว แล้วพรรคคุณเชียร์หรือ 

นายธนาธร กลับบอกว่า เราไม่ได้เชียร์ แต่เราต้องให้เกียรติเขา เราอยากเป็นเจ้าบ้านที่ดี โอบอ้อมอารี เพราะเขาจน เขามาดิ้นรน

ด้านเพจเชียร์ลุง ระบุถึงเรื่องนี้ว่า โคตรพ่อพระเลยครับ!!!เอาเถอะครับ เอ็นดูกันเข้าไป แรงงานต่างด้าวมาทำงานที่บ้านเราหนึ่งคน แต่รับเข้าประเทศมากันทั้งครอบครัว พ่อ แม่ เมีย รวมแม่ยาย แถมอยู่แล้วสบายใจ จนมีแรงผลิตลูก เกิดที่ประเทศเราอีกรายละ 3-4 คน ใช้สวัสดิการทั้ง โรงพยาบาล โรงเรียน สิ่งของช่วยเหลือ จนฉ่ำปอดไม่พอ พรรคส้มผู้เมตตาสูง ยังจะอ้อนวอนให้คนไทยเพิ่มความเอ็นดูให้เป็นพิเศษ เพิ่มเข้าไปอีก

ล่าสุด ทีมข่าว TOP NEWS ได้สอบถามเรื่องนี้ไปยัง อัครวุธ ไกรศรีสมบัติ (เต้ อาชีวะ) ประธานกลุ่มอาชีวะราชภักดีซึ่งเป็นแกนนำหลักในการเคลื่อนไหวกวาดล้างแรงงานเถื่อนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าตัวระบุว่า เห็นคลิปนี้ของนายธนาธร แล้วเหนื่อยใจ เมื่อไหร่จะเลิกบิดเบือน ทำไมถึงไม่โฟกัสกลุ่มคนที่เข้ามาสร้างความเดือดร้อน

“ทำตัวเป็นอันธพาล อั้งยี่ซ่องโจร แล้วอย่าได้เอาแรงงานไทย ที่ไปทำงานในต่างชาติ เพราะคนไทยไม่เคยไปเรียกร้องสิทธิอะไร ที่เหนือพลเมืองของประเทศนั้น ๆ หยุดโลกสวย แล้วอยู่กับความเป็นจริง หันมาปกป้องสิทธิ์ให้คนไทยบ้าง”

ที่มา : https://www.topnews.co.th/news/1097781
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=122182326686203337&id=61556100132514&rdid=3qSGpcPNhV08FbwV
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=984382520396200&id=100064733827563&rdid=iSchem5NG2t3ENij

ประเด็นร้อน คลิปฉาว!! จาก ‘ดิไอคอน’ ‘ลุงป้อม’ สั่งเด้ง!! ‘ส.’ พ้นรองโฆษกฯ

(19 ต.ค. 67) ใช่หรือไม่ว่า..มหากาพย์ ดิไอคอน กรุ๊ป เป็นอีกกรณีหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงการทำธุรกิจที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนฉ้อฉล จากการบูรณาการความชั่วร้ายสามฝ่าย..นักธุรกิจ  ข้าราชการ และนักการเมือง..?

เพจดัง2-3เพจนำคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง ‘บอสพอล’ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล กับบุคคลนิรนามที่คอข่าวการเมืองคุ้นน้ำเสียง คาดเดากันเบื้องต้นว่าน่าจะชื่อ ‘ส.’ แต่ไม่รู้ส.ไหน...เบื้องต้น ‘บอสพอล’ ยอมรับเป็นเสียงของตนเองจริงแต่ไม่ยอมบอกชื่อบุรุษนิรนามในคลิปเสียง แม้กระทั่งชื่อย่อ.

แต่ต่อมาวันที่ 15 ต.ค. ‘บอสพอส’ ได้โพสต์ข้อความขอให้ทุกสื่อลบคลิปเสียงทุกคลิป พร้อมกราบเท้าขอโทษนักการส.และยืนยันไม่เคยให้เงินท่านส.แม้แต่บาทเดียว..

ชื่อย่อส.เสือค่อยชัดเจนขึ้นเมื่อ..ทีมทนายอเวนเจอร์นำโดย ‘ทนายตั้ม’ ษิทรา เบี้ยบังเกิด ไปยื่นหนังสือให้พล.องประวิตร วงษ์สุวรรณ ‘ลุงป้อม’ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ตรวจสอบว่าคลิปเสียงดังกล่าวเป็น ‘นายสามารถ เจนชัยจิตวนิช’รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐหรือไม่..ถ้าใช่ขอให้ขับออกจากสมาชิกพรรค..!!

มีกระแสกดดันภายในพรรคพลังประชารัฐ กระทั่งนายไพบูลย์ เลขาธิการพรรคเสนอให้หัวหน้าพรรค พล.อ.ประวิตร ออกคำสั่งให้นายสามารถพ้นจากตำแหน่งรองโฆษกพรรค มีผลตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค. พร้อมกับส่งสัญญาณให้นายสามารถลาออกจากพรรค แต่มีสัญญาณตอบกลับว่า..ไม่ลาออก

เป็นที่มาของข่าวที่ว่า วันที่ 29 ต.ค.จะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อขับนายสามารถ...ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะเป็นการขับรอบสองเลยทีเดียว..

กล่าวถึงนายสามารถ ชัยเจนจิตรวนิช ต้องยอมรับว่าชีวิต-บทบาทของเขาไม่ธรรมดา

ปี 2557 ลงสมัครสส.เขตที่ 32 กทม.ในนามพรรคเครือข่ายประชาชน..แต่เลือกตั้งเป็นโมฆะ

ช่วงปี2559-60 มีขบวนการแชร์ลูกโซ่หลอกลวงประชาชนเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง  ‘สามารถ’ โดดเข้าช่วยเหลือผู้เดือดร้อน ก่อตั้งสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ในขณะนี้รัฐบาลลุงตู่ประกาศให้ปัญหาร์ลูกโซ่เป็นวาระแห่งชาติ มอบหมายให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ‘บิ๊กป้อม’ รองนายกฯ เป็นประธาน..

