Thursday, 10 July 2025
POLITICS NEWS

'ดร.อานนท์' วิเคราะห์เส้นทางแปดปีเก้าอี้นายกฯ ความกังวลสู่ชนวนความขัดแย้งบ้านเมืองในอนาคต

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล (Citizen data sciences) คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้วิเคราะห์ถึง 8 ปีเก้าอี้นายกรัฐมนตรีว่า 

ระยะนี้เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากกว่านายกรัฐมนตรีของไทยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจะดำรงตำแหน่งต่อไปได้หรือไม่ เนื่องจากในรัฐธรรมนูญนั้นเขียนไว้ว่าเป็นนายกรัฐมนตรียาวนานรวมกันได้ไม่เกิน 8 ปีซึ่งก็เป็นที่ถกเถียงของผู้รู้ทางกฎหมายจำนวนมากมาย มีทั้งฝั่งที่สนับสนุน และฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการดำรงตำแหน่งเกินกว่า 8 ปีของนายกรัฐมนตรี และรอการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเร็ววันนี้

ถ้าดูจากไทม์ไลน์การเริ่มนับระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะนับได้ สามแบบ

แบบที่หนึ่งคือนับตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช. พร้อมกันในปีที่ทำรัฐประหารคือปี 2557 ซึ่งถ้านับแบบนี้ก็ย่อมเท่ากับว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปีแล้วตามรัฐธรรมนูญ

หลายคนก็มองว่าวิธีการนับแบบนี้ไม่น่าจะถูกต้องเท่าไหร่ในทางกฎหมายเพราะกฎหมายไม่ควรจะมีผลย้อนหลังในทางที่ไม่เป็นคุณ

ในกรณีนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ประกาศใช้ในปี 2560 และนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเริ่มเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งในปี 2562 จึงเป็นวิธีการนับที่หลายคนคิดว่าไม่ถูกต้อง แต่คนที่ต่อต้าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจำนวนมากก็เห็นว่าควรนับแบบนี้ และถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญมีวินิจฉัยเอกมาในแนวทางนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาก็จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้อีกต่อไป ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่

การนับเวลาเป็นนายกรัฐมนตรีแบบที่ 1 นี้ ถ้าหากผมเป็นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและผมทราบ แน่นอนว่าจะไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ ผมก็จะชิงความได้เปรียบในการยุบสภาก่อนวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีวินิจฉัยตัดสินเพื่อให้ตนเองยังมีอำนาจในการยุบสภาได้และควบคุมสถานการณ์ได้

ความน่าจะเป็นที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยแบบที่ 1 โดยเริ่มนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่รัฐประหารและมีหัวหน้า คสช.นั้นมีค่อนข้างน้อย แม้จะตรงกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญก็ตาม เนื่องจากมีปัญหาหลายประการ ประการแรกเป็นการบังคับใช้กฎหมายให้มีผลย้อนหลังในทางที่ไม่เป็นคุณซึ่งโดยปกติจะไม่ทำกัน ประการที่สอง เป็นการไม่ยุติธรรมกับพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาจนเกินไปเพราะรัฐธรรมนูญประกาศใช้ในปี 2560 และการเลือกตั้งมีขึ้นในปี 2562

การนับแบบนี้นี้มีผู้สนับสนุนค่อนข้างมากโดยเฉพาะคนที่ไปเอารายงานการประชุมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 มาอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและรองประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ นายมีชัย ฤชุพันธุ์และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ได้แสดงความเห็นไว้ว่าต้องนับระยะเวลารวมทั้งหมดแล้วย้อนหลังได้ด้วยดังที่มีเอกสารเผยแพร่กันในโลกออนไลน์อยู่ทั่วไปกว้างขวาง

การนับระยะเวลาเป็นนายกรัฐมนตรีแบบที่ 2 นับตั้งแต่ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่าห้ามนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งระยะเวลารวมกันเกินกว่า 8 ปี

