Monday, 23 June 2025
POLITICS NEWS

'ขัตติยา' กระทุ้ง 5 ประเด็นกองทุนประกันสังคม หลังพบติดลบหลายหมื่นล้าน ทวงถามวิธีแก้ไข

(20 ก.ค.66) ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณารับทราบรายงานของผู้ตรวจสอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนประกันสังคม สำนักงานประกันสังคม ปี 2564 ถามผู้บริหารถึงปัญหารายได้เฉลี่ยกองทุนประกันสังคมติดลบหลายหมื่นล้านจะมีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไร และจะบริหารกองทุนอย่างให้โปร่งใสมั่นคงและผู้จ่ายเงินสมทบสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายได้

1. กองทุนประกันสังคมถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นหลักประกันและความมั่นคงให้ผู้ใช้แรงงาน โดยเป็นความไว้วางใจที่ภาคแรงงานมีให้กับภาครัฐ แต่สถานการณ์ปัจจุบัน มีคำถามจากผู้ประกันตนที่ต้องจ่ายเงินสมทบว่า กองทุนประกันสังคมนี้ยังเป็นหลักประกัน ยังมีความมั่นคงและความไว้วางใจที่มีให้กับกองทุนนี้อยู่หรือไม่

2. ความท้าทายปัญหาของกองทุนประกันสังคม มี 2 ประการคือ 1. ช่วงสถานการณ์โควิด รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เอาเงินจากกองทุนประกันสังคมไปเยียวยาผู้ตกงานจำนวนมหาศาล จนเกิดคำถามว่าขณะนี้กองทุนเหลือเงินอยู่เท่าใด และ 2. สังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในอนาคตอันใกล้ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อดูแลเป็นบำเหน็จบำนาญและค่ารักษาพยาบาล กองทุนนี้จะมีเงินทุนเพียงพอหรือไม่

3. แรงงานผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเดือนละ 5 เปอร์เซ็นต์ สูงสุด 750 บาท ซึ่งถือว่าน้อยมากไม่พอจะเป็นเงินออมในอนาคต แต่ขณะเดียวกันก็เป็นภาระหนักของพี่น้องที่ต้องจ่ายเงินในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่กองทุนประกันสังคมต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ได้ว่า เงินก้อนนี้จะเป็นหลักประกันในอนาคตให้เขาได้จริงๆ สำนักงานประกันสังคมต้องบริหารงานให้โปร่งใสและตรวจสอบได้

4. กองทุนประกันสังคม มียอดรายได้เฉลี่ยต่ำกว่ารายจ่ายอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะปี 2563 ติดลบ 6.5 พันล้าน ปี 2564 ติดลบ 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ามีปัญหาติดลบมากขึ้นทุกปี แต่ไม่มีคำตอบชัดเจนจากผู้บริหารกองทุนประกันสังคมว่า จะแก้ไขปัญหาอย่างไร

5. ประชาชนผู้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ต่างคาดหวังที่จะมีหลักประกันและความมั่นคงที่จะได้จากสำนักงานประกันสังคม และกองทุนประกันสังคม ดังนั้น จึงต้องขอให้กองทุนพิจารณาปรับเปลี่ยนการบริหารงาน เพื่อสร้างความมั่นคง สร้างหลักประกันให้สมกับความไว้วางใจ ที่ภาคแรงงานภาคเอกชนที่มีให้กับภาครัฐต่อไป 

‘อี้ แทนคุณ’ ย้อนถาม “จะให้เลือกตั้งทำไม ถ้าคุณยังถือหุ้นสื่ออยู่” ชี้ ‘พิธา’ ชวดนายกฯ ควรโทษตัวเองหยุดปลุกปั่นสร้างแตกแยก

