Monday, 9 June 2025
POLITICS NEWS

ตั้งคณะทำงาน 4 ด้าน ‘อาหาร-ค้าลงทุน-ท่องเที่ยว-มั่นคง’ ขอบคุณมาเลเซียต้อนรับอย่างอบอุ่น กระชับความร่วมมือ 2 ประเทศ

(16 ธ.ค. 67) น.ส.ศศิกานต์ วัฒนจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการประชุมหารือประจำปี (Annual Consultation: AC) ครั้งที่ 7 ที่จัดขึ้นที่ห้องประชุม Bilik Mesyuarat Perdana ชั้น 3 ประเทศมาเลเซีย ระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดย น.ส.แพทองธาร ได้กล่าวย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศ เพื่อบรรลุ "สันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" และมุ่งหวังที่จะร่วมมือกันเพื่อความก้าวหน้าและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้งสองชาติ

ในเวลา 09.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งกรุงเทพฯ ช้ากว่ามาเลเซีย 1 ชั่วโมง) ณ เมืองปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย น.ส.แพทองธาร และ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม ได้ร่วมกันตรวจแถวกองทหารเกียรติยศในพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการในโอกาสการเดินทางเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ (Official Visit)

ในการประชุมหารือประจำปี (AC) ครั้งที่ 7 นายกรัฐมนตรีไทยได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือของสองประเทศในหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการสนับสนุนด้านอาหารฮาลาล รวมถึงการเชื่อมโยงด้านคมนาคม พลังงาน และความมั่นคงในภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวถึงการเป็นโมเดลความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ที่ส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะการค้า การศึกษา และการท่องเที่ยว โดยมาเลเซียชื่นชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของไทย เช่น ภูเก็ต และสนับสนุนการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างทั้งสองประเทศภายใต้แนวคิด "6 Countries, 1 Destination"

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า มาเลเซีย เป็นมิตรประเทศ ที่ใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์ อันดีมากอย่างยาวนาน ทั้งยังเป็นหุ้นส่วน ทางการค้า ที่ใหญ่ที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียน ขณะเดียวกัน มาเลเซียยังเป็น 1 ใน10 ประเทศ ที่มีคนไทยอาศัยอยู่จำนวนมากอีกด้วย ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ทั้ง2 ประเทศ มุ่งมั่น ในการประสานความร่วมมือ ที่จะทำงานร่วมกันเพื่อสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน เพื่อความก้าวหน้าและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพลังงาน นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังได้กล่าวถึงการค้าระหว่างกัน เช่น การนำเข้ายางพาราจากไทย พร้อมทั้งลงนามบันทึกความเข้าใจด้านยางพาราระหว่างสองประเทศ

สำหรับมิติด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยืนยันว่า ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเป็นประเด็นภายในของไทย โดยมั่นใจว่าไทยจะสามารถสร้างสันติภาพในพื้นที่ได้ โดยการพูดคุยและพัฒนา

ทั้งสองฝ่ายยังได้กล่าวถึงการร่วมมือในด้านความมั่นคง เช่น การป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์ ยาเสพติด และการหลอกลวงทางออนไลน์ และจะร่วมกันจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และการประชุมความร่วมมือด้านความมั่นคงในปีหน้า

ทั้งนี้ สองประเทศได้ตั้งเป้าหมายการค้าระหว่างกันให้ได้ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570 โดยการค้าชายแดนมีสัดส่วนถึง 30% ของการค้าทวิภาคี และเห็นควรผลักดันการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดนให้มีความสะดวกยิ่งขึ้น

ในด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวถึงโครงการถนนเชื่อมด่านสะเดาใหม่และสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก ที่จะเสร็จตามกำหนด และคาดหวังว่าจะมีโครงการทางรางเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคในอนาคต

สุดท้าย นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนในปีหน้า ซึ่งมาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียน ภายใต้หัวข้อ "Inclusivity and Sustainability" ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ "Malaysia Madani" โดยเชิญนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเยือนไทยในโอกาสต่อไป

สส.พิมพ์ภัทราเปิดบ้านตั้งครัวช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม เผยสถานการณ์ น้ำท่วมนครศรีธรรมราช ยังวางใจไม่ได้

(16 ธ.ค. 67) พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค รวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ว่าสถานการณ์ยังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากมรสุมตะวันออกยังไม่แน่นอน

“ตั้งแต่เมื่อวานซืน ปุ้ยยังลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และวันนี้ได้เปิดบ้านตั้งครัวช่วยเหลือผู้ประสบภัย เราจะอยู่เคียงข้างกันท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังไม่ปกติ” เธอกล่าว พร้อมย้ำว่าสภาพอากาศยังมีฝนตกต่อเนื่อง ส่งผลให้น้ำในคลองท่าทนและคลองท่าเชี่ยวระบายลงสู่อ่าวไทยได้ยาก เนื่องจากระดับน้ำทะเลหนุนสูงและมีสิ่งกีดขวางทางน้ำ ซึ่งทุกหน่วยงานท้องถิ่นกำลังเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่

พิมพ์ภัทรา กล่าวเพิ่มเติมว่า เช้าวันนี้ น้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง จึงได้เปิดบ้านเพื่อจัดตั้งโรงครัวช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