ในทางนิติภาวะถือว่าประเด็นนี้มีความสำคัญเพราะก่อนจะมีการประกาศใช้กฎหมายนี้นายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปี 2560 แล้วเพิ่งมาทราบในภายหลัง เนื่องจากกฎหมายรัฐธรรมนูญบัญญัติว่าห้ามดำรงตำแหน่งเกินกว่า 8 ปีนับรวมกัน จึงไม่ควรจะนับย้อนหลัง แต่ก็ควรจะนับตั้งแต่วันที่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ คือวันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี 2560 การเริ่มต้นนับแบบนี้ทำให้พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อได้อีก 2 ปีจนถึงปี 2568

ความน่าจะเป็นที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินแบบที่ 2 นี้มีค่อนข้างสูงเนื่องจากเป็นไปตามหลักกฎหมายแม้จะไม่ได้ทำตามเจตนารมณ์ของกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่ก็ไม่ผิดหลักกฎหมายเพราะบังคับใช้กฎหมายนับตั้งแต่วันที่มีการประกาศใช้กฎหมายนั้น

หากท่านนายกรัฐมนตรีทราบว่าตนเองจะได้อยู่ต่ออีก 2 ปีการยุบสภาก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น

แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินในแบบที่สองนั้นจะเป็นชนวนให้เกิดการเคลื่อนไหวลงถนนและเกิดการต่อต้านจนนำไปสู่การนองเลือดหรือไม่ แล้วถ้ามีการเลือกตั้งจะสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก 2 ปีจะทำได้หรือไม่ แล้วประชาชนจะรู้สึกแปลกๆ ที่จะเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มีวาระการดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 ปีแทนที่จะเป็น 4 ปีอย่างที่เคยเป็นมาซึ่งจะเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก

การนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแบบที่ 3 คือนับระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนับตั้งแต่พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาเข้ามาเป็นนายกปีในสมัยที่ 2 หลังการเลือกตั้งในปี 2562 อันเป็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ประเด็นนี้มีผู้สนับสนุนหลายคนเลยมองว่าต้องอ่านรัฐธรรมนูญทุกวรรคในมาตราเดียวกันประกอบกันทั้งหมดจึงจะสามารถตีความได้

‘กรณ์’ ผิดหวัง รัฐบาลออก พ.ร.ก.ค้ำหนี้กองทุนน้ำมัน 1.5 แสนล้าน ไม่ยอมเก็บภาษีลาภลอย - กำกับค่าการกลั่น โยนภาระหนี้กองทุนน้ำมันให้ประชาชน เปิดช่องก่อหนี้ สวนทางวินัยการคลัง

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กกรณี ครม.เห็นชอบออก พ...ให้อำนาจกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้กองทุนน้ำมัน 1.5 แสนล้านบาท ว่า...

การบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลว !

วันนี้รัฐบาลมีวาระในที่ประชุม ครม.ให้ ออก ‘พ...ให้กระทรวงการคลังค้ำประกันหนี้กองทุนน้ำมัน 150,000 ล้านบาท

ความหมายคือ สุดท้ายรัฐบาลเลือกที่จะแก้ปัญหากองทุนน้ำมันขาดสภาพคล่องด้วยการ 'โยนภาระหนี้ให้ประชาชน' แทนที่จะบริหารต้นเหตุที่ทำให้ราคานํ้ามันแพงเกินควร

กองทุนนํ้ามันเป็นหนี้ เพราะนํ้ามันแพง นํ้ามันแพงก็เพราะค่าการกลั่นและค่าการตลาดสูงเกินไป จึงส่งผลให้บริษัทนํ้ามันกำไรเพิ่มขึ้นเป็นหลัก 10 เท่า หรือ 1,000%

พรรคกล้า ได้เสนอให้เก็บ #ภาษีลาภลอย นำเงินภาษีมาลดหนี้กองทุนนํ้ามัน และให้รัฐบาลกำกับ ’ค่าการกลั่น’ และ ‘ค่าการตลาด’ ให้เป็นธรรม

