Tuesday, 10 June 2025
POLITICS NEWS

‘ศิษย์หลวงตาบัว’ ค้านรัฐบาลแทรกแซง ‘แบงก์ชาติ’ ยื่นคำขาด หากยังเดินหน้า ก็ไม่อาจให้บริหารบ้านเมืองต่อ

(8 ต.ค. 67) ตัวแทนคณะศิษยานุศิษย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันใน ทำหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขอคัดค้านบุคคลซึ่งเกี่ยวโยงการเมืองเข้ามาแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทย โดยระบุว่า

ตามที่ปรากฏกระแสข่าวเป็นวงกว้างว่า รัฐบาลนำโดย ฯพณฯ พยายามผลักดันบุคคลซึ่งเกี่ยวโยงกับการเมืองเข้ามาแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเห็นได้จาก รมว.คลังในรัฐบาลของท่านได้แต่งตั้ง
"คณะกรรมการสรรหาประธานและกรรมการธปท. ชุดใหม่" โดยไม่ได้แต่งตั้งอดีตผู้ว่าธปท. คนใดคนหนึ่งเป็น
กรรมการสรรหาด้วย พฤติการณ์ดังนี้แตกต่างจากประเพณีปฏิบัติในหลายครั้งที่ผ่านมา ราวกับว่า รัฐบาลของ
ท่านมีเจตนาแรงกล้าในการจัดส่งบุคคลที่ยึดโยงกับการเมืองให้เข้ามาแทรกแซงและครอบงำธปท.อย่าง
เบ็ดเสร็จเด็ดขาดให้จงได้

ทั้งนี้ มีกรณีตัวอย่างไม่น้อยจากวิกฤตเศรษฐกิจการเงินในหลายประเทศ ที่ต้นเหตุแห่งความวิบัติมาจากการเมืองเข้าแทรกแซงและครอบงำการทำงาน ที่คำนึงถึงความปลอดภัยแห่งอธิปไตยทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ยิ่งกว่านโยบายทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งในที่สุดจะส่งผลร้ายเป็นการบั่นทอนความเข้มแข็งของธนาคารกลาง จนเบี่ยงเบนทำงไกลจากความถูกต้อง และหากธนาคารกลางไม่อาจคะคานอำนาจของรัฐบาลที่มุ่งสร้างภาพด้วยนโยบายประชานิยม หวังผลเพียงผลประโยชน์ของกลุ่มก้อนพวกพ้องและภาพลักษณ์ทางการเมืองเท่านั้น จนสุ่มเสี่ยงความหายนะแห่งอธิบโดยทางการเงินของชาติให้พังพินาศไปสิ้นได้อย่างน่าสังเวชใจ

คณะศิษยานุศิษย์องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ในฐานะประชาชนคนไทยที่เทิดทูนชาติศาสน์กษัตริย์เหนือศิรเกล้า ประการสำคัญ ได้ร่วมกันปกป้องทุนสำรองปราการด่านสุดท้ายของชาติอย่างหนักแน่นจริงจัง ตามคำเตือนอย่างเข้มข้นขององค์หลวงตา และได้ร่วมกันเสียสละเงินทองเข้าคลังหลวงกว่า 13 ตัน ได้เห็นพ้องต้องกันว่า หาก ธปท.ถูกการเมืองเข้าแทรกแซง ย่อมบังเกิดมหันดภัยขั้นร้ายแรงต่อระบบการเงินมั่นคงของชาติให้วินาศไปได้อย่างง่ายตาย เพื่อป้องกันมิให้เกิดพฤติการณ์เช่นนี้

คณะศิษย์ฯ จึงขอน้อมนำคำสอนขององค์หลวงตาฯ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2543 ตอนหนึ่งที่ว่า

"อำนาจอันใดก็ตามต้องให้มีประชาชนเป็นผู้ควบคุมอำนาจนั้นไว้ ไม่ใช่กฎหมายของคนสองสามคนเข้ามาตั้งเป็นเจ้าอำนาจวาสนาใหญ่โตเหยียบย่ำทำลายชาติไทยของเรา ก็เรียกรัฐบาลมหาภัยเท่านั้นเอง ไม่ใช่รัฐบาลที่ดีสมความมุ่งหมายของประชาชนที่ตั้งขึ้นมา"

จึงกราบเรียนด่วนที่สุดมาถึง ฯพณฯ เพื่อโปรดพิจารณา อย่านำการเมืองและอย่านำบุคคลที่มีหัวใจยึดโยงกับการเมืองเข้าแทรกแซงอำนาจหน้าที่แห่ง ธปท.โดยเด็ดขาด มิฉะนั้น คณะศิษย์ฯ ย่อมมิอาจยอมรับรัฐบาลประเภทที่ว่ามานี้ให้บริหารบ้านเมืองอีกต่อไปได้

‘ธนกร’ อัดเต็มแรงใส่ ‘ธนาธร’ ละเมิดกฎหมายไม่ใช่ความเสมอภาค ย้ำชัด ๆ สถาบันฯ อยู่เหนือการเมือง หยุดหนุนหลังคนออกมาก้าวล่วง

