Monday, 21 April 2025
POLITICS NEWS

‘ดวงฤทธิ์’ นำทีมรวมไทยสร้างชาติ เสนอกฎหมาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ การศึกษาไทย

(31 ต.ค. 67) ที่ห้องแถลงข่าวสภาผู้แทนราษฎร รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองประธานและโฆษกกรรมาธิการการศึกษา พร้อมคณะ ได้ยื่นร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับรวมไทยสร้างชาติ ให้แก่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร

รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ฉบับรวมไทยสร้างชาติ ฉบับนี้ มุ่งพัฒนาส่งเสริม ยกระดับคุณภาพการศึกษา และที่สำคัญคือ การสร้างการศึกษาที่ตอบโจทย์ ทั้งในระดับพื้นที่ ผู้ประกอบการและผู้เรียน เนื้อหาสาระสำคัญในร่างพรบ.ฉบับนี้ ที่เพิ่มเติมเข้าไป คือการ 'รื้อ ลด ปลด สร้างการศึกษาที่ตอบโจทย์' ซึ่งเป็นนโยบาย จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และมอบหมายให้ทำการยื่นร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ 

ซึ่งสาระสำคัญคือ 'รื้อ' คือ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมาย 'ลด' คือ ลดภาระครูในการทำวิทยฐานะ ดูจากผลการทำงานเป็นหลัก ไม่เน้นทำเอกสารส่ง 'ปลด' คือ ปลดล็อกให้สามารถเพิ่มสกิลความเก่ง ความสามารถ ผลงานนอกห้องเรียน มาเป็นแต้มต่อในการประเมินผลการเรียนได้ 'สร้าง' คือ สร้างการศึกษาที่ตอบโจทย์เพื่อสนับสนุนตอบสนองความต้องการในพื้นที่ ในเขตจังหวัด และความต้องการจากภาคธุรกิจ การค้า การลงทุน เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะความรู้สอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่เขตจังหวัดและความต้องการจากภาคธุรกิจ การค้า การลงทุน

"ตัวผมเอง ในฐานะ ครู อาจารย์ เล็งเห็นเรื่องการศึกษาถือเป็นเรื่องที่สำคัญของประเทศชาติ การศึกษาไม่จำเป็นต้องซับซ้อน ควรมองให้ตรงไปตรงมา เน้นตอบโจทย์ความต้องการจริง ๆ อย่างเช่น การตอบโจทย์พื้นที่ ที่มีทั้งเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ เสน่ห์ของแต่ละพื้นที่ เพราะฉะนั้น หากเราจัดการศึกษาให้ตอบโจทย์ของพื้นที่ เช่นหากจัดการศึกษาให้ตอบโจทย์ จังหวัดท่องเที่ยว ทั้งรายด้านงานบริการ การเพิ่มความรู้ด้านภาษาที่ 2 ภาษาที่ 3 รวมทั้งความรู้เฉพาะทาง หากสามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการ ตอบโจทย์ผู้เรียน นอกจากเรื่องการศึกษาแล้ว ยังสามารถช่วยยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทยให้เข้มแข็งได้ด้วย" รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ กล่าว

รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ กล่าวอีกว่า แต่ละภูมิภาคไม่จำเป็นที่จะต้องใช้หลักสูตรเดียวกัน แต่สามารถกระจายหลักสูตรได้ สามารถปรับหลักสูตรได้ทุก ๆ 3-5 ปี สร้างหลักสูตร ที่ทันสมัย ตอบโจทย์แต่ละจังหวัด ให้กับ นักเรียน นักศึกษา รุ่นใหม่ เพื่อเข้าถึงความเป็นเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัดนั้น เชื่อว่าหากการศึกษาสามารถสร้างชุมชนเข้มแข็ง ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในพื้นที่ ลดปัญหาการย้ายถิ่นฐานเข้าเมืองหลวง จนสร้างความแออัดของเมืองในหลวงได้ จะช่วยสามารถพัฒนาประเทศชาติ เริ่มตั้งแต่ เศรษฐกิจฐานราก สู่ความยั่งยืนของประเทศ 

‘รองนายกฯ ภูมิธรรม’ ให้การต้อนรับ ‘ทูตรัสเซีย’ ร่วมหารือทั้งเศรษฐกิจ - การค้า – การลงทุน - ความมั่นคง