ช่วงปี2560-61 นั่นเองทำให้ส.สามารถหนุ่มปริญาโท..ที่พาชาวบ้านไปร้องขอให้รัฐบาลบาลช่วยเหลือ ได้สัมผัสและเข้าถึงกลไกอำนาจรัฐผ่านพรรคพลังประชารัฐในฐานะผู้รอบรู้ปัญหาแชร์ลูกโซ่ และไม่กี่พริบตาเขาก็กลมกลืนเป็นพลังประชารัฐ..

หลังเลือกตั้งปี 2562 ได้ลงสมัครสส.บัญชีรายชื่อลำดับ 48 ของพรรคพลังประชารัฐ แต่ไม่ได้รับเลือก  

ที่ต้องขีดเส้นใต้..ปี 2562 แม้ไม่ได้เป็นสส.แต่ได้รับบำเหน็จเป็น ‘กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรมว.ยุติธรรม (สมศักดิ์  เทพสุทิน)’  ที่มีบทบาทโดดเด่น...แน่นอนว่าไม่พลาดที่จะเป็นมือทำงานใน ‘คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่’ ด้วย..

อย่างไรก็ตามปี 2564 ส.สามารถถูกร้องเรียนกล่าวหาว่าส่งคนเข้าไปสอบแทนตัวเองในการศึกษาระดับป.เอก ของม.รามตำแหน่ง ทางพรรคตรวจสอบและให้เขาพ้นจากตำแหน่งทั้งหมด แต่เรื่องราวก็ยุติไป และปี2565-66 เขาก็ย่างสามขุมกลับสู่พรรคพปชร.อีกครั้ง..

นัยว่า..’ลุงป้อม’ และใครต่อใครในพรรคพปชร.ที่กำลังมีไฟสุมขอนช่วงปี2566 ได้ให้โอกาสแก้ตัวแก้มือ...และบทบาทการตอบโต้ของนายสามารถก็เผ็ดร้อน..

แต่ความเผ็ดร้อนที่ว่าอาจจะเป็นคนละบริบทกับปัญหาเก่า ๆ ของเขาที่กำลังถูกตั้งคำถาม..

แน่นอน..จากนี้ไปก็อยู่ที่ส.สามารถจะพิสูจน์ได้หรือไม่ว่า เขาไม่ใช่ของเสียงในคลิปฉาวโฉ่  และเขาไม่มีพฤติการณ์รีดไถอย่างที่ใครต่อใครกำลังตั้งคำถามหรือกล่าวหา..!?

‘นอร์กรุงเทพโพล’ เปิดผลสำรวจ ‘นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว’ ของรัฐบาล พบ ร้อยละ 61.2 พอใจ อึ้ง!! ร้อยละ 55.7 ตอบท่องเที่ยวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

(21 ต.ค. 67) ผศ.ดร.สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์สำรวจความคิดเห็น นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์มกรุงเทพ เปิดเผยว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ในวันที่ 18 ก.ย. 2567 โดยมีผู้สำรวจจำนวน 1,500 ราย จากทั่วภูมิภาคพร้อมทั้งได้สอบถามกับผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ถึงเรื่อง “นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว”

โดยจากการสำรวจประชาชนถึงความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการท่องเที่ยวของรัฐบาลชุดปัจจุบันเพียงใด พบว่าพอใจ 61.2% แบ่งเป็น พอใจมาก 32.5% พอใจ 28.7% ขณะเดียวกันผู้ให้สำรวจยังให้ความคิดเห็นว่ามีความพอใจระดับกลาง 20.4% ไม่พอใจ 12.3 % และไม่พอใจมาก 6.1%

ผศ.ดร.สานิต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้สอบถามถึงการบริหารจัดการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 เป็นอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา พบมีความคิดเห็นว่าดีขึ้น 55.7% เหมือนเดิม 22.8% และ แย่ลง 21.5% อีกทั้งยังถามความคิดเห็นของประชาชนด้วยว่า ภาคการท่องเที่ยวมีส่วนช่วยเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใด พบว่ามีส่วนช่วยเศรษฐกิจในระดับมากที่สุด 35.4% ระดับมาก 27.8% ระดับปานกลาง 18.3% ระดับน้อย 12.6% และน้อยที่สุด 5.9%

สำหรับความคิดเห็นผู้สำรวจภาคประชาชนถึงประเด็น “มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยใดที่มีประโยชน์ต่อการดึงนักท่องเที่ยวชาติมากที่สุด” พบว่ามาตรการที่มีประโยชน์มากสุดคือ การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ และทำประกันนักท่องเที่ยวทุกคนในวงเงิน 1 ล้านบาท 27.3% การส่งเสริมการจัดอีเวนท์ให้การท่องเที่ยวไทยตลอดทั้งปี เช่น ผลักดันเทศกาลลอยกระทง เทศกาลสงกรานต์เป็นเทศกาลระดับโลก 16.8% การเร่งพัฒนาสินค้าและบริการด้านท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน และสร้างความแตกต่าง 12.1% 

การเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินไปยังในเมืองรองที่มีศักยภาพสูง 10.2% สร้างความมั่นใจในการเดินทางผ่านรูปแบบการทำหนังโฆษณา และการดึง Influencer 8% การประสานกับเอเย่นต์ และบริษัทนำเที่ยว ให้เสนอแพ็คเกจและโปรโมชั่นที่ดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6% ฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวต่างชาติ  93 ประเทศ/เขตแดน 5.6% ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Entertainment Hub ในเอเชีย 5.3% จัดตั้ง Online Crisis Management โดยจะมีทีมทำหน้าที่มอนิเตอร์ข่าวสารเกี่ยวกับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย 5.1% และเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินไปยังในเมืองรองที่มีศักยภาพสูง 4.2%

ผศ.ดร.สานิต ยังได้สอบถามถึง “โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 โครงการใดมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยมากที่สุด” พบว่าโครงการที่มีส่วนส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยมากที่สุดคือโครงการ Amazing Thailand 365 วัน มหัศจรรย์เมืองน่าเที่ยว 22.7% มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง (เมืองน่าเที่ยว) 16.3% โครงการการทำตลาดการท่องเที่ยวแพลตฟอร์มออนไลน์ 10.7% โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดด้วยการจัดกิจกรรมบนอัตลักษณ์ถิ่น “มหกรรมเสน่ห์ไทย” 10.1% โครงการเที่ยวกับบัสทัวร์ทั่วไทย 2567 9.5% โครงการ ททท. 999 ไทยเที่ยวไทย Tourism Department Store งานไทยเที่ยวไทย 8.7%