โดยก่อนนี้ รัฐมนตรีพลังงานบอกว่าจะไปเค้นกำไรจากโรงกลั่นมาช่วยลดภาระหนี้ 24,000 ล้านบาท

แต่สรุปไม่ได้มาแม้แต่บาทเดียว จนวันนี้ต้องเอาเงินภาษีไปค้ำหนี้ที่ยังเพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน

เดิมทีกฎหมายจำกัดหนี้กองทุนน้ำมันไว้ที่ 20,000 ล้านบาท แต่เมื่อต้นปีรัฐบาลได้มีมติรื้อเพดานออกหมด เพื่อใช้วิธี ‘สร้างหนี้’ แทนที่จะบริหารจัดการโครงสร้างการทำธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมในสถานการณ์ปัจจุบัน

น่าผิดหวังมากครับ!!

'เพื่อไทย' เปิดตัว 93 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อีสาน ทวงคืน 'ประชาธิปไตยกินได้' ให้ประชาชน

วันนี้ (16 ส.ค. 65) ที่พรรคเพื่อไทย ได้มีการจัดกิจกรรม 'ม่วนซื่นโฮแซว เพื่อไทยตุ้มโฮม ชื่นมื่นสดใส เพื่อไทยรวมพล' เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคอีสาน จำนวน 93 คนของพรรคเพื่อไทย มี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน ในฐานะหัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร, น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรค พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ส.ส.และสมาชิกพรรค ร่วมกิจกรรม

ช่วงต้นของกิจกรรมได้มีการประกาศชื่อ และเชิญว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ออกมาเป็นรายบุคคล ซึ่งมีทั้ง ส.ส.ปัจจุบัน, อดีต ส.ส., อดีตผู้สมัคร ส.ส. รวมไปถึงคนรุ่นใหม่ ที่เสนอตัวเข้าสู่กระบวนการสรรหาผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค อย่างไรก็ตามการเปิดตัว 93 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จากจำนวนที่นั่ง ส.ส.ภาคอีสาน 20 จังหวัด รวม 132 ที่นั่ง โดยจังหวัดที่ไม่ได้เปิดตัวในครั้งนี้ ได้แก่ จ.อุดรธานี, บึงกาฬ และกาฬสินธุ์

น.ส.แพทองธาร กล่าวให้กำลังใจให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคตอนหนึ่งว่า เสียงตอบรับที่คึกคักในวันนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดี หลังจากนี้พวกเราต้องทำงานหนัก ในการเดินเข้าหาพี่น้องประชาชน เพื่อบอกกับพี่น้องว่า พรรคเพื่อไทย พร้อมแล้วที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น ดีกว่าที่เป็นอยู่ และดีกว่า 8 ปีที่ผ่านมาที่ทำให้พี่น้องต้องมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น

นพ.ชลน่าน กล่าวเสริมว่า พรรคเพื่อไทย ยึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตย ยึดพี่น้องประชาชนเป็นศูนย์กลางสร้างสรรค์นโยบายเพื่อความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน จากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน ตลอดเวลามากกว่า 20 ปี เราได้รับความไว้วางใจและสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด วันนี้พรรคเพื่อไทย ขอนำเสนอผู้ที่อาสาเป็นตัวแทนพรรคเพื่อรับใช้พี่น้องคนอีสาน เบื้องต้น จำนวน 93 คน ซึ่งมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนในการเลือกตั้งที่จะมาถึง และพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการสรรหาตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป สำหรับพื้นที่อื่นๆ ที่ยังไม่ได้เปิดรายชื่อนั้นยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของผู้บริหารพรรคก่อนที่จะเปิดรายชื่ออีกครั้งหนึ่ง