เธอเตือนว่า สภาพอากาศยังคงไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากแนวร่องมรสุมขยับขึ้นลงผ่านพื้นที่ภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ชุมพรจนถึงชายแดนภาคใต้ ทำให้ดินในหลายพื้นที่อิ่มตัวจากฝนตกสะสมหลายวัน เสี่ยงต่อเหตุดินถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่เทือกเขาหลวงตั้งแต่ขนอมจนถึงทุ่งสง ซึ่งมีความเสี่ยงสูง

“พื้นที่บ้านเราที่สิชล ขนอม ท่าศาลา และนบพิตำ ซึ่งมีพื้นที่เกษตรกรรมบนเนินเขาจำนวนมาก ต้องเพิ่มความระมัดระวังสูงสุด หากเกิดเหตุฉุกเฉิน ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที” เธอกล่าวปิดท้ายด้วยความหวังว่า “เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันค่ะ”

‘ดุสิตโพล’ ชี้!! ผลงาน 3 เดือน รัฐบาลแพทองธาร ยังประเมินไม่ได้ เห็นผลชัดเจนสุด ‘แจกเงินหมื่น’ แนะ!! ควรเร่งแก้ปัญหาค่าครองชีพ

(15 ธ.ค. 67) ‘สวนดุสิตโพล’ สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ‘3 เดือนรัฐบาลแพทองธาร’ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,162 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 10-13 ธ.ค. 2567 พบว่า

กลุ่มตัวอย่างมองจุดแข็งของรัฐบาลแพทองธาร คือ การมีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ร้อยละ 49.38 ภาพรวมผลงาน 3 เดือนของรัฐบาลยังประเมินไม่ได้ ร้อยละ 39.85 ต่ำกว่าที่คาดหวัง ร้อยละ 28.14 และยังไม่เชื่อมั่นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ร้อยละ 54.99

โดยมองว่านโยบายที่เห็นผลชัดเจนที่สุดใน 3 เดือนที่ผ่านมา คือ การแจกเงิน 10,000 บาท ร้อยละ 71.44 เรื่องที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการแก้ไขโดยด่วนยังคงเป็นเรื่องการแก้ปัญหาค่าครองชีพ สร้างงาน เพิ่มรายได้ ร้อยละ 70.84

สุดท้ายสิ่งที่ประชาชนอยากฝากถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศ คือ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างทั่วถึง ร้อยละ 49.14

ศึกชิงอบจ. เดือด!! ทั่วประเทศ จับตา ‘นายใหญ่’ เดินหน้ารุกฆาต!! ฟื้นคืนพื้นที่อีสาน รักษาฐานที่มั่นภาคเหนือ ตีกิน กลาง ตะวันออก

(15 ธ.ค. 67) “ผมแพ้ผมก็ไม่เสียดาย  แต่ต้องมีการตายเกิดขึ้น  คนที่โกส่งก็ต้องตาย..”

บางถ้อยคำของเทปลับที่สะพัดจากสื่อโซเชี่ยลและสื่อหลัก  หลังการสังหารโหด ‘สจ.โต้ง’ นายชัยเมศร์  สิทธิสนิทพงศ์  ในบ้าน ‘โกทร’ สุนทร   วิลาวัลย์  นายกอบจ.ปราจันบุรี เมื่อ ค่ำวันที่ 11 ธ.ค. 2567

การตายของสจ.โต้งโยงใยให้มองเห็นได้ว่า เกมการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่กำลังจะระเบิดศึกเดือดพลั่ก..และการเมืองใหญ่หรือการเมืองระดับชาติกำลังจะประดาบทำสงครามกันครั้งใหญ่..

กรณีปราจีนบุรี..แต่เดิมมีร่องรอยชัดเจนว่า  ‘สจ.จอย’ ณภาพัช  อัญชาสาณิชมน   รองประธานสภาอบจ.ปราจีนบุรี   ภรรยาสจ.โต้ง จะได้ลงสมัครนายกอบจ.หลังจากโกทรประกาศวางมือ...แม้กระทั่งทักษิณ  ชินวัตร   ก็เปิดปากยอมรับกับนักข่าวเมื่อ 13 ธ.ค.ว่าพรรคเพื่อไทยมีการติดต่อสจ.จอยจริง  แต่เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้คงจะเปลี่ยนใจแล้ว..

มีการตั้งคำถามกึ่งเป็นคำตอบว่า...สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแผนเปลี่ยนใจให้สจ.จอยเปลี่ยนเสื้อจากภูมิใจไทยไปเป็นเพื่อไทย บวกกับบ้านเล็กบ้านน้อยที่กดดันไม่ให้ ‘โก’ หนุนคนของสจ.โต้งหรือไม่...จึงเกิดฉากสังหารเกิดขึ้น..!!??

เรื่องคดีปล่อยให้ตำรวจยุค..บิ๊กต่าย ผบ.ตร.,บิ๊กอ้อ ผช.ผบ.ตร.ที่กำลังขึ้นหม้อ  ชาวประชาให้ความเชื่อถือพิสูจน์ฝีมือกันต่อไป...แต่การล้างบางมาเฟียที่ประกาศโดย ‘นายกทับซ้อน’ นั้น  ต้องจับตาดูว่าเป็นแค่ราคาคุยหาเสียงล่วงหน้า  หรือว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ..