(20 ก.ค. 66) ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมรัฐสภาที่ถกกันกว่า 7 ชั่วโมงโดยผลโหวตไม่สามารถเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้ง และหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7:2 รับคดีที่ กกต.ร้องให้วินิจฉัยคุณสมบัติ ส.ส.นั้น เกิดจากเหตุเพราะนายพิธา ขาดธรรมาภิบาลในตัวเอง เป็นคน ‘ทุศีล’ มีมลทิน รู้ทั้งรู้ว่าห้ามถือหุ้นสื่อ ITV ที่ยังคงสถานะความเป็นหุ้นสื่ออยู่ แต่ก็จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย 

หรือเป็นเพราะเชื่อกุนซือด้านกฎหมายคนเดียวกันที่เคยแนะนำนายธนาธร จนเป็นเหตุให้เจริญรอยตามกันใช่หรือไม่? ทั้งการสิ้นสมาชิกภาพ ถูกตัดสิทธิและถูกดำเนินคดีอาญามาตรา 151 อันเป็นวิบากกรรม ที่นายพิธา ทำตัวเองล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับใครคนอื่นเลย 

หากจะโทษจงโทษตัวเองที่ไม่รอบคอบพอและตีความกฎหมายตามใจตนเอง และควรหยุดนำมาสร้างวาทกรรมโจมตี ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังกันในหมู่ประชาชน เกลียดชังองค์กรอิสระและเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ ที่ต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยควรให้สติให้ปัญญาในการเคารพกฎหมายไม่ใช่เป็นฝ่ายออกกฎหมายแต่กลับทำลายกฎหมายเสียเอง  

ขอย้ำประเทศไทยเป็น ‘นิติรัฐ’ ไม่ใช่ ‘นิติด้อมส้ม’ มีกฎหมายไม่ใช่กฎหมู่ และประชาชนตาสว่างเยอะแล้วหลังจับโป๊ะ เครือข่ายก้าวไกลและพวกใช้ IO หรือปฎิบัติการทางข้อมูลข่าวสารคุกคามกระบวนการยุติธรรม ศาล กกต. ส.ว.และคนเห็นต่างแบบล่าแม่มด

ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นวิบากกรรมที่นายพิธา หลอกตัวเองมาตลอดว่าตนไม่ผิด 

“ผมจึงขอเตือนสตินายพิธาว่า ควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ กลับใจสำนึกในความผิดที่ตนก่อไว้อย่าสร้างกรรมเพิ่มและสำนึกในบุญคุณประเทศชาติบ้านเมืองทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการเคารพกฎหมายไม่ด้อยค่าประเทศ ไม่ด้อยค่าสถาบันหลักของชาติ หยุด ‘โทษคนอื่น’ ให้คนเข้าใจผิดเพื่อสร้างความแตกแยกในสังคม และพิจารณาตนเองว่าคุณทำผิดอะไรบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าคุณทำในสิ่งที่กฎหมายหัามไว้ แล้วจะให้มีเลือกตั้งไปทำไม คุณมีการไปรับรองผู้สมัคร ส.ส.ในฐานะหัวหน้าพรรคทำไม ให้ต้องเสียเวลาสภาสองวันทำไม และสุดท้ายโทษคนอื่นทำไม ทั้งหมดนี้ หากเกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองคือต้นทุนที่แท้จริงที่นายพิธาและพรรคก้าวไกลต้องจ่าย” ดร.แทนคุณ กล่าว

‘เสก โลโซ’ ลั่น!! การเมืองมันห่วยแตก ขอมอบเพลง ‘เคยรักฉันบ้างไหม’ ให้คนที่อกหักทางการเมือง

เมื่อคืนวันที่ 19 ก.ค.66 ที่สถานบันเทิงโรงเหล้ามิตรภาพโคราช ศิลปินร็อกรุ่นใหญ่ 'เสก โลโซ' หรือนายเสกสรรค์ ศุขพิมาย ขึ้นแสดงบนเวทีคอนเสิร์ต โดยมีผู้มารอรับชมจำนวนมาก

โดยช่วงก่อนจบการแสดง ร็อกสตาร์ชื่อดังได้กล่าวกับผู้ชมหลากหลายสถานะจำนวนหลาย 100 คนว่า...

