Wednesday, 9 July 2025
POLITICS NEWS

'หมอวาโย' ชี้!! งบ 'กรมการข้าว' โตผิดปกติ ซัด!! ใช้งบ 1.5 หมื่นล้านก่อนเลือกตั้ง มีนัยแปลก ๆ

นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) ผู้สงวนความเห็น ร่วมอภิปรายในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 มาตรา 14 งบประมาณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอปรับลดงบประมาณลง 15,260 ล้านบาท ในส่วนโครงการของกรมการข้าว โดยระบุว่า เป็นกรมที่ได้รับงบประมาณโตขึ้นมากถึง 850 % ภายใน 1 ปี ซึ่งจากเดิมได้รับงบ 2,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 17,000 ล้านบาท และเมื่อไปดูว่าเพิ่มตรงไหนก็พบว่ามีโครงการหนึ่งที่ใช้งบประมาณสูงถึง 15,260 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์ว่าจะให้ชาวนาร่วมกันบริหารจัดการเงิน 15,000 ล้านบาท ส่วน 260 ล้านบาทนั้นเป็นเรื่องการจัดการขั้นตอนต่างๆ และนอกจากนี้่ก็มีการตั้ง KPI ไว้ว่าเพื่อลดต้นทุนการผลิตข้าวให้กับชาวนาที่ร้อยละ 5

นพ.วาโย กล่าวด้วยว่า โครงการนี้ได้รับคำชี้แจงจากอธิบดีกรมการข้าวว่า จะให้เงิน 3 ล้านบาท ให้กับศูนย์ข้าวชุมชน 5,000 แห่ง ซึ่งเมื่อคูณตัวเลขก็จะได้ 15,000 ล้านบาทพอดี แต่ทว่าเมื่อตรวจสอบก็พบว่ามีศูนย์การข้าวชุมชนอยู่จริง ๆ 2,400 แห่ง ต่อมาก็ได้คำตอบจากเอกสารชี้แจงว่าจะตั้งเพิ่มอีก 2,600 แห่ง โดยให้ให้เสร็จในเดือนตุลาคม 2565 ซึ่งก็คืออีกไม่กี่เดือนเท่านั้น คำถามคือจะตั้งทันหรือไม่ นอกจากนี้ ความคลุมเครือนี้ก็ยังมีกรณีที่รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ซึ่งกำกับดูแลกรมการข้าวไม่เคยเห็นโครงการนี้ จึงทำให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบโดยเรียกอธิบดีมาชี้แจง แต่ทว่าอธิบดีก็ไม่เคยมาด้วยตัวเอง มีแต่การชี้แจงด้วยเอกสารเท่านั้น ซึ่งก็ได้รับการชี้แจงว่า โครงการนี้จะมาแทนโครงการเกษตรแปลงใหญ่ที่แจกเงินไร่ละ 1,000 บาท ให้กับเกษตรกรไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 20,000 บาท ทั้งนี้ก็มีคำถามว่า กรมการข้าวก็เคยมีโครงการลักษณะนี้ ตอนนั้นตั้งงบประมาณ 7,275 ล้านบาท ยังดำเนินการได้แค่ 5,762 ล้านบาท และปีนี้บุคลากรเท่าเดิม แต่จะแจกเงิน 5,000 ศูนย์ คือทำงานเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว จะสามารถทำทันได้อย่างไร

'อนุทิน' แจง 'แพทย์ชนบท' เรียกร้องนายกฯ ลาออก ทำในนามส่วนตัว ไม่ผูกพันสธ. 'บิ๊กตู่' ไม่ยี่หระ

(19 ส.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึง กรณีที่ชมรมแพทย์ชนบท แถลงการณ์ เชิญชวนทุกองค์กรในสังคม แสดงออกขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในประเด็นเรื่องการดำรงตำแหน่งครบวาระ 8 ปี ว่า คงทำในนามส่วนตัว