กลับมาโฟกัสที่การเลือกตั้งนายกอบจ./ส.อบจ.กว่า 40 จังหวัดในวันที่ 1 ก.พ.2568  ที่มีแนวโน้มว่าจะดุเดือดเลือดพล่าน...เพราะจะเป็นการเลือกตั้งที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคมุ่งจะปักธงชัยชนะเพื่อรักษาคะแนนนิยม,รักษาบ้านใหญ่ เพื่อผลสุดท้ายนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งระดับชาติในครั้งหน้าซึ่ง โอกาสเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ปี2568-2570

ขีดเส้นใต้สิบเส้น...การที่ทักษิณพูดถึงกรณีปราจีนบุรี และการปรากฎการณ์กรณีอุดรธานี,อุบลราชธานี...บวกกับโปรแกรมที่”นายใหญ่”จะไปช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยและคนในร่มธงเพื่อไทยช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า   ถูกออกแบบ-วางแผนไว้เป็นอย่างดี..

สอดประสานกับการเดินเกม..งานใต้ดินที่ ‘นายใหญ่’ ต้องใช้บริการจาก ‘ผู้กอง’ ผู้กว้างขวางที่เพิ่งเผด็จศึกแนวรบบ้านในป่ามาสดๆ ร้อนๆ..

อันที่จริงเกมของ ‘นายใหญ่’  ก็ไม่น่าจะอ่านยาก  1) ตรึงจังหวัดสำคัญ ฟื้นคืนพื้นที่อีสานฐานที่มั่นใหญ่ไห้ได้สส.เขตที่อีสานรอบหน้าอย่างน้อยสุด 100 เสียงขึ้นไป  2)ฟื้นภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ นายกอบจ.ก๊อง-พิชัย  เลิศพงศ์อดิศร  อาจจะไม่สวมเสื้อเพื่อไทยแต่ต้องรักษาแชมป์ไว้ให้ได้เพื่อเอาสส.เพื่อไทยสมัยหน้ากลับมาให้ได้จากที่เหลืออยู่ 2 คน ให้กลับมาเป็นอย่างน้อย 8 หรือยกจังหวัด10คน..

และ3) สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเคลียร์พื้นที่ภาคกลาง(รวมภาคตะวันออก)...ถึงนาทีนี้ ‘นายใหญ่’ และเครือข่ายเดินเงียบ  โดยเฉพาะแนวรบด้านตะวันออก ตั้งแต่ฉะเชิงเทรา,ชลบุรี,ระยอง,จันทบุรี และตราด..เรียบร้อยหมดแล้ว..เหลือแต่ปราจีนบุรีและนครนายก  ที่ปิดจ๊อบยังไม่จบ..โดยเฉพาะที่ปราจีนบุรี  ต้องรอดูเจ้าของพื้นที่สีน้ำเงินว่าจะออกอาวุธอย่างไร แบบไหน..คงไม่ปล่อยให้สูญเสียพื้นที่อาณาเขตทางการเมืองของตัวเองไปได้ง่ายๆ

รวมความแล้วเกมที่ดูเหมือนจะไม่ยากนักสำหรับคนระดับทักษิณ  แต่เมื่อส่องกล้องมองในรายละเอียด   เกมชิงนายกอบจ.40กว่าจังหวัดต้นปีหน้าก็ใช่ว่าจะเป็นรายการเคี้ยวหมู..อุปสรรคใหญ่ที่เป็นก้างขวางคออยู่ในขณะนี้ก็คือ...พรรคประชาชนที่ปักธงส่งผู้สมัครแบบหวังผลอย่างน้อย 12 จังหวัด, พรรคภูมิใจไทย ที่ ‘ครูใหญ่’เนวิน   ชิดชอบ  ยังกบไพ่เงียบ..เปิดออกมาเมื่อไหร่ไม่ใครต่อใครก็อาจเป็นลม..เหมือนตอนเลือกตั้งสว.สภาน้ำเงิน ก็ได้..

ยิ่งนาทีนี้ ‘นายใหญ่’ ออกตัวแรงในทุกๆ ด้านแม้กระทั้งกรณีกึ่งขับไล่ ด้อยค่าพรรคร่วม..ก็ใช่ว่าจะเป็นผลบวกในทุกๆเรื่องเสมอไป!!

‘พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์’ อดีตบิ๊กศรภ. โพสต์ข้อความเรื่อง ‘เกาะกูด’ ชี้!! เป็นของคนไทย ทักษิณต้องหาทางถอย ไม่ให้เสียหน้า ไม่ให้ฮุนเซนเสียใจ

(15 ธ.ค. 67) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง ‘เกาะกูด สงครามที่ทักษิณ ไม่มีหนทางชนะได้’ ระบุว่า …

ประเด็นเรื่องเกาะกูดเป็นของไทยหรือไม่ นั้น ได้ข้อยุติจากคุณทักษิณเมื่อวานนั้น  ว่ารัฐบาลไทยก็เห็นด้วย ว่าเป็นของคนไทย แต่จะเห็นด้วยอย่างเดียวไม่พอ รัฐบาลไทย ยังต้องทำอีก 2 เรื่อง คือ

1.รัฐบาลไทยต้องไปพูดเรื่องอาณาเขตทางทะเลของเกาะกูด กับ กัมพูชาให้ชัดเจน ว่าของไทยอยู่ตรงไหน ของกัมพูชาอยู่ตรงไหนบ้าง