“วันนี้เราจะเมานะครับเพื่อน อุทิศให้กับการเมืองที่มันห่วยแตกครับเพื่อน ๆ ครับ พูดมากไม่ได้ เดี๋ยวเขาจับไปขังอีก”

“ผมมีเรื่องที่จะพูดเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ถ้าพูดไปก็จะขัดความสนุกของเพื่อน ๆ เปล่า ๆ จะบอกว่า 14 ล้านเสียงของเรานั้น ไม่มีเหตุผลเลย ใช่ไหมครับ 14 ล้านเสียงคือประชาชน พูดต่อไปแม่งก็การเมืองมันห่วยแตก กินส้มตำใส่ปลาแดกเวิร์กกว่า (เป็นทำนองเพลง) จะร้องเพลงนี้ให้กับคนที่อกหักในการเมืองในวันนี้นะครับ เคยรักฉันบ้างไหม เพื่อน ๆ ครับ”

ท่ามกลางเสียงตบมือเป่าปากที่ 'เสก โลโซ' ได้สะท้อนความรู้สึกในภาวะการเมืองที่ไม่ปกติ

‘ณัฐวุฒิ’ ยัน!! สถานะ ‘พิธา’ ครบถ้วนทุกประการ จ่อเสนอชื่อชิงเก้าอี้นายกฯ อีกรอบ

(20 ก.ค.66) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบ ถึงคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ที่สั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในคดีที่ถูกตรวจสอบว่าขาดคุณสมบัติ กรณีถือครองหุ้นสื่อหรือไม่ ทำให้ขณะนี้มี ส.ส.ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ จำนวน 499 คน

จากนั้น นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกหารือต่อประชุม ว่า นายพิธา ประกาศต่อที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ว่า รับทราบ แต่ไม่ยอมรับ ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่อ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น ถือว่าไม่มีผลกระทบต่อการถูกเสนอชื่อฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล ดังนั้น นายพิธา จึงมีสถานะครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ ดังนั้น จึงมีโอกาส มีสิทธิ ถูกเสนอชื่อให้ต่อสู้ฐานะแคนดิเดตนายกฯ และลงมติเห็นชอบให้นายพิธาเป็นนายกฯ ได้

“การให้ความเห็นชอบประเด็นเสนอชื่อนายพิธาให้เป็นนั้น หากให้ผมยืนยันอาจจะเร็วไป แต่สิ่งที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่พยายามจะพูดกับที่ประชุมรัฐสภา เมื่อ19 กรกฎาคม แต่ไม่มีโอกาส คือ ข้อบังคับการประชุมข้อ 41 วรรคท้าย กำหนดให้ ประธานรัฐสภาพิจารณาต่อได้ หากมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ผมขอยืนยันความสมบูรณ์ครบถ้วนต่อสภา ว่า นายพิธา สามารถเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ ของประเทศไทย คนไทยทุกคนไม่เฉพาะคนที่เลือกพรรคก้าวไกลเท่านั้น” นายณัฐวุฒิ อภิปราย

นายณัฐวุฒิ อภิปรายย้ำด้วยว่า กรณีของศาลรัฐธรรมนูญต่อกรณีของนายพิธานั้น ยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า นายพิธา นั้นกระทำผิด หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ตามหลักการของกฎหมาย ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ขณะเดียวกัน ศาลจะวินิจฉัยอย่างไร ไม่มีใครทราบ ซึ่งการเลือกนายกฯ นั้นรัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 และมาตรา 272 ดังนั้นนายพิธาจึงมีสถานะและความสมบูรณ์ที่จะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ ต่อรัฐสภา

‘อรรถกร’ วอนกรมชลฯ แก้ปัญหาผักตบชวาล้นแม่น้ำบางปะกง ลดความเดือดร้อนประกอบอาชีพในลำน้ำของประชาชน .