โครงการ Amazing Thailand Passport Privileges  8.1% โครงการ Amazing Green Fest 2024 7.6% และโครงการ Amazing Thailand Passion Ambassador ร้อยละ 6.3% ส่วนของด้านผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ให้ความเห็นว่า นโยบายการท่องเที่ยวมีส่วนช่วยให้ธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมฟื้นตัวจนสถานการณ์เทียบเท่าก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19

‘ดิไอคอน’ จุดตั้งต้นบูรณาการความชั่วร้ายสามฝ่าย นักธุรกิจ-ข้าราชการ-นักการเมือง ร่วมเอี่ยว ‘สินบนเทวดา’

ดูขนาดธุรกิจธุรกรรม 'ขายตรง' ของ 'ดิไอคอนกรุ๊ป' กำลังเป็นข่าวดังข่าวร้อนในขณะนี้แล้วก็นับว่าจากปี 2561 ถึงปัจจุบันเติบใหญ่มาก ๆ จนเกิดการตั้งคำถามว่าขายของอย่างเดียวหรือมีลักษณะขายสมาชิก..แบบแชร์ลูกโซ่ด้วยหรือไม่ ?

ดูขนาดธุรกิจของ 'ดิไอคอนกรุ๊ป' หน่อย..มีสมาชิกในระดับต่าง ๆ กว่า 368,257 ราย แบ่งเป็น 
-'ร้านค้าปลีก' distributor (ลงทุน 2,500 บาท) จำนวน 285,833 ราย (714,582,500 บาท)
- 'หัวหน้าทีม' Supervisor (ลงทุน 25,000 บาท) 43,976 ราย (1,099,400,000 บาท) 
-'ตัวแทนจำหน่าย' Dealer (ลงทุน 250,000 บาท) 31,972 ราย (7,993,000,000 บาท) และ
- 'ตัวแทนจำหน่าย (เล็ก)' Mini Dealer : 6,476 ราย

ยอดผู้เสียหายที่ไปลงทุนร่วมงานด้วยตอนนี้ไปแจ้งความพันกว่าราย ความเสียหาย 4-500 ล้านบาท ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทางตำรวจเปิดให้แจ้งความได้ทั่วประเทศ

งานนี้ดูเหมือนว่าทางตำรวจเอาจริงเอาจัง ภายใต้การนำของ ผบ.ตร.คนใหม่ 'บิ๊กต่าย' พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ โดยมี พล.ต.ท.อัครเดช พิมลศรี 'บิ๊กอ้อ' ผช.ผบ.ตร.และพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช 'บิ๊กก้อง' ผบช.ก.ว่าที่ผบ.ตร.ในอนาคต เป็นโต้โผดูแลคดี..

ภาวนาให้คดีนี้ไม่ถูกโอนไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ที่มี 'เทวดา' สิงสถิตอยู่หลายองค์..อยากให้ตำรวจภายใต้การนำของ 3 บิ๊กได้โชว์ฟอร์มทำคดีพิสูจน์น้ำยากู้ชื่อตำรวจ..เพราะดูแล้วขณะนี้การแทรกแซงจากการเมืองน่าจะน้อยกว่าการโอนคดีไปให้ดีเอสไอ..

นอกเหนือจากโจทย์การดำเนินการธุรกิจที่ผิดกฎหมายบิดเบี้ยวเกิดความเสียหายของดิไอคอนกรุ๊ป ซึ่งตำรวจจะต้องดำเนินการแล้ว ยังมีโจทย์ด้านอื่น ๆ ที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการหรือบูรณาการแก้ไขหรือชำระสะสาง

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ถึงจุดเริ่มต้น  ความเป็นไปของธุรกิจขายตรงของดิไอคอนกรุ๊ป กระทั่งเกิดกรณี 'เทวดาสคบ.' ระดับน้อยใหญ่ ทั้งเจ้าหน้าที่และฝ่ายการเมือง ต้องสะสางกวาดบ้านตัวเองครั้งใหญ่

ภาพรวมการบริหารจัดการกรณีการขายตรง,แชร์ลูกโซ่,การคุ้มครองผู้บริโภค ที่กระจายบทบาทความรับผิดชอบไปอยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ ถึงเวลาที่จะต้องทบทวนยกเครื่องกันอีกครั้งหรือไม่..?

กรณีดิ ไอคอน กรุ๊ป..ทุกฝ่ายได้แลเห็นกันอีกครั้งว่าการทุจริตคอร์รัปชัน การติดสินบน การรีดไถ..นั้นเกิดขึ้นจากการบูรณาการความชั่วร้ายสามฝ่าย..นักธุรกิจ-ข้าราชการ-นักการเมือง.. ซึ่งขณะนี้ฝ่ายนักการเมืองกำลังถูกลากไส้หนักกว่าฝ่ายอื่น โดยเฉพาะกรณี 'สินบนเทวดา'...

รูปเรื่องของเทวดาสคบ./สินบนเทวดา..สรุปได้สั้น ๆ เพียงว่า มีนักการเมืองที่มีความรู้เรื่องแชร์ลูกโซ่ผู้หนึ่งมีโอกาสได้เข้าถึงผู้มีอำนาจเมื่อปลายปี 2562 และมีตำแหน่งแห่งที่เป็นกึ่ง ๆ ข้าราชการการเมือง และได้มีปฏิสัมพันธ์กับ 'บอส' หนุ่มคนดัง จนต่อมาเกิดคลิปเสียงอย่างน้อย2คลิปเรื่องเม็ดเงินและการดูแล..

แต่ไฮไลต์จริง ๆ เหนือนักการเมืองผู้นี้ยังมีลูกพี่ที่เรืองอำนาจสุด ๆในขณะนั้น ซึ่งน่าจะเป็นคนเดียวกับที่คุณเอกภพ สายไหมต้องรอด ระบุว่าชอบรับสินบนเป็นเงินดิจิทัล ตระกูล USTD..ซึ่งข่าวไม่ระบุว่าเงินดิจิทัลนี้ใช้เล่นม้าออนไลน์ได้หรือไม่..??

