Monday, 21 April 2025
POLITICS NEWS

‘ไอติม’ ชื่นชมเกาหลีใต้ใช้กลไกลสภาสู้กลับ ‘ปธน.ยุน’ หลังโหวตคว่ำกฎอัยการศึก ยกเป็นบทเรียนต้านรัฐประหาร

‘ไอติม’ ปลื้ม ปชช.-นักการเมืองเกาหลีใต้ สู้กลับ ‘ปธน.ยุน ซอก ยอล’ ใช้กลไกลสภายกเลิก ‘กฎอัยการศึก’ มองชัยชนะครั้งนี้ เป็นบทเรียนประเทศอื่นต้าน “รัฐประหาร” 

วันที่ (4 ธ.ค.67) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชน ทวิตข้อความว่า กำลังเฝ้าติดตามสถานการณ์ใน #เกาหลีใต้ ด้วยความรู้สึกชื่นชมการต่อสู้กลับของประชาชนและนักการเมือง ในการใช้กลไกสภายกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดี และหวังว่ากองทัพจะทำตามกฎหมาย แทนที่จะทำตามอำเภอใจของประธานาธิบดี

หากประชาชนเกาหลีใต้ปกป้องประชาธิปไตยได้สำเร็จ ชัยชนะนี้จะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศอื่น (รวมถึงไทย) ในการวางแนวทางป้องกันรัฐประหาร ซึ่งต้องดำเนินการ 2 อย่างคู่ขนาน

1. แก้กฎหมาย (เช่น รธน. / พรบ. กฎอัยการศึก) เพื่อติดอาวุธให้ประชาชนมีเครื่องมือหรือกลไกในการต่อต้านและต่อกรกับผู้ก่อรัฐประหาร

2. รณรงค์ทางความคิดให้ประชาชนและนักการเมืองทุกฝ่าย (ไม่ว่าสนับสนุนหรือสังกัดพรรคใด) มีจุดยืนร่วมกันในการออกมาปกป้องประชาธิปไตย

ส่องหนทาง ‘ยิ่งลักษณ์’ กลับบ้าน ผสมผสาน ‘ทักษิณ - บุญทรง’ โมเดล..!?

25 ส.ค. 2560 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสิน คดีรับจำนำข้าว...บุญทรง เตริยาภิรมย์  อดีตรมว.พาณิชย์และพวกเดินเข้าคุกด้วยโทษที่สูงเต็มพิกัด  ส่วน ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ อดีตนายกฯใช้ช่องทางธรรมชาติหลบหนีออกนอกประเทศ ศาลออกหมายจับและอ่านคำพิพากษาย้อนหลังในวันที่ 27 ก.ย.2560..ลงโทษจำคุก 5 ปี

เมื่อ (2 ธ.ค. 67) ที่ผ่านมา บุญทรงที่มีโทษจำคุก 48 ปี แต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษต่างกรรมต่างวาระ 4 ครั้ง เหลือรับโทษจริง 10 ปี 8 เดือน นับแต่ 25 ส.ค. 2560 ถึง 2 ธ.ค. 2567 ติดคุกมาแล้ว 7 ปี 3 เดือน 10 วัน  เหลือโทษ 3 ปี 4 เดือน 20 วัน กำหนดพ้นโทษวันที่ 21 เม.ย. 2571 เข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ...

2 ธ.ค. ที่ผ่านมา บุญทรงได้รับอิสรภาพภายใต้ติดกำไล EM ไปคุมประพฤติอยู่ที่เชียงใหม่ เป็นที่เรียบร้อย  เช่นเดียวกับ ภูมิ สาระผล  อดีตรมช.พาณิชย์  ที่มีโทษจำคุก 36 ปี ได้รับการพักโทษไปแล้วเมื่อเดือน ก.ย. 2567 จะพ้นโทษจริง 25 ส.ค. 2568

ตอนนี้สปอตไลท์ฉายจับไปที่ ‘อาปู’ ของนายกรัฐมนตรี  น้องสาวสุดเลิฟของ ‘ทักษิณ  ชินวัตร’  จะมารับโทษ..พักโทษกับเขาเมื่อไหร่..

แทบทุกวงการเชื่อตามทักษิณว่า...อดีตนายกฯปู  ยิ่งลักษณ์น่าจะได้กลับมาก่อนหรือหลังสงกรานต์ 2568 เล็กน้อย...ถามว่าจะกลับเข้ามาด้วยวิธีการไหน.. ‘ทักษิณโมเดล’ ที่ไม่ติดคุกจริงๆ แม้แต่วันเดียวจนคนด่ากันทั้งเมืองอย่างนั้นหรือ...คำตอบคือ...ไม่ใช่แต่อาจใกล้เคียง...ยังไงๆ ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม...

ส่องกล้องมองทางยาวดูแล้ว ความเป็นไปได้กรณียิ่งลักษณ์มี 2-3 หนทางที่กุนซือทีมงานกำลังตกผลึกออกแบบกันอยู่...