(7 ต.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า พูดบนเวทีงานรำลึกครบรอบ 48 ปี 6 ตุลาฯ 2519 ที่พูดถึงความเสมอภาคในสังคมไทย ว่า 

การพูดถึงเรื่องคดีความต่าง ๆ ที่บุคคลกระทำความผิด ก็สมควรที่จะเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่คดีที่พรรคการเมืองถูกตัดสินยุบพรรคและบุคคลที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น 

ตนมองว่าไม่ใช่เรื่องการสร้างประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยให้มีสิทธิ เสรีภาพ มีความเจริญก้าวหน้ามีความเสมอภาคเท่าเทียม อย่างที่นายธนาธรกล่าวอ้าง  แต่เป็นการทำผิดละเมิดกฎหมายหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง เพราะไม่ใช่กับบุคคลธรรมดาแต่เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์ประมุขของรัฐ ถือเป็นความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง 

เมื่อถามว่าเหตุใดนายธนาธรถึงกล้าพูดชัดว่า ปี 2563-2564 รวมถึงการหาเสียงเรื่องการแก้ ม.112 ในปี 2566 มีการพูดเรื่องนี้อย่างกว้างขวางในสังคม ถือเป็นความก้าวหน้าของประเทศไทย และรู้สึกตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์นั้น 

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการพูดของนายธนาธรครั้งนี้ เป็นการเปิดเผยเจตนาเบื้องลึกเบื้องหลัง หรือ ธาตุแท้อย่างชัดเจน เพราะพูดด้วยความภาคภูมิใจ เสมือนหนึ่งว่าได้ร่วมสร้าง ประวัติศาสตร์นี้ขึ้นมา เพื่อให้สังคม กล้าพูด กล้าวิพากษ์วิจารณ์เบื้องสูงได้อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งตน ก็สงสัยและตั้งคำถามเหมือนกันว่าเป็นความก้าวหน้าของประเทศตรงไหน 

พร้อมขอตั้งข้อสังเกตและวิเคราะห์จากคำพูดนายธนาธร มองว่าความคิดในลักษณะนี้เป็นความไม่ปลอดภัยของชาติบ้านเมือง เพราะไม่มีคนไทยที่รักประเทศชาติ รักสถาบันฯ คนไหนเขาคิดกันแบบนี้  และตนไม่เห็นผู้นำพรรคการเมือง หรือองค์กร หน่วยงานใด สนับสนุนให้คนจาบจ้วงก้าวล่วงสถาบัน ซึ่งเป็นการทำลายชาติแบบนี้

“ขอย้ำว่าสถาบันฯอยู่เหนือการเมือง และอย่านำเรื่องนี้ มาเกี่ยวโยงอ้างประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพของประชาชน เพราะเป็นคนละเรื่องกัน พี่น้องประชาชนชาวไทย ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ เพราะทุกวิกฤตตั้งแต่ ภัยธรรมชาติ ภัยโรคระบาด ไปจนถึงวิกฤตเศรษฐกิจ สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงไม่เคยทิ้งคนไทยเลย  จึงขอให้นายธนาธรและพวกทบทวนแนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองเสียใหม่ อย่าเป็นพวกจาบจ้วง เซาะกร่อนบ่อนทำลายชาติ เห็นผิดเป็นชอบ หยุดพยายามโน้มน้าวให้คนไทยเห็นดำเป็นขาวแบบนี้เลย ถ้านายธนาธรบอกว่า อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทางที่ดีจริงๆ หยุดเถอะครับ หันไปทุ่มสรรพกำลัง นำกำลังคน สิ่งของไปช่วยพี่น้องที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในภาคเหนือจะดีกว่า“ นายธนกร ระบุ

นายกฯอิ๊ง จรดปากกาเซ็นตั้ง 2 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพิ่ม เซอร์ไพรส์ ชื่อ ‘ณัฐวุฒิ’ โผล่นั่งตำแหน่ง หลังเคยประกาศวางมือ

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 348/2567 ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม โดยมีเนื้อหาระบุว่า

ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 319/2567 เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 นั้น เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินและการขับเคลื่อนงานของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จึงแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม เพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่างๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ดังนี้

1. นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส
2. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคยประกาศยุติบทบาททางการเมือง โดยขอลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย หลังเชิญพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล 

‘แพทองธาร’ ไม่กล้าพูดฟื้น ‘คนละครึ่ง’ กระตุ้นเศรษฐกิจ แง้ม รออีกนิดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจรออยู่อีกเพียบ

(7 ต.ค. 67) ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสบวกสนับสนุนรัฐบาล หลังแจกเงินหมื่น และก่อนจะแจกเฟส2 เป็นไปได้หรือไม่ที่จะนำโครงการคนละครึ่งมากระตุ้นเศรษฐกิจ นายกฯ นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนยกมือป้องปากและกล่าวว่า ไม่กล้าพูดเลย แล้วหันไปหัวเราะกับนายสรวงค์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา จากนั้นจึงระบุว่า จริง ๆ แล้วเรื่องนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมีในกระเป๋าเยอะมากเลย แต่ค่อยๆ ออกมา เพราะต้องดูสถานการณ์บ้านเมืองด้วย 

