Monday, 21 April 2025
POLITICS NEWS

‘อนุทิน’ เตรียมเสนอ ครม. จัดงบเยียวยาค่าล้างโคลนเพิ่ม 10,000 บาท คาดไม่เกินสิ้นเดือน เคลียร์แผ่นดินแม่สาย-เชียงราย กลับเข้าสู่สภาวะปกติ

เมื่อวานนี้ (5 ต.ค. 67) เวลา 10.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย พร้อมด้วย น.ส.ธนนนท์ นิรามิษ ภริยารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัย ใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยได้รับฟังการสรุปสถานการณ์ภาพรวมและลงพื้นที่ประเมินสถานการณ์ ณ สะพานด่านแม่สาย ก่อนจะเดินทางไปติดตามดูการช่วยเหลือพื้นฟูในจุดต่างๆ พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจปลัดอำเภอและกำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ที่กรมการปกครองได้ระดมกำลังพลทั่วประเทศเข้ามาสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนใน จ.เชียงราย ฟื้นฟูทำความสะอาดบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งกำลังพลทุกนายมีกำลังใจที่ดี ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเสียสละและอดทน

นายอนุทิน กล่าวระหว่างการลงพื้นที่ว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ระดมทุกภาคส่วนเข้ามาให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยใน อ.แม่สาย ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน และภาคประชาชน ส่วนของท่านเจ้ากรมการทหารช่าง ได้มาประจำอยู่แม่สายเป็นสัปดาห์แล้ว 

ในส่วนของการบัญชาการตอนนี้ที่เชียงรายไม่น่าเป็นห่วงแม้อยู่ในช่วงการรอแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเนื่องจากท่านเดิมเกษียณอายุราชการ แต่ได้มีการตั้งนายโชตนรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้ามารักษาการผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถสั่งการเพื่อจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ 

ส่วนของรองผู้ว่าราชการจังหวัดขณะนี้ก็ได้มีการแต่งตั้งเข้ามาจนครบแล้ว ขณะที่นายอำเภอแม่สายท่านได้เกษียณอายุราชการแล้วแต่ตัวท่านและภรรยาก็ยังคงอยู่ในพื้นที่ช่วยงานราชการซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก และได้รับการยืนยันจากทางปลัดกระทรวงมหาดไทยว่าจะมีการแต่งตั้งนายอำเภอแม่สายท่านใหม่เข้ามากำกับดูแลสถานการณ์ในสัปดาห์นี้

นายอนุทิน กล่าวว่า จากที่ได้ฟังการรายงานจากทางเจ้าหน้าที่ คาดว่าจะสามารถเคลียร์พื้นที่ได้ภายในไม่เกินสิ้นเดือนนี้ แต่จะทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีจุดที่หนักหน่อยก็คือที่ตลาดสายลมจอย ที่น้ำทะลักเช้าไปมากจนสร้างความเสียหาย ซึ่งมีความเห็นใจผู้ประกอบการ เพราะว่าทราบมาว่าสินค้าอะไรถูกทำลายไปด้วยซึ่งจะต้องพิจารณาต่อไปว่าจะหาวิธีช่วยเหลืออย่างไร

“ในเรื่องของการเยียวยาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัย ในวันอังคารนี้ ก็มีการเสนอให้ ครม. พิจารณาปรับเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งเป็นไปตามคำบัญชาของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ว่าจะให้การเยียวยาในระดับสูงสุดก็คือ 9,000 บาทต่อครัวเรือน 

และก็ยังมีเงินที่ตอนนี้ทางกรมป้องกันสาธารณภัยได้ตั้งเรื่องและได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้วคือ ค่าล้างโคลนบ้านละ 10,000 บาทต่อหลัง ซึ่งเป็นการที่เราพยายามจะหาความช่วยเหลือมาให้ประชาชนให้มากที่สุด 

ท่านรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ตั้งแต่รับตำแหน่งท่านก็ยังไม่ได้เข้าที่ทำงานที่มหาดไทยเลย เพราะมาอยู่ที่นี่ วิ่งรอกระหว่างเชียงใหม่ เชียงราย 2 จังหวัดนี้ตลอด เพื่อบัญชาการ ประสานงานขอความช่วยเหลือสนับสนุนต่าง ๆ ซึ่งก็ทำให้สิ่งที่มีความจำเป็นทั้งหมดก็มาถึงโดยเร็วอันนี้เป็นการบูรณาการอย่างจริงจังและจะเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวถึง สถานการณ์น้ำภาพรวมของ อ.แม่สาย จ.เชียงราย หลังการลงพื้นที่ติดตามว่า ในส่วนของปริมาณน้ำนั้นห้ามไม่ได้ มีความเร็ว แรง แต่ด้วยประสบการณ์ที่พื้นที่ได้เจอมา ทำให้รู้ว่าน้ำมาแล้วจะไปทางไหน สามารถบริหารจัดการได้คล่องตัวในการกู้ภัย การฟื้นฟูสภาพก็มีความคล่องตัวมากขึ้น ทำได้เร็วขึ้นกว่าช่วงแรกๆ เหมือนกับอยู่ในช่วงอยู่ตัว แต่เราก็ไม่ได้ถอนกำลังหรือลดทรัพยากรใดๆ ออกไป 

สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือต้องเร่งระบายขยะมูลฝอยและเศษไม้ ต่อไม้ที่มากับน้ำหากติดสะพานปิดกั้นทางน้ำจะทำให้การระบายช้าลง ต้องมีเครื่องมือเครื่องจักรคอยตักออกตลอดเวลา โดยคาดว่าน้ำท่วม ไม่น่าจะเกิดความรุนแรงแล้ว ส่วนการเอาดินออกจากบ้านเรือนประชาชนก็ทำไปได้มากแล้ว โดยจะเร่งทำให้สามารถคืนพื้นที่ให้เร็วที่สุด

‘แพทองธาร’ เตรียมนั่งหัวโต๊ะ ชี้ชะตาเบอร์ 1 สตช. ตั้งตัวชี้วัดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องสางปัญหาอาชญากรรม-ยาเสพติด

