Monday, 21 April 2025
POLITICS NEWS

นักการเมืองไทยขยันแสดงจุดยืน ‘ไม่แตะมาตรา 112’

(15 พ.ย. 67) “นักการเมืองไทยขยันแสดงจุดยืน ‘ไม่แตะมาตรา 112’ อยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าท่องกันสามเวลาหลังอาหาร คิดว่าพวกเขาต้องการบอกประชาชนหรือครับ? ผมคิดว่าไม่”

ปิยบุตร แสงกนกกุล
โพสต์ข้อความ X
เมื่อ 14 พ.ย. 67

หนังคนละม้วน ! ‘ธนาธร’ ไม่เคยคุย ม.112 กับ ‘ทักษิณ’ ซัดแทนที่จะร่วมแก้ปัญหา แต่กลับเลือก ‘เป็นส่วนหนึ่ง’ ของปัญหา

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความถึงกรณีที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ขึ้นเวทีปราศรัย นายก อบจ.อุดรธานี เคยเตือน ธนาธร ถึงการหาเสียง มาตรา 112 ว่า “คุณทักษิณรู้ดีที่สุด ว่าเหตุผลที่ก้าวไกลและเพื่อไทยไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 เลย”

“สิ่งที่คุณทักษิณกล่าว อาจทำให้คนทั่วเข้าใจไปได้ว่าผมเคยคุยกับคุณทักษิณเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หรือมีความคิดรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งในความเป็นจริงเราไม่ได้พูดคุยตกลงอะไรกันเรื่องนี้เลย”

“การพูดคลุมเครือแบบที่คุณทักษิณกล่าวในวันนี้ ยังเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งต่อพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน เพื่อพยายามสร้างความเข้าใจในหมู่ประชาชนว่าเหตุที่ดีลร่วมรัฐบาลล่ม เป็นเพราะพรรคก้าวไกลไม่ยอมลดราวาศอกเรื่อง 112”

“112 ไม่ใช่เงื่อนไขการร่วมรัฐบาล ไม่ใช่ว่าก้าวไกลเสนอให้การแก้ไข 112 เป็นเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาล และเมื่อถูกทักท้วงจากพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นแล้วก็ไม่ยอมถอย”

“112 ไม่เคยอยู่ในเงื่อนไขตั้งแต่แรกต่างหาก ไม่มีอยู่ใน MOU ร่วมรัฐบาลที่เซ็นร่วมกันและเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะ คุณทักษิณรู้ดีที่สุด ไม่ใช่แกนนำก้าวไกลมุทะลุ ไม่มีวุฒิภาวะ แต่มีเหตุผลอื่นที่จะไม่ร่วมกัน แล้วใช้ 112 เป็นข้ออ้างต่างหาก”

“ในทางกลับกัน คุณทักษิณเอง น่าจะเป็นคนที่เข้าใจปัญหาโครงสร้างดีที่สุด แทนที่จะร่วมแก้ปัญหา กลับเลือกเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล เราไม่เคยโฆษณาหรือใช้เรื่อง 112 เป็นประเด็นหลักในการรณรงค์เพื่อคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง”

“เราตอบหรือพูดเรื่อง 112 อย่างซื่อตรงเมื่อถูกสื่อมวลชนหรือประชาชนถามเท่านั้น ผมทราบดีว่าการแก้ไขปัญหาโครงสร้างที่สั่งสมมาหลายสิบปีของประเทศไม่ใช่สิ่งที่ ลัดขั้นตอน ได้ แต่ต้องทำงานความคิดอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อให้สังคมเห็นชอบร่วมกัน และแก้ปัญหาอย่างค่อยเป็นค่อยไป”

“ไม่แก้ปัญหาโครงสร้าง ก็ปะผุประเทศไทยกันต่อไป ประเทศจะเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน มีแต่การให้คนในสังคมมีวุฒิภาวะพอ กล้ายอมรับปัญหา เผชิญหน้ากับมัน และค่อยๆ พูดคุยหาทางออกร่วมกัน” ธนาธร โพสต์ทิ้งท้าย

‘ทักษิณ’ เผย เคยคุยกับ ‘ธนาธร’ อย่าพยายามรื้อโครงสร้างมากเกินไป ต้องแก้ปัญหาด้วยหลักการ เอาบ้านเมืองเป็นหลัก ย้ำ ไม่แตะ 112 เพราะเป็นสัตยาบันกับพรรคร่วม

‘ทักษิณ’ เผย เคยคุยกับ ‘ธนาธร’ อย่าพยายามรื้อโครงสร้างมากเกินไป ต้องแก้ปัญหาด้วยหลักการ เอาบ้านเมืองให้อยู่ได้ สิ่งที่คนไทยเคารพนับถือต้องจรรโลงอย่างเดียว อย่ามุ่งแค่หาเสียง จุดที่โฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจที่จะทำ ย้ำ ไม่แตะ 112 เพราะเป็นสัตยาบันกับพรรคร่วม

เมื่อวานนี้ (14 พ.ย. 67) เมื่อเวลา 12.25 น. ที่จังหวัดอุดรธานี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี จากพรรคเพื่อไทย หาเสียงเลือกตั้ง ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วยในประเด็นการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และ มาตรา 112 โดย นายทักษิณ กล่าวว่า คดีตามมาตรา 112 เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลให้สัตยาบันไว้ว่าเราจะเทิดทูนสถาบัน เราจะไม่แตะเรื่อง 112 แต่จริง ๆ แล้วปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ตนก็เป็นเหยื่อรายหนึ่ง และการบังคับใช้กฎหมาย สมมติว่า คนที่รับคดีครั้งแรกกลัวว่าเดี๋ยวจะหาว่าไม่จงรักภักดี ก็ฟ้องไปก่อน ทั้งที่หลักฐานไม่มี คนที่สองบอกว่าถ้าไม่ฟ้องเดี๋ยวโดนอีก ก็ฟ้อง โดยที่ไม่ได้ดูความถูกต้องของพยานหลักฐาน จึงทำให้การจงรักภักดีและรักสถาบันไม่ถูกต้อง การจงรักภักดีที่ถูกต้อง คือ การรักษากฎหมายที่เป็นธรรม นี่คือ สิ่งที่ต้องแก้ไข แต่ก็ไม่ง่าย ในการแก้ซึ่งต้องใช้เวลา