นายกฯ กล่าวด้วยว่า แน่นอนว่า หลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เราทำแน่นอน เพราะฉะนั้นก็ขอให้รออีกนิดนึง อย่าเพิ่งรีบ กระทรวงไหนที่เกี่ยวข้อง ตนพยายามจะให้กระทรวงด้านนั้นมาเล่าว่าผลงานที่ตัวเองทำคืออะไร 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการคนละครึ่งเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในสมัยที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีการจัดรวมกันถึง 5 เฟส มีประชาชนใช้จ่ายจริงไม่น้อยกว่า 27 ล้านคน รวมถึงมีธุรกรรมที่เกิดขึ้นไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท

‘บอย ธัชพงศ์’ ออกมาร่ายยาวถอดบทเรียนช่วงนำ ‘ม๊อบสามนิ้ว’ ชี้ข้อผิดพลาดของตน คือ ‘ด้อยค่าความคิดต่าง’

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธัชพงศ์ แกดำ หรือ บอย หนึ่งในแกนนำม๊อบสามนิ้วเมื่อช่วง พ.ศ. 2562 ได้ออกมาร่ายยาวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถอดบทเรียนจากการเคลื่อนไหวเมื่อช่วง พ.ศ. 2562 ว่า

ช่วงสถานการณ์ม็อบ ความผิดพลาดของผม คือ ใช้วิธีการด้อยค่าความคิดต่าง 

ทั้งทางโซเชียลและตอนขึ้นเวทีปลุกระดม ด่าหยาบคาย ประชดประชัน เสียดสี ร่างกาย ความคิดผมพร้อมปะทะ ต่างกรรม ต่างวาระของแต่ละสถานการณ์ 

ผมมาสรุปบทเรียนว่า “ผมขยายความคิดให้คนคิดต่างทดลองเชื่อ หรือ คิดตามไม่ได้เลย และบางครั้งก็ผลักมิตรเป็นศัตรู” 

น่าเสียดายเวลา กลับกลายเป็นว่า ผมทำเพื่อตนเองเท่านั้น คือ เพื่อแค่ยืนหยัดเหตุผลและหลักการตัวเองให้กับคนที่คิดเหมือนกันอยู่แล้ว ยอมรับในตัวผมเท่านั้น หรือ บางครั้งก็หลุดหัวร้อนประจานตัวเอง ผลักมิตรเป็นศัตรู ขยายความคิดกับคนเห็นต่างไม่ได้เลย

จนเมื่อช่วงหลังผมได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการของ “ฟาสามัญชน” และได้เป็นวิทยากรนำกระบวนการ ไปใช้ปฏิบัติ เพื่ออำนวยความสะดวกในที่ประชุมและการอบรมบ่อยๆ 

ผมได้ทบทวนตัวเองว่า “ผมควรใช้ท่าทีนอมน้อมรับฟังและประคับประคองความคิดต่าง ให้เกียรติและแลกเปลี่ยนอย่างมีวุฒิภาวะ เพื่อโอกาสแห่งความเป็นไปได้ ในการทำให้คนคิดต่างจะทดลองเชื่อและคิดตามเราในอนาคต หรือ บางสถานการณ์ก็เพื่อรักษามิตรที่มีเป้าหมายเดียวกัน เพียงแค่วิธีคิดต่างกันให้ร่วมทำงานเดินไปด้วยกันต่อได้“

ไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้คนที่คิดเหมือนเราอยู่แล้วยอมรับเหตุผลหลักการเราเท่านั้น แต่เราต้องช่วยรักษาคุณค่าของหลักการและขยายความคิดให้กับคนเห็นต่างให้ได้ เพื่อให้การแสดงความคิดเห็นของเราไม่เสียของไปกับปรากฏการณ์นั้นๆ

แต่ผมก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ ยังต้องปรับปรุงตัวเองและทำต่อไป เพราะยังมีรายละเอียดหลากหลายวิธีการที่น่าสนใจ และต้องศึกษาอีกเยอะ

โดยเฉพาะจัดการวุฒิภาวะทางอารมณ์ตัวเอง เพื่ออดทนต่อความคิดต่างให้ได้ ก่อนที่จะออกไปแลกเปลี่ยนกับคนคิดต่างได้อย่างมีวุฒิภาวะ ผมยังต้องปรับปรุงตัวเองอีกเยอะเลย

นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ตอบคอมเมนต์แซะ ‘ก้มหน้าตาอ่านไอแพด’ แนะลดอคติ-เปิดใจให้กว้าง ด้าน ‘พิชัย’ โดดป้อง เป็นเรื่องปกติที่ต้องทำเพื่อความถูกต้อง ชูการประชุมประสบความสำเร็จ

(6 ต.ค. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้ามาตอบคอมเมนต์ของผู้ใช้เพจเฟซบุ๊กหนึ่ง ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น