‘ภูมิธรรม’ ต้อนรับ นาย Evgeny Tomikhin (เยฟเกนี โตมีฮิน) เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย พร้อมร่วมหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจ - การค้า – การลงทุน - ความมั่นคง

(30 ต.ค.67) ที่กระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นาย Evgeny Tomikhin (เยฟเกนี โตมีฮิน) เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าแนะนำตัวและแสดงความยินดีในโอกาสได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม 

โดยรมว.กลาโหม ได้กล่าวต้อนรับและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับ เอกอัครราชทูต สหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้หารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อแสวงหาแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน

ทั้งนี้ ไทยและรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสอง ประเทศได้ก้าวเข้าสู่ปีที่127 ในปีนี้(เริ่มตั้งแต่ 3 ก.ค.2440) ซึ่งทั้งสองฝ่ายยึดถือการเสด็จประพาสรัสเซีย ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ โดยทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในทุกมิติทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงความร่วมมือที่ใกล้ชิด ในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ทั้งยินดีที่ปี 2567 เป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ไทย - รัสเซีย ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการส่งเสริมพลวัตความร่วมมือที่สร้างสรรค์ อันเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจ และความใกล้ชิดในระดับประชาชนของทั้งสองประเทศ 

นอกจากนี้ รมว.กลาโหม ยังได้กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ทางทหารระหว่าง ไทย - รัสเซีย ที่มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายหลังจากที่มีการลงนามความตกลงระหว่าง รัฐบาลไทยกับรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านการทหาร เมื่อปี 2559 ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการขยายขอบเขตกิจกรรมความร่วมมือระหว่างกันให้มีพลวัตมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ในห้วงที่ผ่านมา กองทัพไทยและกองทัพ รัสเซียได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนและกิจกรรมความร่วมมือที่สำคัญต่าง ๆ ทั้งด้านการฝึก ศึกษาทางทหาร ด้านการส่งกำลังบำรุงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การประชุมระดับฝ่ายเสนาธิการของกองบัญชาการ กองทัพไทยและเหล่าทัพ การแลกเปลี่ยนระหว่างผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ การเยี่ยมเยือนเมืองท่า ตลอดจน กิจกรรมแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนถึงการมีพลวัตมากขึ้นของความสัมพันธ์ระหว่างกัน

‘กรณ์’ ออกปากชมรัฐบาลแพทองธาร ยัน! การให้สัญชาติไทยลอตนี้ถูกต้อง

(30 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงการให้สัญชาติไทยตามมติคณะรัฐมนตรี ว่า...

ผมเห็นนโยบายนี้ของรัฐบาลแล้วชื่นชมนะครับ เหตุผลที่ให้ฟังขึ้นหมด ไม่ว่าจะเป็นมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ ความเป็นธรรม และสิทธิมนุษยชน 

ผมอยากจะเสริมว่านี่คือ Soft Power ของสังคมเราด้วย ที่พร้อมให้โอกาสคนต่างด้าวมาผสมผสานเติมพลังความเป็นไทยมาหลายยุคหลายสมัย เรากี่คน (ผมด้วย) ที่คงไม่มีวันนี้หากสังคมไทยในอดีตไม่ให้โอกาสบรรพบุรุษเรา

เอาละ แต่ละประเทศก็มีบริบทที่ต่างกันไป แต่ท่าทีของเราวันนี้ต้องบอกว่าสวนทางกระแสการเมืองหลักของโลก โดยเฉพาะโลกตะวันตก ที่บางประเทศถึงขั้นมีการหาเสียงว่าจะขับต่างด้าวออกนอกประเทศแม้ว่าบางคนได้เข้ามาอยู่ในประเทศเขานานแล้ว 

แนวของเรากลับเป็นตัวยืนยันความมั่นใจในตัวเราเอง เราไม่มีปมด้อยที่จะทำให้เราต้องมากลัวหรือรังเกียจผู้ที่มาพึ่งพาอาศัย และทำมาหากินอย่างสงบอยู่กับเรา

โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนออนุมัติหลักเกณฑ์ เพื่อเร่งรัดแก้ไขปัญหาสัญชาติ และสถานะของกลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาในไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย ซึ่งจากการสำรวจตั้งแต่ พ.ศ. 2527 จนถึง 2542 มีกลุ่มผู้อพยพเข้ามาเป็นเวลานานประมาณ 120,000 คน และเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน ซึ่งมีการสำรวจตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2554 มีประมาณ 215,000 คน กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของชนกลุ่มน้อย 29,000 คน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของบุคคลที่ไม่มีสถานะตามทะเบียนประมาณ 113,000 คน รวมทั้งหมดประมาณ 483,000 คน

โดยการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันนี้เป็นการลดขั้นตอนมอบสัญชาติให้กับบุคคลเหล่านี้ ที่ต้องใช้ระยะเวลาถึง 44 ปี ปัจจุบันการให้สัญชาติไทยกับบุคคลข้างต้นจะเป็นการยกเลิกขั้นตอนต่าง ๆ จำนวนมาก โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ข้อสังเกต 2-3 ข้อ หากให้สัญชาติไทยกับบุคคลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน จะเกิดผลกระทบใดตามมาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่ สมช.เสนอ และส่งให้กระทรวงมหาดไทยประกาศบังคับใช้ในรายละเอียดไม่น้อยกว่า 30 วันไม่เกิน 60 วัน

สำหรับประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจำนวนกว่า 400,000 คนที่อยู่ในไทย ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่มานานและมีบ้านอาศัย สามารถทำงานได้ตามปกติ เมื่อทำให้ถูกต้อง บุคคลเหล่านี้ก็จะสามารถสัญจรไปมาได้ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ และรู้ถิ่นฐานที่อยู่ของบุคคลเหล่านี้ได้ ซึ่งที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี เล็งเห็นว่าเป็นประโยชน์และมีการสอบถามความรอบคอบจากหลายหน่วยงานมาก่อนแล้ว

นายกฯ โต้ ‘ธนาธร’ ปมรับซื้อไฟฟ้า ชี้ ‘พีระพันธ์’ ชี้แจงครบก่อนตั้งคำถาม

(29 ต.ค. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกจดหมายเปิดผนึกถึง นายกรัฐมนตรี ขอให้ทบทวนการออกสัมปทานรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ เพราะมองว่าอาจเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนพลังงาน ว่า 

รายละเอียดเรื่องนี้ทั้งหมด ตนนั่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อยู่ แต่เรื่องนี้ยังมาไม่ถึงคณะกรรมการ กพช. แต่ได้มีการสอบถามเรื่องนี้ไปยังรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเรื่องนี้แล้ว 

ซึ่งก่อนที่นายธนาธร จะออกมาพูดเรื่องนี้ รองนายกฯ ได้ตอบกระทู้ในสภาฯ เรื่องนี้ไปแล้ว ประชาชนและสื่อมวลชนสามารถหาข้อมูลเรื่องนี้ได้อย่างละเอียดเลย และทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการ

เมื่อถามย้ำว่า กระบวนการทุกอย่างจะต้องโปร่งใสใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แน่นอนค่ะ เรื่องนี้จะต้องโปร่งใส

เมื่อถามต่อว่า ทุกคนอยากได้ยินคำยืนยันจากนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีระบุว่า ยินดีค่ะ ถ้าอยากได้ได้ยินจากนายกรัฐมนตรี แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องเป็นไปตามกระบวนการ และต้องโปร่งใส ให้ประชาชนสามารถรับรู้ได้ และเข้าใจได้แน่นอน เพราะนั่นคือความมั่นคงของรัฐบาลด้วย

‘ธนาธร’ ออกจดหมายเปิดผนึกถึง ‘นายกฯ แพทองธาร’ ทบทวนออกสัมปทานซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์

(28 ต.ค. 67) ‘ธนาธร’ ออกจดหมายเปิดผนึกถึง ‘นายกฯ แพทองธาร’ ขอทบทวนการออกสัมปทานรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ชี้อาจเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนพลังงาน

วันที่ 28 ต.ค.67 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เผยแพร่จดหมายถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุ
[จดหมายเปิดผนึกถึงคุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี]

เรื่อง ขอให้ทบทวนการออกสัมปทานรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งอาจเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนพลังงาน

ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นเพราะไม่เห็นด้วยกับการประกาศรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. ที่ท่านนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งเป็นประธาน

ผมเห็นว่าการรับซื้อพลังงานครั้งนี้ รับซื้อด้วยราคาที่แพงเกินไป ไม่มีการเปิดประมูลเพื่อให้มีการแข่งขัน ซึ่งหากดำเนินการต่อไป อาจจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้า ส่งผลให้รัฐและประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงเกินไปโดยไม่จำเป็น  

การจัดซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ครั้งนี้ ใช้ราคาและหลักการเดียวกับการจัดซื้อพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกกะวัตต์ในปี 2565 สมัยที่คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็นนายกรัฐมนตรี การจัดซื้อครั้งนั้น มีเอกชนเสนอขายมากกว่าจำนวนที่รัฐบาลต้องการซื้อถึง 3.3 เท่าตัว (ต้องการซื้อ 5,200 เมกะวัตต์ เอกชนเสนอขาย 17,400 เมกะวัตต์) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคารับซื้อสูงเกินกว่าราคาตลาด จึงมีเอกชนสนใจเสนอขายจำนวนมาก

ในฐานะที่คุณแพทองธารเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ผมขอให้ท่านทบทวนนโยบายการจัดซื้อพลังงาน 3,600 เมกะวัตต์นี้เสียใหม่ การประกาศผู้ได้รับการคัดเลือกจะเกิดขึ้นปลายปีนี้ และลงนามในสัญญาปีหน้า ยังไม่สายเกินไปที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่การใช้พลังงานสะอาดเป็นไปด้วยความเป็นธรรม

ในการตอบกระทู้สดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในสภาผู้แทนราษฎร คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ตอบคุณณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ผู้ตั้งกระทู้ ว่าท่านเห็นด้วยว่าเงื่อนไขมีข้อบกพร่อง และรับปากกับสภาว่าจะทบทวนการซื้อพลังงานครั้งนี้เช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม ผมจำเป็นต้องเรียนท่านนายกรัฐมนตรีว่า อำนาจในการหยุดยั้งแก้ไข ไม่ได้อยู่ที่ท่านรัฐมนตรี แต่อยู่ที่ตัวท่านนายกฯ เอง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ

อย่าให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดเป็นโอกาสให้กลุ่มทุนร่ำรวยขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยนวัตกรรมใดๆ ที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศ

อย่าให้ประชาชนต้องรับภาระการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดด้วยการจ่ายค่าไฟที่แพงขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม

จากการประเมินเบื้องต้น หากการรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ดำเนินต่อไปด้วยเงื่อนไขปัจจุบัน รัฐจะจ่ายค่าไฟแพงกว่าที่ควรจะเป็นหากเกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมถึง 66,000 ล้านบาท (พิจารณาจากมูลค่าปัจจุบัน)

ท่านนายกรัฐมนตรีมีทางเลือกคือ หากต้องการดำเนินนโยบายนี้ต่อ ผมขอให้มีการประมูล ให้เอกชนแข่งขันกัน ไม่ใช่กำหนดราคาตายตัว เช่นเงื่อนไขปัจจุบันหรือเงื่อนไขแบบ 5,200 เมกะวัตต์ของปี 2565 หรือใช้กลไก Direct PPA ที่มีอยู่ ที่เปิดให้ผู้ผลิตซื้อขายกับผู้ใช้ได้โดยตรง

ไปไกลกว่านั้น หากท่านต้องการปฏิรูปอุตสาหกรรมพลังงานอย่างจริงจัง ท่านมีทางเลือกคือการยุติการจัดซื้อครั้งนี้ ปฏิรูปอุตสาหกรรมการผลิตและการขายพลังงาน ให้เกิดการแข่งขันอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม สอดคล้องต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาด  

ท่านนายกรัฐมนตรีย่อมทราบดีว่าพรรคเพื่อไทยก็มีนโยบายที่ต้องการจะลดราคาพลังงาน และปรับเปลี่ยนโครงสร้างและการบริหารจัดการพลังงานเช่นกัน การรับซื้อพลังงาน 3,600 เมกะวัตต์ ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานกำลังทำอยู่นี้ ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงต่อแนวนโยบายของพรรคเพื่อไทย

ค่าไฟแพงไม่ใช่ความบังเอิญ และไม่ใช่ผลจากการแข่งขัน แต่มาจากนโยบายรัฐ 20 ปีที่ผ่านมา เราปล่อยให้นโยบายพลังงานสร้างกลุ่มทุนพลังงานที่รวยเป็นแสนล้านขึ้นในประเทศไทย ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนห่างขึ้นมหาศาล รัฐออกนโยบายเอื้อกลุ่มทุนผูกขาด ส่วนประชาชนต้องแบกรับผลกระทบในฐานะเป็นคนจ่ายค่าไฟ

วันนี้ ท่านมีอำนาจที่จะพิจารณาชะลอ หยุดยั้ง หรือเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัตินี้ ผมหวังว่าท่านจะใช้อำนาจนั้นเพื่อรับใช้ประชาชน