2.การพูดถึงเรื่องอาณาเขตทางทะเลให้เป็นผลสำเร็จ ทั้ง 2 ประเทศ ต้องใช้ กฎหมายฉบับเดียวกัน และต้องเป็นกฎหมายที่ถูกต้อง ทั้งประชาชน และสากลโลกยอมรับ อีกด้วย

ดังนั้นไม่ว่าฝั่งรัฐบาล จะออกมาพูดว่าเกาะกูดเป็นของไทย สักกี่ครั้ง ก็ยังไม่พอ ถ้าไม่พูดคุยด้วยกฎหมายอาณาเขตทางทะเลฉบับเดียวกันเสียก่อน

แต่ถ้าจะไปเจรจา ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมายที่แตกต่างกัน โดยทางไทยยึดตามสหประชาชาติ ส่วนกัมพูชา ใช้กฎหมายที่นึกคิดเอาเอง  ดังเช่นในปัจจุบันนี้แล้ว  เมื่อเริ่มการเจรจาขึ้น กัมพูชาก็จะเกิดสิทธิ์เพิ่มขึ้นมาเองทันที โดยกัมพูชาสามารถอ้างว่า ไทยยอมรับเขตแดนทางทะเลที่กัมพูชา กำหนดขึ้นมาเอง โดยที่รัฐบาลไทยไม่ทักท้วงอะไรเลย ซึ่งจะทำให้อาณาเขตทางทะเลที่นึกขึ้นมาเองของกัมพูชา เริ่มจะถูกต้อง ขึ้นมาทันที

เรื่องนี้ในที่สุด คุณทักษิณก็รู้ดี ว่าเป็นสงครามที่ไม่มีทางชนะ เพราะคนไทยไม่ยอม ‘ถอย’ แน่นอน ดังนั้นคุณทักษิณ จะต้องเป็นฝ่ายหาทาง ‘ถอย’ ในรูปแบบไหนเท่านั้น  เพื่อ (1) ไม่ให้ตัวเองเสียหน้าต่อคนไทย และ (2) ไม่ให้ฮุนเซนเสียใจด้วย  เรื่องหลังนี่สำคัญมาก ครับ

‘อนุทิน’ ไม่ใส่ใจคำพูด ‘ทักษิณ’ เผย!! มีอะไรก็หารือ กับนายกฯ

(14 ธ.ค. 67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวผ่านรายการข่าวเที่ยง ทางไทยพีบีเอส ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในการสัมมนาพรรคเพื่อไทยความตอนหนึ่งตำหนิพรรคร่วมบางพรรค หนีประชุมพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศ ว่าไม่น่าจะหมายถึงตน หรือ พรรคภูมิใจไทย เนื่องจากในวันดังกล่าว ตนได้เข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการ และไม่ทราบว่ามีการเลื่อนการประชุมเป็นวันพุธที่ 11 ธันวาคม เนื่องจากปกติ การประชุมคณะรัฐมนตรี จะประชุมทุกวันอังคาร

โดยระหว่างพบแพทย์เพื่อทำการตรวจนั้น นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์เพื่อตามให้เข้าประชุม เนื่องจากมีการพิจารณากฎหมายสำคัญ ซึ่งหลักจากตรวจเสร็จ ก็รีบเข้าประชุม ครม.ทันที อีกทั้งรัฐมนตรีหลายคนของพรรคก็เข้าร่วมประชุมในวันนั้น เว้นแต่ผู้ที่ติดภารกิจราชการ จึงไม่อยากให้เชื่อมโยงมาถึงพรรคภูมิใจไทย

เมื่อถามว่า การที่นายทักษิณ พูดในลักษณะนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณถึงพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทย รับสัญญาณจากนายกรัฐมนตรี คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพราะนางสาวแพทองธาร คือ หัวหน้ารัฐบาล

“ท่านทักษิณ พูดถึงพรรคที่ไม่เข้าร่วมประชุม ผมก็ไม่นำพาไปฟังอะไรมาก เพราะผมก็ไปร่วมประชุม” นายอนุทิน กล่าว

ส่วนจะต้องพูดคุยทำความเข้าใจกันหรือไม่นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ตนพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเป็นประจำอยู่แล้ว นายกฯ แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีอะไรก็ต้องหารือนายกฯ แพทองธารอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า จะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลหลังจากนี้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาต่อกันอยู่แล้ว และจากนี้ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ซึ่งการร่วมรัฐบาลต้องทำงานร่วมกันเป็นไฟต์บังคับ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ และประชาชน

เบอร์ 2 'รองเอ็ด' บุกปลุก ตากต้องเปลี่ยน คนฟังปราศรัยแน่น ศึกเลือกตั้ง อบจ.ตาก

(14 ธ.ค. 67) แรงงงแซงโค้งสนามเลือกตั้งที่น่าจับตาวันนี้คือศึกการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก เป็นสนามที่บ้านใหญ่ปะทะผู้ท้าชิงที่วันนี้รวมตัวกันฝั่งฝ่ายค้านคือพลังประชารัฐและพรรคประชาชนผนึกกำลังสู้ บ้านใหญ่ฝั่งภูมิใจไทย ฝั่งผู้ท้าชิง ‘รองเอ็ด’ พตท. อนุรักษ์ จิรจิตร ผู้สมัครหมายเลข 2 ปักธงตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ ณ สนามกีฬาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ข้างสำนักงานเทศบาลนครแม่สอด เป็นเวทีที่ 64 และเป็นเวทีสุดท้าย ก่อนการเลือกตั้ง ในวันพรุ่งนี้ มีคนร่วมฟังปราศรัยเกือบ 2,000 คน  