โดยระบุว่า อย่างน้อยหาข้อมูลให้มีในสมองบ้างครับก้มหน้าอ่านจากไอแพด มันดูน่าขายขี้หน้าประเทศ ประยุทธ์ว่าแย่แล้ว คนนี้แย่พอกันหรือแย่กว่าด้วย ซึ่งหลังจากหนุ่มคนนี้ได้โพสต์ข้อความออกไป 

ทางนายกรัฐมนตรีได้มาตอบคอมเมนต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ว่า

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ รบกวนดูข่าว+หาข้อมูลเยอะๆ นะคะ เวลาประชุมแบบนี้ ทั่วโลกเค้าอ่านกันค่ะ มันเป็น commitment เป็นสิ่งที่ต้องบันทึกค่า อ่านทุกคน ตั้งแต่ sheikh ถึง mimister เลยค่ะ ลองหาข้อมูลเพิ่มดูเนาะ ถ้าเป็น bilateral ส่วนใหญ่ จะจดหัวข้อไป แล้วก็พูดคุยกันแบบไม่ต้องอ่านจะเกิดการสร้าง Connection ที่ดีค่ะ ดูแค่หัวข้อให้ครบถ้วน ไม่มีใครแย่กว่าใครหรอกค่ะ ทุกคนมีความสามารถกันคนละด้านค่ะ เปิดใจกว้างๆลองให้โอกาสตัวเอง ลดอคติลง จะมีความสุขขึ้นค่ะ

ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว. พาณิชย์ กล่าวว่า ทันทีที่กลับถึงไทย ตนได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงการประชุม ACD summit ในครั้งนี้ โดยย้ำว่า เป็นการประชุมที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แสดงบทบาทผู้นำของประเทศไทยอย่างยอดเยี่ยม และเป็นที่ชื่นชมของผู้นำต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งมีผู้นำหลายประเทศมาขอร่วมถ่ายภาพด้วย ล่าสุดติดอันดับ 100 ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคตของนิตยสาร TIME ในเวทีต่างๆ ท่านนายกฯ ยังได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อผู้นำกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ในเรื่องความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และการเชิญชวนชาติต่างๆ เข้ามาตั้ง Data Center หรือสถานที่จัดเก็บข้อมูลในประเทศไทย ซึ่งทำให้ประเทศต่างๆ ให้ความสนใจอย่างมาก เช่น UAE, Qatar, Kuwait, Oman เป็นต้น

รมว. พาณิชย์ กล่าวต่อว่า ตนจึงแปลกใจที่มีการหยิบยกภาพๆ เดียวที่นายกฯ ถือไอแพดขึ้นมาตัดต่อ บิดเบือน ในเรื่องการสื่อสารในเวทีระดับโลก ตนรู้สึกเป็นการวิจารณ์ที่ล้าสมัย ไม่รู้ข้อเท็จจริง และธรรมเนียมปฏิบัติในเวทีโลก ไม่ยุติธรรมต่อคนทำงาน จึงต้องออกมาให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการบิดเบือนใส่ร้าย ในฐานะผู้ที่นั่งอยู่ร่วมในวงประชุมต่างๆ กับท่านนายก ทั้งในเวทีใหญ่ และเวทีทวิภาคี

ต่อข้อวิจารณ์ว่านายกฯ อ่านจากไอแพด นักวิจารณ์บางรายไปบิดเบือนเป็นเรื่อง การทูตIpad ขอเรียนว่า ในเวทีสากลแบบนี้ ทุกอย่างที่อยู่ในห้องประชุม ทั้งการสนทนา การนำเสนอวิสัยทัศน์ การให้ข้อแถลงต่างๆ จะถูกบันทึกไว้ทั้งหมดโดยละเอียด ตนนั่งในห้องประชุมหลังท่านนายกฯ จึงได้เห็นว่าผู้นำทุกชาติ เขาอ่านกันทั้งหมด เพราะเขาระวังความผิดพลาด ถ้าพูดผิด ก็จะทำให้บันทึกการพูดผิดไปด้วย การอ่านทั้งจากเอกสาร หรือไอแพดก็ดีจึงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่รัดกุมที่ทุกประเทศเขาทำกันหมด

ส่วนในการเจรจา Bilateral หรือทวิภาคีกับชาติต่างๆ ตนนั่งอยู่ในห้องด้วย ท่านนายกพูดเองทั้งหมด นำการประชุมทวิภาคีได้สมศักดิ์ศรี ต้องเข้าใจก่อนด้วยว่า ในการร่วมเวทีระดับสากล จะมีวงหารือทวิภาคีหลายวง และประเด็นในการสนทนา หรือ Suggest Talking Points ที่แต่ละชาติจะหยิบยกขึ้นมาหารือกัน ก็ไม่เหมือนกันทั้งสิ้น การมีกระดาษโน้ต หรือไอแพดไว้ในมือ เพื่อเหลือบมองหัวข้อบ้างตามสมควร จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและสามารถทำได้ เพื่อให้ประเด็นที่เราหยิบยกขึ้นมาดำเนินไปด้วยความถูกต้องกับที่เราเตรียมการมา ผู้นำชาติต่างๆ ก็ทำแบบนั้นทั้งสิ้น ท่านนายกฯ พูดได้ไหลลื่น มองไอแพดเป็นครั้งคราวเพื่อดูเพียงหัวข้อ ที่ต้องชมมากคือการเจรจา Bilateral ครั้งแรกกับประเทศอิหร่าน ซึ่งสุดหิน เพราะเพิ่งมีสถานการณ์สดๆร้อนๆ แต่ท่านนายกสามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม พูดให้เขาสบายใจ ด้วยภาษาดอกไม้ ไม่เข้าข้างใคร ให้ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง และในช่วงการสัมภาษณ์สรุปประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วม ACD summit กับสื่อมวลชนไทยก็ทำด้วยดี จนพวกเราทั้งสามคนที่ยืนอยู่ด้วยหันมาชื่นชมเป็นเสียงเดียวกัน