1)เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมกลับมารับโทษ  แต่ใช้พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560, กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563และกฎกติกาต่างๆ โดยเฉพาะระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566  เอื้ออำนวยการคุมขังนอกเรือนจำ...ที่แม้อาจไม่เหมือนห้องสูทชั้น 14 รพ.ตำรวจ เป็นนักโทษนางฟ้าไม่ได้..แต่ก็ถือว่าอยู่ในที่ที่ชิล ๆ ...สบาย ๆ

เมื่อเข้าสู่กระบวนการรับโทษ..ก็ถวายฎีกาของพระราชทานอภัยโทษแบบทักษิณ...ติดคุกครบ 2 ใน 3 ของโทษจริงแล้วก็เข้าข่ายพักโทษได้..

2)หาหนทางฟื้นคดีจำนำข้าว...ต่อสู้ให้หลุดพ้นข้อหาปล่อยปละละเลย...อ้างกรณีข้าว 10 ปียังกินได้ขายได้..ฯลฯ...ระหว่างสู้คดีก็ขอประกันตัว..

3)หนทางอื่นๆ  เช่น การนิรโทษกรรม  ที่สภาฯจะพิจารณากันในเดือนนี้เดือนหน้าไม่เข้าข่ายเช่นเดียวกับความผิดมาตรา 112 ใครขืนแปรญัตติเพิ่มใส่ไปวงแตก รัฐบาลหัวคะมำแน่นอน

กล่าวโดยสรุป ความเป็นไปได้ยากจะเป็นอื่นไปได้ นอกจากต้องเริ่มต้นด้วยช่องทาง ‘กฎหมาย’ แล้วค่อยผ่อนคลายด้วยกฎ-ระเบียบกระทรวง  ความสุขสบายอาจไม่เทียบชั้นพี่ชายแต่ก็ชิล ๆ ก่อนที่จะขอพักโทษเหมือนบุญทรง..แนวทางนี้น่าจะสร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองน้อยที่สุด...ยิ่งถ้า ‘ยิ่งลักษณ์’ แต่งชุดนักโทษให้เห็นกันแบบเต็มตา  ชดเชยไถ่บาปให้กับ ‘นักโทษเทวดา’  แรงเสียดสีต่างๆ ก็คงจะไม่มี  เผลอๆอาจจะมีเสียงปรบมืออีกต่างหาก..

เล่ากันว่าวันที่ 25 ส.ค. 2560 ก่อนศาลตัดสิน… ‘บุญทรง’ ได้รับโทรศัพท์เสียงสุภาพสตรีบอกว่า..รอแป๊บ..เดี๋ยวถึง แต่สุดท้ายเจ้าของเสียงล่องหนหายไป 7 ปี....สงกรานต์ปีหน้าก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะกลับมาหรือไม่…

สำหรับ ‘บุญทรง’ ที่อยู่ในมุ้งใหญ่ของ ‘เจ๊แดง’ เยาวภา  วงศ์สวัสดิ์  ชีวิตก็คงจะตกผลึกหลายเรื่อง  แต่ยังไงๆ เชื่อว่าคงไม่ถึงขั้นปลีกวิเวกหลีกหนีการเมืองไปได้  โดยสถานภาพและบารมีเก่าๆ เขาก็คงจะเป็นพลังสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูกู้ชีพให้พรรคเพื่อไทย เชียงใหม่กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง...

แน่นอนด่านแรก 1 ก.พ. 2568 คือต้องช่วยเจ๊แดง-นายใหญ่ ให้ ‘นายกก๊อง’ พิชัย  เลิศพงษ์อดิศร รักษาแชมป์นายกอบจ.เชียงใหม่เอาไว้ให้ได้..!!

ดรามาสามีคนใต้!! ‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ แซะนายกฯ ตอบเฉิ่ม เสี่ยงให้คิดว่าควรมีผัวให้ครบทุกภาค ด้าน ‘คำ ผกา’ ซัดกลับ มีผัวไม่ดียังไง หลายคนอยากมีแต่หาไม่ได้ โดนสวนแนะใช้น้ำยาบ้วนปาก

ศึกแดง-ส้มกลับมาอีกแล้ว หลังนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ถูกดราม่าหนักปมตอบสื่อว่าตนเองไม่ละเลยปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ โดยโยงเข้าเรื่องส่วนตัวของตนเองว่า “สามีเป็นคนใต้” ถ้าไม่รักคนใต้คงแต่งงานไม่ได้ จนเกิดเป็นเสียงวิจารณ์อย่างหนัก ถึงความเหมาะสมในการตอบคำถามดังกล่าว

ล่าสุด เจี๊ยบ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตสส.พรรคก้าวไกล ได้ร่วมวงติเตียนคำตอบดังกล่าวของอุ๊งอิ๊งผ่าน X @AmaratJeab โดยโพสต์ภาพคำพูดของนายกฯ พร้อมกับข้อความ “คำตอบไม่เคยเกินชายคาบ้าน เฉิ่มทุกครั้งที่อ้าปาก แนวคิดคนที่เอาตัวเองเป็นแกนกลางของจักรวาล โลกทั้งใบหมุนรอบตัวฉัน” ทำเอาผู้สนับสนุนขั้วเดียวกันแห่เข้ามาคอมเมนต์เห็นด้วย โดยมองว่าคนที่รับบทบาทเป็นผู้นำประเทศควรมีวุฒิภาวะในการตอบคำถามมากกว่านี้ และไม่พูดเรื่องส่วนตัวรวมกับปัญหาระดับประเทศ