(6 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี จะไปเป็นประธานการประชุม คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ในวันพรุ่งนี้ (7 ตุลาคม) เวลา 14.30 น. โดยมีวาระสำคัญ คือ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีชื่อผู้มีอาวุโส 3 คน ได้แก่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. อาวุโส อันดับ 1, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ อาวุโส อันดับ 2 และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. อาวุโส อันดับ 3

สำหรับขั้นตอนการคัดเลือก ผบ.ตร. ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 มาตรา 78 ระบุว่า ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้คัดเลือกรายชื่อเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยการประชุมเมื่อเข้าพิจารณาวาระนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พล.ต.อ.ไกรบุญ และพล.ต.อ.ธนา จะต้องออกจากห้องประชุม เนื่องจากถือว่ามีส่วนได้เสียองค์ประชุมจึงมีเพียง นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร. นายปิยะวัฒน์ ศิวะรักษ์ เลขาธิการ ก.พ. ในฐานะก.ตร. โดยตำแหน่ง และ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ รองศาสตราจารย์ประทิต สันติประภพ และศาสตราจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ เป็นคณะกรรมการพิจารณา

“ไม่ว่าท่านใดจะมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป้าหมายสำคัญตามนโยบายรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาคือการดูแลทุกข์สุข พิทักษ์สันติราษฎร์ ให้กับพี่น้องประชาชน แก้ไขปัญหายาเสพติดและลดอาชญากรรมทุกประเภทให้ได้”

‘นิด้าโพล’ เปิดผลสำรวจพบหลังรับเงินสด 1 หมื่น อึ้ง! พบประชาชนสนับสนุน รบ. เพิ่ม 30%

(6 ต.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “รับเงินสด 10,000 บาท แล้วจะสนับสนุนรัฐบาลไหม” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ทั้งตนเอง และ/หรือคนในครอบครัว ได้รับเงิน 10,000 บาทจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการได้รับเงินสด 10,000 บาท จากรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการนำเงินไปใช้จ่ายของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวได้รับเงิน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 86.79 ระบุว่า ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ น้ำมันเชื้อเพลิง) รองลงมา ร้อยละ 16.49 ระบุว่า เก็บออมไว้สำหรับอนาคต ร้อยละ 14.35 ระบุว่า ใช้หนี้ ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรค หาหมอ) ร้อยละ 8.24 ระบุว่า ใช้ลงทุนการค้า ร้อยละ 7.48 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ร้อยละ 1.37 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 1.07 ระบุว่า ใช้ซื้อหวย สลากกินแบ่งรัฐบาล ร้อยละ 0.99 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มือถือ และเครื่องมือสื่อสาร ร้อยละ 0.69 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ เป็นต้น) ร้อยละ 0.31 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว ร้อยละ 0.15 ระบุว่า ใช้ซื้อทองคำ เพชร พลอย อัญมณี และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ตอบ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการสนับสนุนรัฐบาลของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวได้รับผลประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร รองลงมา ร้อยละ 30.31 ระบุว่า มีส่วนทำให้สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 20.38 ระบุว่า จะมีหรือไม่มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว ร้อยละ 13.13 ระบุว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 1.83 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 7.34 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 19.08 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.25 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 36.18 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.05 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.10 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 47.79 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.21 เป็นเพศหญิง

ตัวอย่าง ร้อยละ 13.44 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 18.47 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 19.08 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 24.81 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.20 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 95.73 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.82 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.45 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

ตัวอย่าง ร้อยละ 34.05 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.28 สมรส และร้อยละ 2.67 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.61 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 41.76 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 6.72 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 19.08 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 1.83 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

ตัวอย่าง ร้อยละ 5.65 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 12.44 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 19.62 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 15.80 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 21.30 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 18.24 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 6.95 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

ตัวอย่าง ร้อยละ 24.05 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 28.17 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 30.15 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 7.40 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 2.06 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 1.45 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 6.72 ไม่ระบุรายได้

'จตุพร' ยกคดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ จุดตาย 'นายกฯอิ๊งค์' เย้ย! คนได้รางวัล 'ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต' ไปทุกราย

‘จตุพร’ ซัดนโยบายรัฐบาล ‘แพทองธาร’ ขายชาติ อ้างประชาชนแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวล้วน ๆ ชี้จุดตาย ‘นายกฯอิ๊งค์’ คือสนามกอล์ฟอัลไพน์ ย้อนถามสื่อไม่เข้าใจอีกหรือ คนได้รางวัลไทม์ 'ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต' ไปทุกราย

(5 ต.ค.67) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมรัฐบาลแพทองธาร ว่ารัฐบาลนี้จะล้มได้ จะจุดม็อบติดได้ ไม่ใช่แกนนำม็อบ แต่คือรัฐบาล ที่จะเป็นไม้ขีดไฟ เป็นน้ำมันเสียเอง ที่ผ่านมาคนเข้าใจผิดคิดว่าม็อบจุดไม่ติดอยู่ที่แกนนำหรืออยู่ที่ประชาชนไม่ใช่อยู่ที่รัฐบาล ดังนั้นการอยู่หรือไป ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อยู่ในกระบวนการขององค์กรอิสระ ไม่ว่าประเด็นเรื่องสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่ดูเหมือนจะรอดยากที่สุด เพราะที่ดินเป็นธรณีสงฆ์ไม่สามารถซื้อขายได้ แม้จะบอกว่าไม่ได้ซื้อตรง เป็นการซื้อต่อมาอีกที แต่ก็กลายเป็นกรณีรับของโจร และมีการโอนหุ้นต่อให้แม่ไม่กี่วันที่ผ่านมา

นายจตุพร กล่าวว่าในคำวินิจฉัยของศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุกอดีตปลัดกระทรวง ที่เคยเซ็นอนุญาตให้มีการซื้อขาย สุด ๆ ไปถึง 2 ปี ดังนั้น ที่ดินตรงนี้จะต้องกลายเป็นของวัด เพราะเป็นที่ดินที่ได้รับบริจาคมาไม่สามารถที่จะนำไปทำเป็นสนามกอล์ฟหรือทำการซื้อขายได้ ฉะนั้นนางสาวแพทองธาร ก็ต้องอยู่ภายใต้กลไก ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว 