เมื่อถามว่า หลังการเลือกตั้งสมัยหน้าการนิรโทษกรรมมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน จะผลักดันหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่อยากให้ความเห็นในเรื่องนี้ ไม่อยากมีบทบาท เดี๋ยวจะหาว่าเพราะคนนั้นคนนี้ ถ้าเราอยู่บนหลักการทุกอย่างมีทฤษฎี มันก็จะไม่เป็นแบบนี้ แต่เนื่องจากเราไปมองว่าเป็นเรื่องของพวกใครพวกมัน ถึงได้เป็นปัญหา ถ้าเมื่อไหร่เราจิตใจนิ่งสงบ คิดถึงหลักการเป็นหลัก ไม่คิดถึงพวกใครพวกมัน ก็จะดีขึ้น

เมื่อถามว่า อะไรที่ทำให้ข้อหาไม่จงรักภักดีใช้ได้ผลเสมอในทางการเมือง นายทักษิณ กล่าวว่า “ก็การเมืองไง ดูสิ ผมนี่โดนหนักที่สุด ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่ถวายงานที่สุด แต่ด้วยความหมั่นไส้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา”

เมื่อถามต่อว่า ในแต่ละเหตุการณ์มีบริบทเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ระหว่างการรัฐประหารปี 2549 และ ปี 2557 มาจนถึงพรรคการเมืองถูกยุบ เพราะมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 นายทักษิณ กล่าวว่า ตนเคยคุยกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่า ตนก็โดนยุบ 3 พรรค ต้องไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ดังนั้น ขอให้เราช่วยทำงานให้บ้านเมือง อย่าพยายามไปรื้อโครงสร้างให้มากเกินไป ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยหลักการ และเอาบ้านเมืองให้อยู่ได้มันจะดีที่สุด อย่าไปคิดถึงสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่คนไทยเคารพนับถือ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสถาบัน เราต้องจรรโลงอย่างเดียว ตนไม่ได้บอกว่านายธนาธร หรือพรรคก้าวไกลไม่จงรักภักดี แต่ต้องยึดหลักให้ถูกต้อง อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดที่โฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจที่จะทำ

เมื่อถามว่า การแก้ปัญหาโดยไม่แตะโครงสร้างมีวิธีการอย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ต้องทำตามหลักการของกฎหมาย ถ้ากฎหมายไม่ดีก็ต้องแก้ไขกฎหมายไปที่ละขั้นตอน ไม่ใช่บอกว่ากฎหมายไม่ดีต้องไม่ทำเลย เพราะกฎหมายมันมีอยู่

กมธ.อุตฯ เล็งเสนอคุมติดตั้งสถานีชาร์จอีวีชั้นใต้ดิน หวั่นหากเกิดเพลิงไหม้แบตเตอรี่จะเข้าระงับเหตุได้ยาก

กมธ.อุตสาหกรรม เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกระเบียบคุมการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หลังศึกษาพบอันตรายหากติดตั้งชั้นใต้ดิน จะเกิดก๊าซพิษเมื่อมีเหตุเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่คุมเพลิงลำบาก

(14 พ.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้แถลงถึงรายงานการศึกษากรณีเพลิงไหม้ในรถยนต์ไฟฟ้าของคณะทำงาน ว่า

ในการประชุมคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมในสัปดาห์นี้ได้มีการพิจารณาถึงรายงานการศึกษากรณีระงับเพลิงไหม้ในรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งทางคณะกรรมาธิการได้ให้คณะทำงานศึกษากรณีดังกล่าว 

โดยได้มีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะจากหน่วยงานรัฐ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงพลังงาน, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร เป็นต้น 

รายงานฉบับนี้รวมถึงความเห็นจากคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้มีข้อกังวลกรณีการติดตั้งสถานีชาร์จ ซึ่งผลการศึกษามีข้อสรุปชัดเจนว่าไม่ควรมีการติดตั้งสถานีชาร์จในชั้นใต้ดิน เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ในแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะเกิดก๊าซพิษ ประกอบกับชั้นใต้ดินที่อากาศค่อนข้างปิดจะทำให้เกิดผลกระทบกับพี่น้องประชาชนในบริเวณนั้น รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปดำเนินการระงับเหตุเพลิงไหม้

ดังนั้นจึงควรจะติดตั้งสถานีชาร์จเหนือชั้นใต้ดินขึ้นไป หรือในกรณีมีข้อจำกัดไม่ควรติดตั้งชั้นต่ำกว่าชั้นใต้ดินชั้นแรก (B1)

นอกจากนี้ยังพบว่าปัจจุบันไม่มีหน่วยงานใดออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เกี่ยวกับการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมมีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งกำกับดูแลหน่วยงานที่มีอำนาจอนุญาตในการก่อสร้าง ให้พิจารณาออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เพื่อควบคุมการติดตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้าโดยป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นหลักการ ความปลอดภัย

ซึ่งการออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้จะเป็นการป้องกันเหตุร้ายก่อนที่จะเกิดขึ้น จนส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ไม่ใช่เมื่อเกิดเหตุแล้วจึงมาทบทวนหามาตรการป้องกันในภายหลัง

“ช่วงชีวิตนี้เป็นช่วงชีวิตที่ผมมีความสุขมากที่สุด แม้จะโดนร้องโดนเห่าหอนบ้าง โอ้ยธรรมดาพี่น้องเอ้ย เวลาไปวัดกลางคืน กลับบ้านมาหมาก็เห่าหอนเป็นธรรมดา อย่าไปพยายามตีความว่ามันเห่ายังไง อย่าไปใส่ใจ หมาอยู่ส่วนหมา คนก็อยู่ส่วนคน”

(14 พ.ย 67) 'ทักษิณ' ปราศรัยเดือดอุดรธานีวันที่ 2 ยอมรับควักส่วนตัวจ้างต่างชาติ 300 ล้านบาท ช่วย 'อิ๊งค์’ รื้อโอทอป ฝากประชาชนบอกพรรคส้มก่อนคิดกฎหมายใหม่ ล้างซวยกฎหมายเก่าก่อน ประกาศขอเสียงอุดรฯ ชนะถล่มทลาย เมินเสียงนักร้อง ลั่นคนอยู่ส่วนคน-หมาอยู่ส่วนหมา อย่าไปฟังเสียงเห่าหอน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 14 พ.ย. ที่ตลาด 4 ธันวา อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ในนามพรรคเพื่อไทย (พท.) หาเสียง โดยมีประชาชนมารอฟังการปราศรัยกว่า 5,000 คน