นอกจากนี้ เจี๊ยบ อมรัตน์ ยังโพสต์ข้อความถัดมาระบุว่า “ตอบคำถามยังไง ให้มีความเสี่ยงต้องมีผัวให้ครบทุกภาค” เป็นสาเหตุให้มีทั้งคนที่มองว่านี่เป็นมุกตลกที่ขำขัน ขณะที่ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และชาวเน็ตบางส่วนมองว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลก และไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนถูกนำชีวิตมาดูถูกในเชิงตลกร้ายเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี หรือปุถุชนคนธรรมดาก็ตาม

หลังจากอดีตสส. เจี๊ยบ โพสต์ข้อความดังกล่าว คำ ผกา ตัวแม่ของฝั่งพรรคเพื่อไทยก็ออกมาโต้กลับอย่างเจ็บแสบว่า “มีผัวครบทุกภาคไม่ดียังไงเหรอคะคุณอมรัตน์? ทางนี้ใฝ่ฝันอยากมีตั้งแต่ขั้วโลกเหนือยันขั้วโลกใต้เลยค่ะ เผอิญหาไม่ได้” ทำเอาด้อมส้มและสาวกพรรคแดงตามมาถล่มคอมเมนต์กันยกใหญ่ ซัดกันคนละหมัดอย่างไม่มีใครยอมใคร

ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 3 ธ.ค. 67 ได้แคปภาพข้อความของ คำ ผกา มาโพสต์และตอบกลับว่า “ไม่มีตรงไหนบอกว่าไม่ดี เรื่องหาไม่ได้ดิฉันไม่มีประสบการณ์ แนะนำให้ลองใช้น้ำยาบ้วนปาก ยุคนี้แล้วสงสัยใคร่รู้อะไรเสิร์ชถามกูเกิ้ล ขออนุญาตไม่เกลือกกลั้วด้วยอีก #เจี๊ยบอมรัตน์”

ดูลาดเลาแล้วสงครามโซเชียลคงจะไม่จบลงง่าย ๆ โดยเฉพาะนายกฯ อุ๊งอิ๊ง ที่ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนก็เป็นประเด็น แม้แต่ลงสตอรี่คำคมก็ไม่วายจะถูกหยิบยกมาเป็นดราม่า และวิพากษ์วิจารณ์บนโซเชียล แต่ก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์จะบานปลาย กระทั่งผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนหันมาวิวาทะกันเองเช่นนี้ คงต้องติดตามกันต่อว่าปมเล็ก ๆ ที่กลายเป็นมหากาพย์ ‘สามีคนใต้’ จะมีกระแสซบเซาลงจนชาวเน็ตลืมเลือนและเลิกพูดถึงได้วันไหน

‘นายกฯอิ๊งค์’ โพสต์เหน็บ คนคิดเชิงลบ - ขาดความมั่นใจ หวังกดคนอื่นเพื่อยกตัวเองให้สูง ปมดรามา “สามีคนใต้”

นายกฯ โพสต์อินสตาแกรมหลังเกิดดรามา “สามีคนใต้” ชี้ “คนคิดเชิงลบ ไม่มั่นใจ มักกดคนอื่นต่ำลง ยกตัวสูงขึ้น”

วันนี้ (2 ธ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ในอินสตาแกรมส่วนตัว บัญชีผู้ใช้ Ingshin21 เมื่อเวลาประมาณ 08.30 น. หลังเจอกระแสดรามาทั้งในโซเชียลและฝ่ายตรงข้าม กล่าวหาว่าละเลยภาคใต้ หลังเกิดสถานการณ์น้ำท่วมหนัก แต่ไม่ลงไปดูแลคนในพื้นที่ และเมื่อวานนี้ นายกฯ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อ ว่า “คำว่าละเลยภาคใต้ สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ ไม่รักคนใต้ แต่งงานคนใต้ไม่ได้” จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรี

โดยวันนี้ นายกฯ ได้โพสต์ข้อความในสตอรี่อินสตาแกรมส่วนตัว ระบุข้อความภาษาอังกฤษว่า “Your negativity is a reflection of your own reality.” 100% ซึ่งเมื่อแปลเป็นภาษาไทย ว่า “ความคิดเชิงลบของคุณ สะท้อนถึงความเป็นจริงของตัวคุณเอง”

นอกจากนั้น ยังมีการแชร์อีก 1 ข้อความภาษาอังกฤษว่า “INSECURE PEOPLE PUT OTHERS DOWN TO RAISE THEMSELVES UP.” ซึ่งแปลความหมายคือ “คนที่ไม่มีความมั่นใจ กดคนอื่นให้ต่ำลง เพื่อยกตนเองให้สูงขึ้น”

‘พรรคส้ม’ พ่ายอีกครั้งเลือกตั้ง นายกอบจ. กำแพงเพชร หลัง ‘สุนทร รัตนากร’ แชมป์เก่าโกยคะแนนทิ้งขาด