เมื่อถามว่ามีการออกแถลงการณ์ในนามชมรมแพทย์ชนบท นายอนุทิน กล่าวว่า ก็คงเป็นองค์กรองค์กรหนึ่ง แต่ไม่ได้มีอะไรผูกพันกับกระทรวงสาธารณสุข เป็นเหมือนสมาคมที่ตั้งขึ้นมากันเอง เป็นกลุ่มเป็นก้อน คงจะใช้ความเป็นปัจเจกบุคคลทำความเห็นดังกล่าว แต่กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้รับฟังอะไร ถ้าฟังแล้วไม่เข้าท่า

เมื่อถามว่า กรณีที่เป็นแพทย์ในกระทรวง และไปแสดงออกเช่นนี้ ทำได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่อยากจะไปตอบโต้หรือโต้เถียง เพราะอะไรที่เขียนมาไม่มีสาระ ไม่มีความหมาย และไม่ผูกพัน กระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลไม่ได้ให้ความสนใจอยู่แล้ว ข้อความอะไรเยอะแยะที่เขียนมา ก็ไม่ได้ทำตามสักเรื่อง อย่าไปสนใจ แต่ว่า เป็นสิทธิเสรีภาพ ในฐานะประชาชนที่จะเขียนอะไรก็ได้ ถ้าเป็นข้าราชการ เข้าข่ายผิดวินัย เขามีผู้บังคับบัญชาที่จะจัดดูการดูแลไป

เมื่อถามว่า การออกมาเรียกร้องของชมรมแพทย์ชนบทให้ องค์กรต่าง ๆ ร่วมกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นการกดดันศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "กดดันใครได้ ไม่มี เคยกดดันใครได้ล่ะ" ที่ผ่านมา ไม่ได้มีชมรมนี้ชมรมเดียวที่กดดันนายกรัฐมนตรี คนออกมากดดันนายกรัฐมนตรีตั้งเยอะแยะ คนที่สนับสนุนก็เยอะแยะ และพรรคร่วมรัฐบาล ขณะนี้ก็สนับสนุนนายกรัฐมนตรีอยู่

'ส.ส.เพื่อไทย' ซัด!! 'ประยุทธ์' ทำประเทศตกต่ำ อยู่มา 8 ปี สร้างปัญหา-ภาระให้ประชาชนเพียบ

นางสาวทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปล่อยให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ปรับเพิ่มค่าเอฟทีอีก 68.66 สตางค์ต่อหน่วย รวมเป็นค่าเอฟทีทั้งสิ้น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย ซึ่งพลเอกประยุทธ์ออกมาบอกว่าเห็นขึ้นหลักสตางค์ไม่กระทบประชาชน แต่พลเอกประยุทธ์ต้องไม่ลืมว่าหลักสตางค์ต่อหน่วยก็รวมแล้วเพิ่มขึ้นหลักร้อยบาทต่อเดือนที่ประชาชนต้องควักเงินเพิ่ม 

ส่วนที่บอกว่าให้นึกถึงคำสอนของพุทธเจ้าที่ว่าด้วยอริยะสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรร.สคเพื่อหาเหตุแห่งปัญหา ทั้งนี้ประชาชนทั้งประเทศ ยืนยันว่าเหตุแห่งปัญหาประเทศคือตัวพลเอกประยุทธ์ เพราะสร้างสารพัด ปัญหาให้ประชาชนต้องตามไปแก้ ไม่เคยมีแนวคิดมาจากพลเอกประยุทธ์ ที่จะมาแก้ปัญหาให้ประชาชน

‘บิ๊กตู่’ เซ็นตั้ง 'อนุชา' พีอาร์ผลงานรัฐ หวนนั่งโฆษกรัฐบาลแทน ‘ธนกร’

(18 ส.ค. 2565) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า จากกรณีนายธนกร วังบุญคงชนะ ได้เลื่อนขึ้นเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และได้ลาออกจากตำแหน่ง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นั้น วันเดียวกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 204/2565 เรื่อง มอบหมายให้ข้าราชการการเมืองปฏิบัติหน้าที่ อีกหน้าที่หนึ่ง เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อยต่อเนื่อง เหมาะสม และที่ประสิทธิภาพ 

นายกฯจึงมีคำสั่งมอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี ข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อีกหน้าที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค. เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง 