“ทั้งตัวผม และผู้ที่ร่วมในการประชุม ทั้ง นายมาริษ เสงี่ยมพงศ์ รมว. ต่างประเทศ และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริเดช เลขาธิการนายกฯ เราได้อยู่ด้วยในทุกฟอรัมที่นายกฯ เข้าร่วม เรายังยืนคุยกันชื่นชมนายกฯ ที่สามารถทำได้ดีเยี่ยม เป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศ อย่างวงทวิภาคี ตนเองยังต้องใช้เวลาฝึกเป็นปีกว่าจะสามารถดำเนินการได้ แต่ท่านนายกฯสามารถทำได้ดีในครั้งแรก จึงอยากออกมาข้อมูลอีกด้าน ในฐานะที่อยู่เหตุการณ์จริง ขอให้เลิกอคติ จับผิดเรื่องเล็กน้อย วันนี้ ขอชวนคนไทยให้กำลังทีมไทยแลนด์ที่ช่วยกันทำงานอย่างหนัก เพื่อเชิญชวนชาติต่างๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยจะดีกว่า” นายพิชัยกล่าว

‘อนุทิน’ เตรียมเสนอ ครม. จัดงบเยียวยาค่าล้างโคลนเพิ่ม 10,000 บาท คาดไม่เกินสิ้นเดือน เคลียร์แผ่นดินแม่สาย-เชียงราย กลับเข้าสู่สภาวะปกติ

เมื่อวานนี้ (5 ต.ค. 67) เวลา 10.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย พร้อมด้วย น.ส.ธนนนท์ นิรามิษ ภริยารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัย ใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยได้รับฟังการสรุปสถานการณ์ภาพรวมและลงพื้นที่ประเมินสถานการณ์ ณ สะพานด่านแม่สาย ก่อนจะเดินทางไปติดตามดูการช่วยเหลือพื้นฟูในจุดต่างๆ พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจปลัดอำเภอและกำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ที่กรมการปกครองได้ระดมกำลังพลทั่วประเทศเข้ามาสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนใน จ.เชียงราย ฟื้นฟูทำความสะอาดบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งกำลังพลทุกนายมีกำลังใจที่ดี ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเสียสละและอดทน

นายอนุทิน กล่าวระหว่างการลงพื้นที่ว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ระดมทุกภาคส่วนเข้ามาให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยใน อ.แม่สาย ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน และภาคประชาชน ส่วนของท่านเจ้ากรมการทหารช่าง ได้มาประจำอยู่แม่สายเป็นสัปดาห์แล้ว 

ในส่วนของการบัญชาการตอนนี้ที่เชียงรายไม่น่าเป็นห่วงแม้อยู่ในช่วงการรอแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเนื่องจากท่านเดิมเกษียณอายุราชการ แต่ได้มีการตั้งนายโชตนรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้ามารักษาการผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถสั่งการเพื่อจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ 

ส่วนของรองผู้ว่าราชการจังหวัดขณะนี้ก็ได้มีการแต่งตั้งเข้ามาจนครบแล้ว ขณะที่นายอำเภอแม่สายท่านได้เกษียณอายุราชการแล้วแต่ตัวท่านและภรรยาก็ยังคงอยู่ในพื้นที่ช่วยงานราชการซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก และได้รับการยืนยันจากทางปลัดกระทรวงมหาดไทยว่าจะมีการแต่งตั้งนายอำเภอแม่สายท่านใหม่เข้ามากำกับดูแลสถานการณ์ในสัปดาห์นี้

นายอนุทิน กล่าวว่า จากที่ได้ฟังการรายงานจากทางเจ้าหน้าที่ คาดว่าจะสามารถเคลียร์พื้นที่ได้ภายในไม่เกินสิ้นเดือนนี้ แต่จะทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีจุดที่หนักหน่อยก็คือที่ตลาดสายลมจอย ที่น้ำทะลักเช้าไปมากจนสร้างความเสียหาย ซึ่งมีความเห็นใจผู้ประกอบการ เพราะว่าทราบมาว่าสินค้าอะไรถูกทำลายไปด้วยซึ่งจะต้องพิจารณาต่อไปว่าจะหาวิธีช่วยเหลืออย่างไร