เมื่อวันที่ (1 ธ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานผลการนับคะแนนเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 1 ธ.ค.2567 ซึ่งเปิดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนตั้งแต่เวลา 08.00 น.ซึ่งมีเขตเลือกตั้งทั้งหมด 11 อำเภอ มีหน่วยเลือกตั้ง 1,126 หน่วย แบ่งเป็นเขตอำเภอเมืองกำแพงเพชร 293 หน่วย อำเภอขาณุวรลักษบุรี 162 หน่วย อำเภอพรานกระต่าย 128 หน่วย, อำเภอคลองขลุง 120 หน่วย อำเภอลานกระบือ 70 หน่วย, อำเภอปางศิลาทอง 45 หน่วย, อำเภอบึงสามัคคี 49 หน่วย, และออำเภอทรายทองวัฒนา 43 หน่วย

ทั้งนี้ มีผู้เข้าสมัครเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 2 คน ได้แก่ หมายเลข 1 นายสุนทร รัตนากร อดีตนายก อบจ.กำแพงเพชร และหมายเลข 2 นายธานันท์ หล่าวเจริญ สมาชิกพรรคประชาชน

กระทั่งเวลา 17.00 น. เจ้าหน้าที่ปิดหีบเลือกตั้งและเริ่มนับคะแนน เบื้องต้นเมื่อนับไปได้ 72% อย่างไม่เป็นทางการ ในเวลา20.40 น. ผลปรากฎว่า หมายเลข 1 นายสุนทร รัตนากร ได้ 104,413 คะแนน หมายเลข 2 นายธานันท์ หล่าวเจริญ ได้ 27,609 คะแนน

‘รองเอ็ด’ ผู้ท้าชิงนายกฯ อบจ.ตาก ตัดพ้อ หลังถูกวิชามารสกัด แค่เมียกำนันกดไลค์ยังถูกเรียกตักเตือน

เมื่อวันที่ (1 ธ.ค. 67) พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร (รองเอ็ด) อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  ผู้สมัคร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก หมายเลข 2 โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า แค่คนมากดไลค์ Facebook fan page เพจ ลองเอ็ด โดน จนท. ฝ่ายปกครอง เรียกไปตักเตือน ผมตกใจมันเกิดขึ้นในยุคนี้ ยุค 5 G เค้าเป็นเมียกำนัน ไม่ใช่กำนัน รักใครชอบใคร ก็ กดไลค์กันได้

ผมพูดไม่ออก เรื่องสิทธิเสรีภาพ ในสื่อสังคมออนไลน์ ในฐานะ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 

ผมเสียใจและต้องขอโทษ ท่านที่ได้รับผลกระทบ จากการไปกดเพียง 1 like แต่รู้ไหมครับว่า 1 likeนี้ จะเป็นพลังเพื่อการเปลี่ยนที่ดีขึ้นกว่าเดิม 

ย้ำ เมืองตาก ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน warning

ทั้งนี้ ในสนามเลือกตั้งนายก อบจ.ตาก ในครั้งนี้มีผู้ที่แข่งขันชิงเก้าอี้กันอยู่ 2 คน ได้แก่ นางอัจฉรา ทวีเกื้อกุลกิจ หมายเลข 1 และ พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร หมายเลข 2

ว่ากันว่าในครั้งนี้ นางอัจฉรา ถือว่าได้เปรียบ เพราะเป็นลูกสะใภ้ ของนายณัฐวุฒิ ทวีเกื้อกุลกิจ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก ที่เพิ่งลาออกไป

ครั้งนี้จึงส่งลูกสะใภ้ มาแทน ภายใต้การสนับสนุนของนายณัฐวุฒิ และนายธนัสถ์ ทวีเกื้อกุลกิจ สามี อดีต สส.ตาก ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งพรรคนี้ยังคุมกระทรวงมหาดไทยมีแต้มต่อค่อนข้างสูง รวมทั้งจะมีการระดมอดีตนักการเมือง และนักธุรกิจผู้กว้างขวาง ของ จ.ตาก มาให้การสนับสนุนอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ทางฝั่งพ.ต.ท.อนุรักษ์ อดีตผู้ช่วย รมว.ดีอี ในสมัยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ จากพรรคพลังประชารัฐ แต้มเป็นรอง แต่มาพร้อมกระแสคนอยากเปลี่ยน  และยิ่งใกล้ โค้งสุดท้ายยิ่งน่ากลัว ด้วยลีลา เข้าถึง พึ่งได้ พร้อมชน เพราะ รองเอ็ด เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 29     และตอนเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัล ฯก็เคยทำโครงการพัฒนา พื้นที่จากหลายโครงการ นอกจากนี้ พ.ต.ท.อนุรักษ์ ยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนักการเมืองรุ่นใหม่ในพื้นที่ เช่น นายณพล ชยานนท์ภักดี นายกเทศมนตรีเมืองตาก, นายคริษฐ์ ปานเนียม และนายรัชต์พงศ์ สร้อยสุวรรณ 2 สส.ตาก เขต 1 และเขต 2 พรรคประชาชน (ก้าวไกล) เรียกได้ว่า เข้มข้น ศึก… 

ในครั้งนี้จึงเป็นการวัดพลังระหว่างบ้านใหญ่ และคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ แต่ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามา เริ่มมีการงัดสารพัดวิธีเข้าสกัดดาวรุ่ง ดังเช่นที่รองเอ็ด โพสต์เฟซบุ๊กระบายความอัดอั้นดังกล่าว ซึ่งใครจะเป็นผู้ชนะ ในวันที่เลือกตั้ง 15 ธ.ค.2567 เวลา 08.00-17.00 น. ชาวจังหวัดตากจะเป็นผู้ให้คำตอบ