‘รองเอ็ด’ ชูนโยบาย ตากต้องเปลี่ยน และบอกกับชาว อำเภอ แม่สอดแผ่นดินเกิด มารดาเป็นคนแม่สอด บิดาเป็นคนอำเภอเมืองตาก ช่วงเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีลงพื้นที่อำเภออุ้มผาง และอำเภอพบพระ เหมือนเรือนนอน กุมหัวใจคน 4 อำเภอไว้อย่างเหนียวแน่น และลงพื้นที่อย่างสมบุกสมบันจนคว้าใจพี่น้องชาติพันธุ์ 9 ชนเผ่า ทุกอำเภอด้วย ปฏิญญา ‘พลิกตากทั้งจังหวัด’

ไฮไลต์ก่อนปิดปราศรัยที่เป็นม็อตโต้สำคัญ คือ ‘เลิกทนอยู่แบบเดิม ตากต้องเปลี่ยน’ ถือเป็นจุดพีคสุดที่จะทำให้รองเอ็ดถือแต้มต่อในโค้งสุดท้าย และเป็นยุทธวิธีเดียว เพื่อปลุกกระแส...เดินฝ่า...ห่ากระสุน ในศึกเลือกตั้ง นายก อบจ.ตาก ครั้งนี้ ท่ามกลางเสียงสนับสนุน กึกก้อง เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์การเมืองท้องถิ่นหน้าใหม่ เพราะไม่เคยเห็นเลือกตั้งท้องถิ่นปราศรัยเยอะขนาดนี้ รวม64 เวที มีรายงานว่า คนที่มาฟังปราศรัย ที่ผ่านมาน่าจะอยู่ประมาณ 50000 คน

‘ถาวร เสนเนียม’ ร่อนแถลงการณ์ ถึงพี่น้องประชาชน เผย!! สาเหตุตัดสินใจ ไม่ลงสมัครชิงนายกฯอบจ.สงขลา

(14 ธ.ค. 67) นายถาวร เสนเนียม ร่อนแถลงการณ์ ถึงพี่น้องประชาชน ระบุว่า …

เรียนพี่น้องประชาชนที่สนใจติดตามการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาและสื่อมวลชนทุกท่านครับ

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในช่วงหลายวันที่ผ่านมาจากหลายสื่อหลายกระแสด้วยกันว่า ผมกำลังจะได้รับการสนับสนุนจากพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคภูมิใจไทยและได้รับแรงเชียร์จากน้อง ๆ ส.อบจ.สงขลา ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลารอบหน้า ที่กำลังจะมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 หลังจากนั้น ผมเองก็ได้รับโทรศัพท์และได้รับการติดต่อเพื่อขอเป็นรับแรงสนับสนุนจากน้อง ๆ ที่ยังดำรงตำแหน่ง ส.อบจ.สงขลา และที่จะเป็นผู้สมัคร ส.อบจ.สงขลา ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งสังกัดทีมรวมพลังร่วมสร้างสุขที่รวมตัวกันก่อนหน้านี้แล้ว

รวมถึงได้รับแรงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งของผมและจากหลาย ๆ เขต ตลอดถึงญาติมิตร

พี่น้องเพื่อนฝูง เมื่อได้ทราบถึงกระแสข่าวต่างติดต่อเข้ามาเพื่อให้กำลังใจผม ประหนึ่งเสมือนผมได้ตอบตกลง

ที่จะเป็นผู้สมัครลงชิงตำแหน่ง นายก อบจ.สงขลา รอบหน้าจริงแล้ว การตอบคำถามถึงกระแสข่าวข้างต้น ผมจึงต้องระมัดระวังถึงความรู้สึกดี ๆ ที่ทุกคนมอบให้ เพราะพี่น้องประชาชนในจังหวัดสงขลาต่างทราบดีว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันเป็นอย่างไร ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ ประชาชนต่างคาดหวังที่จะมี ผู้นำท้องถิ่น สมาชิกรัฐสภาและรัฐมนตรีที่มีความซื่อสัตย์สุจริตมาบริหารพัฒนาแก้ปัญหา คิดและทำเพื่อประโยชน์ให้ประชาชน ไม่ผูกขาดการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองด้วยอิทธิพลหรือทุนสีเทา

ดังนั้น ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้า ประชาชนชาวสงขลาจึงต้องการที่จะเห็นการเมืองในรูปแบบที่ใสสะอาด ปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และปราศจากการใช้อิทธิพลหรือทุนสีเทามาเอารัดเอาเปรียบผู้สมัครที่สุจริต ผมเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านการทุจริต และต่อต้านการเลือกตั้งที่มีการใช้อิทธิพลหรือทุนสีเทามาตลอด และเป็นผู้ที่ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใด ในการตอบคำถามของผมจากกระแสข่าวข้างต้นไปบ้างแล้ว

บางคนมองว่า ทำไมผมไม่เสียสละมาเป็นผู้สมัครนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้า ผมจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้ ชี้แจงที่มา