แม้เมื่อ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา 'บอสพอล' ได้โพสต์ข้อความกราบเท้าขอโทษขออภัยนักการเมืองชื่อส. ยืนยันว่าไม่เคยให้เงินกับนักการเมืองคนนี้แม้แต่บาทเดียว พร้อมเดตไลน์ขอให้สื่อลบคลิปดังกล่าว...แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ทันการณ์...ทีมทนายอเวนเจอร์ได้ปฏิบัติการให้ 'ลุงป้อม' ตรวจสอบนักการเมืองชื่อส.ว่าเป็นบุคคลในคลิปลับหรือไม่...

งานนี้ปืนใหญ่ถล่มดิ ไอคอน กรุ๊ป...แต่สะเก็ดระเบิดโดนบ้านในป่าเบื้องต้นพบว่า..ออกอาการบาดเจ็บสาหัส..มากกว่าบอสพอล,บอสแซม,บอสกันต์,บอสมิน...

รู้จักตัวตึง พปชร. ‘สามารถ เจนชัยจิตรวนิช’ อดีต ‘ผู้ช่วย รมว. ยุติธรรม’ แต่ ‘กลุ่มสามมิตร’ ไม่ให้ไปต่อ

(18 ต.ค.67) ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ชื่อของ ‘สามารถ เจนชัยจิตรวนิช’ ปรากฏบนหน้าสื่ออยู่บ่อยครั้ง หลังจากหวนกลับมาร่วมชายคา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อีกรอบ

ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ถือว่ามีบทบาทที่ไม่ธรรมดาว่ากันว่าเขา คือหนึ่งในชนวนเหตุ ที่ทำให้เกิดการแตกหักภายในพรรคพลังประชารัฐ ระหว่าง ‘ลุงป้อม‘ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จากอดีตคนเคยรักกลับกลายมาต้องแตกหักเป็น 2 ขั้ว กระทั่งสุดท้าย พรรคพลังประชารัฐ ต้องสลับขั้วมาเป็นพรรคฝ่ายค้านอยู่ในขณะนี้ 

ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ‘สามารถ’ กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง หลังจากมีคลิปไวรัลที่หลุดออกมาในช่วงคดี ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ กําลังเป็นประเด็นร้อนแรง ซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง ‘บอสพอล - วรัตน์พล วรัทย์วรกุล’ แห่งดิไอคอนกรุ๊ป กับนักการเมืองคนหนึ่งที่อ้างว่ามีเส้นสายสามารถเคลียร์กรรมาธิการในสภาได้ พร้อมกับเรียกเงินจากบอสพอล หลัก 30 ล้านบาทและรายเดือนอีกเดือนละ 100,000 บาท เพื่อแลกกับหลักประกันว่าดีไอคอนจะปลอดภัยภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หลังจากนั้น บอสพอล ได้ไปออกรายการโหนกระแสของ หนุ่ม กรรชัย และได้ยอมรับว่าเสียงในคลิปนั้นเป็นเสียงตนเองจริง

อีกทั้ง บอสพอล ยังยอมรับว่า ได้จ่ายเงินเดือนละ 100,000 บาท แต่ไม่ได้จ่ายเงิน 30 ล้าน และไม่ยอมบอกว่าคู่สนทนาที่มาตบทรัพย์นั้นเป็นใคร แต่คนที่ติดตามข่าวการเมืองเป็นประจำ ต่างฟันธงตรงกันว่า เสียงที่อยู่ในคลิปนั้น เป็นเสียงของนักการเมืองที่มีชื่อย่อ ส. อย่างแน่นอน

หลังจากเป็นกระแสร้อนแรงขึ้นมา ทาง ‘สามารถ เจนชัยจิตรวนิช’ ซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งเป็น รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ว่า ไม่ใช่เสียงของตนเองและหากใครมาพาดพิงหรือกล่าวหาก็จะดําเนินงานทางกฎหมายทันที 

นั่นจึงเป็นที่มา ของการขุดคุ้ยถึงประวัติและวีรกรรมในอดีตของ ‘สามารถ’ กันอย่างคึกคักอีกครั้ง

ทั้งนี้ หากย้อนไปดูประวัติของ ‘สามารถ เจนชัยจิตรวนิช’ เจ้าตัวเคย แนะนำตัวเองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว มีชื่อเล่นว่า จ๊อบ เกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2526 เป็น ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ได้รับแต่งตั้งเมื่อ พ.ศ. 2557 เคยเป็นผู้อำนวยการศูนย์ร้องทุกข์กลุ่มสามมิตร กรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ กรรมการอนุติดตามจัดหาประเด็นในการหาเสียงพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ผลักดันให้แก้กฎหมายแชร์ลูกโซ่ เพิ่มโทษกับผู้กระทำความผิด จนทำให้กลายเป็นวาระชาติ

ส่วนการเข้าสู่เส้นทางการเมืองของ ‘สามารถ’ นั้น ว่ากันว่า ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ แกนนำกลุ่มสามมิตร ในพรรคพลังประชารัฐในขณะนั้น คือ ผู้ชักนำให้ ‘สามารถ’ เข้ามาอยู่ภายใต้ชายคาพรรคพลังประชารัฐ และมีโอกาสโลดแล่นอยู่บนถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัว และในเวลาต่อมายังได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคพลังประชารัฐในปี 2562 

ไม่เพียงเท่านั้น หลังการเลือกตั้งปี 2562 พรรคพลังประชารัฐ ได้เป็นแกนนำรัฐบาล ‘สามารถ’ ยังได้รับความไว้วางใจจาก ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้นั่งในตำแหน่ง ‘ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม’ อีกด้วย ซึ่งกระทรวงยุติธรรมมีหน่วยงานสำคัญในสังกัด ก็คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขณะเดียวกัน ‘อนุชา นาคาศัย’ หนึ่งในแกนนำสามมิตร ที่มีความสนิทสนมกับ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ยังมีตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) อีกด้วย

นั่นเท่ากับว่า ‘สามารถ’ ที่นั่งเก้าอี้ ‘ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม’ เป็นดังเสือติดปีก ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ล้วนเกรงอกเกรงใจ และว่ากันว่า คลิปเสียงที่หลุดออกมานั้น อยู่ในห้วงเวลาที่เขาอยู่ในตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรี พอดี