“พรรคเพื่อไทยมีภารกิจสำคัญ ในการทวงคืนประชาธิปไตย ทวงคืนความกินดีอยู่ดีให้พี่น้องประชาชน ให้กลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่กินได้ ดังนั้นเราต้องชนะอย่างแลนด์สไลด์ถล่มทลายทั้งภาคอีสาน และแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” นพ.ชลน่าน กล่าว

'คนเพื่อไทย' ซัด!! รบ.ประยุทธ์แก้ปัญหาน้ำล้มเหลว แนะ!! ไปศึกษาโครงการจากสมัยยิ่งลักษณ์ได้

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย และว่าที่ผู้สมัครส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมหนักในหลายจังหวัดโดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือว่า วันนี้น้ำท่วมกลับมาเป็นปัญหาหลักของประเทศอีกครั้งหนึ่ง แต่นอกจากประชาชนจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลน้อยมากแล้ว การสั่งการให้ความช่วยเหลือในระดับจังหวัดก็ยังไม่ชัดเจน ทำให้เห็นว่าตลอด 8 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์นั้นไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องปัญหาน้ำท่วมของประชาชนเลย 

ทั้งนี้ เมื่อมองไปที่การจัดสรรงบประมาณ ก็เป็นไปในทิศทางที่ตอบสนองต่อการเมืองแต่ไม่ได้จัดสรรเพื่อแก้ไขปัญหาที่แท้จริงให้กับประชาชนในพื้นที่ การแก้ไขปัญหาจึงไม่ตรงจุด ทั้งรัฐบาลยังไม่มีโครงการแก้ปัญหาน้ำทั้งระบบในระดับโครงสร้างของประเทศเพื่อรองรับทั้งสถานการณ์น้ำท่วม และน้ำแล้ง ขณะที่มีการเบิกจ่ายใช้งบประมาณไปกว่าล้านล้านบาทแล้วแต่ประเทศไทยไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้เลย

“ปีนี้เกิดน้ำท่วมเนื่องจากพายุมู่หลาน ทำให้ลุ่มน้ำปิงได้รับผลกระทบหนัก เกิดน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงใหม่ ลุ่มน้ำน่านเกิดน้ำท่วมหนักที่จังหวัดน่าน และต่อจากนี้พายุเมียรี กำลังจะพัดกะหน่ำเข้ามาอีกจะทำให้ลุ่มน้ำยมได้รับผลกระทบโดยจะเริ่มที่จังหวัดแพร่ต่อด้วยสุโขทัย และจะไปหนักที่พิษณุโลกเช่นทุกปี ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซาก แต่รัฐบาลไม่ดำเนินการแก้ไขจริงจัง พรรคเพื่อไทยจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลสั่งการโดยเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาฉุกเฉินให้กับประชาชนมิใช่ปล่อยให้ประชาชนถูกลอยแพเหมือนทุกปีที่ผ่านมา” นายวรวัจน์ กล่าว

ด้าน นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนและคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่อยากเสนอรัฐบาลนี้คือ อยากให้ท่านกลับไปดูโครงการเมื่อปี 2555 พรรคเพื่อไทยเคยออก พ.ร.ก.บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศอย่างเป็นระบบทั้งประเทศ โดยจะกำหนดได้เลยว่า น้ำจะไปอยู่ตรงไหน จะไปพักได้ที่ไหน เพราะเรามองว่า การใช้งบประมาณในแต่ละปีแต่ไม่เป็นระบบไม่สามารถจัดการระบบน้ำได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งประเทศไทยมีปัญหาว่า บางปีน้ำมากก็เกิดน้ำท่วม บางปีน้ำน้อยก็เกิดภัยแล้ง เมื่อเกิดภัยแล้งก็ส่งผลกระทบต่อภาคอื่น ๆ ไปด้วย เท่ากับว่า น้ำเยอะไปก็ไม่ดี น้ำน้อยไปก็ไม่ดี การออก พ.ร.ก.บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อจัดการน้ำ ปีไหนน้ำเยอะก็เก็บ ปีไหนน้ำน้อยเราก็ใช้น้ำที่เราเก็บไว้ นี่เป็นแนวทางของพรรคเพื่อไทยมาตลอด

'มาดามเดียร์’ ลาออก 'สมาชิก-ส.ส.พลังประชารัฐ' พ้อ!! รัฐสภายังเป็นที่พึ่งให้ประชาชนอยู่หรือไม่?