ของการตัดสินใจเข้ามาลงสนามการเมืองดังนี้

1.ในปี 2538 ผมมีอายุ 48 ปี และรับราชการเป็นอัยการจังหวัดกระบี่กับอัยการจังหวัดสงขลาต่อเนื่องมาหลายปี และประกอบอาชีพทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการ และยังมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพอัยการ เพราะอายุราชการที่เหลืออีก 12 ปี ผมย่อมสามารถไต่ต้าวเข้าสู้ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ แต่ด้วยในปี 2534 –2538 ประเทศไทยเกิดวิกฤติทางการเมืองหลายครั้ง สืบเนื่องจากปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน และการใช้อำนาจทางการเมืองโดยมิชอบ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ได้ยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชน เพื่อต่อสู้กับวิกฤติเหล่านี้อย่างเหนื่อยยาก ผมเองซึ่งเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ปี 2511 จึงได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งอัยการจังหวัดสงขลา เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.หวังได้เข้าไปต่อสู้ในสภาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ การลาออกจากราชการของผมครั้งนั้น ผมยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมาในผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น แต่พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกผมเข้าไปทำหน้าที่ สส. และเลือกผมตลอดมา 7 สมัย โดยที่ผมไม่ต้องใช้อิทธิพลหรือใช้เงินซื้อเสียงเพื่อเอาเปรียบคู่ต่อสู้ทางการเมือง ผมเล่นการเมืองโดยวิถีสุจริตตลอดมาพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งย่อมทราบดี

2.ในระหว่างที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ผมได้ทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมส่อทุจริต 5 คนทุกสมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎรคืออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเหล่านี้
1.นายบรรหาร ศิลปะอาชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
2.นายสุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น
3.นายวัน มู หะหมัด นอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
4.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
5.พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
และผมเคยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ดำเนินการเลือกตั้งไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรม เพื่อเอื้อประโยชน์ในการจัดการเลือกตั้งให้พรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นข่าวที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว

3. ในระหว่างที่ผมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ผมได้ทำหน้าที่ฝ่ายบริหารพัฒนาแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ตามนโยบายรัฐบาลมีผลงานตามที่ปรากฏ ผมได้ทำการกำกับบริหารจัดการดำเนินการหน่วยงานภายใต้ภารกิจทั้งหมดด้วยความสุจริต โดยไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือถูกร้องเรียนถึงพฤติกรรมทุจริตแต่อย่างใด

4.ด้วยประวัติทางการเมืองโดยสังเขปของผมดังกล่าวมา ประกอบกับประชาชนชาวจังหวัดสงขลาและน้องๆ ส.อบจ.สงขลาจำนวนหนึ่ง อยากให้ นายก อบจ.จังหวัดสงขลาคนต่อไป มาจากผู้มีประวัติทางการเมืองสุจริต มีประวัติการทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน จึงเป็นที่มาของกระแสข่าวว่า ผมได้รับแรงหนุนให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ.ครั้งหน้า เพราะที่ผ่านมาประชาชนชาวสงขลาและ ส.อบจ.สงขลา ทุกคนทราบดีว่า นายก อบจ.สงขลา มีปัญหาถูกตรวจสอบเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันต่อเนื่องตลอดมา บางรายถึงขนาดขัดแย้งกันจนต้องมีการจ้างวานฆ่าฝ่ายผู้เห็นต่าง บางรายก็กำลังรับโทษอยู่ในเรือนจำจากกรณีทุจริตคอร์รัปชันบางรายก็กำลังต่อสู้คดีอยู่ในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

5.จากกระแสข่าวที่ผ่านมา ผมจึงขอขอบคุณทุกแรงเชียร์ขอบคุณทุกกำลังใจที่ประสงค์จะให้ผมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ.สงขลาในครั้งหน้า แต่ผมขอเรียนให้ทราบว่า ด้วยความตั้งใจในทางการเมืองของผมที่ต้องการเห็นการเมืองใสสะอาดปราศจากการทุจริตคอร์รัปชันนั้น หมายความรวมถึง การละเว้นการกระทำการที่อาจจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการด้วย ซึ่งทุกท่านทราบดีว่า ช่วงวิกฤติทางการเมืองในปี2556 – 2557 ผมกับมวลมหาประชาชนทั่วประเทศ ได้ออกมาร่วมชุมนุมต่อต้านการออกกฎหมายล้างผิดคนโกงหรือกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ออกมาต่อต้านรัฐบาลที่โกงชาติทำร้ายแผ่นดิน จนท้ายสุดผมต้องคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก 5 ปี และถูกขังไว้โดยหมายของศาลในระหว่างการขอปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้ผมต้องพ้นจากคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พ้นจากสถานะความเป็น สส. และพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ต่อมา ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาลงโทษจำคุกผม 1 ปี และปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการยื่นฎีกาคำพิพากษาในศาลฎีกา