ขอแสดงความนับถือ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
28 ตุลาคม 2567“

‘ปิยะ ปิตุเตชะ’ พร้อมลงชิงนายก อบจ. ระยองอีกสมัย มั่นใจย้ำชัยชนะ ไม่ลาออกก่อนเวลา หวั่นสิ้นเปลืองงบประมาณ

(28 ต.ค. 2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิยะ ปิตุเตชะ หรืออาช้า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เปิดใจกลบกระแสดราม่าจะวางมือทางการเมืองท้องถิ่น เพื่อดันน้องชาย นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงสมัครนายก อบจ.ระยอง แทนในสมัยหน้า ที่จะหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ โดยประกาศชัดเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง และตนก็ไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน ตนจะลงสมัครนายก อบจ.ระยอง สมัยหน้าแน่นอน ตนเป็นนายก อบจ.ระยอง มานานรวม 18 ปี ตามกฎหมายตนลงสมัครได้อีก 1 สมัย และเป็นครั้งสุดท้ายที่ตนจะทำประโยชน์ให้กับจังหวัดระยอง

ส่วนกรณี นายสาธิต ปิตุเตชะ เขายังหนุ่มก็ให้เขาทำอย่างอื่นไป ส่วนสมาชิก ส.อบจ. ที่อยู่ในทีมจะลงสมัคร ส.อบจ.เพียง 90 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์ บางคนมีความประสงค์จะไปลงสมัครนายกเทศมนตรีและนายก อบต.

“ส่วนกรณีว่าทำไมผมไม่ลาออกก่อนหมดวาระเหมือนในหลายจังหวัดเพื่อเลือกตั้งใหม่นั้น สำหรับผมเองคิดว่าถ้าลาออกก่อนเพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ จะทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง คือเลือกตั้งนายก อบจ. แล้วต้องมาเลือกตั้ง ส.อบจ.อีก เสียดายงบประมาณเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกมาก เราจะเอางบประมาณมาทำเพื่อตัวเราเองมันไม่มีประโยชน์หรอก ด้วยสาเหตุนี้จึงไม่ลาออกก่อนหมดวาระ เลือกตั้งครั้งนี้ผมมีความพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุด ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลสามารถคว้าชัยชนะได้ทั้ง 5 เขตของจังหวัดระยอง

ศึกสังเวียน อบจ.นครศรีฯ ยังออกหมัดกันน้อย เหมือนมวยชั้นเชิง แต่ระวังหมุดสวน!! หรือศอกกลับ มีสิทธิ์น็อคทุกคน

(27 ต.ค. 67) หลังจากนายหัวไทรโพสต์ภาพป้ายหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชของผู้สมัครหมายเลข 2 (วาริน ชิณวงศ์-น้ำ)ถูกมือดีฉีกทำลาย ไม่รู้ว่าด้วยฝีมือของใคร แต่มองได้สองมุม คือ เป็นการทำของคู่แข่ง เป็นการข่มขวัญ และเป็นการกระทำของทีมงานผู้ถูกทำลายป้ายเอง เพื่อเรียกคะแนนสงสาร ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการแบบโบราณ ล้าสมัย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของฝ่ายใดก็ตาม

แต่สำหรับนายกองตรีอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ผู้สมัครชิงนายกฯอบจ. หมายเลข 3 จากกลุ่มนครก้าวหน้าก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นทันที กล่าวสำหรับอาญาสิทธิ์ ไม่ขึ้นป้ายหาเสียง ไม่มีรถแห่ ไม่มีหัวคะแนน หาเสียงผ่านสื่อออนไลน์ และลงพบปะแลกเปลี่ยนในชุมชนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

นายกองตรีอาญาสิทธิิ์ โพสต์เฟสบุ๊คระบุว่า พบป้ายหาเสียงของผู้สมัครรายหนึ่ง เป็นป้ายสีน้ำเงิน ที่ติดตั้งอยู่ริมถนนสาย นครฯ-ทุ่งสง ในเขตอำเภอร่อนพิบูลย์ 