นายอนุชา บูรพชัยศรี เคยดำรงตำแหน่ง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 18 ส.ค. 2563 – 24 ส.ค. 2564 ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง

'ชนินทร์' ชี้ 'วทันยา' ลาออกจาก พปชร.ควรไปอย่างสง่างาม ไม่กล่าวร้ายทางการเมือง ย้ำ ส.ส.ไม่เป็นองค์ประชุมทำได้ตามรัฐธรรมนูญ

นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย และว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุรินทร์ กล่างถึงกรณีที่นางสาววทันยา บุนนาค ลาออกจากจาก ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อและสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โดยอ้างเหตุผลว่า การประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2565 ไม่สามารถตอบสนองเจตนารมณ์ของประชาชนที่ฝากความหวังให้ ส.ส.ปฏิบัติหน้าที่ได้นั้น  อยากให้นางสาววทันยา ทำความเข้าใจกับระเบียบการประชุมรัฐสภา และการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญให้ถี่ถ้วน เพราะการไม่กดปุ่มแสดงตนเป็นองค์ประชุมในการประชุมใดๆ เป็นสิทธิ์ที่สมาชิกสามารถทำได้  ซึ่งแตกต่างกันกับการขาดประชุม หรือไม่มาลงชื่อเข้าประชุมที่หน้าห้อง 

โดยในอดีตเสียงข้างน้อยในการประชุมรัฐสภา หรือสภาผู้แทนราษฎรเอง ก็มีการแสดงเจตจำนงไม่ร่วมเป็นองค์ประชุมอยู่ในหลายครั้ง โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะยับยั้งกระบวนการที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ถูกต้องตามกระบวนการ แต่หากเสียงข้างมากยังยึดมั่นและยืนยันในความถูกต้องของตน ก็ต้องย่อมมาเป็นองค์ประชุมและผลักดันจนการพิจารณาจบไปได้ จึงจัดเป็นกลไกตรวจสอบถ่วงดุล หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะหนึ่ง

'เท่าพิภพ' แนะ!! ทุ่มงบ 20 ล้านจ้างยูทูบเบอร์ดีกว่า เชื่อ!! ก.ท่องเที่ยวทำวิดีโอเอง คนดูไม่ถึงหมื่นแน่

เท่าพิภพ อภิปรายขอตัดงบ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ 20 ล้านทุ่มสร้างแพลตฟอร์มวิดีโอและไลฟ์สตรีมเอง ชี้แค่ทำเซิฟเวอร์ก็ไม่พอแล้ว มั่นใจคนดูไม่ถึงหมื่นแน่นอน แนะจ้างยูทูบเบอร์ยังจะได้ผลมากกว่า

เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล อภิปรายสงวนคำแปรญัตติ การพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 วาระ 2 ในมาตรา 11 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยขอตัด 5% ในส่วนของสำนักปลัดการท่องเที่ยวและกีฬา

โดยเท่าพิภพ ระบุว่าโครงการที่มีปัญหา คือโครงการยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย ในส่วนงบรายจ่ายวีดีโอออนดีมานด์และไลฟ์สตรีมมิ่ง ที่มีการตั้งงบประมาณไว้ที่ 20.4 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าทางกรรมาธิการจะได้ตัดออกไป 5 ล้านบาทแล้ว ก็ยังไม่สมเหตุสมผล

เนื่องจากโครงการดังกล่าว ไม่ต่างอะไรกับการสร้างแพลตฟอร์มวีดีโอขึ้นมาเป็นของตัวเอง ใช้ในการโปรโมตการท่องเที่ยวด้วยวีดีโอของตัวเอง แล้วหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาดู ซึ่งเพียงการตั้งโครงการด้วยวิธีคิดเช่นนี้ก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว เช่น ในการทำเซิฟเวอร์ขึ้นมาเองด้วยงบประมาณเพียง 20 ล้านบาท ย่อมไม่เพียงพอที่จะทำให้แพลตฟอร์มมีประสิทธิภาพได้แน่นอน