6.แม้ว่าผมจะมีคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สงขลา ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 49 , มาตรา 50 และตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 35/1 ก็ตาม แต่ผมเห็นว่า หากผมเป็นผู้สมัคร นายก อบจ.สงขลา ที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนชาวสงขลาต่อไปแต่ถ้า ระหว่างการดำรงตำแหน่ง นายก อบจ.สงขลาหากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกในลักษณะเดียวกับศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ความเสียหายย่อมเกิดกับทางราชการเพราะต้องจัดการเลือกตั้ง นายก อบจ.สงขลาใหม่อีกครั้ง สิ้นเปลืองงบประมาณของ อบจ.สงขลา ประมาณ เจ็ดสิบกว่าล้านบาท และทำให้พี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อนออกมาใช้สิทธิกันใหม่ ประกอบกับทีมทนายความที่รับผิดชอบว่าความให้ผม มีความเห็นว่ามีแนวโน้มสูงที่ศาลฎีกาจะพิพากษาว่า ผมกระทำผิดและอาจจะถูกลงโทษตามที่อัยการฟ้องผมจึงตัดสินใจไม่สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาครับ

7.ดังนั้น การตัดสินใจของผมไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้าตามที่มีกระแสข่าวจึงไม่ได้เกิดจากความไม่เสียสละ ไม่ได้เกิดจากความกลัวที่จะแพ้การเลือกตั้ง ไม่ได้เกิดจากความกลัวหรือสมยอมให้กับการทุจริตคอร์รัปชันหรือทุนสีเทา ที่พี่น้องประชาชนหวาดระแวง แต่ผมมองถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาผมปฏิบัติตนในแนวทางนี้มาโดยตลอด จะเห็นได้ว่าในการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา ผมสังกัดพรรคไทยภักดี ผมสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้ แต่ผมมีหลักคิดเช่นเดียวกันว่าหากประชาชนให้ความไว้วางใจแล้ว ต่อมาผมต้องถูกคำพิพากษาให้จำคุก ผมก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งครั้งนั้น ผมจึงตัดสินใจลงสมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ เพราะหากพ้นจาก ตำแหน่งไปก็สามารถเลื่อนลำดับถัดไปขึ้นแทน โดยไม่ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณของทางราชการ

8.ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลา ครั้งหน้า ผมหวังว่าประชาชนชาวจังหวัดสงขลาจะตื่นรู้ว่า ผู้สมัครรายใดตั้งใจจริงเพื่อพี่น้องประชาชนหรือ ผู้สมัครรายใดอาศัยอิทธิพลหรือทุนสีเทาในการเข้าสู่ตำแหน่ง สำหรับผมเองก็จะคอยให้กำลังใจและสนับสนุนผู้สมัครที่มีประวัติดี มีที่มาดี และมีความตั้งใจเข้ามาทำงานเพื่อรับใช้พี่น้องประชาชน และผมขอเสนอให้ผู้ที่กำลังจะสมัครนายก อบจ.สงขลาทุกคน ให้แข่งขันกันโดยสุจริตเที่ยงธรรมจัดทำนโยบายที่ดีมีประโยชน์มาเสนอให้ประชาชนได้รับทราบ และขอให้สู้กันในกติกาโดยชอบด้วยกฎหมายต่อไป

ผมขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุน

'ขัตติยา' สวน 'เท้ง' มีผลงานอะไร หลังหน.พรรคส้มตัดเกรดผลงานนายกอิ๊งค์ 'ไม่ผ่าน'

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค. 67) นางสาวขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X (เอ็กซ์) ถึงกรณีที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน วิจารณ์นโยบายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังจากแถลงผลงานครบ 90 วัน ภายใต้แคมเปญ '2568 โอกาสไทย ทำได้จริง : 2025 Empowering Thais: A Real Possibility'

โดยว่า ผลงานไม่ผ่านเกณฑ์ พร้อมกล่าวว่า ทุกนโยบายที่นายกรัฐมนตรีแพทองธารประกาศในวันนี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 ดังนั้น ในขณะที่ประชาชนมีความหวัง พรรคฝ่ายค้านบางพรรคควรหยุดสร้างวาทกรรมที่ไม่สร้างสรรค์บ้าง

นางสาวขัตติยากล่าวต่อว่า หากหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านชอบประเมินผลงานของผู้อื่น ขอแนะนำให้เริ่มจากการประเมินตัวเองก่อน ว่าผลงานของท่านในฐานะหัวหน้าพรรค 125 วันที่ผ่านมาเป็นอย่างไร คะแนนนิยมของพรรคเพิ่มขึ้นหรือลดลง? ท่านสามารถเริ่มต้นจากการถามสมาชิกภายในพรรคได้ว่า การทำงานของท่านผ่านเกณฑ์หรือไม่?

'รัดเกล้า' นำผู้ปกครองหารือกระทรวงศึกษา เหตุโรงเรียนในเขตบางพลัดปิดตัวกะทันหัน

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.67) นางรัดเกล้า สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้นำตัวแทนผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากการปิดตัวอย่างกะทันหันของโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชา แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด เข้าพบนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ โดยมีประเด็นการหารือมี 4 ข้อ คือ 1. บทบาทและหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ในการช่วยเหลือผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ 2. ปัญหาค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องแบกรับ เช่น ค่าแรกเข้าโรงเรียนใหม่ เป็นต้น 3. ความเป็นธรรมในการรับเอกสารของบุตรหลาน เพื่อนำไปสมัครที่โรงเรียนใหม่ ในขณะที่ผู้ปกครองยังมีสภาพเป็นหนี้ค่าเทอมของโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชา และ 4. เรียกร้องการแก้กฎหมาย เพื่อบังคับให้การปิดกิจการโรงเรียน ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าและแจ้งผู้ปกครองให้ทราบเรื่องนานกว่านี้