(20 ก.ค. 66) นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ กล่าวหารือถึงความเดือดร้อนของพี่น้องจังหวัดฉะเชิงเทราในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนที่ได้รับความไม่สะดวกในการสัญจรไปมา โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน บนทางหลวงหมายเลข 3076 เส้นพนมสารคาม บ้านซ่า โดยเฉพาะในช่วง จากตำบลหนองยาว อำเภอพนมสารคาม ไปถึงช่วงตำบลดงน้อย อำเภอราชสาน ว่าในช่วงเวลากลางคืนแสงสว่างไม่เพียงพอ จนทำให้เกิดความไม่สะดวก และเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง จึงขอเรียนผ่านท่านประธานไปยังกระทรวงคมนาคม ขอให้ติดตั้งไฟส่องสว่างเป็นช่วง ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน 

นายอรรถกร ยังกล่าวต่อถึงปัญหาจากประชาชนที่อาศัยอยู่ช่วงถนนสายบางปะอิน หมู่ที่ 6 ตำบลบางกระเจ็ด ว่าในบางช่วงของการใช้ไฟฟ้ามีเหตุการณ์เกิดไฟตกทำให้การใช้ชีวิตภายในบ้านไม่ปกติ หลายครั้ง เครื่องใช้ไฟฟ้าก็เสียหาย่ จึงขอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ช่วยขยายเฟสไฟใน ช่วงหมู่ที่6 ตำบลบางกระเจ็ดจาก 2 เฟสเป็น 3 เฟสทั้งหมดด้วย จะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้เยอะ

“ส่วนเรื่องที่สำคัญและเร่งด่วนอีกเรื่อง เนื่องจากในขณะนี้แม่น้ำบางประกง ในช่วงของตำบลกลางตลาด ช่วงตำบลบางขนาด และในบริเวณอำเภอคลองเขื่อน และที่เขตบางปะกง มีปัญหาผักตบชวาล้น ต้องเรียกว่า ‘มวลมหาผักตบชวา’ ก็เป็นไปได้ สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่มีวิถีชีวิตประมงในลำน้ำเพื่อมาเลี้ยงชีพ รวมถึงปัญหาของการสัญจรไปมาในริมคลองแม่น้ำ ซึ่งเป็นปัญหาทุกปี

ซึ่งในอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้รับความช่วยเหลือจากกรมชลประทาน องค์กรจังหวัดฉะเชิงเทรา รวมไปถึงอำเภอกำนันผู้ใหญ่บ้าน อบต และพี่น้องประชาชนช่วยกันป้องกันปัญหาผักตบชวาที่ต้องจัดการ โดยการต้องเรี่ยไรเงิน ที่จะนำไปแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ผมขอให้กรมชลประทานช่วยระดมกำลังเครื่องไม้เครื่องมือมาแก้ไขอย่างต่อเนื่อง” นายอรรถกร กล่าว

'อัครเดช' แนะ 'ก้าวไกล' ทบทวนถอยนโยบายแก้ ม.112 เดี๋ยวอาสาขอเสียง ส.ส.หนุน 'พิธา' ขึ้นนายกฯ เอง

(20 ก.ค.66) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ตนขอแนะนำให้พรรคก้าวไกล ยอมทบทวนนโยบายแก้ไขมาตรา 112 เพื่อให้เป็นสถานการณ์ใหม่ และสามารถเสนอชื่อนายพิธา กลับเข้ามาให้รัฐสภาพิจารณาเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ได้ในสมัยการประชุมถัดไป โดยตนจะอาสาไปทำความเข้าใจ ส.ส.ฝั่งที่ไม่สนับสนุนนายพิธา และพร้อมสนับสนุนพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ จึงขอให้พรรคก้าวไกลทบทวนในเรื่องนี้  