นายณัฐวุฒิ ปราศรัยว่า ตนมาครั้งที่แล้วและบอกขอยกจังหวัด ยกจังหวัดยังไงหายไปสามเขต วันนี้จึงขอมาทวงสัญญา เพราะเรารักกันมาตั้งแต่ปี 2544 วันนี้ 23 ปีแห่งความทรงจำ 23 ปีที่ยังยืนเคียงข้างกัน แล้วจะพิสูจน์พลังอีกครั้งในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ ขอให้สื่อถ่ายภาพเก็บเป็นหลักฐาน หากคะแนนไม่มาเดี๋ยวจะตามไปหาถึงบ้าน ซึ่งนายวิเชียร ขาวขำ แสดงสปิริตลาออกจากนายก อบจ. สุขภาพไม่ดี เดินกะเผลก ก็ยังลาออกเพื่อเปิดทางให้กับนายศราวุธ เพชรพนม ไม่เหมือนคนกรุงเทพฯ เดินไม่ดีก็ยังอยากเป็นนายกฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายณัฐวุฒิปราศรัย ได้ทำท่าเดินกะเผลกไปด้วย

ขณะที่นายทักษิณ ปราศรัยว่า ไม่เห็นหน้ากันนานแล้วนะ คิดถึงกันบ้างหรือไม่ ที่เลือกมาอุดรธานี เพราะคิดถึงพี่น้องชาวอุดรธานี และคนอุดรธานีก็ไม่เคยลืมตน มีใครทันตอนตนเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ที่ต้องถามเพราะตอนนี้ตนอายุ 75 ปีแล้ว แต่ความรู้สึกยังเหมือนอายุ 25 ปี วันนี้เห็นพี่น้องมาเยอะ แบบนี้หัวใจมันก็พองโต เมื่อก่อนตอนเป็นพรรคไทยรักไทย ตนก็มาเจอพี่น้องต่างจังหวัดกลับไปมีความสุข และไปนั่งคิดอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้เขาหายจน เพราะชีวิตตนเคยลำบากมา

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้นั่งรถมา เห็นสภาพพี่น้องก็เป็นห่วง ตนถูกปฏิวัติออกไป 17 ปี วันนี้มีสิ่งสวย ๆ เกิดขึ้นบางที่บางแห่ง แต่พี่น้องยังลำบากอยู่ คนไม่มีหนี้มีน้อย แสดงว่าที่ผ่านมา คนจนไม่ได้รับการเหลียวแล ถามจริง ๆ ทำไมคนอุดรธานีไม่ลืมตน ก่อนจะถามประชาชนที่มาฟังปราศรัยว่า ชอบนโยบายอะไรที่ตนทำไว้มากที่สุด โครงการ 30 บาทใช่หรือไม่ แล้วกองทุนหมู่บ้านยังมีอยู่หรือไม่ เพิ่มทุนหรือไม่ เมื่อก่อนตอนที่ผมอยู่ โอทอปเลื่องลือมาก แต่ตอนนี้หายไปเยอะ หากโอทอปได้รับการปรับปรุงเหมือนสมัยที่ตนอยู่ คงจะขายได้เยอะ และจะทำให้พี่น้องมีรายได้เพิ่มขึ้น

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ตนใช้เงินส่วนตัว 300 ล้านบาท จ้างชาวต่างชาติ ปรับปรุงโอทอปครั้งใหญ่ อีกไม่นานเขาจะเปิดตัวว่าจะต้องรื้อไปทำอะไร และเพื่อปรับปรุงโอทอปไปขายทั่วโลก แล้วจะมาเสนอนายกฯ อิ๊งค์ (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) โดยที่ไม่เก็บเงิน เพราะตนจ่ายเงินไปแล้ว ทั้งนี้ นายกน อิ๊งค์ ก็ได้บอกด้วยว่า ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน

“เห็นผมใกล้ ๆ แล้ว ผมแก่ไปเยอะหรือไม่ ตอนนี้แก่ไปเยอะ แต่เห็นพี่น้องมากันเยอะ ก็รู้สึกหนุ่มขึ้น จะร้องเพลงเสก โลโซ ว่าอย่างไร เขาบอกคิดถึงตอนอายุ 14 แต่ผมคิดถึงตอนอายุ 55 ที่มาเป็นนายกฯ นายกฯ อิ๊งค์ เป็นลูกคนเล็ก เป็นคนที่ติดตามผมไปทุกที่ตั้งแต่แปดขวบ แม้กระทั่งไปประชุมเอเปค ก็ติดตามผมไป วันนี้ไปประชุมเอง เป็นนายกฯ เอง แต่สิ่งที่นายกฯ อิ๊งค์ มีอยู่เหมือนผมทุกอย่าง คือความรักและความห่วงใยพี่น้องประชาชน คิดว่าต้องแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนให้ได้ และเชื่อว่ากลางปีหน้า พี่น้องประชาชนจะเห็นแสงสว่าง ปลายปีจะเห็นเศรษฐกิจที่คึกคักมาก เขาบ่นกับผมมาคำหนึ่งว่า พ่อ อิ๊งค์คิดว่าการผูกขาดทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการผูกขาดโดยรัฐก็ดี หรือผูกขาดโดยเอกชนก็ดี ทำให้คนไทยจน เพราะการผูกขาดเหมือนเป็นเสือนอนกิน วันนี้จึงต้องลดทุนของการผูกขาดให้ประชาชนมากที่สุด” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า แม้กระทั่งข้าวที่จัดส่งออกต่างประเทศ ก็ต้องผ่านสมาคมผู้ส่งออก มีการตรวจสารพัด ซึ่งเป็นต้นทุนของเกษตรกร และกฎหมายนี้ก็ใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ที่บอกว่าข้าวเป็นยุทโธปกรณ์หรือเครื่องมือทางทหารที่ต้องควบคุม แต่ทุกวันนี้ก็ยังใช้กฎหมายเดิมอยู่ ฉะนั้น จึงต้องยกเลิกกฎหมายเก่า ๆ ที่ทำให้คนไทยจน โดยเฉพาะเสรีภาพทางการค้าขายต่าง ๆ