นายจตุพร กล่าวต่อว่า และประเด็นที่จะทำให้เรื่องนี้เดินเร็วขึ้น อย่างรวดเร็วคือผลพวงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน เพราะการแต่งตั้งรัฐมนตรีนั้นเป็นมติพรรคเพื่อไทย ซึ่งนางสาวแพรทองคำเป็นหัวหน้าพรรค เรื่องนี้อาจจะมี การสั่งให้ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเร็ว นอกจากนี้ อาจถูกดำเนินคดีทางอาญาเพราะผู้สมัคร อบจ.พรรคเพื่อไทยถูกใบเหลือง เนื่องจากจัดมหรสพ ซึ่งภายในงานก็มีแกนนำพรรคเพื่อไทยอยู่กันครบ นี่คือการอยู่หรือไปของนางสาวแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการออกมาขับไล่ของประชาชน

ส่วนเหตุผลที่ภาคประชาชนจะลงท้องถนนได้นั้น เพราะมีการขายแผ่นดิน 99 ปีให้กับต่างชาติ แม้จะมีการกล่าวอ้างว่าครบ 99 ปีแล้วจะคืนที่ดินให้กับกรมธนารักษ์ ไปสร้างบ้านให้กับคนจน

"ที่วัดคุณ ยังไม่เว้น 99 ปี คนพูดวันนี้ก็ตายแล้ว คนฟังก็ตายแล้ว ลูกคนพูดก็ตายแล้ว ลูกคนฟังก็ตายแล้ว สิ่งที่ประจักษ์ชัดยังโกหก ในอดีตทำไมให้ 30 ปี เพราะรู้ว่านี่กระทบต่อดินแดน ที่มาขยายเป็น 99 ปี ในอดีตทำไมถึงเอา 49% นี่มาขยายเป็น 75% ผลประโยชน์ส่วนตัวล้วน ๆ" นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร ยังกล่าวต่อว่าวันนี้การอยู่หรือไปของนางสาวแพทองธาร คือกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์และคุณสมบัติต้องห้ามอย่างอื่น นี่คือการอยู่เรือไปเหมือนกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีการโยกย้ายถวิลเปลี่ยนสี

"การที่ประชาชนออกท้องถนนไปขวาง ถ้าวันหนึ่งเดินไปถึง การขายแผ่นดิน 99 ปี การทำบ่อน ประชาชนต้องออกไปขวางเพราะเท่ากับ รัฐบาลเป็นผู้จุดม็อบเอง ไม่มีแกนนำหน้าไหนประชาชนหน้าไหนในประวัติศาสตร์ ที่จะจุดม็อบติด คนจุดม็อบติดคือรัฐบาล ไม่ว่าตัวนายกรัฐมนตรีหรือพ่อของนายกรัฐมนตรีก็ตาม" นายจตุพรกล่าว

เมื่อถามว่าหากใช้กลไกองค์กรอิสระ อาจจะใช้เวลาค่อนข้างนาน จะทำให้คนต้องลงถนนก่อนหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า มันเป็นรอยต่อ เพราะในบางเรื่องทาง กกต. ก็ทำหน้าที่เหมือนไปรษณีย์ ไม่มีหน้าที่วินิจฉัย นายทะเบียนพรรคการเมืองมีหน้าที่ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ ถึงมือประชาชนถ้าวันนี้ต่างคนต่างทำหน้าที่ก็ไม่ถึงมือประชาชน ใครจะอยากลงถนน แต่เราเห็นว่าถ้ามีการขายชาติ ต้องเสียดินแดนถึง 99 ปี รวมถึงทำบ่อนการพนัน เราก็ยอมไม่ได้ เพราะฉะนั้น หนทางข้างหน้าตัว นายกรัฐมนตรีหรือพ่อนายกรัฐมนตรีที่เงียบหายไปหลายวันคือผู้จุดม็อบ ไม่ใช่ประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นางสาวแพทองธาร ได้รับกระแสนิยมเป็นอันดับ 1 ของนิด้าโพลรายไตรมาส และติด 1 ใน 100 อันดับ ผู้นำที่ทรงอิทธิพลแห่งอนาคตของนิตยสารไทม์ จะทำให้คนลืมเรื่องไม่ดีหรือไม่ นายจตุพร ถามกลับสื่อมวลชนทันทีว่า ยังไม่เข้าใจอีกหรือ ว่าใครที่ติดอันดับนิตยสารไทม์ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น พร้อมยกตัวอย่าง 3 รายก่อนหน้า ได้แก่ ปี 2019 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หลังจากนั้นก็ถูกยุบพรรคตัดสิทธิ์ทางการเมือง และถูกดำเนินคดี ม.112 เรื่องวัคซีน , ต่อมาปี 2021 นายอานนท์ นำภา ตอนนี้อยู่ที่ไหน , คนที่ 3 ปี 2023 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล วันนี้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี และกำลังถูกดำเนินคดีจาก ป.ป.ช. เรื่องจริยธรรม อาจถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต

"ผู้ที่ได้รับรางวัลทรงอิทธิพลแห่งอนาคตทั้ง 3 คน หลังจากนั้นไม่เหลือในปัจจุบัน แล้วคุณอุ๊งอิ๊งภาคภูมิใจอะไรนักหนา คุณก็คือคิวต่อไป" นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ต่อมาโพลนิด้า ก่อนที่นางสาวแพทองธารได้ ใครได้อันดับ 1 มาก่อน นั่นคือนายพิธา แล้วตอนนี้นายพิธาอยู่ไหน ต้องเขียนจดหมายจากฮาเวิร์ด แล้วนางสาวแพทองธารจะเขียนจดหมายจากไหนมายังประเทศไทย เห็นอยู่แล้วว่าเป็นบันไดเข้าสู่ลานประหาร เมื่อเป็นที่ 1 แล้วก็ถูกจัดการหมด ยังไม่เข้าใจอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้มีความดีใจ เพราะดีใจกันมาทุกคน หลังจากนั้น ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ถ้าในทางการแพทย์เขาเรียกว่ามะเร็งระยะสุดท้าย ร่างกายจะสวยงาม เปล่งปลั่งเสมอ