หากพรรคก้าวไกลยอมถอนมาตรา 112 ตนมั่นใจว่า เหตุการณ์การประชุมรัฐสภา 19 ก.ค.จะไม่เกิดขึ้น และสามารถโหวตนายพิธาได้ เนื่องจากพรรคก้าวไกล ไม่ยอมถอยมาตรา 112 ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้นายพิธา ไม่ได้รับการลงมติให้เป็นนายกฯ และเชื่อว่า พรรคก้าวไกลยังมีโอกาสเป็นรัฐบาลด้วยการทบทวนการแก้ไขมาตรา 112 และคิดถึงประชาชนจำนวนมาก ที่สนับสนุนให้เข้ามาบริหารประเทศ ไม่ต้องการให้แตะมาตรา 112 ที่มีผลกระทบต่อสถาบัน

เมื่อถามว่า แนวทางของพรรค รทสช. ในการเสนอนายกรัฐมนตรีในการประชุมรัฐสภาวันที่ 27 ก.ค.นี้ จะเป็นอย่างไรนั้น นายอัครเดช กล่าวว่า ตนเป็นเพียงโฆษกพรรคไม่สามารถตอบได้ เพราะจะต้องรอให้พรรคมีการพิจารณา เพื่อมีข้อสรุปออกมาเป็นมติพรรคก่อน

'เพื่อไทย' รอ 'ก้าวไกล' นัดคุย 8 พรรค ลั่น!! ไม่ขอรบบนสมรภูมิที่แพ้แล้ว

(20 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคร่วม ว่า มติรัฐสภาวานนี้ (19 ก.ค.) ที่ตีความว่าการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีเป็นญัตติที่ไม่สามารถเสนอซ้ำได้ในสมัยประชุมเดียวกันได้ ทำให้ไม่สามารถเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซ้ำเป็นรอบสอง ไม่ควรเกิดขึ้นเพราะจะผูกมัดต่อไปในอนาคต แต่จะเป็นเพียงการผูกมัดแค่มาตรา 272 เมื่อเปลี่ยนไปใช้การมาตรา 159 แต่งตั้งนายกฯ ข้อผูกพันนี้จะลดไป อย่างไรก็ตาม ทราบว่าเบื้องต้นเลขาธิการของพรรคเพื่อไทย และเลขาฯ พรรคก้าวไกล พูดคุยกันแล้ว เราก็รอจะมีการนัดหมายเมื่อใด

เมื่อถามถึงความคิดเห็นของ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า นายบวรศักดิ์ไม่เห็นด้วยกับผลการลงมติของรัฐสภา และยังแนะนำว่าใครเห็นว่าถูกละเมิดสิทธิ์สามารถไปร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้

เมื่อถามว่า วันนี้ใช้คำว่าเพื่อไทยต้องรอพรรคก้าวไกลเพียงอย่างเดียวได้ใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรค กล่าวว่า ต้องรอ ในฐานะที่เป็น 8 พรรคร่วม การตัดสินใจและท่าทีอยู่ที่พรรคก้าวไกลก่อน เมื่อถามย้ำว่า วันนี้พรรคเพื่อไทยไม่ปล่อยมือพรรคก้าวไกลใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “ขณะนี้ยัง ยังอยู่”

เมื่อถามถึงการเสนอชื่อนายกฯ ครั้งต่อไป จะต้องเป็นของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า อยู่ที่การหารือที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ โดยจะรอนัดหมาย อาจเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็แล้วแต่เขาจะนัดหมายกัน

เมื่อถามว่า แกนนำพรรคก้าวไกลหลายคนไม่พอใจการทำงานของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ไม่มีใครพอใจ ส่วนตัวก็ไม่พอใจเหมือนกัน จะเสนอญัตติโดยใช้เสียงข้างมากธรรมดาโดยไม่มีช่องทางที่ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมรัฐสภา แต่เมื่อออกมาเช่นนั้นก็ต้องยอมรับ เพราะเราปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และระบบรัฐสภา ระบบเสียงข้างมาก ก็ต้องยึดถือ เพียงแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่อาจมีความแคลงใจ คาใจและไม่พอใจ คือเสียงข้างมากไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม และจะทำให้ระบบรัฐสภามีปัญหาแน่นอน