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 64 คณะกรรมการสอบสวนของพรรคพลังประชารัฐ มีมติเอกฉันท์ปลด ‘สามารถ’ ออกจากตำแหน่งหน้าที่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรี, ตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ, คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล, คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ และห้ามไม่ให้ใช้ตราเครื่องหมายพรรคโดยเด็ดขาด

โดยก่อนจะมีคำสั่งปลด ‘สามารถ’ จากทุกตำแหน่งนั้น เกิดกรณีมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งทำหนังสือสอบถามไปยังพรรคพลังประชารัฐ ถึงสถานะของสมาชิกพรรครายหนึ่ง ซึ่งได้เข้าศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาปริญญาเอก ระดับกลาง ในมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้เข้าเรียนด้วยตัวเอง กระทั่งถูกตัดสิทธิ์นักศึกษา

ต่อมา มีคำสั่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ 3437/2564 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2564 ลงนามโดย ผศ.เตมีย์ ระเบียบโลก รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา ประธานกรรมการสอบวินัยนักศึกษา เรื่องการแต่งตั้งกรรมการสอบวินัยนักศึกษา ได้พิจารณาและรายงานผลการสอบวินัยนักศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการสอบวินัยนักศึกษา เสนอให้ยุติเรื่อง ตามนัยมติที่ประชุม ก.บ.ม.ร.ครั้งที่ 14/2556 วาระที่ 5.53 วันที่ 8 มิถุนายน 2565

หลังจากนั้น ‘สามารถ’ ระบุผ่านเฟซบุ๊กว่า คำสั่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงทำให้ตัวเองไม่มีความผิดทางวินัยนักศึกษาและไม่ถูกตัดสิทธิ์ เพราะเรื่องสอบสวนไม่มีมูล จึงต้องยุติเรื่องขั้นตอนการตรวจสอบของมหาวิทยาลัย สาเหตุที่ใช้เวลานาน เพราะคณะกรรมการสอบสวนได้สืบ หาข้อมูลจากหลายบุคคลสอบพยานหลายสิบปากเพื่อให้เกิดความกระจ่างและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

และเมื่อไม่นานมานี้ ‘สามารถ’ ได้กลับมาโลดแล่นบนถนนสายการเมืองอีกครั้ง โดยได้กลับเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง แต่การกลับมาคราวนี้ได้ขยับขึ้นมาเป็นคนใกล้ชิดและเป็นปากเป็นเสียงแทน ‘ลุงป้อม’ กันเลยทีเดียว 

แต่ภายหลังจากมีคลิปเสียงหลุดออกมาในครั้งนี้ คงต้องติดตามดูว่า ‘ลุงป้อม’ ยังจะไว้วางใจให้เป็นคนใกล้ชิดต่อไปหรือจะขับพ้นพรรค ตามที่มีคนยื่นเรื่องถึงลุงป้อมแล้วก่อนหน้านี้

วิปรัฐบาล-ฝ่ายค้านเห็นร่วมกันเลื่อนการพิจารณา แก้รัฐธรรมนูญไปประชุมสภาสมัยหน้า คาดกลาง ธ.ค.

(17 ต.ค. 67) มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม ภายหลัง สส.หารือความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่เสร็จสิ้น นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แจ้งผลการหารือกับนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานวิปรัฐบาล กรณีวันประชุมสภาในสัปดาห์หน้า ว่า ประธานวิปทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมวันที่ 24-25 ตุลาคม โดยในวันที่ 24 ตุลาคมจะเป็นกระทู้ต่างๆ เพื่อตรวจสอบรัฐบาล ขณะที่วันที่ 25 ตุลาคมจะเป็นการพิจารณาญัตติต่างๆ ที่ค้างอยู่

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า การประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าหากพิจารณาในสมัยประชุมนี้จะเป็นการกระชั้นชิดเกินไป จึงต้องการจะพิจารณาเรื่องนี้ในสมัยประชุมหน้า เบื้องต้นทางสภาเห็นว่าวันที่ 16-18 ธันวาคมโดยประมาณ ซึ่งอยากให้นายวันมูหะมัดนอร์นำช่วงวันดังกล่าวไปหารือกับนายมงคล สุรัจจะ ประธานวุฒิสภา

ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า การประชุมร่วมรัฐสภาในสมัยหน้านั้น จะได้หารือกับนายมงคลก่อนต่อ ซึ่งตอนนี้นายมงคลไม่อยู่ เนื่องจากมีภารกิจติดประชุมที่ต่างประเทศ เมื่อท่านกลับมาจะไปปรึกษาท่าน หากได้ผลเป็นอย่างไรจะเรียกวิปสามฝ่ายมาประชุมโดยพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง และหากมีข้อกฎหมายที่จะนำเข้าสู่การพิจารณา ก็สามารถนำเสนอก่อนประชุมได้

ส่องสนามเลือกตั้งชิงเก้าอี้ ‘นายกฯอบจ.สงขลา’ สมรภูมิตัวแทน ‘นิพนธ์ - เดชอิศม์’ ฝั่งไหนจะเข้าวิน

เป็นที่แน่ชัดว่า เมื่อ 'สุพิศ พิทักษ์ธรรม' ลาออกจากราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมฝนหลวง เป้าหมายคือ ลงชิงนายกฯอบจ.สงขลา ที่เวลานี้ 'ไพเจน มากสุวรรณ์' นั่งบริหารอยู่

เมื่อนิพนธ์ บ้านใหญ่เขารูปช้าง ไม่ได้ลงสมัครเอง ก็ต้องให้การสนับสนุนสุพิศ ที่มี 'มาดามปิ๋ม' มาลัยทิพย์ ครุอำโพธิ์ ภรรยาของ 'สมยศ พลายด้วง' สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ทายาทของเศรษฐีใจบุญแห่งสิงหนคร 'เฉลิมชัย ครุอำโพธิ์' เป็นรองนายกฯ

ประเด็นคำถามต่อมา เมื่อนิพนธ์จองหัวเชือกสุพิศไว้แล้ว นายกฯชาย-เดชอิศม์ ขาวทอง บ้านใหญ่รัตภูมิ จะเลี้ยวหัวเรือไปจอดฝั่งไหน แต่แน่นอนว่า ต้องฝั่งตรงข้ามนิพนธ์