‘อัครเดช’ ชี้!! แก้ปัญหาน้ำท่วมสำคัญกว่าแก้รัฐธรรมนูญ พร้อมขอบคุณ รบ.โอนเงินหมื่นเข้าบัตรคนจน ตาม รทสช.เสนอ

'อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์' ย้ำแก้รัฐธรรมนูญมีขั้นตอน ไม่จำเป็นต้องไปเร่ง ชี้ปัญหาของความเดือดร้อนของประชาชนสำคัญกว่า โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ขอบคุณรัฐบาลใช้ฐานข้อมูลบัตรคนจน โอนเงินหมื่นเข้าระบบช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ตามข้อเสนอพรรครวมไทยสร้างชาติ

(5 ต.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า จากที่มีการรายงานข่าวถึงความเห็นของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นสามารถรอได้ ตนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับความคิดเห็นดังกล่าว เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ทุกภาคส่วนควรเร่งใช้สรรพกำลังในการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม รวมถึงเตรียมแนวทางการแก้ไขปัญหาหากเกิดเหตุซ้ำ 

“ขอเน้นย้ำว่าปัญหาทางการเมืองเป็นเรื่องที่สามารถรอได้ แต่ปัญหาของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากภัยพิบัติเป็นสิ่งที่รอไม่ได้ นอกจากนี้แล้วยังมีปัญหาถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่วนเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ หรือเรื่องการเมืองนั้นมีระยะเวลากระบวนการทำงานของการแก้รัฐธรรมนูญอยู่ ไม่จำเป็นต้องไปเร่งรัดแต่อย่างใด สิ่งที่รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนคือปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม”

พร้อมกันนี้ นายอัครเดช ยังเห็นด้วยกับรัฐบาลที่ได้ดำเนินการจ่ายเงินสด 10,000 บาทต่อหัว ไปยังผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเสนอของพรรครวมไทยสร้างชาติที่เคยเสนอไปในสภาผู้แทนราษฎรว่า ควรใช้ฐานข้อมูลของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการจ่ายเงินไปยังกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะ และเมื่อจ่ายเป็นเงินสดแล้วยังทำให้กลุ่มเปราะบางที่ได้รับเงินดังกล่าวสามารถนำไปใช้จ่ายได้คล่องตัว 

เลขาฯ ปชน. ประกาศกวาด 300 สส. ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แย้ม!! ส่งบัญชีนายกฯ มากกว่า 1 ชื่อ กันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

‘เลขาธิการพรรคประชาชน’ ลั่นเลือกตั้งรอบหน้า มีโอกาสกวาด สส. 270 – 300 ที่นั่ง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว โวขั้นต่ำเกินกึ่งหนึ่งแน่ แย้มชงบัญชีนายกฯ มากกว่า 1 ชื่อ

พรรคประชาชน ที่มีณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นหัวหน้าพรรค เตรียมรณรงค์แคมเปญ 'เท้ง ทั่วไทย' โดยนายณัฐพงษ์ หลังจากนี้จะมีการเดินสายไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้ครบทุกจังหวัด ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีการ Kick off ไปแล้วแถวย่านเพชรเกษม ฝั่งธนบุรี พื้นที่เลือกตั้งเดิม ของนายณัฐพงษ์ สมัยเป็นสส.เขต กทม.

นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน กล่าวถึงทิศทางการเมืองของพรรค หลังถูกถามว่า สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ได้มา 81 เสียง มาพรรคก้าวไกลได้ 151 เสียง แล้วมายุบพรรคก้าวไกล เลือกตั้งรอบหน้า จะได้เกิน 200 หรืออาจ 250 ที่นั่งได้หรือไม่ โดยกล่าวว่า ส่วนใหญ่ตอนนี้เราคิดว่าเราจะพัฒนาตัวเองอย่างไร การพัฒนาตัวเอง ความหมายก็คือ เราต้องชนะตัวเองในอดีต เมื่อวานเราได้แค่ไหน วันพรุ่งนี้เราต้องดีกว่าในความหมายแบบนี้

“หากมีการเลือกตั้งปี 2570 อย่างที่มีการประเมินกัน เรายังมีเวลาอีกพอสมควร อย่างน้อยสองปีกว่าถึงสามปี การที่เราดีขึ้นทุกวัน-ทุกวัน อย่างที่เราประเมิน มันก็ไปได้ไกลมาก อาจไปได้ไกลถึง 270 หรือ 300 เสียง ก็เป็นไปได้ ถ้าเราดีขึ้นทุกวันอย่างที่บอก เราเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวาน ดังนั้น เวลาผมพูดก็จะซีเรียสว่าต้องได้เท่านั้นเท่านี้ แต่ตอนนี้พอเห็นทิศทาง มันเป็นไปได้ตั้งแต่มากกว่าเดิม ผมมั่นใจว่าเราได้มากกว่าเดิมแน่ แต่จะมากไปถึงไหน ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำวันนี้และวันพรุ่งนี้เรื่อย ๆ ไป ส่วนตัวเลขจะได้ 200 เสียงหรือไม่ ในความเห็นส่วนตัวผม ผมมั่นใจว่าเราน่าจะไปได้ไกลกว่านั้น ความเห็นส่วนตัวผม” เลขาธิการพรรคประชาชน ระบุ

ส่วนที่ยังมีเสียงปรามาสว่า หลังเลือกตั้งรอบหน้า พรรคประชาชนจะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านอีก นายศรายุทธิ์กล่าวว่า คิดว่าอาจจะเป็นอีกหนึ่งปี สองปี หรือสามปี ซึ่งเราไม่รู้อนาคต แต่เราต้องแข่งกับตัวเอง ณ เวลานั้น เราอาจเข้มแข็งมาก จนทะลุทะลวงได้ สส. เกิน 250 ที่นั่ง ก็เป็นไปได้