“แต่บทเรียนครั้งนี้สามารถนำมาปรับปรุงแก้ไขได้ เมื่อหมดวาระของ ส.ว.ในวันที่ 11 พ.ค.67 เรามีความชอบที่จะแก้ไขข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยนำเรื่องการให้ความเห็นชอบนายกฯมากำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาฯ อะไรที่เป็นข้อจำกัดในข้อบังคับการประชุมรัฐสภาไปบัญญัติไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาฯ แทน” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามถึงความเป็นห่วงว่าการเสนอชื่อนายกฯ เป็นญัตติไม่สามารถเสนอชื่อซ้ำได้ในสมัยประชุมเดียวกันนั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เมื่อข้อบังคับถูกวินิจฉัยเช่นนี้ทุกคนเป็นห่วง ถ้าพรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ตกภาระลำบาก 

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยห่วงว่าถ้ายังจับกับพรรคก้าวไกลแล้วเสนอชื่อรอบ 3 หรือรอบต่อ ๆ ไปจะไม่ผ่านเหมือนกันใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เสนอชื่อซ้ำก็ห่วงทุกมิติ ถ้าเขาเห็นว่าเราไม่ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย ทุกคน ก็ยากมากที่จะฝ่าด่านไปได้ ดังนั้น หลักการคือ พรรคแกนนำไม่ว่าพรรคใดต้องแสวงหาความมั่นใจว่าเสนอไปแล้วจะผ่าน ไม่มีใครรบบนสมรภูมิที่แพ้ แล้วจะรบอีก เพราะเราก็จะเสียคนของเราไปด้วย โดยเฉพาะถ้าเรามีเพียงคนเดียวเราเสนอไม่ได้อีก มันก็จบ นี่คือปัญหา

เมื่อถามถึงกระแสข่าวพรรคก้าวไกลจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สมควรยื่น อะไรที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญควรดำเนินการ เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อนายกฯ แต่ยังจับขั้วกับพรรคก้าวไกล ชื่อที่พรรคเพื่อไทยเสนอก็จะไม่ผ่าน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ข่าวก็คือข่าว ต้องรอพิสูจน์ว่าข่าวนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม กรณีถ้าถึงคิวที่พรรคเพื่อไทยเป็นคนเสนอ คงไม่รอให้ชื่อของเราไม่ผ่าน ถ้ารอมติตรงนั้นเราก็แพ้อย่างเดียว

“ผมสงสารพรรคก้าวไกลที่ใช้ประเด็นเหล่านี้มาเป็นเงื่อนไข ขณะนี้ไม่ใช่แค่เรื่องมาตรา 112 แล้ว พรรคเพื่อไทยไม่มีความคิดก้าวล่วงสิทธิและเสรีภาพของพรรคก้าวไกล เราเป็นพรรคร่วมก็จริง การที่บอกว่าคุณไปลดหน่อย โน่นนี่นั่น เราไม่มีสิทธิ์ อยู่ที่การตัดสินใจของพรรคเขา” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว

‘เพื่อไทย’ หักดิบ!! ผสมข้ามขั้ว สลัด ‘ก้าวไกล’ จับตาแนวรบ ส.ว. ลุ้นหนัก ‘อนุทิน’ เข้าชิง

ก็ไม่เหนือความคาดหมายแต่ประการใด...ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับเรื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. กรณีพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นสื่อฯ ไอทีวี และมีมติ 7 ต่อ 2 ให้พิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.เอาไว้ก่อนตั้งแต่ 19 ก.ค.จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย...