(16 ส.ค. 65) น.ส.วทันยา บุนนาค ส.ส.บัญชีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือมาดามเดียร์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

เมื่อสภาที่ควรเป็นที่พึ่งให้ประชาชน กลับเล่นเกมการเมือง ทำลายศรัทธาประชาชน ไม่สามารถตอบสนองเจตนารมณ์ของประชาชนที่ฝากความหวังให้ ส.ส.ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว ผู้แทนปวงชนก็ไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบ เดียร์ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขอพิจารณาตนเองตัดสินใจลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่และการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ

จากวันแรกที่เดียร์ก้าวเข้ามาร่วมทำงานกับพรรคพลังประชารัฐภายใต้อุดมการณ์ที่อยากเห็นประเทศไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง ทั้งๆ ที่ประเทศเรามีต้นทุนที่ดี เป็นแหล่งในการผลิตอาหารของโลก มีภาคการเงินที่เข้มแข็ง เอกชนที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง แต่ทว่าในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาเรากลับติดหล่มปัญหาทางการเมืองจากความขัดแย้งภายในประเทศ การพัฒนาประเทศจึงเป็นไปได้ช้าและยากเพราะเหตุจากการขาดเสถียรภาพทางการเมืองของเราเอง 

ภายหลังจากที่กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 ประกาศใช้ ประเทศไทยกลับเข้าสู่บรรยากาศนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง แม้กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 จะมีเนื้อหาบางส่วนที่กลายเป็นข้อถกเถียงสำหรับผู้คนในสังคม กระทั่งหลายคนออกมาวิจารณ์ถึงการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แต่อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในประเทศช่วงเวลานั้นก็คือ “อำนาจสูงสุดกำลังเริ่มต้นนับหนึ่งกลับคืนสู่มือของประชาชนอีกครั้ง” เสียงของประชาชนที่เคยแผ่วเบาลงไปในช่วงเวลาหนึ่งกำลังจะกลับมาดังขึ้น โดยเฉพาะในวันที่ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจกากบาทเลือก ส.ส.ที่เข้าไปทำหน้าที่เป็นผู้แทนของตนเอง แม้กติกาจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรแต่ “เดียร์ยังคงศรัทธาและเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่สุดท้ายแล้วจะสามารถคัดกรอง พร้อมทั้งสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นได้ในที่สุด”  และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เดียร์ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐด้วยการลงสมัครเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 19 เพื่อสร้างพรรคทางเลือกใหม่ให้ประชาชน ออกจากวังวนของความขัดแย้งระหว่างพรรคใหญ่ 2 ขั้วเดิม

ทว่านับตั้งแต่วันแรกของการเปิดประชุมรัฐสภา 22 พฤษภาคม 2562 จนกระทั่งวันนี้ 16 สิงหาคม 2565 ครบรอบการทำงานของสภา 3 ปีเต็มเข้าสู่ปีสุดท้ายตามวาระของรัฐบาล ตลอดช่วงระยะกว่า 3 ปีที่ผ่านมาภายใต้บริบทการเมืองไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง การต่อสู้ทางความคิดหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง ทั้งบนถนนและในรัฐสภา ที่สุดท้ายแล้วทุกฝ่ายก็ต่างใช้เวทีรัฐสภาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอุดมการณ์ของตน ดังที่เกิดการนำเสนอรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเข้าสู่กระบวนการฝ่ายนิติบัญญัติ การอภิปราย วิพากษ์การทำงานของรัฐบาลทั้งในยามสถานการณ์ฉุกเฉิน และสถานการณ์ปรกติผ่านการทำงานของ ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเกิดข้อพิพาท ถกเถียงอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ดำรงเห็นได้ชัดเจนคือ “การใช้เวทีรัฐสภาเป็นเครื่องมือและที่พึ่งให้แก่ประชาชน” 