เมื่อถามว่า ความมุ่งมั่นที่จะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวกับรัฐบาลผสม มุ่งไปทางไหน เลขาธิการพรรคประชาชน กล่าวตอบว่า การทำงานของเรา ด้วยความคาดหวังที่อยากเห็นประเทศมีอนาคต ทุกคนที่มาทำงานที่พรรค ต่างมีความคาดหวังแบบนั้น ดังนั้น ทุกคนมุ่งมั่นทำเต็มที่ ที่จะทำอย่างไรให้สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่สังคมที่มีอนาคตได้เร็ว เราก็ทำเต็มที่อยู่แล้ว ดังนั้นเราพยายามให้เป็นอย่างนั้น (รัฐบาลพรรคเดียว) ก็เป็นไปได้ ถ้าทำสำเร็จ ก็ควรเป็นอย่างนั้น ผมเชื่อว่า สิ่งที่เรานำเสนอ มีความปรารถนาดีต่อประเทศจริงๆ อยากให้ประเทศเราเจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดี นี้คือความปรารถนาของเรา

ถามย้ำว่า โอกาสที่หากพรรคประชาชนเลือกตั้งรอบหน้า สมมุติว่าได้มา 200 เสียง โดยถ้ารวมกับพรรคเพื่อไทยแล้วเสียงในสภาฯ ท่วมท้น โอกาสจับมือกันตั้งรัฐบาลเป็นไปได้หรือไม่ นายศรายุทธิ์ กล่าวว่า ถ้าถาม ณ วันนี้ หนึ่งปีที่ผ่านมา ผมคิดว่ายาก โดยส่วนตัวผม ประเมินว่าไม่ง่าย อย่างไรก็ตาม อย่างที่ผมบอก มันก็จะมีเวลาอีกหลายปีกว่าจะถึงวันนั้น การทำงานร่วมกันในสภา ไม่ว่าพรรคการเมืองไหน ไม่ใช่ว่าแค่พรรคเพื่อไทยรวมถึงพรรคอื่นๆ เราก็ต้องดูว่าเราผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงแก้ไขประเทศได้แค่ไหน ถ้ามันมีบางเรื่องที่เราทำงานร่วมกันได้ ผลักดันบางอย่างให้เกิดขึ้นได้ ผมคิดว่าสถานการณ์ ก็อาจเปลี่ยนไปในอนาคต ก็เป็นไปได้ หากเราจะต้องจับมือกับใคร ก็เป็นไปได้ ณ เวลานั้น

เมื่อถามว่า ฟังตอนนี้ ดูเหมือนจะจับมือกันยากกับเพื่อไทย เลขาธิการพรรคประชาชน ยอมรับว่า บรรยากาศโดยภาพรวมมันทำให้มองอย่างนั้น แม้แต่ตนเองก็รู้สึกแบบนั้น คือด้วยความที่เรามีคนจำนวนมากในพรรค เราก็ต้องฟังเสียงของทุกคน

ส่วนกรณีเสียงวิจารณ์ว่า ที่ผ่านมาในการเป็นฝ่ายค้าน ไม่ค่อยแตะเพื่อไทย ไม่แตะทักษิณ ชินวัตร แตะก็แตะแบบลูบเบาๆ นายศรายุทธิ์ ยืนยันว่า ไม่จริง เราก็ทำตลอด อย่างที่มีการพูดกันว่า เราไม่ตรวจสอบชั้น 14 ก็ไม่จริง ก็มีการอภิปรายในสภาฯ แต่ประเด็นที่เราจะตรวจสอบ และวิธีการที่เราจะตรวจสอบ เราไม่เลือกใช้ช่องทางที่เรามองว่ามีปัญหา อย่างเช่น ผ่านองค์กรอิสระต่างๆ เราไม่อยากจะใช้แบบนั้น เราไม่อยากให้เป็นนิติสงครามเหมือนที่เราโดน เราจะใช้เวทีปกติในระบบประชาธิปไตย อย่างเช่นการอภิปราย ก็อยากให้ดูว่าเราทำได้ดีแค่ไหนตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจ เราก็จัดเต็ม ทำเต็มที่แน่นอน ถ้าอะไรที่เป็นกลไกปกติ พรรคเราทำเต็มที่แน่นอน

เมื่อถามถึงเสียงวิจารณ์เรื่องดีลลับระหว่างธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับนายทักษิณ ชินวัตรนั้น เลขาธิการพรรคประชาชน ยืนยันว่า ไม่มี โดยตัวของธนาธร ไม่สามารถดีลลับได้อยู่แล้ว ต้องบอกว่าระบบพรรคเรา คือเวลาคนอื่นมอง เขามองโดยใช้แว่นตาแบบเดิม เช่นคนนั้นเป็นเจ้าของพรรค ต้องให้คนนั้นไปดีล คือเขาไปเอามุมมองแบบนั้น มามองพรรคเรา ทำให้คิดอย่างนั้น ซึ่งในความเป็นจริง พรรคเรามีความเป็นสถาบันมากกว่านั้น ธนาธร ไม่ได้มีบทบาทที่จะตัดสินใจชี้่ถูกชี้ผิดอะไรในพรรค แน่นอนว่าอาจจะมีคนในพรรคจำนวนหนึ่ง อาจมีความชื่นชอบนิยม แล้วให้การยกย่องอันนี้มีจริง แต่เขาไม่ได้เข้ามาล้วงลูก มาทำอะไรในพรรค

ส่วนการเสนอแคนดิเดตนายกฯ พรรคคงไม่เสนอคนเดียวแล้ว หลังมีบทเรียนจากเคสนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์นั้น นายศรายุทธิ์ กล่าวว่า ตอบไม่ได้ว่าใช่หรือไม่ แต่ยอมรับว่ามีการคุยจริง และหลายคนที่เป็นแกนนำพรรค ก็มองไปในทิศทางแบบนั้น แต่จะบอกตอนนี้เลยคงไม่ได้ เพราะคงต้องไปพูดกันตอนใกล้ๆ เลือกตั้ง ทั้งนี้ยอมรับว่าการเสนอชื่อ นายณัฐพงษ์ กับ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคเป็นแคนดิเดตนายกฯ ก็เป็นไปได้สูง ซึ่งหากถามความเห็นส่วนตัว เห็นว่าควรเสนอไปเลยสามชื่อ และหากฟังคนในพรรค อย่างไรก็เสนอมากกว่าหนึ่งชื่อแน่นอน แต่จะเป็นอย่างไร ก็คงไปว่ากันตอนช่วงใกล้เลือกตั้ง