เป็นประเด็นการเมืองที่มีประชาชนสนใจสอบถามกันในเฟสบุ๊คจำนวนมาก พร้อมส่งข้อมูลให้ความเห็นในเฟสบุ๊คของ อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ว่ามีป้ายของผู้สมัครถูกทำลาย ทั้งสองค่ายสีน้ำเงินและสีฟ้า และประชาชนจำนวนมากต่างสอบถามด้วยความสงสัย ว่ายังไม่พบป้ายหาเสียงค่ายสีส้มของนายอำเภออาญาสิทธิ์ เบอร์3 ติดตั้งตามถนนต่างๆ ซึ่งนายกองตรีอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ได้ตอบเฟสบุ๊คว่า #ป้ายเบอร์3 นั้นได้ติดไว้ในอ้อมอก ในหัวใจ ของพี่น้องชาวนคร แล้ว ดูได้จากโทรศัพท์มือถือ สื่อออนไลน์ เฟสบุ๊ค , ไลน์ สาธารณะ เนื่องจากนายกองตรีอาญาสิทธิ์#เบอร์3 คิดใหม่ ทำใหม่  ไม่ใช้รูปแบบการหาเสียงติดป้าย ไล่แห่ รถเปิดเครื่องเสียงให้รำคาญชาวบ้านแบบเดิมๆ แต่มุ่งหน้าเข้าไปพูดคุย กับประชาชน เรื่องปัญหาเรื่อง อาชีพ รายได้ ปัญหาอื่นๆ และเชิญชาวนา ชาวไร่ คนทุกชนชั้นนั้นในเมืองนครฯ มาร่วมกันสนับสนุนเลือกเบอร์3 เพื่อเข้าไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ความยากจน ไม่มีรายได้ ของชาวนคร 

การหาเสียงเลือกตั้งถ้าเป็นมวยก็เริ่มเข้าสู่ยกที่ 2 แล้ว ยกละ 10 วัน เหลืออีก 3 ยก ถ้าเป็นมวยไฟท์เตอร์ ยกสองต้องมีออกหมัดกันบ้างแล้ว แต่ถ้าเป็นมวยชั้นเชิง ยกสองอาจจะยังติ้ดเฉิ้งกันไปอีกหน่อย ดูชั้นเชิงของคู่ต่อสู้

มวยคู่เอกเป็นการชกกันระหว่าง ‘ต้อย ศิษย์เดชเดโช’ กับ ‘น้ำ สิงห์น้ำเงิน’ ยกแรกผ่านไป ถือว่า ต้อย ศิษย์เดชเดโช มีคะแนนนำไปก่อน สะท้อนผ่านการระดมสรรพกำลัง เดินสายพบปะ รถตระเวนแห่หาเสียงไปทั่ว พร้อมกับการเปิดเวทีปราศรัยย่อยในระดับชุมชน พร้อมกับป้ายหาเสียงพรึบ อันเป็นตัวบ่งชี้ถึงความพร้อม และการบริหารจัดการทีมที่พร้อมกว่า

ส่วนน้ำ แม้จะออกพบปะประชาชนอยู่เนืองๆ แต่ยังเน้นชุมชนเมือง หรือตลาดที่เป็นย่านอยู่อาศัยหนาแน่น ยังไม่เปิดเวทีปราศรัย รอความพร้อมทั้งผู้ช่วยปราศรัย และการจัดตั้งคนมาฟัง ที่สำคัญคือต้องหลีกทางให้กับฝนฟ้า ที่ช่วง 27-28-29 ตุลาคมนี้ยังมีฝนลงมาอยู่ เวทีปราศรัยแรกที่บ้านเกิดปากพนังจึงยังไม่ปรากฏ ป้ายหาเสียงก็ยังเห็นแค่ประปราย เข้าใจว่าป้ายหาเสียงชุดใหญ่จะเสร็จ และติดตั้งเต็มพิกัด 1-2 พ.ย.นี้

การเปิดเวทีปราศรัย รถแห่ รวมถึงการติดตั้งป้ายแนะนำตัว เป็นภาพด้านกว้างของการหาเสียง คะแนนหลักต้องมาจากการจัดตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งผ่านหัวคะแนน แกนนำชุมชน ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเป็นการจัดการในทางลับที่คนนอกไม่อาจรู้ได้ และไม่รู้ว่า คู่แข่งทำกันไปแล้วแค่ไหน เพียงพอจะประเมินว่าจะชนะได้แล้วหรือยัง

เหลือเวลาอีกเพียง 3 ยก หรือ 30 วัน เมื่อเกมเดินไปสู่ยก 3-4-5 เชื่อว่า แต่ละคนจะต้องออกหมัดหนักขึ้น และยก 5 ต้องออกหมัดน็อคกันแล้ว ใครน้ำเลี้ยงดี ฟิตซ้อมมาดี ก็จะมีแรงอึด ยืนแลกหมัดได้จนยกสุดท้าย และเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะไปครอง

ประชาธิปัตย์นำร่อง 'เมืองคอนโมเดล' สำเร็จ สส.ปชป.นครศรีธรรมราช ขอบคุณ 'รัฐมนตรี เฉลิมชัย' แก้ปัญหาฉับไวมอบสมุดที่ดินทำกินคทช.ล็อตแรก1หมื่นราย8หมื่นไร่รอของขวัญปีใหม่ครบ 3 แสนไร่

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช เปิดเผยวันนี้ว่า ต้องขอขอบคุณ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะที่ได้เดินทางมาแจกสมุดประจำตัวผู้ได้รับการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติท้องที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการที่ตนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์นครศรีธรรมราชได้หารือในสภาผู้แทนราษฎรเรื่องที่ดินทำกินทับซ้อนระหว่างรัฐและประชาชน ในนครศรีธรรมราชมีทั้งหมด 380,000 ไร่ในความเป็นจริงแล้วมีที่ดินมากกว่านี้ เป็นปัญหามาอย่างยาวนานนับร้อยปีบางพื้นที่อยู่กันมาหลายชั่วอายุคนไม่ได้มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินเลย หลังจากได้มีการหารือในสภา รมว ทส.จึงได้เรียกไปพูดคุยกันหาแนวทางในการแก้ไข สุดท้าย รมว.ทส. จึงได้นำเสนอเข้าสู่โครงการ คทช.จึงได้แจกสมุดคู่มือให้กับเกษตรกรทุกท่าน ทั้ง 11 อำเภอ ทั้งหมดกว่า 10,000 ราย ที่ดินจำนวน 80,000ไร่ และเหลือพื้นที่เข้าโครงการแล้วอีก 300,000 ไร่ รมว มา รับปรกแล้วปีใหม่นี้จะมอบให้กับเกษตรกรทั้งหมด ทั้งนี้ สส.นครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 6 ท่านได้เดินหน้าแก้ปัญหาให้ประชาชนในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องภายใต้” เมืองคอนโมเดล“

”ต้องยอมรับว่า โครงการ คทช.นอกเหนือจากแจกคู่มือที่ดินทำกินแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีปัญหาเข้าไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ไม่ได้ก็สามารถเข้าไปดำเนินการได้เป็นสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชต้องขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีนโยบายเรื่องนี้มองเห็นและทำงานอย่างรวดเร็วในการคิกออฟแจกคู่มือที่ดินทำกินให้กับเกษตรกรในพื้นที่และต่อไปแจกทั่วทั้งประเทศ 12 ล้านไร่โดยนครศรีธรรมราชเป็นพื้นที่นำร่อง

ต่อข้อถามนครศรีธรรมราชยังมีพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจอีกมากน้อยเพียงใดว่า “ผมเชื่อว่ายังคงมีพื้นที่ไม่ได้สำรวจอีกประมาณ 5-6 แสนไร่ ซึ่งในพื้นที่นั้นอาจจะอยู่ในพื้นที่สูงต้องดูว่าอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน อุทยาน รวมถึงพื้นที่ลุ่มน้ำหรือไม่ จึงเป็นหน้าที่ของ สส.ปชป.ที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป” 'ส.ส.ชัยชนะ'กล่าว

จากนายก อบจ. สู่โทษจำคุก 6 ปี ศาลทุจริตสั่งฟัน ‘ชาญ พวงเพ็ชร์’

(24 ต.ค. 67) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 พิพากษาจำคุก 6 ปี 18 เดือน นายชาญ พวงเพ็ชร์ และพวกรวม 7 คน คดีทุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพ ในโครงการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอุทกภัยใน จ.ปทุมธานี

เนื่องจากเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 นัดอ่านคำพิพากษา คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายชาญ พวงเพ็ชร์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี กับพวกรวม 7 คนเป็นจำเลย

ในคดีหมายเลขดำที่ อท5/67 ในข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 กรณีทุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพในโครงการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอุทกภัยใน จ.ปทุมธานี จำนวน 2 ครั้ง เมื่อปี 2554 มูลค่าหลักล้านบาท แต่ถูกเลื่อนเรื่อยมา