ไม่กี่นาทีหลังคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่เป็นทางการ ‘ทิม พิธา’ ก็ประกาศอำกลางสภาฯ บอกกว่าจนกว่าจะพบกันใหม่..ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้อง…

และในวันเดียวกันที่ประชุมรัฐสภามีมติประเภทตอกฝาโลงพิธา ด้วยการมีมติว่าการเสนอโหวตนายกฯนั้นเป็นญัตติและเสนอชื่อซ้ำอีกไม่ได้เหตุขัดข้อบังคับการประชุมรัฐสภา 2563 ข้อที่ 41 ด้วยคะแนน 394 ต่อ 312 งดออกเสียง 8 ไม่ลงคะแนน 1  

น่าสังเกตว่าคะแนน 312 ที่เห็นว่าเสนอชื่อพิธาซ้ำได้อีกนั้น น้อยกว่าคะแนนที่พิธาได้รับการโหวตเลือกเมื่อวันที่ 13 ก.ค. เพราะวันนั้นพิธาได้คะแนนสูงถึง 324 เสียง

สำหรับ ‘พิธา’ ก็ต้องฝ่าวิบากกรรมอีกหลายกรณี กรณีคดีหุ้นสื่อก็ต้องใช้เวลา 3-4 เดือนกว่าจะรู้ผลว่าจะได้กลับสภาฯ หรือต้องลาไกล

กรณีพรรคก้าวไกลนั้นนาทีนี้แม้จะยังไม่ยอมโยนผ้ายอมแพ้หรือประกาศตัวเป็นฝ่ายค้าน แต่เกมการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลไปตกอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว...ทั้งพรรคเพื่อไทยและก้าวไกลอยู่ในสภาพกดดันทั้งคู่

พรรคก้าวไกลนั้นความกดดันคือ...จะเดินหน้าอย่างไร จบแค่นี้อย่างมีศักดิ์ศรีหรือเดินหน้าเกาะเอวพรรคเพื่อไทยขอเป็นรัฐบาลด้วย แล้วในที่สุดจะถูกสลัดออกมา...ให้สังคมและด้อมส้มรู้สึกสงสารมากขึ้น

ส่วนพรรคเพื่อไทย...รู้ดีว่าการเสนอชื่อนายกฯ โดยมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วยนั้นเสียงโหวตไม่ผ่านแน่นอน...ดังนั้นความกดดันคือถ้าพรรคก้าวไกลไม่สลัดออก ก็อาจจะต้องยอมเสนอชื่อนายกฯ ที่ไม่หวังผลได้ หรือเสนอให้รัฐสภาโหวตทิ้งไปสักชื่อหนึ่งก่อน ซึ่งอาจจะเป็นชัยเกษม นิติสิริ

แต่สายข่าวจากพรรคเพื่อไทยรายงานล่าสุดว่าจะพยายามเสนอชื่อแรกแล้วให้ผ่านเลย...ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าพรรคเพื่อไทยต้องผสมข้ามขั้วกับพรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐและพรรคอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง...เพื่อบีบให้พรรคก้าวไกลถอนตัวไปโดยอัตโนมัติตั้งแต่ตอนแรก

ทั้งนี้เต็งหนึ่งนายกฯ ของเพื่อไทยตอนนี้คือ เศรษฐา ทวีสิน คนที่เพจของพรรคกำลังทยอยปล่อยคลิปโชว์กึ๋นออกมารัวๆ...แต่อย่างไรก็ตามโอกาสของ ‘เสี่ยนิด-เศรษฐา’ จะถูกปิดตายทันทีถ้าเขายังยืนกรานในจุดยืน...มีเศรษฐาต้องมีก้าวไกล

ทั้งหลายทั้งปวงต้องยอมรับว่า...การจัดตั้งรัฐบาลสูตรที่ไม่มีพรรคก้าวไกลดูเหมือนจะง่ายขึ้น แต่จริง ๆ แล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะรัฐบาลใหม่ไม่เพียงเดิมพันอนาคตบ้านเมืองเท่านั้น ในส่วนของพรรคเพื่อไทยยังแบกเดิมพันการกลับบ้านของคนแดนไกลรวมอยู่ด้วย..และปัจจัยนี้คือราคาที่พรรคเพื่อไทยต้องจ่าย...จ่ายด้วยเงื่อนไขการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้กระทั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี...