'พล.ท.นันทเดช' ฝัน!! 'ล่มสูตร 500 - 2 พรรคใหญ่ผนึกกำลัง' เพราะหวั่นก้าวหน้าหนุนเรื่องเสียว พาไทยเอี่ยวเรื่องยุ่ง ๆ

พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ใครได้ประโยชน์ จาก สูตรหาร 100' ว่า...

เมื่อเช้านี้ผมตื่นขึ้นมา ก็นั่งทบทวนความฝัน...

ผมฝันว่า ได้พบกับ นายอันโตนีโอ กรัมชี นักทฤษฎีการเมืองชาวอิตาเลียนแนวมาร์กซิสม์  ซึ่งเคยอยู่ในยุคศตวรรษที่ 18-19 ได้มาวิเคราะห์สถานะการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยให้ผมฟัง ซึ่งท่านบอกว่า ช่างน่าสนใจที่สุดในโลก ว่า...

1️⃣ การพิจารณา ร่าง พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการ เลือกตั้ง ส.ส. เกี่ยวกับสูตรคำนวนบัญชี ส.ส. ว่าด้วยการหาร 500 หรือ การหารด้วย 100 พรรคการเมืองไหนจะได้เปรียบ เสียเปรียบอย่างไร 

2️⃣ ในฝันมีอยู่ว่า ตอนแรกพรรค พปชร. และ พรรคเพื่อไทยเห็นพ้องกันเรื่อง สูตรหารด้วย 100 เพื่อกันคะแนนเสียงของพรรคก้าวไกล 

ต่อมาพรรคเพื่อไทยออกมาประโคมเรื่องจะแลนด์สไลด์อย่างใหญ่โต ถ้าใช้สูตรหารด้วย 100 ถึงขั้นอาจจะส่ง อุ๊งอิ๊ง ลงมาเป็นตัวแข่งนายกฯ อีกด้วย 

ทางพรรค พปชร. ซึ่งพ่ายการเลือกตั้งซ่อมมาถึง 3 ครั้งติดต่อกัน และ ยังมีเรื่อง 'ผู้กอง' ผสมเข้ามาอีก จึงหันกลับมาหนุนสูตร 500 แทน 

3️⃣ เวลาผ่านมาอีก หลังจากที่พรรคก้าวไกล ออกมาแสดงวิสัยทัศน์ สนับสนุนนาโต้อย่างเปิดเผย ยาวถึงการอัดรัฐบาลพม่า ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องหวาดเสียวที่นักการเมืองไทยไม่เคยคิดจะทำ 

ทั้งพรรค พปชร และเพื่อไทย จึงเห็นสอดคล้องกันว่า ถ้าปล่อยให้ พรรคก้าวหน้ามาเป็นรัฐบาล มีหวังยุ่งแน่ อาจต้องรบกับหลาย ๆ ประเทศได้ง่าย ๆ ทั้งอาวุธก็ไม่ให้ซื้อ ทหารก็จะไม่ให้เกณฑ์ มันจะยุ่งกันไปใหญ่ 

จึงร่วมมือกันทำสภาล่มเพื่อให้ร่างหาร 500 ตกไป นอกจากนั้น ทั้ง 2 พรรคยังเห็นว่า การหารด้วย 100 ในแบบบัตร 2 ใบนั้น ต่างฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์พอๆกัน คือ พรรคเพื่อไทย ได้ ส.ส.เพิ่มขึ้น ส่วนพรรค พปชร. ได้ แนวร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน จากพรรคภูมิใจไทย และพรรค ปชป.