'ประพิศ จันทร์มา' อดีตอธิบดีกรมชลประทาน คนอำเภอระโนด แม้จะไม่สนใจการเมืองมากนัก แต่น่าสนใจว่าจะสนับสนุนใครระหว่าง 'ไพเจน' กับ 'สุพิศ'

ทั้งประพิศ สุพิศ และไพเจน ต่างเติบโตมาจากกรมชลประทานทั้งสิ้น เคยทำงานร่วมกันมา แต่ช่วงหนึ่งสมัยหนึ่งก็เคยมีปัญหากันมา เมื่อ “เสือจะอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้”

ส่วนบ้านใหญ่สนามบิน 'ถาวร เสนเนียม' แม้จะดูเงียบ ๆ ไม่เลือกข้างใดข้างหนึ่ง แต่เชื่อว่า เมื่อปี่กลองประโคมขึ้น 'ถาวร' ก็ต้องออกมาร่ายรำ เพียงแต่ว่าจะรำอยู่ข้างนิพนธ์ หรือข้างนายกฯชาย

ถ้าย้อนดูไปในอดีต ถาวรก็จะยืนอยู่คนละฝั่งกับนิพนธ์มาตลอด แต่ถาวรก็ไม่เคยชนะนิพนธ์ในพื้นที่สงขลา

ศึกชิงนายกฯอบจ.สงขลา น่าจะมีแค่สามขั้ว คือ ไพเจน สุพิศ และประชาชน แต่เป็นอีกสนามเลือกตั้งที่สนุก น่าติดตามยิ่ง แจกแจงผลงาน แถลงนโยบายกันออกมาเถอะ ประชาชนจะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือก

ย้อนรอยวีรกรรม ‘สิริน สงวนสิน’ สส.ขับรถชนกลางสภา ถึงเวลาพรรคส้มต้องปรับพฤติกรรมตน ก่อนประชาชนเช็กบิล

(17 ต.ค. 67) ชื่อ ‘สิริน สงวนสิน’ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 31 พรรคประชาชนปรากฏบนหน้าสื่ออีกครั้งจากอุบัติเหตุรถชนกันที่ชั้น B2 ของลานจอดรถรัฐสภา

ครั้งนี้นายสิรินได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ว่า ระหว่างขับรถมาทางตรง รถคู่กรณีได้เลี้ยวมาพอดีและอาจจะไม่ได้ดูรถทางด้านซ้าย จึงทำให้ชนเข้าตรงกลางรถของตน​ และตนเป็นฝ่ายถูก และยืนยันว่าไม่ได้ขับรถเร็ว และไม่เคยได้รับหนังสือแจ้งเตือนจากพรรคประชาชนเรื่องขับรถเร็วมาก่อน​ ปกติขับรถโดยใช้ความเร็วเพียง 80 กม.ต่อ ชม.

ซึ่งเป็นคำตอบจากปากของนายสิรินเพียงฝ่ายเดียว แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณืได้สิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อยเนื่องจากคู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้เรียกประกันของทั้งสองฝ่ายมาจัดการปัญหาเป็นที่เรียบร้อย 

สำหรับประวัติของ ‘สิริน สงวนสิน’ นั้นเป็นบุตรของ นายสมนึก สงวนสิน และนางศศมณฑ์ สงวนสิน เจ้าของธุรกิจโชว์รูมรถยนต์ฮอนด้าปิ่นเกล้ากรุ๊ป และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ สำเร็จการศึกษาทั้งปริญญาตรี และปริญญาโทจาก ออสเตรเลีย โดยจบปริญญาตรีใน สาขาวิชาการเงินประยุกต์ University of South Australia และปริญญาโท สาขาวิชาการวิเคราะห์การเงิน University of New South Wales 

ก่อนหน้านี้ชื่อของ สส.กทม. เขต 31 เคยตกเป็นข่าวโด่งดังมาแล้วครั้งหนึ่งกรณีถูกแจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.บ่อวิน จังหวัดชลบุรี จากเหตุทำร้ายร่างกายแฟนสาว จนต้องโพสต์เฟซบุ๊กเพื่อขอโทษประชาชน ความว่า

“ผมขออภัยอย่างสูงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนอื่นต้องขออภัยต่อผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมด และพี่น้องประชาชน ที่ผมออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่ปรากฏเป็นข่าวล่าช้า เนื่องจากผมประสบอุบัติเหตุเล็กน้อย ศีรษะแตก จึงใช้เวลาสองวันที่ผ่านมาในการรักษาตัว

ผมเสียใจอย่างมากในสิ่งที่ได้ทำลงไป ผมขออภัยคุณเอ (นามสมมุติ) คุณพ่อคุณแม่ของคุณเอ (นามสมมุติ) และขออภัยพี่น้องประชาชนที่ได้เลือกผมเข้ามาทำหน้าที่ ส.ส. ที่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง

จากนี้ผมยินดีเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย และการสอบสวนวินัยจากพรรคก้าวไกล และจะน้อมรับผลที่ตามมาจากการกระทำที่ปราศจากความยั้งคิดของผมโดยดุษณี

ทั้งนี้ ผมยืนยันว่า ข่าวที่สื่อนำเสนอรายละเอียดเหตุการณ์ และอ้างว่าผมให้ข้อมูลว่าทำไปเพราะความเป็นห่วงคุณเอ (นามสมมุติ) ทั้งหมดไม่เป็นความจริง ผมและคุณเอยังไม่เคยให้สัมภาษณ์หรือกล่าวถึงเหตุการณ์นี้แม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยคิดจะอ้างว่ากระทำไปด้วยความเป็นห่วง

ผมขอแสดงความสำนึกผิดและขออภัยต่อผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ทุกคนด้วยใจจริง

ซึ่งโพสต์บนเฟซบุ๊กเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ก่อนอีกไม่ถึงสัปดาห์แฟนสาวของ สส.สิริน สงวนทรัพย์ จะออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งทาง สส.สิริน ก็ได้แชร์ข้อความดังกล่าวด้วย โพสต์ดังกล่าวระบุว่า

ข้อเท็จจริงกรณีระหว่างดิฉัน และคุณสิริน สงวนสิน ส.ส.พรรคก้าวไกล ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ดิฉันรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างดิฉันและคุณสิริน สงวนสิน ส.ส. พรรคก้าวไกล