‘บอล ธนวัฒน์’ ฟาดเดือดชาวเน็ต ด่ารัฐบาลได้ทุกเรื่อง ไม่เว้นกระทั่งซื้อพิซซ่าให้เด็กกินหลังเหตุไฟไหม้รถบัส

‘บอล ธนวัฒน์’ ซัด ‘ชาวเน็ต’ เอาการเมืองมาโจมตีทุกอย่าง แม้แต่เรื่องซื้อพิซซ่าให้เด็กกิน หลังเหตุไฟไหม้รถบัสนักเรียนทัศนศึกษา

เมื่อวันที่ (3 ต.ค. 67) นายธนวัฒน์ วงค์ไชย นักเคลื่อนทางการเมือง ทวีตข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) ระบุว่า

ด่ารัฐบาลทุกอย่าง แม้แต่เรื่องซื้อพิซซ่าไปให้เด็กที่ประสบเหตุ #ไฟไหม้รถบัส กิน เอาการเมืองมาโจมตีทุกอย่าง แม้แต่เรื่องที่เด็กๆ ได้กินพิซซ่า ไม่อยากถามหาความเป็นคน เพราะคงไม่มี

ซึ่งเป็นการตอบกลับผู้ใช้บัญชี X รายหนึ่งที่ได้ทวิตข้อความ ระบุว่า แล้วพิซซ่าอะ ถ้าปกติเด็กจะได้กินตอนฉลองวันเกิดหรือวันดีๆ สอบได้คะแนนสูง คนในครอบครัวถูกหวย หรืออะไรงี้ แต่วันที่เจออุบัติเหตุดันได้พิซซ่า ต้องรู้สึกไงอะ

‘น้ำ-วาริน’ วัด ‘เจ้ต้อย-กนกพร’ ชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.นครศรีฯ สนามพิสูจน์พละกำลังระหว่าง ‘ประชาธิปัตย์ - ภูมิใจไทย’

‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ พร้อมลงชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.นครศรีฯ จาก ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ ที่ชิงลาออกในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ วัดบารมี ‘โกเกี๊ยะ’ ลุยบ้านใหญ่

การประชุมทีมงานได้ข้อสรุปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาให้ นายกฯต้อย กนกพร เดชเดโช ลาออกจากนายกฯอบจ.นครศรีธรรมราช ก่อนหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคม โดยยกเหตุผลเรื่องความยุ่งยากในการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในสถานการณ์ที่คาดการณ์ว่า อาจจะมีอุทกภัยในช่วงปลายพฤศจิกายน - ต้นธันวาคม กับกรอบเวลา 180 วัน กับข้อห้ามใช้งบประมาณ ด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งกริ่งเกรงว่า จะใช้งบประมาณเพื่อการหาเสียง

เหตุผลนี้ ‘บิ๊กแจ๊ส-คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง’ นายกฯอบจ.ปทุมธานี เคยนำทีมนายกฯอบจ.โซนภาคกลาง 3-4 จังหวัดลาออกก่อนหมดวาระมาแล้ว

นี่คือเหตุผลของการลาออกก่อนหมดวาระของนายกฯต้อย ซึ่งถ้าพิจารณาตามเนื้อผ้า และปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก็เป็นเหตุผลที่รับฟังได้ พร้อมระบุว่า 

“ซึ่งจะเป็นอุปสรรคของการบริหารจัดการในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครศรีธรรมราช อาจส่งผลให้การทำงานแก้ไขปัญหาประชาชนหยุดชะงัก ขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการรับมือกับภัยพิบัติธรรมชาติช่วงประมาณเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งมีแนวโน้มจะเกิดขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้น ตามภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ดังที่ปรากฏอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ในขณะนี้ กรณีดังกล่าวจำเป็นต้องมีอำนาจในการบริหารจัดการแก้ไขสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ทั้งทางด้านการบริหารงบประมาณ การบริหารบุคคล รวมถึงการประสานเชื่อมโยงกับภาคส่วนต่าง ๆ”

สำหรับทีมพลังเมืองนคร ของเจ้ต้อย ถือว่า เตรียมความพร้อมมายาวนาน เดินสายพบปะแกนนำในแต่ละอำเภอมาครบทั้ง 23 อำเภอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกฯอบต. ส.อบต. พร้อมจัดทีมผู้สมัคร ส.อบจ.ไว้ครบถ้วนหมดแล้ว

เอาเป็นว่า เครือข่ายพร้อม ปัจจัยพร้อม เดินหน้าลุยต่อได้ทันที

แต่สำหรับมุมมอง #นายหัวไทร เชื่อว่าการลาออกของนายกฯต้อยมีเหตุผลทางการเมืองประกอบด้วย “ชิงการได้เปรียบทางการเมือง” ได้เปรียบกับการเป็นฝ่ายบริหารมาจะครบ 4 ปี แน่นอนว่า ผลงานเริ่มเป็นที่ประจักษ์ชัด ทีมงาน เครือข่ายพร้อม กระสุนดินดำลื่นไหล 

ในขณะที่คู่แข่ง ได้เห็นความพยายามของพรรคภูมิใจไทย ที่ ‘พิพัฒน์ รัชกิจประการ’ รัฐมนตรีแรงงาน หัวเรี่ยวหัวแรงของภาคใต้ เรียกประชุมทีมงานนครศรีธรรมราชมาแล้ว สั่งการให้เตรียมพร้อมเลือกตั้ง อบจ.และเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีธรรมราช และเคาะชื่อ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ อดีตประธานหอการค้านครศรีธรรมราช และกรรมการหอการค้าไทย อดีตนักศึกษากิจกรรม เคยเป็นนายกสโมสรนักศึกษาสมัยเรียนระดับมหาวิทยาลัย 

เมื่อพิจารณาตามความพร้อม พรรคภูมิใจไทยมี สส.นครศรีธรรมราช 2 คน และมีโครงข่ายที่ถูกสร้างในช่วง 2 ปีมานี้อยู่ไม่น้อย แต่โอกาสของภูมิใจไทยในนครศรีฯ คิดว่ายังเหนื่อยในการต่อกับเจ้ต้อย ที่ยังมี ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ ลูกๆ และ สส.ในสังกัดอีก 6-7 คน