นักวิชาการ มข.ระบุ พรรคเล็กถูกหลอก หลัง สภาล่ม 2 ครั้งซ้อน ต้องกลับไปใช้สูตรหาร 100 เช่นเดิม

นักวิชาการ มข.ระบุ พรรคเล็กถูกหลอก หลัง สภาล่ม 2 ครั้งซ้อน ต้องกลับไปใช้สูตรหาร 100 เช่นเดิม เชื่อ พปชร. และพท. ต้องการวัดฐานกำลังในฐานะพรรคใหญ่ โดยไม่แคร์พรรคเล็ก สุดท้ายแคนดิเดตนายกฯ จะเหลือเพียง “ลุงตู่-ลุงหนูและอุ้งอิ้ง”เท่านั้น 

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ (15 ส.ค. 2565) ที่คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข. รศ.ดร.สถาพร เริงธรรม อาจารย์สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มข. เปิดเผยว่า เหตุการณ์สภาล่มที่เกิดขึ้น เป็นเกมส์การเมืองระหว่าง 2 พรรคใหญ่ ที่ต้องการสัดส่วน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาการพยายามผลักดันให้เกิดสูตรหาร 500  ตามกฎหมายที่ยื่นอภิปราย กลับมาถูกแก้เกมส์และเล่นเกมส์กันจนเกิดสภาล่ม ถึง 2 นัดซ้อน ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไปคือกลุ่มพรรคการเมืองขนาดเล็กที่ถูกพรรคการเมืองใหญ่หลอก อย่างชัดเจน เพราะในช่วงของการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาก็เกิดสถานการณ์ลิงกินกล้วยกันแล้ว และพรรคขนาดใหญ่ก็ยื้อและพยายามที่จะทำตามที่พรรคเล็กระบุ แต่ถึงเวลาจริงก็คือการไม่เห็นด้วยที่จะเอาสูตรหาร 500 และกลับไปที่สูตรหาร 100 เช่นเดิมเพราะสูตรหาร 100 นั้นต้องยอมรับว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นสูตรที่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้ผลและเป็นต่อชัดเจน

ไข่มุกขอบคุณทุกคะแนนเสียงพร้อมทำงานเพื่อประชาชน

'ไข่มุก' เฉลิมขวัญ หล่อตระกูล ว่าที่ นายก อบจ.กาฬสินธุ์ ขอบคุณทุกคะแนนเสียง พร้อมทำงานเพื่อประชาชนอย่างเต็มความสามารถ ย้ำหลังได้รับการรับรอง พร้อมเดินหน้านำทีมงานลงพื้นที่รับฟังปัญหาและความต้องการครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ และจะปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายที่ให้ไว้อย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่บ้านพักส่วนตัว ในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ นางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล หรือ“ไข่มุก”ว่าที่ นายกอบจ.กาฬสินธุ์ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณทุกคะแนนเสียง ที่พี่น้องประชาชนชาว จ.กาฬสินธุ์ ได้มอบความไว้วางใจเทคะแนนให้อย่างถล่มทลาย ในการเลือกตั้งนายกอบจ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยได้คะแนน 249,093 คะแนน ทิ้งห่างนายชานุวัฒน์ วรามิตร อดีตนายก อบจ.กาฬสินธุ์สมัยที่แล้วถึง 98,650 คะแนน 
นางเฉลิมขวัญ กล่าวว่า ขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนชาว จ.กาฬสินธุ์ ที่ได้มอบความไว้วางใจและให้โอกาสตนชนะในการเลือกตั้งและเข้าไปทำงานครั้งนี้ ซึ่งทุกคะแนนที่ได้รับถือว่าเป็นแรงผลักดันที่จะส่งเสริมกำลังใจให้ตนทำงานอย่างเต็มที่ และเต็มความสามารถ ตามนโยบายที่ให้ไว้ในตอนหาเสียง อย่างมุ่งมั่น ตั้งใจ ไม่ผันแปร และอย่างจริงใจ  