‘ณัฐวุฒิ’ โต้ รัฐบาลนี้เป็นของคนภาคไหนไม่มีอยู่จริง ป้องนายกฯพูดสามีเป็นคนใต้ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาทตาย ไม่ต้องขยี้กลายเป็นวาระแห่งชาติ

เมื่อวันที่ (1 ธ.ค. 67) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ส่วนตัวระบุว่า ตนไม่เชื่อเรื่องการเมืองแบ่งภูมิภาค พรรคไหนเป็นของคนภาคไหน รัฐบาลนี้เป็นของคนภาคนั้น ไม่มีอยู่จริง เป็นเรื่องที่ตนเห็นต่างมาตลอด เพราะรัฐบาลทำงานแบ่งตามภาคไม่ได้ สื่อมวลชนถามนายกฯว่ามีคนพูดว่าละเลยภาคใต้หรือไม่ เป็นเสรีภาพในการทำหน้าที่สื่อ ส่วนที่นายกฯตอบว่ามีสามีเป็นคนใต้ ย่อมไม่ละเลยคนใต้ ถ้าฟังด้วยใจนิ่งๆก็เข้าใจได้ว่า เป็นการพูดเพื่อเชื่อมโยงให้เห็นบางมุม ระหว่างตัวเองกับคนภาคนี้ เพื่อยืนยันว่าไม่ทิ้งกัน และรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ออกมาตรการเยียวยา ซึ่งตนแน่ใจว่าการโอนเงินเยียวยาน้ำท่วมเร็วที่สุด เจ้าของสถิติคือรัฐบาลชุดนี้ ถ้ายกเลิกการประชุมกะทันหัน คำถามจะไม่เกิดขึ้นอีกหรือว่าทิ้งคนภาคเหนือ

“ความเห็นผม นายกฯ พูดเรื่องครอบครัวสามีเป็นคนใต้ เป็นมุมเล็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่จะขยี้กันจนแทบกลายเป็นวาระแห่งชาติ ผมห่วงใยพี่น้องที่น้ำท่วม แต่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะจัดการจนเราผ่านมันไปด้วยกันได้ ขณะเดียวกันผมห่วงใยบรรยากาศแบบนี้ด้วย แบบที่โจมตีกันทุกเรื่อง เล็กใหญ่ใส่หมดถ้าไม่ใช่ฝ่ายที่ตัวนิยม ไม่รู้เราจะผ่านจุดนี้ไปด้วยกันอย่างไร” นายณัฐวุฒิ ระบุ

‘ดร.ปวิน’ ฟาดเดือด!! ขยะแขยง ‘จักรภพ’ ไม่สนใจปชช. ผูกมิตรกับฝ่ายอำมาตย์

(30 พ.ย. 67) ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้โพสต์ข้อความถึง นายจักรภพ เพ็ญแข โดยมีใจความว่า ...

สิ่งที่จักรภพพูดมันเป็นอะไรที่น่าขยะแขยงมาก นักการเมือง/พรรคการเมือง/รัฐบาล ไม่ต้องสนประชาชนมากนัก เพราะต้องเอาเวลาไปผูกมิตรกับฝ่ายอำมาตย์ ไม่งั้นการเมืองไปต่อไปได้ โถ E ตอแหล การพูดแบบนี้พูดบน basis อะไร ทำไมเจ้าของประเทศถึงกลายมาเป็นของแถม ขณะที่ E พวกอำมาตย์กลายมาเป็นลำดับความสำคัญ มึงจะบอกว่าให้มองการเมืองแบบตามความเป็นจริง อันนี้ยิ่งน่าตกใจกว่า เพราะนั่นหมายความว่า ไอ้ความเป็นจริงที่ edok นี่พูดถึงก็คือ แม้จะมีการเลือกตั้ง แม้ประชาชนได้ออกไปใช้สิทธิของเจ้าของประเทศ แต่ประชาชนไม่มีสิทธิทางการเมือง เพราะนักการเมือง/พรรคการเมือง/รัฐบาล ต้องใส่ใจเอ็นดูอำมาตย์ทางการเมืองมากกว่า 

ถ้างั้น จะเรียกรัฐบาลนี้ ว่าเป็นประชาธิปไตยเหรอ จะเรียกประเทศนี้ว่าประชาธิปไตยทำไม 

‘นครโมเดล’ สะเทือน!! ถึง ‘สงขลา’ ถ้า ‘ไพเจน’ ปักหลักสู้!! ‘สุพิศ’ ก็เหนื่อย

(30 พ.ย. 67) พลันเมื่อ ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.สงขลา) ถอนตัวไม่ลงรักษาแชมป์ ชื่อของ ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ที่ลาออกจากราชการ มาอาสาเปลี่ยนแปลงเมืองสงขลาก็โดดเด่นอยู่คนเดียว