การตัดสินใจลาออกของนายกฯต้อย น่าจะเป็นยุทธวิธีทางการเมือง 1.หลีกเลี่ยงการกระทำผิดเรื่องการใช้งบประมาณตามกรอบเวลาในช่วง 180 วัน ก่อนวันครบวาระ

2.หลีกเลี่ยง ค่าใช้จ่ายในการหาเสียงที่เกิดขึ้นในระยะ 180 วันก่อนครบวาระ

3. น่าจะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ จาก ผู้ตรวจการเลือกตั้ง (ผตล .) เพราะ กกต. ยังไม่ได้ตั้ง ผู้ตรวจการเลือกตั้งปฏิบัติหน้าที่กับการเลือกตั้งเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่ครบวาระ

4.ที่สำคัญเมื่อลาออกทำให้การเลือกตั้งนายกฯกับฝ่ายสภา (ส.อบจ.)เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน วาระของ ส.อบจ.จะหมดปลายเดือนธันวาคม ถ้าได้เป็นนายก อบจ. อยู่แล้ว หาทีมเข้าสังกัดได้ง่าย มีตัวเลือกเสนอตัวเยอะ ค่าใช้จ่ายไม่เยอะ 

กนกพร ยืนยันหลายต่อหลายครั้งว่า จะขอลงสมัครชิงนายกฯอบจ.นครศรีธรรมราชอีก 1 สมัย ถ้าได้รับเลือกก็จะเป็นสมัยที่ 2 หลังจากนั้นก็ต้องหยุดพักตามกฎหมาย

‘น้ำ’ ลั่นพร้อมลงชิง

“น้ำมีความพร้อม ไม่มีพันธะอะไร ต้องรับผิดชอบมากมาย” คำพูดแรกของ ‘วาริน ชิณวงค์’ ในการตัดสินใจลงชิงเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช (นายกฯอบจ.)

น้ำ พร้อมทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ และมีตัวช่วยอย่าง ‘พิพัฒน์ รัชกิจประการ -อนุทิน ชาญวีรกูล -เนวิน ชิดชอบ’ บารมีของบุคคลเหล่านี้น่าจะหว่านล้อมผู้มากบารมีในนครศรีธรรมราช ให้มาช่วยดันน้ำได้ไม่น้อย และอาจจะทำให้ทีมเจ้ต้อยหวั่นไหวไปบ้างไม่มากก็น้อย

14-18 ตุลาคม เปิดรับสมัคร และหย่อนบัตรวัดดวงกันวันที่ 24 พฤศจิกายน วันชี้ชะตาประชาชนจะมอบความไว้วางใจให้ใครมาบริหารเมืองใหญ่ ‘นครศรีธรรมราช’

'นายกฯ อิ๊งค์' ติดลิสต์ ‘Times 100 Next’ ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต ‘นิตยสารไทม์’

(4 ต.ค.67) นิตยสารไทม์ (Time) ประกาศรายชื่อ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต Times 100 Next ที่แบ่งแยกออกเป็น 5 หมวดหมู่ ประกอบด้วย ศิลปิน (Artists) ผู้สร้างปรากฏการณ์ (Phenoms) ผู้สร้างนวัตกรรม (Innovators) ผู้นำ (Leaders) และผู้ให้การสนับสนุน (Advocates) โดยในปีนี้ มีชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ติดอันดับในประเภทผู้นำ (Leaders)

ไทม์ ได้เขียนถึง น.ส.แพทองธารว่า เธอได้สร้างประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ไม่กี่วันก่อนวันเกิดปีที่ 38 ของเธอ ด้วยการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และเป็นนายกรัฐมนตรีผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดในเอเชียที่เคยมีมา

การขึ้นตำแหน่งของเธอ ไม่เป็นเรื่องน่าตกใจนัก เธอเป็นบุตรสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและมหาเศรษฐีแห่งวงการสื่อสาร ของไทยในปี 2544 และ ถูกรัฐประหารในอีก 5 ปีต่อมา กระนั้นยังมี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นลุง และ อา ที่ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในประเทศไทย แต่ถูกแทรกแซงโดยตุลาการและทหาร

น.ส.แพทองธาร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากศาลรัฐธรรมนูญไทย ได้มีคำตัดสินให้ นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

“ประเทศไทย จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง” น.ส.แพทองธาร บอกกับไทม์ เมื่อปีก่อน

อย่างไรก็ตาม 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต Time 100 Next นี้ มี 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็เคยติดอันดับเมื่อปี 2019 และ 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ติดอันดับในปี 2023 เช่นกัน

สำหรับนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย แม้จะเป็นครั้งแรกที่ติดอันดับ Time 100 Next แต่ในแง่ของการได้รับการจัดอันดับในระดับสากล 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' เคยถูกจัดอันดับอยู่ใน 'ผู้ทรงอิทธิพล' เช่นกัน แต่เป็นการจัดอันดับโดย นิตยสารฟอร์บส์ที่จัดอันดับ 100 สตรีทรงอิทธิพลของโลก (The Most Powerful Women) ประจำปี 2011 โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ลำดับที่ 59 ในปี 2011 และในปี 2012 ยิ่งลักษณ์ ขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 31 จาก 100 ผู้หญิงทั่วโลก

‘เท้ง ทั่วไทย’ vs ‘อิ๊งค์ อินเตอร์’ งานหนัก ‘พรรคส้ม’..งานหิน ‘เพื่อไทย’

เมื่อวันที่ (1 ต.ค. 67) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ  หัวหน้าพรรคประชาชน หรือพรรคส้มคนล่าสุด..ได้ทำพิธีรับสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร  ด้วยความเรียบร้อยสมบูรณ์แบบ   เจ้าตัวประกาศที่ทำหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งเข้มข้นคุ้มกับภาษีของประชาชน..

น่าสนใจ วันนี้นายกฯก็เป็นคนรุ่นใหม่ วัย 38 เป็นหัวหน้าพรรคใหญ่(เพื่อไทย)141 เสียง ขณะที่ผู้นำฝ่ายค้านก็วัยเดียวกัน เป็นหัวหน้าพรรค 143 เสียง..