“เวลาพรรคประชาชนมาหาเสียง ท่านต้องบอกพรรคประชาชนว่าไม่ต้องเสนอกฎหมายใหม่ หรือยกเลิกกฎหมายเก่าที่เป็นปัญหากับประชาชนดีที่สุด วันนี้แข่งกันออกกฎหมายใหม่ แข่งกันไปทำไม เพราะกฎหมายเก่าเฮงซวยกันเยอะแยะ ก่อนสร้างสิ่งใหม่ เอาสิ่งเฮงซวยออกไปก่อน ล้างซวย” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวว่า นอกจากนี้ ด้านระบบการศึกษา เราต้องปรับค่านิยมของคนไทย อย่าให้ลูกรับปริญญาแล้วไม่มีงานทำ และโลกบอกว่าปริญญามีความสำคัญน้อยกว่าความชำนาญ วันนี้จึงขอฝากพี่น้องบ้านดุง ให้บอกว่าวันนี้ทักษิณกลับมาแล้ว ใครค้ายาแถวนี้ระวังตัวให้ดี ทักษิณเกลียดพ่อค้ายา ถ้าอยากให้ทักษิณรัก ต้องเลิกค้ายา มาทำมาหากินสุจริตกันดีกว่า เพราะลูกหลานเราไม่ไหวกัน แล้วประสาทหลอน วันนี้ต้องเอาลูกหลานกลับคืนมา แล้วทักษิณก็ขยันเดินตรวจด้วย เป็นคนแก่หัวใจหนุ่ม

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า นโยบายหลักของพรรคไทยรักไทย คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ซึ่งยังใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ รัฐบาลมีหน้าที่ทำเศรษฐกิจท้องถิ่นให้ดี เลยต้องมาสนใจ อบจ. สมัยที่นายวิเชียร ลงเลือกนายก อบจ. ตนเขียนจดหมายมา แต่วันนี้ตนมาด้วยตัวเองแล้ว เพื่อสนับสนุนผู้สมัครเบอร์สอง

“ถ้าไม่ได้ชนะถล่มทลาย ผมอายเขานะ คนอุดรฯ อย่าให้ผมอายนะ ถ้าไม่อาย ผมจะได้มาเยี่ยมบ่อย ๆ ถ้าไม่งั้นผมต้องใส่หน้ากากอนามัยมาเยี่ยม” นายทักษิณ กล่าว ก่อนจะถามว่าใครได้เงิน 10,000 ไปแล้วบ้าง คนที่ไม่ได้ อยากได้หรือไม่ มาแน่ มาช้าดีกว่าไม่มาใช่หรือไม่ นี่เป็นวัฒนธรรมที่สืบมาจากพรรคไทยรักไทย ที่พูดอะไรแล้วต้องทำ แต่วันนี้ทำยากกว่าเมื่อก่อน เพราะมีกลไกข้าราชการเทอะทะจากการปฏิวัติ บางกฎหมายคนจะเขียน ก็เอารูปตนตั้งไว้แล้วบอกว่า กูจะจัดการมันอย่างไรดี

“อิจฉาอะไรก็ไม่รู้ ทำให้การช่วยเหลือบ้านเมืองนั้นทำได้ยาก หาว่าครอบงำ นักร้องก็เยอะ ไม่รู้มันร้องอะไรนักหนา วันนี้ผมไม่คิดอะไรมาก แค่อยากช่วยชาวบ้านให้หายจน อยากให้ยาเสพติดหมดไป ใครอยู่แถวนี้ต้องใช้ความพยายาม พี่น้องต้องมีกำลังใจ ผมกลับมาแล้ว พี่น้องต้องมีกำลังใจอีกนิด ตนเหลืออีก 25 ปี จะครบ 100 ปี ก็ขอให้ช่วยกัน เห็นสภาพบ้านเมืองแล้วหดหู่ หากปล่อยไว้แบบนี้ คนไทยจะเหมือนคนลาว ถูกพัฒนาช้า พัฒนาเร็วเฉพาะส่วน คนส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้ง ผมก็เป็นคนบ้านนอก ฉะนั้น ใจผมเป็นห่วงที่สุดคือคนรากหญ้า สิ่งที่ยากเลยคือนักการเมืองเฮงซวย หากการเมืองเฮงซวยเมื่อไหร่ นักการเมืองก็เฮงซวยตาม แต่ระหว่างที่ผมออกไป เขาก็สร้างระบบกติกาให้การเมืองมันเฮงซวยขึ้นเรื่อย ๆ“ นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้ต้องเลิกดัดจริต ต้องอยู่กับความเป็นจริงว่าบ้านเมืองเราต้องการการพัฒนาสูงมาก ทุกวันนี้ระบบราชการเทอะทะ ควบคุมมากเกินไป ไม่ไว้ใจพี่น้องประชาชน ที่จริงแล้วประชาชนสามารถช่วยตัวเอง และตัดสินใจเองได้ ประเทศจะเจริญได้ต้องลดอำนาจภาครัฐ เพิ่มอำนาจให้ภาคประชาชน เพื่อป้องกันเรื่องโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน พรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาชนหรือพรรคสีส้มนั้น มีความเหมือนคือเรื่องของความเท่าเทียม แต่พรรคประชาชน บอกว่าทุกคนเท่ากัน ทั้งฐานะ หรือสถานะ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พ่อจะเท่ากับลูก แต่พรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นความเท่าเทียมทางโอกาส พรรคเพื่อไทยจึงพยายามอย่างยิ่งให้คนยากจนมีโอกาสเท่าเทียมกัน นายกฯ อิ๊งค์ บอกว่าจะประกาศข่าวดี ในการที่จะหาเงินส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอก

“ส่วนใครโดนคอลเซ็นเตอร์หลอก นายกฯ อิ๊งค์ บอกว่า หากธนาคารไม่ดูแล ต่อไปธนาคารต้องมารับผิดชอบ ซึ่งคอลเซ็นเตอร์ตัวแสบอยู่ที่เมียนมา ซึ่งใช้ระบบสื่อสารไทย ใช้ไฟฟ้าไทย นายกฯ อิ๊งค์ เลยบอกว่า บริษัทที่ทำโทรศัพท์ทั้งหลาย หากใครให้บริการข้ามเขต ต้องถือว่าเป็นจำเลยร่วม และสั่งการไฟฟ้า หากจ่ายไฟไปทำยาเสพติด ต้องเจอข้อหาจำเลยร่วม พระพุทธเจ้าบอกว่าเกิดเหตุที่ไหนต้องดับที่นั่น เราจึงต้องดับที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายทาง ต้องจัดการเด็ดขาด ในเรื่องการใช้กฎหมายและการบริหารบ้านเมือง เพื่อประชาชน” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ขอให้มั่นใจว่ากลางปีหน้าจะเห็นแสงสว่าง ปลายปีหน้าจะรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเยอะ ตนขับรถผ่านเห็นคู่แข่ง บางรูปเห็นรูปคู่กับหัวหน้าพรรค บางรูปก็คู่กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แสดงว่าเห็นว่านายพิธา หล่อกว่าหัวหน้าพรรคประชาชน แต่พรรคเพื่อไทยใช้รูปนายกฯ อิ๊งค์ ไม่จำเป็นต้องใช้รูปคู่ตน เพราะนายกฯ อิ๊งค์ หน้าเหมือนตนอยู่แล้ว แต่อิ๊งค์เขาสวยกว่าตน และตนก็หล่อกว่าอิ๊งค์ นึกว่าตนไม่อยู่ 17 ปี คนอุดรจะหมดหนี้แล้ว อุตส่าห์ปฏิวัติตั้ง 2 รอบ แต่ยังจนอยู่เลยนะ ขออย่าไปเชื่อหวยเถื่อนทั้งหลาย และอย่าไปเชื่อสายมูมาก พี่น้องที่ติดยาเสพติด เห็นนรกแน่ ๆ เราต้องขจัดให้ได้ ซึ่ง อบจ. จะเป็นส่วนสำคัญที่พาลูกหลานไปบำบัด ต่อไปกลไกของรัฐบาลนายกฯ อิ๊งค์ บอกว่าจะต้องใช้ท้องถิ่นเยอะ ๆ แต่การบำบัดต้องเป็นรัฐบาล จึงจะมีงบเยอะ อยากให้พี่น้องตั้งใจร่วมกับตนว่า จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองร่วมกัน มาบอกให้ตนรู้

นายทักษิณ ระบุว่า เมื่อก่อนตนทำทัวร์นกขมิ้น ไปทุกอำเภอ เป็นนายกฯ คนเดียวที่เดินทางถึงประเทศไทยมากที่สุด ไปที่ไหนก็ได้รับจดหมายน้อย ซึ่งข้อความคือทุกข์ที่พบอยู่ในหมู่บ้าน จึงได้สร้างโครงการที่ชื่อว่าเอสเอ็มแอล ทำให้ตนได้รับรู้ปัญหาของประชาชน

นายทักษิณ ยังฝากนายศราวุธ ผู้สมัครลงเลือกตั้งนายก อบจ. เบอร์สอง สมัยที่แล้วเคยเป็นกรรมาธิการ ลำดับต่อไปเป็นรัฐมนตรี โชคร้ายสอบตก จึงขอให้พี่น้องอุ้มมาเป็นนาย อบจ. และอนาคตจาก อบจ. เป็นรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนั้น นายศราวุธ ได้คุกเข่ากราบพี่น้องประชาชนที่มาฟังปราศรัย

“ชนะน้อย ๆ ไม่สนุก ต้องชนะเยอะ ๆ ต้องชนะให้ถล่มทลาย ผมจะได้เดินทางมาหาพี่น้องที่อุดรฯ อย่างหล่อ ๆ ไม่อยากเดินมาแบบมีหน้ากาก มีปี๊บ ช่วงชีวิตนี้เป็นช่วงชีวิตที่ผมมีความสุขมากที่สุด แม้จะโดนร้องโดนเห่าหอนบ้าง โอ้ย ธรรมดาพี่น้องเอ้ย เวลาไปวัดกลางคืน กลับบ้านมาหมาก็เห่าหอนเป็นธรรมดา อย่าไปพยายามตีความว่ามันเห่ายังไง อย่าไปใส่ใจ หมาอยู่ส่วนหมา คนก็อยู่ส่วนคน“ นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวว่า ขอให้พี่น้องมีพลังมีกำลังใจ วันนี้เพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลแล้ว เป็นพรรคที่เป็นนักแก้เศรษฐกิจ นักแก้ปัญหายาเสพติด นักกระจายอำนาจลงสู่ภาคประชาชน และวันนี้จะเป็นนักแก้การผูกขาด ขอให้พี่น้องอดทนมาร่วมกันอีกนิดเดียว ผมมั่นใจว่าสิ่งเหล่านั้น ท่านจะได้เห็นก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า ก่อนที่นายทักษิณจะพูดแก้ว่า เป็นปี 70 เดี๋ยวจะตีความว่าจะยุบสภาแล้ว ตนพูดผิด พร้อมย้ำว่า อย่าลืมเบอร์สองนะ เบอร์สองเป็นคนของทักษิณ

ช่วงท้ายหลังการปราศรัยช่วยผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี ที่ อ.บ้านดุง อดีตนายกฯ ทักษิณ ลงจากเวที ปรี่หาชาวอุดรฯ ที่มาฟังปราศรัย เพื่อทักทาย โดยอดีตนายกฯ เซอร์วิสแฟนคลับ ทั้งจับมือ และรับดอกไม้ บางรายมอบกระเช้าผลิตภัณฑ์ชุมชน บางคนเจอหน้าอดีตนายกฯ แล้วร้องไห้ บอก “ขอกอดหน่อย” บางรายเจออดีตนายกฯ แล้วยังงง ๆ เพราะจะขอถ่ายรูป ทักษิณได้หยิบมือถือชาวบ้านแล้วมาเซลฟี่ให้ คนเสื้อแดงที่เคยชุมนุมเมื่อปี 2553 เดินทางมาจากมหาสารคามเพื่อพบกอดีตนายกฯ โดยอดีตนายกฯ ก็กอดเสื้อแดงรายนั้นแน่น ๆ ก่อนจะเดินทางกลับ

‘นายใหญ่’ ทุ่มสุดตัว ลุยลงพื้นที่เอง เดินเกมยึดอบจ.อุดรฯ หวังผลแลนด์สไลด์

(14 พ.ย. 67) เป็นแฟชั่นและแท็กติกทางการเมือง  สำหรับเรื่องการชิงลาออกจากนายกอง์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ด้วยเหตุผลหลักคือชิงความได้เปรียบการเมือง เป็นปรากฏการณ์ที่ควรจะได้ถอดรหัส-ทบทวนกันในอนาคต..

ถึงวันนี้ลาออกกัน 27 จังหวัด 27 นายกอบจ.เลือกกันไปแล้ว 18 จังหวัด 95 เปอร์เซ็นต์ แชมป์เก่ารักษาเก้าอี้ไว้ได้..