กลายเป็นข่าวที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา และถูกนำเสนอไปในหลายทิศทาง โดยเฉพาะการนำเสนอของสื่อหลายช่อง ที่นำเสนอข่าวเกินจริง มีข้อมูลบางประการไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อตัวดิฉันเป็นอย่างมาก และขัดต่อสิ่งที่ดิฉันต้องการจากการตัดสินใจแจ้งความต่อคุณสิริน 

ก่อนอื่นดิฉันขอชี้เแจงข้อเท็จจริงในวันเกิดเหตุ ในวันนั้นเรามีปากเสียงกัน และเกิดการยื้อแย่งโทรศัพท์กันในรถ คุณสิรินใช้กำลังยื้อแย่งโทรศัพท์จากดิฉัน จนทำให้โทรศัพท์มากระแทกหน้าดิฉันอย่างแรง ภายหลังที่มีการพูดคุยทำให้ทราบว่า เป็นการกระทำโดยมิได้ตั้งใจ

และยังมีเหตุการณ์ยื้อฉุดกันบริเวณข้างรถ ทำให้ดิฉันเผลอล้มกระแทกลง จนเป็นเหตุให้เกิดบาดแผล อีกทั้งคุณสิรินยังใช้คำพูด และอารมณ์ที่ทำให้ดิฉันรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ดิฉันจึงตัดสินใจไปแจ้งความ เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง และต้องการให้คุณสิรินได้สำนึกว่าตนเองทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

หลังจากดิฉันไปแจ้งความ คุณสิรินและครอบครัวได้ติดต่อมายังดิฉัน และคุณสิรินกับครอบครัวได้แสดงความสำนึกผิด อีกทั้งตระหนักว่าตนเองกระทำผิดต่อดิฉัน และได้ขออภัยดิฉันอย่างจริงใจแล้ว ทำให้ดิฉันและครอบครัวไม่ติดใจเอาความต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่ดิฉันต้องการได้บรรลุผลแล้ว นั่นคือให้บทเรียนกับคุณสิริน และทำให้เขาตระหนักว่าต้องไม่มีพฤติกรรมเช่นนี้ กับดิฉันหรือบุคคลใดๆ อีก

ดิฉันขอแจ้งให้ทราบตรงนี้ว่าดิฉันไม่ติดใจเอาความคุณสิริน และหวังว่าบทเรียนที่เขาได้จากสังคม จากการถูกแจ้งความ รวมถึงบทลงโทษที่เขากำลังจะได้รับจากพรรคก้าวไกล จะเพียงพอทำให้คุณสิริน และนักการเมืองทุกคนตระหนักว่า การใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ไม่ว่าต่อเพศใด โดยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ตาม เป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ และผู้กระทำผิดจะต้องได้รับผลจากการกระทำนั้นค่ะ ขอบพระคุณค่ะ.

แม้ว่าในขณะนั้นแฟนสาวของ ‘สิริน สงวนสิน’ จะตัดสินใจยุติการดำเนินคดี แต่ยังมีอีกขาที่มีการดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง คือฟากฝั่งของพรรคก้าวไกล(พรรคในขณะนั้น) ซึ่งผลการสอบสวนของทางพรรคก้าวไกล ได้วินิจฉัยว่า ‘สิริน’ ว่ามีความผิดจริง และสั่งฟันโทษ ห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรค พร้อมกับหากมีการกระทำความผิดซ้ำจะขับออกจากพรรค 

จากพรรคก้าวไกลมาถึงพรรคประชาชน นอกจากจะต้องสอบสวนเรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้แล้ว ทางพรรคควรจะต้องพัฒนาแนวทางดึงคนอย่างจริงจังเร่งด่วน เนื่องจากหลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า คะแนนเสียงของประชาชนที่ให้ไป คุ้มค่า-เหมาะสมหรือไม่ 

มิเช่นนั้นคะแนนนิยมอันท่วมท้นที่ได้รับมา อาจจะเป็นคะแนนลวงตา...ก็เป็นได้ 

‘ดร.นิว’ ย้ำชัด "การเซ็นรัฐประหาร" ไม่มีจริง ชี้!! เป็นเพียงวาทกรรมใส่ร้ายในหลวง ร.9 เท่านั้น

เมื่อวานนี้ (15 ต.ค.67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas โพสต์เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ระบุข้อความว่า...

การเซ็นรัฐประหารเป็นเพียงวาทกรรมใส่ร้าย ร.9 

ในหลวง ร.9 โดนบิดเบือนให้ร้ายมากที่สุดในข้อกล่าวหาเซ็นรัฐประหาร ทั้ง ๆ ที่การเซ็นรัฐประหารเป็นเพียงแค่วาทกรรมเท่านั้น ไม่ได้มีอยู่จริง แต่กลับถูกปั่นกระแสบิดเบือนทางโซเชียลมีเดีย ผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ท่องตาม ๆ กัน ไม่ต่างจากนกแก้วนกขุนทอง เป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่ปราศจากความรู้และความเข้าใจในความจริง 

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระราชอำนาจส่วนใหญ่ที่มีมาแต่เดิมของพระมหากษัตริย์ได้ผ่องถ่ายมาสู่ประชาชน พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจึงมีพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มิได้มีพระราชอำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวมถึงไม่ได้มีพระราชอำนาจที่จะยับยั้งการรัฐประหารได้ 

พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจึงไม่ต่างจากพ่อที่ได้ยกมรดกหรือกิจการให้ลูก ๆ ไปแบ่งปันดูแลเกือบหมด จนเป็นหน้าที่ของลูกๆ ในการบริหารจัดการกันเอง พ่อจึงเป็นได้เพียงแค่ที่ปรึกษาหรือพี่เลี้ยงที่มีความเป็นกลาง คอยเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ สามารถแนะนำ ให้กำลังใจ และตักเตือนได้เท่านั้น แต่ไม่อาจแทรกแซงได้ 

การรัฐประหารแต่ละครั้งคล้ายกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ของคณะราษฎรที่ไม่ได้สร้างประชาธิปไตย ไม่ได้ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง หากแต่เป็นการยึดอำนาจที่พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานให้กับประชาชนมาเป็นของคณะราษฎรเสียเอง แล้วก็ไม่เคยที่จะส่งอำนาจนั้นถึงมือประชาชน 