นางเฉลิมขวัญ กล่าวอีกว่า สิ่งแรกที่อยากทำจะได้จับมือ 4 ประสาน กับภาครัฐ ส่วนกลาง ส่วนท้องถิ่น และพี่น้องประชาชน ในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในทุกๆด้าน ลดความซ้ำซ้อนในการให้บริการ เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชนชาว จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนต้องตอบแทน และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาชาวกาฬสินธุ์ โดยหลังได้รับการรับรองจาก กกต.แล้ว จะนำทีมงานลงพื้นที่รับฟังปัญหาและความต้องการครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอทันที

สำหรับนางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล  เป็นลูกสาวนายยงยุทธ หล่อตระกูล อดีตนายก อบจ.กาฬสินธุ์ เกิดวันที่ 26 มิถุนายน 2522 ปัจจุบันอายุ 42 ปี  การศึกษาปริญญาตรี บริหารธุรกิจบัณฑิต มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, ปริญญาโท  บริหารธุรกิจบัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ปริญญาโท ศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต (การจัดการภาครัฐและกฎหมายมหาชน) มหาวิทยาลัยนครพนม ประสบการณ์ทำงานเป็นอดีตผู้อำนวยการกองส่งเสริมสุขภาพ อบจ.กาฬสินธุ์, อุปนายกสมาคมกีฬา จ.กาฬสินธุ์, ที่ปรึกษา ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์และประธานหอการค้า จ.กาฬสินธุ์

'ไข่มุก เพื่อไทย' แลนด์สไลด์ชนะ 'เสี่ยโด่ง' คว้าเก้าอี้ 'นายกอบจ.กาฬสินธุ์'

ผลคะแนนเลือกตั้งนายกอบจ.กาฬสินธุ์อย่างไม่เป็นทางการแลนด์สไลด์ 'ไข่มุก เฉลิมขวัญ หล่อตระกูล' ชนะ 'เสี่ยโด่ง ชานุวัฒน์ วรามิตร' อดีตนายกอบจ.กาฬสินธุ์อย่างถล่มทลายเกือบ 1 แสนคะแนน 

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการนับคะแนนเลือกตั้งนายกอบจ.กาฬสินธุ์ หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้มีการเลือกตั้งใหม่ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยเลือกตั้งทั้ง 18 อำเภอนับคะแนนแล้วเสร็จในช่วงเวลา 21.00 น. โดยผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการผลปรากฏว่า เบอร์ 1 นายชานุวัฒน์ วรามิตร ได้ 150,443 คะแนน, เบอร์ 2 นางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล ได้ 249,093 คะแนน และเบอร์ 3 นางเขมจิรา อนันทวรรณ ได้ 13,784 คะแนน

‘บิ๊กป้อม’ ไม่ทน เตรียมดำเนินคดี ‘สมชัย’ ผิดพรบ.คอมพ์ ปมสั่งลูกพรรคโดดประชุมสภา

‘บิ๊กป้อม’ มอบฝ่ายกฎหมายดำเนินคดี ‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ ฐานนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หลังพูดโยงสั่งการลูกพรรคไม่ให้เข้าประชุมรัฐสภา

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายของพรรคเตรียมที่จะดำเนินคดีกับนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่ออกมาพูดพาดพิง พลเอกประวิตร เชื่อมโยงเรื่องการประชุมรัฐสภา ในการพิจารณาร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ในลักษณะว่า พลเอกประวิตร ได้สั่งการลูกพรรคไม่ให้เข้าร่วมประชุมรัฐสภา เพื่อให้องค์ประชุมล่มไม่สามารถพิจารณาร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ได้ 

ซึ่งสิ่งที่นายสมชัยออกมาพูดนั้นไม่เป็นความจริง เป็นข้อมูลเท็จทั้งสิ้น พลเอกประวิตร ไม่เคยก้าวก่าย และไม่เคยสั่งการใด ๆ ลูกพรรค เพราะการทำหน้าที่ในสภาถือเป็นเอกสิทธิ์ของส.ส.แต่ละคน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top