“ในเรื่องของการเยียวยาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย ในวันอังคารนี้ ก็มีการเสนอให้ ครม. พิจารณาปรับเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งเป็นไปตามคำบัญชาของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ว่าจะให้การเยียวยาในระดับสูงสุดก็คือ 9,000 บาทต่อครัวเรือน 

และก็ยังมีเงินที่ตอนนี้ทางกรมป้องกันสาธารณภัยได้ตั้งเรื่องและได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้วคือ ค่าล้างโคลนบ้านละ 10,000 บาทต่อหลัง ซึ่งเป็นการที่เราพยายามจะหาความช่วยเหลือมาให้ประชาชนให้มากที่สุด 

ท่านรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ตั้งแต่รับตำแหน่งท่านก็ยังไม่ได้เข้าที่ทำงานที่มหาดไทยเลย เพราะมาอยู่ที่นี่ วิ่งรอกระหว่างเชียงใหม่ เชียงราย 2 จังหวัดนี้ตลอด เพื่อบัญชาการ ประสานงานขอความช่วยเหลือสนับสนุนต่าง ๆ ซึ่งก็ทำให้สิ่งที่มีความจำเป็นทั้งหมดก็มาถึงโดยเร็วอันนี้เป็นการบูรณาการอย่างจริงจังและจะเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวถึง สถานการณ์น้ำภาพรวมของ อ.แม่สาย จ.เชียงราย หลังการลงพื้นที่ติดตามว่า ในส่วนของปริมาณน้ำนั้นห้ามไม่ได้ มีความเร็ว แรง แต่ด้วยประสบการณ์ที่พื้นที่ได้เจอมา ทำให้รู้ว่าน้ำมาแล้วจะไปทางไหน สามารถบริหารจัดการได้คล่องตัวในการกู้ภัย การฟื้นฟูสภาพก็มีความคล่องตัวมากขึ้น ทำได้เร็วขึ้นกว่าช่วงแรกๆ เหมือนกับอยู่ในช่วงอยู่ตัว แต่เราก็ไม่ได้ถอนกำลังหรือลดทรัพยากรใดๆ ออกไป 

สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือต้องเร่งระบายขยะมูลฝอยและเศษไม้ ต่อไม้ที่มากับน้ำหากติดสะพานปิดกั้นทางน้ำจะทำให้การระบายช้าลง ต้องมีเครื่องมือเครื่องจักรคอยตักออกตลอดเวลา โดยคาดว่าน้ำท่วม ไม่น่าจะเกิดความรุนแรงแล้ว ส่วนการเอาดินออกจากบ้านเรือนประชาชนก็ทำไปได้มากแล้ว โดยจะเร่งทำให้สามารถคืนพื้นที่ให้เร็วที่สุด

‘แพทองธาร’ เตรียมนั่งหัวโต๊ะ ชี้ชะตาเบอร์ 1 สตช. ตั้งตัวชี้วัดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องสางปัญหาอาชญากรรม-ยาเสพติด

(6 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี จะไปเป็นประธานการประชุม คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ในวันพรุ่งนี้ (7 ตุลาคม) เวลา 14.30 น. โดยมีวาระสำคัญ คือ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีชื่อผู้มีอาวุโส 3 คน ได้แก่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. อาวุโส อันดับ 1, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ อาวุโส อันดับ 2 และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. อาวุโส อันดับ 3

สำหรับขั้นตอนการคัดเลือก ผบ.ตร. ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 มาตรา 78 ระบุว่า ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้คัดเลือกรายชื่อเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยการประชุมเมื่อเข้าพิจารณาวาระนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พล.ต.อ.ไกรบุญ และพล.ต.อ.ธนา จะต้องออกจากห้องประชุม เนื่องจากถือว่ามีส่วนได้เสียองค์ประชุมจึงมีเพียง นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร. นายปิยะวัฒน์ ศิวะรักษ์ เลขาธิการ ก.พ. ในฐานะก.ตร. โดยตำแหน่ง และ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ รองศาสตราจารย์ประทิต สันติประภพ และศาสตราจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ เป็นคณะกรรมการพิจารณา

“ไม่ว่าท่านใดจะมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป้าหมายสำคัญตามนโยบายรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาคือการดูแลทุกข์สุข พิทักษ์สันติราษฎร์ ให้กับพี่น้องประชาชน แก้ไขปัญหายาเสพติดและลดอาชญากรรมทุกประเภทให้ได้”

‘นิด้าโพล’ เปิดผลสำรวจพบหลังรับเงินสด 1 หมื่น อึ้ง! พบประชาชนสนับสนุน รบ. เพิ่ม 30%