‘อนุทิน’ ปลื้ม!! ‘ภูมิใจไทย’ เนื้อหอม แนวโน้มดี มีแต่คนแห่เข้าร่วมพรรค

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2565 เวลา 13.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล  รองนายกฯ และ รมว.สาธาณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์กรณี ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง พ.ศ.2563 ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเข้าโหมดเลือกตั้งพรรคภูมิใจไทยจะเตรียมพร้อมอย่างไร ว่า ประกาศที่ออกมาเป็นสิ่งย้ำเตือนให้พวกเราตระหนักว่าจะเข้าสู่ฤดูเลือกตั้งแล้ว จะมีข้อกำหนดออกมาว่าอะไรทำได้ไม่ได้ เป็นสิ่งที่ดีออกมาตอกย้ำให้ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของพรรค ระมัดระวัง แม้กระทั่งในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องทราบว่าทำอะไรได้บ้างหรือทำอะไรไม่ได้ในช่วงใกล้ฤดูเลือกตั้ง เมื่อถามว่าระยะเวลา 6-7 เดือนที่เหลือในการเตรียมตัวเลือกตั้งถือว่ามากหรือน้อยไปหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “กำลังดี”

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยเพิ่งประกาศ 93 ว่าที่ผู้สมัครในภาคอีสาน พรรคภูมิใจไทยจะสู้ในพื้นที่ดังกล่าวได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า อย่าไปพูดถึงคำว่าต่อสู้เลย เราก็นำเสนอนโยบายของเราด้วยรูปแบบการเลือกตั้ง ยิ่งถ้าสมมุติใช้สูตรเลือกตั้งบัญชีรายชื่อหาร 100 พรรคการเมืองต่าง ๆ ก็ส่งผู้สมัครให้มากที่สุดเท่ากับความสามารถที่มีอยู่เพราะมันก็ชัดเจนว่าจะต้องได้ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วย ถ้าเราส่งผู้สมัครส.ส.เขตที่คุ้นเคยกับพื้นที่โอกาสได้ส.ส.บัญชีรายชื่อก็เพิ่มขึ้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่พรรคการเมืองทุกพรรคจะส่งผู้สมัครที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้ส.ส.

ชมรมแพทย์ชนบท ออกโรงให้ประยุทธ์พอได้แล้ว พร้อมชวนสังคมสร้างกระแส ‘8 ปี พอแล้ว’ ให้กระหึ่ม

ชมรมแพทย์ชนบท ออกแถลงการณ์ให้ประยุทธ์พอได้แล้วในเก้าอี้นายกรัฐมนตรี 8 ปี พร้อมชวนใช้เวลาที่เหลือ 1 สัปดาห์ปลุกทุกองค์กรสร้างกระแส 8 ปีให้กระหึ่ม

(18 ส.ค. 2565) ชมรมแพทย์ชนบท ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า แถลงการณ์ชมรมแพทย์ชนบท “8 ปีแล้ว พอเถอะนะ” มีเนื้อหาว่า กติกาทางสังคมเรื่องการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีรวมกันต้องไม่เกิน 8 ปี เป็นเจตนารมณ์ที่ก้าวหน้าของทั้งรัฐธรรมนูญ 2550 และ 2560

วันที่ 23 สิงหาคม 2565 นับว่าครบ 8 ปีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างชัดเจน ท่านรับเงินเดือนนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 8 ปีแล้ว ท่านใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีมา 8 ปีแล้ว ท่านรับสวัสดิการจากภาษีประชาชนในฐานะนายกรัฐมนตรีมา 8 ปีแล้ว นี่คือข้อเท็จจริงที่ตรงไปตรงมาว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีมา 8 ปีแล้ว จึงถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรีจะก้าวลงจากตำแหน่งอย่างมีศักดิ์ศรีตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ 2560

นายกฯ อวยพรให้ตนโชคดี ขอให้ประสบความสำเร็จในทุกตำแหน่งที่ตั้งใจทำงานให้กับประชาชน และได้ยืนยันกับ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าในชีวิตตน จะทำงานให้ท่านนายกรัฐมนตรี และรับใช้พี่น้องประชาชนต่อไป