เฉพาะหน้าเดือน พ.ย.-ธ.ค.จะชิงกันอีก 9 จังหวัด/นายกอบจ.
23 พ.ย.-สุรินทร์
24 พ.ย.อุดรธานี,นครศรีธรรมราชและเพชรบุรี
1 ธ.ค. กำแพงเพชร
15ธ.ค.ตาก และเพชรบูรณ์
22 ธ.ค.อุตรดิตถ์และอุบลราชธานี

นายกอบจ.และสจ.ที่เลือกกันมาตั้งแต่ปี 2563 จะครบเทอม 18 ธ.ค. 2567นี้  กกต.กำหนดแล้วว่าจะเลือกกันใหม่วันที่ 1 ก.พ.2568  เฉพาะนายกอบจ.ก็จะเหลือแค่ 40 กว่าจังหวัด...

ที่จะขีดเส้นใต้หมายเหตุไว้ ณ ที่นี้ก็คือ การเลือกนายกอบจ.ที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อุดรธานี ที่เคยเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง ของพรรคเพื่อไทย...แต่สัญญาณจากตั้งเต่ทั่วไปเมื่อปี 2566  เมืองหลวงของเพื่อไทยกำลังจะถูกยึด  เก้าอี้สส.หายไป3 เก้าอี้

ไม่แต่เท่านั้นทั้งภาคอีสาน (133ที่นั่ง) ครั้งที่แล้วพรรคเพื่อไทยตั้งเป้าขั้นต่ำ 110 ที่นั่ง  ปรากฏว่าได้รับเลือกแค่ 73 เขต 73 คน..พลาดเป้าไปร่วม 40 ที่นั่ง และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ทั้งประเทศได้สส.รวม 141 ที่นั่ง เสียแชมป์เลือกตั้งให้กับพรรคน้องใหม่อย่างพรรคก้าวไกล(พรรคประชาชนในปัจจุบัน)ที่ได้ 151 ที่นั่ง..

ย้อนดูตัวเลข 133 ที่นั่งของภาคอีสานครั้งที่แล้ว..เพื่อไทย 75, ภูมิใจไทย 35, ก้าวไกล 7, พลังประชารัฐ 6, ไทยสร้างไทย 5, ไทรวมพลัง 2 ประชาธิปัตย์ 2 และชาติไทยพัฒนา 1

วันที่  3  พ.ย. วัฒนา ช่างเหลา  ประธานสโมสรฟุตบอลชขอนแก่น ยูไนเต็ด อดีต สส.เขต 2 ขอนแก่น เพิ่งชนะศึกเลือกนายกอบจ.ขอนแก่นด้วยการชูป้ายทักษิณ-อุ๊งอิ๊งค์ และหัวคะแนน/แฟนคลับที่ใส่เสื้อแดง ล้มแชมป์เก่า 6 สมัยลงได้อย่างน่าอัศจรรย์  กลายเป็น “ขอนแก่นโมเดล” ทำให้การเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี  กลายเป็นหมุดหมายให้ “นายใหญ่” ชักธงรบส่งสัญญาณครั้งสำคัญที่จะยึดสมรภูมิอีสานมาอ้อมกอดของพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง...

การไปปรากฏตัวของทักษิณ  ชินวัตร  ผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย  ในฐานะ “ผู้ช่วยหาเสียง” ถูกออกแบบและปฏิบัติการส่งสัญญาณสำคัญ...

ไม่เพียงให้พรรคส้ม(ประชาชน)ที่หวังลึกๆจะปักธงนายกอบจ.อุดรฯและสยายปีกแบ่งเค้กอีสานเกิดอาการขยาดเท่านั้น  ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงครูใหญ่..เนวิน  ชิดชอบ ประมุขตัวจริงของพรรคสีน้ำเงิน  ที่บารมีกำลังเบ่งบานไม่น้อยกว่า “นายใหญ่” ให้รับทราบ..

ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคสีน้ำเงิน..ภูมิใจไทย นั้นมีทั้งสัมพันธภาพที่ดูอบอุ่นจากท่าทีท่วงทำนองนอบน้อมของอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค แต่ในความเป็นพรรค..วันนี้ ภท.และพท.คือสองพรรคที่มีดุลทางการเมืองที่พูดได้ว่าเสมอกัน..เพราะ-ภท. มีสภาสีน้ำเงินเป็นอาวุธ(ไม่)ลับ ไม่นับรวม 70 เสียงสส.ที่เป็นหมากล็อกอยู่แล้ว...

ภายในพรรคพท...หรือเพื่อไทยขณะนี้พยายามปลุกคำขวัญ..แลนด์สไลด์ขึ้นมาอีกครั้ง..การเดินสายของทักษิณ ปลุกบ้านใหญ่รักษาเอฟซีเก่าๆ สร้างเอฟซีใหม่ๆ หวังให้เพื่อไทยทั้งอีสาน..หรือแดงทั้งอีสานเกิดขึ้นอีกครั้ง..

เพียงแต่โจทย์ครั้งนี้มันยากขึ้น  สถานการณ์เปลี่ยนไปไม่น้อย  ถ้าเดอะป๊อบ..ศราวุธ  เพชรพนมพร อดีตสส.เพื่อไทย “เขยอินทรีอีสาน” ประชา พรหมนอก  ชนะขาดนายกอบจ.อุดรฯ ก็น่าจะทำให้แนวรบทักษิณ-เพื่อไทย คึกคัก

แต่ถ้าชนะแบบฉิวเฉียดไม่กี่พันแต้มหรือล็อคถล่มแพ้ขึ้นมา..แลนด์สไลด์ที่แอบหวังก็จะถูกฝังกลบเป็นแลนด์สลบอย่างแน่นอน..!!

‘แฟนคลับ รทสช.’ ปลุกพลังแนวร่วม หนุน 'พีระพันธุ์' นั่งเก้าอี้นายกฯคนต่อไป

แฟนคลับพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอพลังแนวร่วม ช่วยกันเผยแพร่ข่าว หนุน 'พีระพันธุ์' นายกฯคนต่อไป

เมื่อวันที่ (10 พ.ย. 67) นายทวนชัย ไหมสีทอง เจ้าของช่องติ๊กต๊อก ส้มฉุน ชาแนล V1 ซึ่งเป็นแฟนคลับของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ทำคลิปเผยแพร่ข่าวสาร รวมทั้งมีการสัมภาษณ์สมาชิกของพรรค นอกจากนี้ นายทวนชัย ยังได้มีการลงคลิป เชิญชวนผู้ที่สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้ร่วมกันนำเสนอข่าวสารต่างๆ ที่เป็นผลงานของพรรค ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อให้สังคมได้รับรู้ถึงการทำงาน เพราะที่ผ่านมาในการเลือกตั้ง 2566 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้คะแนนเสียง 37 เสียง ในฐานะผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ดังนั้น จึงขอเป็นภาคประชาชนที่จะนำเสนอนโยบายและผลงานต่างๆ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ข่าวสารอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน จะนำเสนอให้ได้รับรู้ เปลี่ยนวิธีการจากการปิดทองหลังพระ มานำเสนอให้ได้รับรู้ 