‘สุพิศ’ มีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะเข้ามาขอทำงานเปลี่ยนแปลงเมืองสงขลา ด้วยยแนวคิด ‘สงขลาเมืองสะอาด’ อันสะท้อนให้เห็นว่า สงขลายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องปัดกวาดแก้ไข และมองเห็นปัญหาบ้านเกิดอีกหลายอย่างถึงยอมเสียสละหน้าที่ราชการในระดับอธิบดีที่ไม่ใช่จะเป็นกันง่ายๆ

เมื่อไพเจนถอนตัว เส้นทางนายกฯอบจ.สงขลาของสุพิศก็คล่องขึ้น หายใจสะดวกขึ้น ถ้าสุพิศปักหลักสู้ สุพิศก็จะเหนื่อย เพราะ 4 ปีของไพเจนบนตำแหน่งนายกฯอบจ.สงขลา แน่นอนว่า คนสงขลาจะต้องมองเห็นผลงานมากกว่าของสุพิศ

แต่แม้นสุพิศ พิทักษ์ธรรม จากทีมสงขลาพลังใหม่ จะยืนโดดเด่นอยู่คนเดียวก็ยังจะประมาทไม่ได้ ยังมีนิรันดร์ จินดานาค จากพรรคประชาชน ที่พรรคใช้ความพยายามอย่างแรงกล้าในการขอแจ้งเกิดในสนามท้องถิ่น แต่ยังไม่เคยสำเร็จ และไม่ควรลืมว่า สงขลาคือบ้านเกิดของ ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้นธารของพรรคประชาชน และยังมีน.ส.อภิญญา ยอดแก้ว ผู้สมัคอิสระ ที่เปิดตัวเสนอเป็นนายกอบจ.หญิงคนแรกของ จ.สงขลา ก็จะมาร่วมแบ่งคะแนนในรอบนี้ด้วย

แต่นั้นยังไม่น่าประหวั่นพลั่นพรึงเท่ากับการปรากฏชื่อ ‘ถาวร เสนเนียม’ จะร่วมลงชิงกับเขาด้วย เพราะไม่ควรลืมว่า ถาวร คืออดีต สส.สงขลาหลายสมัย อดีตอัยการที่คนสงขลารู้จัก แถมยังผ่านงานบริหารราชการแผ่นดินมาแล้วถึงสองกระทรวง รมช.มหาดไทย และ รมช.คมนาคม มีประสบการณ์ และคุณสมบัติพร้อม

แม้ถาวรจะยังไม่ตัดสินใจว่าจะลงสมัคร เพราะยังมีข้อกังวลเรื่องคดีที่รอศาลฏีกาตัดสิน ถาวรเกรงว่า ถ้าลงสมัครแล้วได้รับเลือกตั้ง แต่อีก 1 ปีต่อมาศาลฏีกาตัดสินออกมาเป็นลบ อบจ.สงขลาก็ต้องสูญเสียงบร่วม 100 ล้าน เพื่อจัดเลือกตั้งใหม่

แต่พลันที่มีชื่อถาวรปรากฏผ่านสื่อโซเชี่ยล ข่าวถูกแชร์ไปทั่ว เพียงวันเดียวก็สร้างความฮือฮาไปทั่ว ร้านน้ำชากาแฟต่างกล่าวขานถึงในเชิงสนับสนุน-เหมาะสม สมน้ำสมเนื้อกับสุพิศ ‘ถาวร’ ขอเวลา 4-5 วันในการประเมินคดี ประชุมร่วมกับทนายความเพื่อประเมินว่าคดีจะออกมาทางบวก หรือทางลบ แล้วจะตัดสินใจ แล้วจะแถลงข่าวให้ทราบโดยทั่วกัน เพียงแต่ถาวรอาจถูกตั้งคำถามเรื่องอายุ แต่ในทางการเมืองอายุเป็นเพียงตัวเลข โดนัล ทรัมป์ อายุเท่าไหร่แล้ว โจ ใบเด็น อายุเท่าไหร่กว่าจะหยุด

ที่ต้องประหวั่นพลั่นถึงถ้าถาวรลงสมัคร เพราะถาวรไม่ได้ไปคนเดียว เขามีองคาพยพมากมายในการจัดทัพกับช่วงเวลาสั้นๆ และอาจจะมีพรรครวมไทยสร้างชาติที่เขาสังกัดอยู่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และมีพรรคภูมิใจไทย ที่มีพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นแม่ทัพภาคใต้อยู่ และ ดร.นที รัชกิจประการ ภรรยา ก็จะพ้นโทษออกจากคุกในวันที่ 8 ธันวาคมนี้แล้ว ก็จะมาเป็นมือเป็นไม้ได้เป็นอย่างดี

สรุปความง่ายๆ ว่า ถ้าถาวรลงสมัคร ก็จะเป็นคู่ชิงของสุพิศที่สนุก เพราะเป็นสนามของคนรู้ใจ รู้เกมกันอยู่ แต่ถ้าถาวรไม่ลงสุพิศก็จะลอยลำ แต่ทำอย่างไรให้สุพิศ สลัดพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นตัว เดินออกห่างจากคนที่คนสงขลา และคนใต้ไม่ชอบให้ดี เพราะจะเป็นตัวถ่วงคะแนนในสถานการณ์ประชาธิปัตย์ขาลง อ่อนแอ