นายกฯ อวยพรให้ตนโชคดี ขอให้ประสบความสำเร็จในทุกตำแหน่งที่ตั้งใจทำงานให้กับประชาชน และได้ยืนยันกับ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าในชีวิตตน จะทำงานให้ท่านนายกรัฐมนตรี และรับใช้พี่น้องประชาชนต่อไป

ธนกร วังบุญคงชนะ 
ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 
เอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมน้ำตาคลอเบ้า เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 65 

เมื่อเวลา 08.39 น.วันที่ 18 ส.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แจ้งสื่อมวลชนผ่านแอพพลิเคชั้นไลน์ ว่า ได้ยื่น หนังสือลาออก จากตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้วเมื่อเย็นวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ถือเป็นการยุติบทบาทโฆษกประจำสำนักนายกฯอย่างเป็นทางการ และแม้จะต้องเปลี่ยนบทบาท ในการทำงาน เพื่อรับใช้ประชาชน แต่ก็ยังยินดีและพร้อมประสานกับสื่อมวลชน เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินของท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเช่นเดิม

“ ผมได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว เมื่อช่วงเย็นของเมื่อวาน (17 สิงหาคม 2565) ถือเป็นการยุติบทบาทโฆษกประจำสำนักนายกฯอย่างเป็นทางการนะครับ ผมขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านจากใจจริง ที่ให้การสนับสนุนการทำงานของผม ในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยดียิ่งมาโดยตลอด  ความร่วมมือและแรงสนับสนุนของทุกท่านเป็นกำลังใจ ทำให้ผมสามารถขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์ ผลงาน ภารกิจของท่านนายกรัฐมนตรี ตลอดในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จได้อย่างราบรื่น แม้จากนี้ ผมจะต้องเปลี่ยนบทบาท ในการทำงาน เพื่อรับใช้พี่น้องประชาชน แต่ก็ยังยินดีและพร้อมประสานกับพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินของท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เช่นเดิม” นายธนกร กล่าว

'เพื่อไทย' ซัด!! งบกลาโหม 8.5 หมื่นล้านบาท ประเคนกองทัพซื้ออาวุธ แบบไม่เห็นหัวประชาชน

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ส.ส. พรรคเพื่อไทย ระดมพลอภิปรายขอให้สภาผู้แทนราษฎรปรับลดงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงในส่วนของหน่วยงานภายใต้กำกับของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีแนวโน้มในการคุกคามและแทรกแซงประชาชน รวมไปถึงขอให้ปรับลดงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหม ที่ยังคงมุ่งหน้าในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล ซึ่งขัดแย้งกับสถานการณ์ประเทศที่กำลังวิกฤต ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจปากท้องอย่างหนักในขณะนี้

[+พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย]

ในมาตราที่ 7 ซึ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายของสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานในกำกับ จะต้องปรับลดลง เนื่องจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน่วยงานในกำกับอยู่ถึง 27 หน่วยงาน มีงบประมาณรวมถึง 2.2 หมื่นล้านบาท รวมกับงบกลางเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินจำเป็น สำรองจ่ายได้อีก 9.2 หมื่นล้านบาท เป็น 1.1 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังรวมถึงหน่วยงานของ กอ.รมน. ที่เข้าไปล้วงลูกสั่งการหน่วยราชการในอีก 77 จังหวัดอีกด้วย ซึ่งใน 27 หน่วยงานนี้ก็มีบางหน่วยงานที่น่าจะตัดงบประมาณทั้งหมด เช่น สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์กรมหาชน) เพราะทุกวันนี้ประชาชนก็ถูกหน่วยงานเหล่านี้คุกคามทางไซเบอร์อยู่ ยังไม่นับที่หน่วยราชการต่าง ๆ ที่ถูกล้วงลูกแทรกแซงอีก

[+ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม] 