นอกจากนี้ นายทวนชัย ยังได้อัดคลิปต่อเนื่องในประเด็นที่ สนับสนุนให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรคราวมไทยสร้างชาติ ให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป โดยนายทวนชัย อธิบายต่อไปว่า นายพีระพันธุ์ มีความเหมาะสม เป็นทั้งนักกฎหมาย เป็นผู้พิพากษา เพราะกฎหมายเป็นพื้นฐานในการสร้างความเจริญของประเทศ และนายพีระพันธุ์ มีความสามารถในการตีกรอบกฎหมายได้ รวมทั้งมีความสามารถในด้านพลังงาน ต่อสู้ฝ่าฟันกลุ่มทุน ไม่มีธุรกิจหรือกลุ่มทุนมาอยู่รอบตัว ไม่มีหุ้นพร้อมเดินหน้าแก้ไขโครงสร้างด้านพลังงาน ด้วยนโยบาย รื้อ ลด ปลด สร้าง และเชิญชวนผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน หากมีความฝันอยากเห็นประเทศไทยพัฒนาและเจริญอย่างยั่งยืน ร่วมกันสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ และ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

‘อธิบดีกรมที่ดิน’ ยันทำตามกฎหมาย-คำสั่งศาล หลัง ‘คมนาคม’ จ่อยื่นค้านกรณีกรมที่ดินไม่เพิกถอน ‘เขากระโดง’

(13 พ.ย. 67) ‘อธิบดีกรมที่ดิน’ ยันทำตามกฎหมาย-คำสั่งศาล หลัง ‘สุริยะ’ มอบ ‘รฟท.’ จ่อยื่นคัดค้านกรณีกรมที่ดินไม่เพิกถอนสิทธิที่ดิน ‘เขากระโดง’ ลั่นไม่ต้องเคลียร์คมนาคม

12 พฤศจิกายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวถึงกรณี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์จะให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยื่นคัดค้านกรณีที่กรมที่ดินไม่เพิกถอนสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง ว่า ทุกอย่างดำเนินการไปตามที่ศาลปกครองสั่ง และในเรื่องการเพิกถอนต้องมีคณะกรรมการในการดำเนินการเพิกถอนตามมาตรา 61 โดยที่ผ่านมามีการตั้งคณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว ส่วนการรังวัดจากที่ได้รับรายงานจากคณะกรรมการ ซึ่งทำตามกระบวนการขั้นตอนเรียบร้อยหมดทุกอย่าง

เมื่อถามถึงกรณีที่กระทรวงคมนาคม จะยื่นคัดค้านกรมที่ดินยกเลิกการเพิกถอนที่ดินเขากระโดง อธิบดีกรมที่ดิน มองว่า การแถลงข่าวตอนแรกอาจจะไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องรังวัด แต่มันอยู่ในรายงานของคณะกรรมการชุดดังกล่าวแล้ว ช่วงวันที่ 2-26 กรกฎาคม 2567 เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกรมที่ดินในพื้นที่และการรถไฟฯ และวันนี้ทางกรมฯได้มีการออกข่าวชี้แจงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อถามย้ำว่าการดำเนินการนั้นสามารถยืนยันได้ใช่หรือไม่ว่าทำการตามกฎหมาย อธิบดีกรมที่ดิน ยืนยันว่า ทำตามหลักกฎหมาย ไม่มีอะไรที่ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย พร้อมย้ำว่าเป็นไปตามคำสั่งของศาลทุกประการ บนข้อเท็จ ที่เกิดตามหน้างานจริง

เมื่อถามต่อว่ากระทรวงคมนาคมมีท่าทีดังกล่าวทางกรมที่ดินจะต้องมีการชี้แจงหรือไม่ อธิบดีกรมที่ดิน ระบุว่า คงไม่ เพราะทุกอย่างที่ทำมาก็รายงานต่อศาลปกครองตามคำสั่งของศาล โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล พร้อมย้ำว่าคงเป็นข้อเท็จจริง คงไม่ต้องมาต่อสู้อะไรกัน

สังคมไทย สุดป่วยด้วย 'โรคอวดรวย' ระบาด สุดท้ายหลงภาพลักษณ์จนตกเป็นเหยื่อนักต้มตุ๋น

สังคมไทยกำลัง 'ติดโรคอวดรวย' ที่ได้เงินมาจากการต้มตุ๋นผู้คน แพร่เชื้อโรคมาจากคนเด่นดังทางสังคม

คนไทยยุคนี้ได้ชื่อว่า 'ขยันเข้าสังคมเก่ง' แต่กลับขาดทักษะในการเรียนรู้นิสัยใจคอของคนอย่างรุนแรง ส่วนใหญ่ยังมีความคิดในเชิงโลกสวย เชื่อคนง่าย มองคนแค่เปลือกนอก จึงมักถูกหลอก ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด จนเกิดความสูญเสียตามมาเสมอ

ยิ่งเวลาเห็นข่าวคนดังทางสังคม โผล่ออกมาหน้าจอทีวี เห็นหน้าตาเขาดี พูดจาดี ฉายโชว์แต่เรื่องราวดี ๆ และดูร่ำรวยออกสื่อ ก็จะกระโจนเข้าหา หลงชื่นชม ติดตาม และนิยมชมชอบแบบขาดสติ ไร้วิจารณญาณในการวิเคราะห์ สำรวจ ศึกษาที่มาที่ไปของคนให้ถ่องแท้ ยิ่งสื่อช่องดังแต่ละช่องขยันเชิญมาแบบขาดการไตร่ตรองให้ครบด้าน คนดูก็ยิ่งตายใจ คิดไปเองว่าทั้งหมดนั้นคือแบบอย่างที่ดี ที่ถูกสื่อคัดกรองมาดีมากพอแล้วที่จะให้สังคมอ้าแขนต้อนรับ