จนวันนี้ศาลอ่านคำพิพากษาจำคุกนายชาญ กับพวก 2 กระทง กระทงละ 5 ปี รวม 10 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษหนึ่งในสาม เหลือกระทงละ 3 ปี 9 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 18 เดือน

เปิดข้อมูล ‘แกนนำม็อบปี 63’ โดน 112 ไปแล้วอย่างน้อย 12 คน ลี้ภัย 2 ราย เพนกวิน-ไมค์ ระยอง จับตา หลังรายงานนิรโทษล่มในสภา

(24 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากข้อมูลในฐานข้อมูลของ 'ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน' ที่รับทำคดีให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม ผู้เสียหาย หรือเหยื่อทางการเมือง เผยแพร่ข้อมูลสถิติว่า นับตั้งแต่ 24 พ.ย. 2563 เป็นต้นมา ถึง 20 ต.ค. 2567 มีบุคคลถูกจับกุมข้อหาตามมาตรา 112 แล้วอย่างน้อย 275 คน ใน 307 คดี โดยสรุปมีคดีที่สิ้นสุดแล้ว จำนวน 77 คดี คดีที่อยู่ในชั้นศาลจำนวน 163 คดี

โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็น ประชาชนไปร้องทุกข์กล่าวโทษ 162 คดี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร้องทุกข์ 11 คดี คดีที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไปร้องทุกข์ 9 คดี คดีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ร้องทุกข์ 1 คดี ส่วนที่เหลือคือคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหา

โดยพฤติการณ์ส่วนใหญ่ที่ถูกตั้งข้อหามาจาก การปราศรัยในที่ชุมนุม 59 คดี การแสดงออกอื่น ๆ เช่น การติดป้าย พิมพ์หนังสือ แปะสติ๊กเกอร์ เป็นต้น 72 คดี คดีเกี่ยวกับการแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์ 169 คดี และยังไม่ทราบสาเหตุ 7 คดี

สำหรับบรรดาแกนนำมวลชนเมื่อปี 2563 นั้นถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 มีอย่างน้อย 12 คน เช่น 'อานนท์ นำภา' มี 25 คดี ปัจจุบันศาลตัดสินไปแล้ว 4 คดี รวมโทษจำคุก 14 ปี 20 วัน 'พริษฐ์ ชิวารักษ์' หรือ 'เพนกวิน' มี 14 คดี โดยศาลตัดสินแล้ว 1 คดี โทษจำคุก 2 ปี แต่เจ้าตัวได้หลบหนี และลี้ภัยอยู่ต่างประเทศในขณะนี้ เช่นเดียวกัน 'ไมค์' ภาณุพงศ์ จาดนอก ที่มีคดีติดตัว 9 คดี ตัดสินแล้ว 1 คดีโทษจำคุก 4 ปี แต่เจ้าตัวหลบหนีลี้ภัยไปแล้วเช่นกัน

ขณะที่ 'รุ้ง' ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล มี 10 คดี เบนจา อะปัญ 8 คดี ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา 6 คดี พรหมศร วีระธรรมจารี 6 คดี ชูเกียรติ แสงวงค์ วรรณวลี ธรรมสัตยา เกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณ 4 คดี ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล 3 คดี ส่วน 'ไบรท์' ชินวัตร จันทร์กระจ่าง อดีตแกนนำม็อบช่วงปี 2563-2564 แต่ปัจจุบันเขาอ้างว่ากลับตัวกลับใจ และยอมรับคำสารภาพทุกข้อหา มีคดีติดตัว 8 คดี

นี่ยังไม่นับบรรดา 'มวลชน' ที่ติดสอยห้อยตาม 'ม็อบราษฎร' อีกหลายคนที่ต้องโทษติดคุกในคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง และคดีตามมาตรา 112 อีกหลายคดีเช่นเดียวกัน

ทั้งหมดคือบุคคลที่ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 โดยคดีทั้งหมดอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีแม้แต่คดีเดียวที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี ดังนั้นกลุ่มคนข้างต้น จะได้รับอานิสงส์ในการ 'นิรโทษกรรม' หรือไม่ 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งมีการศึกษาเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิด ม.112 แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น

ผลการพิจารณาปรากฏว่าสภาผู้แทนราษฎร มีมติไม่เห็นด้วยกับข้อสังเกตในรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โดยมีผู้ลงมติ 428 คน ลงมติเห็นด้วย 152 คน ไม่เห็นด้วย 270 คน งดออกเสียง 5 คน และไม่ลงคะแนนเสียง 1 คน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top