ประชาธิปัตย์อ่อนแอจนนำพาให้ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ พ่ายแพ้ในสนาม อบจ.นครศรีฯ เปิดทางให้ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ เข้ามาสร้าง ‘นครโมเดล’ ได้สำเร็จ

นครโมเดล
-ไม่ซื้อเสียง
-ไม่มีหัวคะแนน
-ไม่ฮั้วประมูล
-ไม่โกงกิน
-ไม่รังแกคนอื่น
-ไม่ใช่บ้านใหญ่

นครโมเดลนอกจากการสร้างปรากฏการณ์เหล่านี้แล้ว ‘นครเข้มแข็ง’ ยังใช้สื่อโซเชี่ยลในการแนะนำตัว หาเสียงอย่างเป็นระบบ เนื้อหาที่โดนใจในอารมณ์คนนครฯ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับบุคลิกการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของสาวมั่น จึงทำให้นครโมเดลสำเร็จ

ความพ่ายแพ้ของเจ้ต้อย ทำให้นครโมเดลถูกกล่าวขานถึง และสั่นสะเทือนไปถึงสงขลา นี้คือปรากฏการณ์ที่ ‘สุพิศ’ ต้องทบทวน และกำหนดทิศทางใหม่ให้ชัดเจน

‘รัดเกล้า’ โพสต์เฟซ!! โต้กลับ ‘แบงค์ ศุภณัฐ’ ชี้!! เป็น ‘โรคระแวง การสร้างคอนเนคชั่น’

(30 พ.ย. 67) ‘เนเน่’ หรือ นางสาวรัดเกล้า สุวรรณคีรี อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ในฐานะศิษย์เก่าของสถาบันพระปกเกล้า และสถาบัน วปอ. โดยมีใจความว่า ...

#ปปร และ #วปอบอ เป้านิ่ง อคติทางการเมือง

เอาจริงๆ โรคระแวงการสร้างคอนเนคชั่นของกลุ่มนักการเมืองในสังคมไทยนี่นับว่าอยู่ในระดับเรื้อรัง เป็นโรคที่มีมากันยาวนานแล้วนะคะ ซึ่งเอาจริงๆ ก็คงโทษประชาชนไม่ได้ที่จะมีอคติมองว่าการสร้างคอนเนคชั่นเป็นเรื่องไม่ดี มันก็คงเป็นเพราะเขาโดนมาเยอะ เจ็บมาแยะ กับการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องเพื่อประโยชน์ส่วนตนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ฉะนั้น จริงๆ แล้วเป็นโจทย์ที่นักการเมืองรุ่นใหม่ทุกคน ทุกพรรค ควรรับไว้เป็นการบ้าน คือต้องช่วยกันแก้อคติด้วยการประพฤติดี ใช้คอนเนคชั่นและเครือข่ายที่มีเพื่อส่งเสริมบรรยากาศการทำงานร่วมกัน สร้างการเมืองสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชน หากทุกคนร่วมกันทำเช่นนี้ ทำไปหลายๆ ปี แน่นอนว่ามันจะช่วยบรรเทาโรคระแวงของประชาชนได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม ในสภาวะที่อาการโรคระแวงนี้ยังไม่ทุเลา หลักสูตรดัง เช่น การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (ปปร.) และ การป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็น #เป้านิ่ง ให้คนยิงเป้า จับผิด ตำหนิ ติติง ระบายความระแวงใจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้... อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่นักการเมืองรุ่นใหม่ไม่ควรทำต่อความระแวงของประชาชน คือการ #ขว้างงูไม่พ้นคอ ทำให้โรคระแวงมันแย่ลงด้วยการเอาอคติทางการเมืองของตนเองมายัดเยียด ป้ายสีใส่กลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้าม มุ่งหวังให้ประชาชนหันไปรุมคนอื่นแทนนะคะ 

ในโพสต์นี้ เนเน่ในฐานะศิษย์เก่าของทั้งสถาบันพระปกเกล้าและสถาบัน วปอ. ขอตอบคำถามและให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับทาง ส.ส. แบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ เกี่ยวกับ หลักสูตร วปอ.บอ. นะคะ ทั้งนี้เพื่อสร้างความกระจ่างในข้อมูลที่ผิดเพี้ยน ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดต่อสถาบันเหล่านี้ และมิหน่ำซ้ำ ยังอาจจะตอกย้ำโรคระแวงในใจของประชาชนให้อาการแย่ลงไปอีกค่ะ

ข้อที่ 1. ที่ถามว่า... คนที่เข้าไปเรียนใช้สิทธิอะไรในการถูกคัดเลือกเข้าไปเรียน...