ในประเด็นแรก นางรัดเกล้าเป็นผู้แทนผู้ปกครองที่เดือดร้อน แจ้งว่าการประกาศปิดกิจการของโรงเรียนดังกล่าวส่งผลกระทบให้ผู้ปกครองอีกทั้งก่อให้เกิดข้อกังวลใจและข้อสงสัยในบทบาทการทำงานของหน่วยงาน สช. ภายใต้การดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยนายสิริพงศ์ ได้แจ้งระเบียบการปิดกิจการของโรงเรียนเอกชนให้กลุ่มผู้ปกครองได้รับทราบว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร เช่น โรงเรียนแจ้งปิดกิจการในวันที่ 18 พ.ย. ก่อนจะปิดภาคเรียนที่ 1 ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการขออนุญาตเลิกกิจการโรงเรียนเอกชนในระบบที่กำหนดให้แจ้งการปิดกิจการก่อนล่วงหน้าประมาณ 120 วันก่อนปิดภาคเรียน เพื่อให้ผู้ปกครองได้เตรียมตัว อีกทั้งตอกย้ำว่า การทำงานของ สช. ยึดเกณฑ์ของกฎและระเบียบเป็นหลักเพื่อความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

อย่างไรก็ดี นางรัดเกล้าเป็นตัวแทนบอกเล่าเสียงสะท้อนจากกลุ่มผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ ที่มองว่าการแจ้งปิดกิจการล่วงหน้า 120 วัน อาจเป็นระยะเวลาที่น้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง แม้ในครั้งนี้โรงเรียนได้ดำเนินการภายใต้ระเบียบ แต่ผู้ปกครองเรียกร้องขอให้มีการปรับแก้ไขระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นอีก โดยเสนอให้มีการยืดระยะเวลาออกไปให้มากกว่า 120 วัน เป็น 1 ปีการศึกษาแทน อีกทั้ง ผู้ปกครองที่มาร่วมหารือด้วย เสริมว่าควรมีระเบียบบังคับให้โรงเรียนที่จะทำการปิดตัวต้องจัดทำแผนรองรับการปิดกิจการของโรงเรียนเอกชน โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น คณะผู้สอน ผู้ปกครอง ฯลฯ มีส่วนร่วมในการออกความเห็นในการวางแผน  ซึ่งในประเด็นนี้ นายสิริพงศ์ เห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี พร้อมรับไปศึกษาความเป็นไปได้เพื่อปรับแก้ระเบียบดังกล่าวให้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่เยาวชนที่เป็นนักเรียน 

นอกจากนี้ นางรัดเกล้าและคณะยังหารือในประเด็นการจัดหาสถานศึกษาใหม่ให้แก่นักเรียน ซึ่งขณะนี้ผู้บริหารโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชาได้เสนอโรงเรียน 33 แห่งที่สามารถรองรับนักเรียนได้ แต่บางแห่งรับได้จำนวนจำกัด และบางแห่งมีค่าใช้จ่ายแรกเข้าสูง จึงสร้างความกังวลและภาระทางการเงินให้ผู้ปกครอง นายสิริพงศ์ ได้กำชับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) ให้ไปชี้แจงกับโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชาว่าจะต้องจัดหาโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนเพิ่มเติมจากในจำนวน 33 แห่งนี้ เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้แก่ผู้ปกครอง โดยให้ดูแลติดตามว่าโรงเรียนต่าง ๆ ที่ได้คัดเลือกมา สามารถรองรับนักเรียนจากโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชาได้ครบถ้วน เด็กนักเรียนที่ได้รับผลกระทบได้เข้าเรียนอย่างแน่นอน 100%

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนประเด็นเรื่องการออกใบรายงานผลการศึกษา หรือใบเกรดของนักเรียนนั้น เนื่องจากกลุ่มผู้ปกครองมีความกังวลว่า หากมีกรณีที่ผู้ปกครองยังไม่ได้ชำระค่าเล่าเรียนอาจทำให้ถูกยึดใบเกรด ซึ่งขอยืนยันว่าใบเกรดไม่สามารถเป็นหลักประกันสร้างเงื่อนไขให้จ่ายค่าเล่าเรียน แต่ในฐานะที่ ศธ.เป็นคนกลางยังยืนยันว่าเป็นหนี้ก็ต้องชำระ ดังนั้นจึงมีแนวทางร่วมกันว่าให้มีการเจรจาระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียนในการรับสภาพหนี้ เพื่อหาทางออกให้แก่กลุ่มผู้ปกครองในการแบ่งจ่ายชำระหนี้ แต่จะไม่มีกรณีว่าต้องชำระค่าเล่าเรียนเป็นเงินก้อนถึงจะได้ใบเกรด ซึ่งกรณีแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

นางรัดเกล้าปิดท้ายการหารือด้วยการขอบคุณนายสิริพงศ์ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และยืนยันว่าตนพร้อมช่วยติดตาม และช่วยเหลือผู้ปกครองจนกว่าปัญหาจะคลี่คลาย ในฐานะของคนที่มีลูกเช่นเดียวกัน ตนเข้าใจในความหนักใจของผู้ปกครอง สิ่งสำคัญที่สุดคือ 'นักเรียนต้องมาก่อน' เยาวชนที่ได้รับผลกระทบต้องได้รับการดูแลให้มีโอกาสศึกษาต่ออย่างต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top