(6 ต.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “รับเงินสด 10,000 บาท แล้วจะสนับสนุนรัฐบาลไหม” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ทั้งตนเอง และ/หรือคนในครอบครัว ได้รับเงิน 10,000 บาทจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการได้รับเงินสด 10,000 บาท จากรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการนำเงินไปใช้จ่ายของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวได้รับเงิน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 86.79 ระบุว่า ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ น้ำมันเชื้อเพลิง) รองลงมา ร้อยละ 16.49 ระบุว่า เก็บออมไว้สำหรับอนาคต ร้อยละ 14.35 ระบุว่า ใช้หนี้ ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรค หาหมอ) ร้อยละ 8.24 ระบุว่า ใช้ลงทุนการค้า ร้อยละ 7.48 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ร้อยละ 1.37 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 1.07 ระบุว่า ใช้ซื้อหวย สลากกินแบ่งรัฐบาล ร้อยละ 0.99 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มือถือ และเครื่องมือสื่อสาร ร้อยละ 0.69 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ เป็นต้น) ร้อยละ 0.31 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว ร้อยละ 0.15 ระบุว่า ใช้ซื้อทองคำ เพชร พลอย อัญมณี และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ตอบ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการสนับสนุนรัฐบาลของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวได้รับผลประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร รองลงมา ร้อยละ 30.31 ระบุว่า มีส่วนทำให้สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 20.38 ระบุว่า จะมีหรือไม่มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว ร้อยละ 13.13 ระบุว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 1.83 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 7.34 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 19.08 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.25 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 36.18 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.05 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.10 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 47.79 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.21 เป็นเพศหญิง

ตัวอย่าง ร้อยละ 13.44 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 18.47 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 19.08 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 24.81 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.20 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 95.73 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.82 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.45 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

ตัวอย่าง ร้อยละ 34.05 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.28 สมรส และร้อยละ 2.67 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.61 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 41.76 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 6.72 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 19.08 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 1.83 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

ตัวอย่าง ร้อยละ 5.65 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 12.44 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 19.62 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 15.80 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 21.30 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 18.24 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 6.95 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

ตัวอย่าง ร้อยละ 24.05 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 28.17 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 30.15 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 7.40 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 2.06 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 1.45 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 6.72 ไม่ระบุรายได้

'จตุพร' ยกคดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ จุดตาย 'นายกฯอิ๊งค์' เย้ย! คนได้รางวัล 'ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต' ไปทุกราย

‘จตุพร’ ซัดนโยบายรัฐบาล ‘แพทองธาร’ ขายชาติ อ้างประชาชนแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวล้วน ๆ ชี้จุดตาย ‘นายกฯอิ๊งค์’ คือสนามกอล์ฟอัลไพน์ ย้อนถามสื่อไม่เข้าใจอีกหรือ คนได้รางวัลไทม์ 'ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต' ไปทุกราย

(5 ต.ค.67) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมรัฐบาลแพทองธาร ว่ารัฐบาลนี้จะล้มได้ จะจุดม็อบติดได้ ไม่ใช่แกนนำม็อบ แต่คือรัฐบาล ที่จะเป็นไม้ขีดไฟ เป็นน้ำมันเสียเอง ที่ผ่านมาคนเข้าใจผิดคิดว่าม็อบจุดไม่ติดอยู่ที่แกนนำหรืออยู่ที่ประชาชนไม่ใช่อยู่ที่รัฐบาล ดังนั้นการอยู่หรือไป ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อยู่ในกระบวนการขององค์กรอิสระ ไม่ว่าประเด็นเรื่องสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่ดูเหมือนจะรอดยากที่สุด เพราะที่ดินเป็นธรณีสงฆ์ไม่สามารถซื้อขายได้ แม้จะบอกว่าไม่ได้ซื้อตรง เป็นการซื้อต่อมาอีกที แต่ก็กลายเป็นกรณีรับของโจร และมีการโอนหุ้นต่อให้แม่ไม่กี่วันที่ผ่านมา

นายจตุพร กล่าวว่าในคำวินิจฉัยของศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุกอดีตปลัดกระทรวง ที่เคยเซ็นอนุญาตให้มีการซื้อขาย สุด ๆ ไปถึง 2 ปี ดังนั้น ที่ดินตรงนี้จะต้องกลายเป็นของวัด เพราะเป็นที่ดินที่ได้รับบริจาคมาไม่สามารถที่จะนำไปทำเป็นสนามกอล์ฟหรือทำการซื้อขายได้ ฉะนั้นนางสาวแพทองธาร ก็ต้องอยู่ภายใต้กลไก ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว 

นายจตุพร กล่าวต่อว่า และประเด็นที่จะทำให้เรื่องนี้เดินเร็วขึ้น อย่างรวดเร็วคือผลพวงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน เพราะการแต่งตั้งรัฐมนตรีนั้นเป็นมติพรรคเพื่อไทย ซึ่งนางสาวแพรทองคำเป็นหัวหน้าพรรค เรื่องนี้อาจจะมี การสั่งให้ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเร็ว นอกจากนี้ อาจถูกดำเนินคดีทางอาญาเพราะผู้สมัคร อบจ.พรรคเพื่อไทยถูกใบเหลือง เนื่องจากจัดมหรสพ ซึ่งภายในงานก็มีแกนนำพรรคเพื่อไทยอยู่กันครบ นี่คือการอยู่หรือไปของนางสาวแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการออกมาขับไล่ของประชาชน

ส่วนเหตุผลที่ภาคประชาชนจะลงท้องถนนได้นั้น เพราะมีการขายแผ่นดิน 99 ปีให้กับต่างชาติ แม้จะมีการกล่าวอ้างว่าครบ 99 ปีแล้วจะคืนที่ดินให้กับกรมธนารักษ์ ไปสร้างบ้านให้กับคนจน