ถ้าเป็นมวย..ก็เป็นมวยถูกคู่คนดูถูกใจว่า สมัยหน้าพรรคไหนใครจะเป็นแชมป์และมากกว่านั้น ใครจะเป็นนายกฯ และที่สุดของที่สุดสองพรรคที่มาจากเทือกเถาวัลย์พันธุ์สีแดงด้วยกัน จะจับมือร่วมกันตั้งรัฐบาลได้หรือไม่...

คำตอบจากวันนี้..ฟันธงว่ายาก  แต่โอกาสที่พรรคประชาชนของ 'เท้ง ณัฐพงษ์' ที่กำลังเริ่มแคมเปญ 'เท้งทั่วไทย' สัญจร 20 จังหวัด โดยเริ่มต้นที่ภูเก็ต ที่จะเป็นฝ่ายค้านในสมัยหน้าอีกครั้งนั้นฟันธงว่า..มีสูงยิ่ง..

ต้องบอกว่า 'เท้ง ณัฐพงษ์' ผู้เรืองปัญญา และเอก ธนาธร ชื่นชมเป็นที่สุดนั้น ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคภายใต้สถานการณ์ 'ขาลง' และมากมรสุม ต่างจาก 'นายกอิ๊งค์' แพทองธาร ชินวัตร ที่มีเงื่อนไขและโอกาสให้โชว์ฝีมือ..ตั้งแต่กดปุ่มแจกเงินหมื่นบาท และวิกฤตภัยพิบัติภาคเหนือ...

อย่าได้แปลกใจที่ 'นิด้าโพล' ล่าสุด ให้คะแนนนายกฯอิ๊งค์ ร้อยละ 31.35 หัวหน้าเท้ง 22.90 ต่างกับคะแนนพรรค ที่พรรคส้มได้ ร้อยละ 34.25 พรรคเพื่อไทย 27.15

เฉพาะหน้าแรงกดดันของพรรคประชาชนก็คือ..ทำอย่างไรจะปักธงนายกอบจ.นำร่องได้สัก 1 จังหวัด...หลังจากที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์ 'แพ้ซ้ำซาก' ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่ราชบุรี และเลือกซ่อมสส.เขต1พิษณุโลก ที่พรรคส่งโดยตรง..

นับนิ้วดูแล้ว เลือกนายกอบจ.11จังหวัดที่ผ่านมา มีผู้สมัครในนามพรรคประชาชน และสมาชิกพรรคลงแข่ง 6 จังหวัด แพ้ราบเรียบ...เบื้องหน้าที่ต้องจับตามองก็คือ เลือกนายกฯอบจ.ขอนแก่น และสุโขทัย  วันที่ 3 พ.ย. พรรคประชาชนจะส่งใครลงสมัครหรือไม่ โดยเฉพาะที่สุโขทัย ที่โอกาสแพ้สูงแต่ถ้าไม่ส่งก็เสียฟอร์ม  

เหตุเพราะเลือกตั้งปี 2566 แม้พรรคส้มไม่ส่งสส.เขต แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์เป็นลำดับ 2 จำนวน 115,750 คะแนน จี้ติดพรรคเพื่อไทยที่ชนะสส.เขตยกจังหวัด ได้ 125,832 คะแนน...และคิวต่อไปสนามที่พรรคส้มตั้งเป้าจะปักธงให้ได้ก็คือสนามอุดรธานี..เมืองหลวงของคนเสื้อแดง(เพื่อไทย)  ที่พรรคส้มกินแดนไปได้หลายส่วนแล้ว...

วันก่อน.. 'ติ่ง' ศรายุทธ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคส้ม ให้สัมภาษณ์ทางไทยโพสต์ ทีวีว่า..ตัวเลขขั้นต่ำจะปักธงการเลือกตั้งท้องถิ่นโดยขั้นต่ำนายกฯอบจ. ภาคละ 1 จังหวัดและนายกเทศบาลนคร ภาคละ 1 จังหวัด เช่นกัน...

ตอนแรก ๆ ที่พรรคส้มประกาศจุดยืน จะปักธง..ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ไม่น้อย แต่ที่สุดเจอวิทยายุทธบ้านใหญ่ที่รวมหัวกันกินส้ม พรรคประชาชนก็ไปไม่ค่อยเป็น...เพราะนี่คือการเลือกตั้งท้องถิ่นที่หนักไปในทางใช้กระสุนไม่ต้องอาศัยกระแส เหมือนการเลือกตั้งระดับชาติ(สส.)ที่หลายพื้นที่ต้องอาศัยกระแส เช่นกทม.เป็นต้น

สรุปว่านาทีนี้..ณัฐวุฒิก็ต้อง 'เท้งทั่วไทย' ไปก่อน ส่วน 'นายกฯอิ๊งค์' โกอินเตอร์ทั้งในต่างประเทศและในบ้านตัวเอง..

- 2-4 ต.ค.นี้ ประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD-Asia  Cooperation  Dialogue) ครั้งที่ 3 ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์

- 4 ต.ค.เวลา18.00-21.00น. นายกฯจะไปร่วมงานดินเนอร์ ทอล์ค ของTNNในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 17 ที่สยามพารากอนแสดงวิสัยทัศน์ประเด็น EMPOORERING THAILAND LEADERSHIP FOR A NEW ECONOMY
- 7 ต.ค. แสดงวิสัยทัศน์ 'พลิกโฉมเศรษฐกิจไทยผงาดอาเซียน -ASEAN  ECONOMIC OUTLOOK 2025' จัดโดยนสพ.กรุงเทพธุรกิจ

-8-11 ต.ค.ประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 44 และ 45 ณ สปป.ลาว

ที่ผ่าน ๆ มานายกฯอิ๊งค์ ยังอาการน่าห่วง แต่จากนี้ถ้าทุกงานสอบผ่านแบบไม่โกงหรืออวยกันเอง..นายกฯอิ๊งค์ก็จะไปโลด..ซึ่งดูเหมือนเธอจะขอโอกาสพิสูจน์..วันก่อนถึงได้ตอบคำถามนักข่าว “เพิ่งทำงานเดือนเดียวเอง อย่าเพิ่งมาไล่กันเลย(ลุงสนธิ)..”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top