เฉกเช่นที่ สส.แบงค์ ออกมาปกป้องหลักสูตร ปปร. ว่าผู้จัดหลักสูตรมีการจัดสรรโควต้าให้กับ สส. 40 คน ทาง วปอ.บอ. เองก็มีโควต้าทางการเมือง 10 คนค่ะ บ้างก็เป็น สส. บ้างก็เป็นข้าราชการการเมือง (ซึ่งก็มีเนเน่ ที่เป็นรองโฆษกรัฐบาล ในช่วงนั้น) อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครที่ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้นเกือบ 500 คน จำเป็นต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์โดยคณะกรรมการของหลักสูตร เพื่อกลั่นกรองหา 150 คนที่มีทัศนคติที่เหมาะสมและมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำในอนาคตได้จริงๆ เท่านั้นค่ะ (ซึ่งจริงๆคณะกรรมการหลักสูตรเคยเล่าให้เนเน่ฟังอยู่หลายครั้งนะคะว่าเขาเสียดายมากๆ ที่ไม่มีตัวแทนจากพรรคก้าวไกล (ตอนนั้นยังไม่เปลี่ยนชื่อพรรค) เข้ามาเรียน ความจริงมีคนมาสมัครนะคะ แต่อายุเกินบ้าง อายุขาดบ้าง เลยกลายเป็นว่าผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลล้วนไม่ผ่านเกณฑ์เบื้องต้น เลยไม่มีใครได้เรียนค่ะ ...เล่าให้ฟัง จะได้ระงับดราม่าไว้ก่อนค่ะ ว่าทำไมไม่มีคนจากพรรคก้าวไกลมาเรียนเลย... อาจารย์อยากให้พวกคุณมาเรียนจริงๆ นะคะ ท่านเชื่อว่าการมามีส่วนร่วมจะช่วยให้คนในพรรคของคุณเข้าใจเรื่องของความมั่นคงมากขึ้น ขนาดตอนที่นักเรียน วปอ.บอ. รุ่น 1 เรียนจบแล้วมีนำเสนอผลงานทางวิชาการ ทางหลักสูตรยังส่งจดหมายเชิญไปที่พรรคประชาชน (ตอนนั้นเปลี่ยนชื่อแล้ว) แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีการส่งตัวแทนรับฟังค่ะ)

ทั้งนี้ในเรื่องคุณสมบัติของคนที่เข้าเรียน ที่ ส.ส.แบงค์ ทำให้หลายคนกังขาว่าคนที่มาเรียน "ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ" เกรงว่าคนจะเข้าใจผิด เหมารวม นึกว่าหมายถึงนักเรียนทั้งหมด ...ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น เนเน่ขอชี้แจงว่านักเรียนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหัวกะทิ บ้างมีโปรไฟล์เป็นถึงนักวิชาการที่มีชื่อเสียง บ้างเคยเป็นถึงนักเรียนเกียรตินิยมจากโรงเรียนชั้นนำ บ้างเป็นผู้บริหารในองค์กรระดับประเทศ อีกทั้ง ทางฝั่งข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตัวท็อปในหน่วยงานของตัวเองกันทั้งนั้นค่ะ เนเน่ได้เรียนรู้หลายเรื่องจากเพื่อนๆ เหล่านี้ ไม่น้อยไปกว่าที่ได้เรียนจากวิทยากรเลยค่ะ เขาเก่งกันจริงๆ นะคะ วอนหยุดเอาอคติทางการเมืองที่คับแคบมาตัดสิน มาด้อยค่าเพื่อนๆ ร่วมสถาบันของเนเน่เลยค่ะ ข้อ 2. ที่ถามว่าคนที่มาเรียนนั้นได้ จ่ายเงินค่าหลักสูตรหรือไม่ เพราะที่กองทัพให้ข้อมูลมาคือค่าใช้จ่ายหลักสูตรนี้ #เรียนฟรี และได้รับการสนับสนุนจากกองบัญชาการกองทัพไทย แปลว่าใช้ #ภาษีกู แบบเต็มๆ ...

อันนี้ เกรงว่าแหล่งข่าวในกองทัพของ สส.แบงค์ คงจะพูดไม่ครบนะคะ อันนี้ ถ้าไม่ทราบจริงๆ ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอเพิ่มเติมข้อมูลเพื่อให้เข้าใจให้ตรงกันนะคะ ว่าผู้เรียนกลุ่มเอกชน และข้าราชการการเมืองต้องจ่ายเงินเอง 130,000 บาทเพื่อใช้ในการดูงานในประเทศและต่างประเทศค่ะ (ที่ว่าเรียนฟรีนี้ สำหรับบุคลากรของรัฐ เช่น ข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ที่ทางหน่วยงานส่งตัวแทนมาเรียนเท่านั้นค่ะ) ...ฉะนั้นขอย้ำนะคะว่า นอกเหนือจากที่เราไม่ได้เบียดเบียนภาษีประชาชนแล้ว เราได้ตัดสินใจใช้เงินส่วนตัวลงทุนเพื่อรับความรู้ผ่านหลักสูตรนี้ค่ะ

อ่อ... และที่ถามว่า ‘กล้าเอารูปมาโพสต์’ ไหม ... ในคอมเมนท์ เนเน่ขอเอารูปตอน วปอ.บอ. ไปทำ CSR ด้วยเงินส่วนตัวที่พวกเราระดมกัน นำไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่สุโขทัย มาให้ดูเป็นตัวอย่างให้ดูนะคะว่าเราก็รวมตัวกัน ‘ก่อการดี’ ไม่ต่างอะไรกับ คณะนักศึกษา ปปร. ของ สส.แบงค์ ค่ะ มาช่วยกันคลายโรคระแวงการสร้างคอนเนคชั่นในสังคมไทยด้วยการเมืองสร้างสรรค์กันดีกว่านะคะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top