เมื่อการเซ็นรัฐประหารไม่ได้มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มีอยู่จริง คือ การนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำรัฐประหาร ซึ่งการรัฐประหารเหมือนกับการที่ลูก ๆ ทะเลาะกัน ส่วนการนิรโทษกรรมก็คล้ายกับการที่ลูกฝ่ายซึ่งได้ดูแลกิจการขอโทษพ่อที่ลูก ๆ ทะเลาะกัน โดยต้องยอมรับว่าการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำรัฐประหารเป็นวัฒนธรรมที่คณะราษฎรริเริ่มขึ้น 

การที่ในหลวง ร.9 ไม่ได้ทรงยุ่งเกี่ยวกับการรัฐประหารถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด อีกทั้งยังเป็นไปด้วยความรักที่มีต่อประชาชนอย่างลึกซึ้ง เพราะถ้าหากในหลวงทรงแทรกแซงด้วยการไม่ยอมรับการรัฐประหาร ก็เท่ากับปลุกให้ประชาชนลุกฮือ อันเป็นเหตุให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายรัฐประหารกับฝ่ายต่อต้านรัฐประหาร 

นอกจากนี้ การที่ในหลวง ร.9 ทรงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการรัฐประหาร จึงเหมือนกับการที่ในหลวง ร.7 ทรงตัดสินพระทัยไม่ต่อสู้กับคณะราษฎร ในหลวงทุกพระองค์ล้วนรักประชาชนอย่างแท้จริง ในหลวงต่างจากนักการเมืองที่ความรักของในหลวงไม่ได้หวังผลตอบแทน และไม่ได้ใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเฉกเช่นนักการเมือง แต่ทรงรักประชาชนเหมือนดั่งลูก 

ดร.ศุภณัฐ
14 ตุลาคม พ.ศ. 2567
#ประชาธิปไตยTheseries by ดร.ศุภณัฐ

ถอดรหัสล้มล้างฯ ภาคสอง ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ สยองขวัญ..!? เก้าอี้สั่น ‘ทนายธีรยุทธ’ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ใช้โมเดลเดียวกับกรณี ยุบก้าวไกล

(12 ต.ค. 67) กรณีที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี โดยพบว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือควบคุม การบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่1 ระหว่างต้องโทษจำคุกได้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว เป็นการฝ่าฝืนไม่น้อมรับโทษจำคุกในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ การกระทำของผู้ถูกร้องที่1 เป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่งทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เกิดการเซาะกร่อน บ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สุด

กรณีที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการแทน ผู้ถูกร้องที่ 2 ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1 (บ้านจันทร์ส่องหล้า)

จำเป็นต้องคัดลอกมาให้อ่านเต็ม ๆ สำหรับ 2 กรณีจากเอกสารสรุปสาระสำคัญ 6 กรณี ที่ทนายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ผู้หาญกล้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ศาลวินิจฉัยสั่งให้ผู้ถูกร้องที่1 ทักษิณ ชินวัตร และผู้ถูกร้องที่ 2 พรรคเพื่อไทย “เลิกการกระทำใช้สิทธิเสรีภาพอันอาจจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49”

วิเคราะห์กระชับสั่น ๆ ได้ว่า ทนายธีรยุทธดำเนินการโมเดลเดียวกับกรณีพรรคก้าวไกล คือ หลังจากยื่นอัยการสูงสุดครบ 15 วันเรื่องเงียบก็เดินเกมสองสเต็ปท์ สเต็ปท์แรก- ยื่นคำร้องให้ศาลรธน.วินิจฉัยสั่งให้ผู้ถูกร้องเลิกการกระทำ สเต็ปท์สอง – ต่อยอดคำวินิจฉัยนำไปร้องกกต.ให้ยุบพรรคหรือดำเนินคดีอาญา..

กรณี 'ทักษิณ-เพื่อไทย' จะถูกเช็กบิลเหมือนกรณี ‘พิธา-ก้าวไกล’หรือไม่..ด่านแรก คือต้องรอการพิจารณาของศาลรธน.ว่าจะรับไว้พิจารณาหรือไม่..คาดว่าแถวๆพุธที่ 30ต.ค.อาจจะพอทราบ ถ้าศาลไม่รับก็จบข่าว...ถ้าศาลรับก็ต้องรอดูว่าจะเป็น “จุดเริ่มนำไปสู่จุดจบ” ของทักษิณ-เพื่อไทยหรือไม่..ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นปี

เมื่อทบทวนอดีต..กรณีคดีล้มล้างฯภาคพิธา-ก้าวไกล  สเต็ปท์แรก ทนายธีรยุทธยื่นเรื่อง 16 มิ.ย.2566 ศาลตัดสิน  31 ม.ค.2567 ใช้เวลา 228 วัน สเต็ปท์สอง(ยุบพรรค) กกต.ยื่นศาลรธน. 18 มี.ค.2567 ศาลตัดสิน 7 ส.ค.2567 รวม 201 วัน

ก็ต้องลุ้นกันว่ากรณีล่าสุดนี้ ศาลรธน.จะรับไว้พิจารณาหรือไม่...คุณธีรยุทธอธิบายว่าทั้ง 6 กรณีที่ร้องเป็น ‘จิ๊กซอว์’ ซึ่งกันและกัน ในมุมมองของ 'เล็ก เลียบด่วน' เห็นว่ากรณีที่1 และกรณีที่ 4 ดังที่ยกมาตอนต้นเป็นกรณีที่น่าขีดเส้นใต้มากที่สุด  ทั้งในแง่อาจทำให้ศาลรับไว้พิจารณาและชี้เป็นชี้ตายผู้ถูกร้อง (หากศาลรับไว้พิจารณา)..

ประเมินความเห็นของผู้สันทัดกรณีหลายฝ่าย ณ จุดเริ่ม เห็นว่า ‘น้ำหนัก’ ของเรื่องอาจจะเบากว่ากรณีพรรคก้าวไกล แต่โอกาสที่ศาลรธน.จะรับไว้พิจารณาก็พอมีแต่เฉียดฉิวระดับ51/49เปอร์เซ็นต์..ถ้าเป็นมติก็5ต่อ4 ประมาณนั้น..

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม...รายการนี้หากได้อ่านไส้ในคำร้อง 65 หน้า น่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยและนายใหญ่อยู่ในอาการ (ปากกล้า) ขาสั่นใจสั่นอย่างแน่นอน!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top