ในงบประมาณ มาตรา 8 ในส่วนของกระทรวงกลาโหม ได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 8.5 หมื่นล้านบาท โดยได้ระบุว่ามีความจำเป็นต้องปรับลด 10% ที่ได้ไปนำไปจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน แต่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจขนาดนี้ไม่สอดคล้องกับการซื้อเรือดำน้ำที่ไม่มีเครื่องยนต์ นอกจากนี้เครื่องยนต์ที่ทางการจีนต้องไปจัดหาสำหรับเรือดำน้ำที่ไทยตั้งใจจะซื้อต่อนั้น ยังเป็นเครื่องยนต์ที่ไม่มีทหารคนไหนบนโลกเคยใช้มาก่อน

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมยังมีความพยายามจะจัดซื้อเครื่องบินรบ F-35A เป็นเครื่องบินใหม่ล่าสุดที่มีนวัตกรรมทางทหารและทางอวกาศที่ล้ำสมัย อย่างไรก็ตามการจัดซื้อเครื่องบินรบที่มียุทโธปกรณ์สูงเช่นนั้นไม่เหมาะสมกับวิกฤตเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับงบประมาณแผ่นดินในเวลานี้ที่ต้องจำกัดจำเขี่ย ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการตั้งงบประมาณไว้ลอยๆ อย่างไม่จำเป็น เพราะการจะซื้อเครื่องบินรบ F-35A นั้นจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส สหรัฐอเมริกาเสียก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีวี่แววใดๆ ว่าทางสหรัฐฯ​ จะอนุมัติขายให้

[+ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส. เชียงใหม่]
ขอปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม 10% โดยเฉพาะงบที่จะใช้ในการเช่ารถหรูประจำตำแหน่ง Mercedes-Benz S500 ถึง 30 คัน ประเทศไทยมีนายพลจำนวนที่เยอะเกินกว่าที่จำเป็น หากนับย้อนไป 2561-2563 มีนายพลแต่งตั้งโยกย้ายมากกว่า 10,000 คน เท่ากับ 1 ต่อ 166 นาย ส่งผลให้งบประมาณรายจ่ายสูง อีกทั้งสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมยังมีงบลับจำนวนมาก ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งการตั้งงบประมาณที่ไม่เกี่ยวข้องกับสายงานและไม่มีความจำเป็น เช่น การตั้งงบไอโอเพื่อโจมตีประชาชนที่มีความเห็นต่าง เป็นต้น

“ตั้งงบซื้ออาวุธทุกปี ถ้าไม่ซื้ออาวุธสักปี ประเทศไทยจะเสียเอกราชให้ใครหรือเปล่าคะ? หรือถ้าไม่ซื้อ ท่านนายกฯ จะตายหรือเปล่า ถ้าท่านนายกฯ จะเป็นจะตาย ดิฉันก็ยอมให้ท่านแล้วค่ะ จะได้เป็นบุญ แต่นี่ไม่ใช่ เพราะงบประมาณเป็นเงินภาษีประชาชน กองทัพที่ใหญ่โต งบประมาณที่เลอะเทอะ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ประชาชนกำลังหิวโหย ตั้งงบประมาณไม่เห็นหัวประชาชน จึงขอลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม 10% เพื่อไปเพิ่มสวัสดิการและแก้เศรษฐกิจให้แก่ประชาชน”

[+วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส. เชียงราย]
ขอปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหมลง 9% ด้วยเหตุผล 2 ประการ

1.) ประเทศไทยมีโครงการทุนพัฒนาศักยภาพนักวิจัยด้านยุทโธปกรณ์เพื่อเพิ่มศักยภาพของกองทัพและการป้องกันประเทศ แต่กองทัพกลับไม่สนับสนุน กองทัพมุ่งแต่จะซื้ออาวุธทำให้เกิดปัญหาเงินไหลออก และประเทศขาดโอกาสในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันการซื้อขายอาวุธระหว่างประเทศได้มีนโยบายการซื้อสินค้าระหว่างประเทศที่ระบุให้ผู้ซื้อและผู้ขายอาวุธจะต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอาวุธ มีการลงทุนร่วมกันทั้งในภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาทักษะและพัฒนาอาวุธ ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านเราต่างใช้นโยบายนี้ แต่ไม่ทราบว่ากองทัพไทยได้ดำเนินการในเรื่องนี้หรือไม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top