คนดังทางสังคมเหล่านี้เมื่อร่ำรวยขึ้นมา ก็จะโชว์เสื้อผ้าแบรนด์เนม นาฬิกาหรู บ้าน รถ ภาพการกินหรูอยู่โรงแรมคืนละหลักแสน เที่ยวต่างประเทศ กลายเป็น 'ภาพจำโง่ ๆ' ที่คล้าย 'โรคระบาด' ใครมีความร่ำรวยขึ้นมาก็จะติดทำตาม ๆ กันให้เห็นอย่างรวดเร็ว เราจึงพบเห็นคนดัง คนรวย แสดงแต่สิ่งที่กลวงโบ๋ทางปัญญา บ้าบอแต่วัตถุ ความฟุ้งเฟ้อ เป็นภาพลวง ๆ แม้ไม่จีรังแต่ก็ยังสามารถดึงดูด 'คนคิดไม่เป็น' ที่มีอยู่มากมายในสังคมไทยให้มาหลงเชื่อได้ไม่น้อยเลย 

'โรคอวดรวย' ได้กลายเป็นหนึ่งใน 'โรคระบาด' ที่กำลังแพร่กระจายในสังคม 'เศรษฐีใหม่' ที่มักจะมีรายได้มาโดยวิถีทางที่ไม่สะอาด เบื้องหลังมักทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซ่อนเร้นไปด้วยเล่ห์เพทุบาย บางคนก็หลอกต้มทุกคนไม่ขวางหน้า ไม่สนบาปบุญคุณโทษ หรือแม้แต่ผู้มีพระคุณ 

ประเทศไทยยุคนี้มีคนที่ 'ติดโรคอวดรวย' แทบจะทุกอาชีพแล้ว เช่นดารานักแสดง นักร้อง พิธีกร แม่ค้าขายทอง ตำรวจ ทนาย หรือแม้แต่เจ้าของค่ายมวยที่หน้าฉากกับหลังฉากราวขาวกับดำ แม้จะเกมไปนอนคุกแล้วบางส่วน แต่ที่ยังรอดเล่นบทตีสองหน้ากับสังคมยังมีอีกไม่น้อยเลย 

จับตาดูให้ดี ๆ 

‘ทนายเชาว์’ แนะฟ้องศาลเอาผิด คกก. คัดเลือกฯ เหตุเลือก ‘กิตติรัตน์’ นั่ง ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ ทั้งที่มีลักษณะต้องห้าม

(12 พ.ย.67) ‘ทนายเชาว์’ ชี้ ‘กิตติรัตน์’ ขาดคุณสมบัตินั่ง ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ แนะฟ้องศาลฯ เอาผิด คกก.คัดเลือก ฐานจงใจเลือกคนมีลักษณะต้องห้าม เหตุพ้นตำแหน่งทางการเมืองไม่ถึง 1 ปี เชื่อส่งผลทำคนติดคุกได้ ชี้ตำแหน่ง 'ที่ปรึกษาของนายกฯ' แม้ไม่ใช่ ขรก.การเมือง แต่ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นายเชาว์ มีขวด ทนายความ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า 'กิตติรัตน์' ขาดคุณสมบัตินั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ผมไม่เข้าใจว่าเหตุใดคณะกรรมการคัดเลือก 7 คน จึงมีมติเลือกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ และเตือนไว้เลยว่า ใครก็ตามที่ลงคะแนนให้นายกิตติรัตน์ นั่งเก้าอี้ตัวนี้ ท่านเตรียมสู้คดีในชั้นศาล ที่อาจต้องจบที่เรือนจำได้เลย

ที่พูดแบบนี้ก็เพราะ ระเบียบว่าด้วยการประชุมของคณะกรรมการคัดเลือก การเสนอชื่อ การพิจารณาและการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 กำหนดไว้ชัดเจนในหมวดที่ 2 การเสนอชื่อ การพิจารณาและการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ไว้ในข้อ 16 (4) ว่า ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี

โดยเจตนารมณ์ของระเบียบฯ ที่กำหนดไว้เช่นนี้

ต้องการให้ บุคคลที่จะได้รับคัดเลือกเป็น ประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย มีความเป็นกลาง ไม่มีส่วนได้เสีย หรือ เกี่ยวข้อง กับการเมือง 

แต่นายกิตติรัตน์ เคยเป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี  ตามคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 214 / 2566 เรื่องแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี  โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ. 2535 มีทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย

โดยให้ส่วนราชการสนับสนุนงานของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการร้องขอและให้สำนักเลขาธิการนายกดนตรีอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบของราชการโดยให้เบิกจ่ายจากสำนักเลขานายกรัฐมนตรี

เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีของนายกิตติรัตน์ แม้โดยนิตินัยจะไม่ได้เป็นข้าราชการการเมือง โดยเลี่ยงใช้คำว่าที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แต่โดยพฤตินัย ตามคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 214 / 2566 ระบุให้ นายกิตติรัตน์ ทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย และให้ส่วนราชการสนับสนุนงานของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการร้องขอและให้สำนักเลขาธิการนายกฯ อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบของราชการโดยให้เบิกจ่ายจากสำนักเลขานายกรัฐมนตรี

ตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ของนายกิตติรัตน์ จึงอยู่ในความหมายของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามความใน ข้อ 16 (4) ของระเบียบว่าด้วยการประชุมของคณะกรรมการคัดเลือกฯ เพราะนายกิตติรัตน์ ยังพ้นตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกฯ ไม่ถึงหนึ่งปี โดยพ้นตำแหน่งไปในวันที่นายเศรษฐา ทวีสิน หลุดตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 14 ส.ค.67 เท่ากับเพิ่งพ้นหน้าที่มาเพียงแค่ไม่ถึงสามเดือน

ถ้าเราปล่อยให้นายกิตติรัตน์ ได้เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ด้วยข้ออ้างว่าตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกฯ ไม่ใช่ข้าราชการการเมือง จึงไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย ต่อไประเบียบฯ เรื่องห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาเป็นประธานหรือกรรมการแบงก์ชาติ เว้นพ้นตำแหน่งแล้ว 1 ปี จะกลายเป็นหมันใช้บังคับในทางปฏิบัติไม่ได้ เพราะการเมืองใช้วิธีศรีธนญชัยเล่นแร่แปรธาตุทางกฎหมาย

ผมยืนยันว่าในทางกฎหมายแม้ตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกฯ จะไม่ใช่ข้าราชการการเมือง แต่หน้าที่ที่ทำตามคำสั่งนายกฯ ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างแน่นอน กรณีนี้ผมเสนอให้มีการฟ้องศาลฯ เอาผิดคณะกรรมการคัดเลือก จงใจเลือกคนที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ไปให้สุดจะได้รู้ว่าต้องไปหยุดที่คุกหรือไม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top