"ที่วัดคุณ ยังไม่เว้น 99 ปี คนพูดวันนี้ก็ตายแล้ว คนฟังก็ตายแล้ว ลูกคนพูดก็ตายแล้ว ลูกคนฟังก็ตายแล้ว สิ่งที่ประจักษ์ชัดยังโกหก ในอดีตทำไมให้ 30 ปี เพราะรู้ว่านี่กระทบต่อดินแดน ที่มาขยายเป็น 99 ปี ในอดีตทำไมถึงเอา 49% นี่มาขยายเป็น 75% ผลประโยชน์ส่วนตัวล้วน ๆ" นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร ยังกล่าวต่อว่าวันนี้การอยู่หรือไปของนางสาวแพทองธาร คือกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์และคุณสมบัติต้องห้ามอย่างอื่น นี่คือการอยู่เรือไปเหมือนกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีการโยกย้ายถวิลเปลี่ยนสี

"การที่ประชาชนออกท้องถนนไปขวาง ถ้าวันหนึ่งเดินไปถึง การขายแผ่นดิน 99 ปี การทำบ่อน ประชาชนต้องออกไปขวางเพราะเท่ากับ รัฐบาลเป็นผู้จุดม็อบเอง ไม่มีแกนนำหน้าไหนประชาชนหน้าไหนในประวัติศาสตร์ ที่จะจุดม็อบติด คนจุดม็อบติดคือรัฐบาล ไม่ว่าตัวนายกรัฐมนตรีหรือพ่อของนายกรัฐมนตรีก็ตาม" นายจตุพรกล่าว

เมื่อถามว่าหากใช้กลไกองค์กรอิสระ อาจจะใช้เวลาค่อนข้างนาน จะทำให้คนต้องลงถนนก่อนหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า มันเป็นรอยต่อ เพราะในบางเรื่องทาง กกต. ก็ทำหน้าที่เหมือนไปรษณีย์ ไม่มีหน้าที่วินิจฉัย นายทะเบียนพรรคการเมืองมีหน้าที่ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ ถึงมือประชาชนถ้าวันนี้ต่างคนต่างทำหน้าที่ก็ไม่ถึงมือประชาชน ใครจะอยากลงถนน แต่เราเห็นว่าถ้ามีการขายชาติ ต้องเสียดินแดนถึง 99 ปี รวมถึงทำบ่อนการพนัน เราก็ยอมไม่ได้ เพราะฉะนั้น หนทางข้างหน้าตัว นายกรัฐมนตรีหรือพ่อนายกรัฐมนตรีที่เงียบหายไปหลายวันคือผู้จุดม็อบ ไม่ใช่ประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นางสาวแพทองธาร ได้รับกระแสนิยมเป็นอันดับ 1 ของนิด้าโพลรายไตรมาส และติด 1 ใน 100 อันดับ ผู้นำที่ทรงอิทธิพลแห่งอนาคตของนิตยสารไทม์ จะทำให้คนลืมเรื่องไม่ดีหรือไม่ นายจตุพร ถามกลับสื่อมวลชนทันทีว่า ยังไม่เข้าใจอีกหรือ ว่าใครที่ติดอันดับนิตยสารไทม์ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น พร้อมยกตัวอย่าง 3 รายก่อนหน้า ได้แก่ ปี 2019 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หลังจากนั้นก็ถูกยุบพรรคตัดสิทธิ์ทางการเมือง และถูกดำเนินคดี ม.112 เรื่องวัคซีน , ต่อมาปี 2021 นายอานนท์ นำภา ตอนนี้อยู่ที่ไหน , คนที่ 3 ปี 2023 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล วันนี้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี และกำลังถูกดำเนินคดีจาก ป.ป.ช. เรื่องจริยธรรม อาจถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต

"ผู้ที่ได้รับรางวัลทรงอิทธิพลแห่งอนาคตทั้ง 3 คน หลังจากนั้นไม่เหลือในปัจจุบัน แล้วคุณอุ๊งอิ๊งภาคภูมิใจอะไรนักหนา คุณก็คือคิวต่อไป" นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ต่อมาโพลนิด้า ก่อนที่นางสาวแพทองธารได้ ใครได้อันดับ 1 มาก่อน นั่นคือนายพิธา แล้วตอนนี้นายพิธาอยู่ไหน ต้องเขียนจดหมายจากฮาเวิร์ด แล้วนางสาวแพทองธารจะเขียนจดหมายจากไหนมายังประเทศไทย เห็นอยู่แล้วว่าเป็นบันไดเข้าสู่ลานประหาร เมื่อเป็นที่ 1 แล้วก็ถูกจัดการหมด ยังไม่เข้าใจอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้มีความดีใจ เพราะดีใจกันมาทุกคน หลังจากนั้น ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ถ้าในทางการแพทย์เขาเรียกว่ามะเร็งระยะสุดท้าย ร่างกายจะสวยงาม เปล่งปลั่งเสมอ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top