วันที่ 27 ก.ค.รัฐสภานัดประชุมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง สภากาแฟยังไม่ตัดชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘บิ๊กป้อม’ และ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ออกจากตัวเต็งนายกฯ คนที่ 30 โดยเฉพาะ อ.อนุทิน นั้นราคาหุ้นพุ่งแรงแซงลุงป้อมไปเป็นช่วงตัวแล้ว บรรดา ส.ว.หลายสายกำลังลุ้นหนักให้ถูกเสนอชื่อเข้าชิง

ทราบแล้วเปลี่ยน..!!

‘อั๋น ภูวนาท’ โพสต์ฉะ คนที่คิดปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ ลั่น!! อดทนอีกนิด ไม่ใช่พวกเราที่จะตายก่อน

(20 ก.ค. 66) ยังคงเป็นประเด็นการเมืองที่หลาย ๆ คนให้ความสนใจ สืบเนื่องจากกรณีที่ทางรัฐสภา ได้มีการเปิดโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ได้มีการเสนอรายชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ ซึ่งมีผลว่า พิธา ชวดตำแหน่งนายกอีกครั้ง อีกทั้งยังได้มีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้ พิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกผู้แทนราษฎรชั่วคราว จากกรณีถือหุ้นสื่อ ITV จนกว่ามีคำวินิจฉัยใหม่

หลังการประชุมโหวตเลือกนายกฯ รอบที่ 2 เหล่าคนบันเทิงต่างออกมาเคลื่อนไหว รวมไปถึง 'อั๋น ภูวนาท' ซึ่งปกติเจ้าตัวก็ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องการเมืองอยู่เป็นประจำ ล่าสุด โพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า…

"2023 บันทึกไว้เตือนใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยจากกติกาที่เฮงซวยแบบไม่มีใครปฏิเสธได้ของกลุ่มคนที่คิดจะปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ ในนามของความถูกต้องที่อุปโลกน์ความชอบธรรม โดยไม่มองโลกที่เปลี่ยนไปอย่างเข้าใจ และฟังเสียงเจ้าของประเทศที่แท้จริง #รักเกินรักมักทำลาย อดทนอีกนิดนะครับ เพราะดูจากหน้าตาแล้วพวกเราไม่น่าจะเป็นฝ่ายที่ตายก่อน #ก็ว่าจะไม่แรง" 

งานนี้ชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก เช่น รอบหน้าคงไม่ไปเลือกตั้งแล้วเสียเวลาและเสียความรู้สึกมาก, เสียดายเงินภาษีในการจัดการเลือกตั้งมาก รวมทั้งภาษีที่จ่ายไปเป็นเงินเดือนของพวก สว. กกต. และหน่วยงานรัฐทั้งหลายที่ไม่สุจริตในการทำงาน

‘เศรษฐา’ ลั่น!! หาก 'เพื่อไทย' เป็นแกนตั้งรัฐบาลจะไม่แตะ 112 คลุมเครือจับมือ ‘ก้าวไกล’ ต่อหรือไม่ ขอคุย 8 พรรคก่อน

(20 ก.ค.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของพรรคเพื่อไทย ในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ภายหลังไม่สามารถเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ได้อีกว่า วันนี้จะพูดคุยกันในเรื่องนี้ ส่วนจะมีความชัดเจนในการเสนอชื่อตนเป็นนายกฯ หรือไม่นั้น ต้องรอข้อสรุปจากการประชุม

เมื่อถามว่าเสียง ส.ว.ในการโหวตนายพิธา เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ชัดเจนว่า ส.ว.ไม่เอาพรรคก้าวไกล การตั้งรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย จะยังมีพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องให้ทีมเจรจาไปเจรจาก่อน ซึ่งจะทราบทิศทาง ขณะนี้เรายังมีเอ็มโอยูของ 8 พรรคร่วม ดังนั้นต้องพูดคุยและให้เกียรติกัน

เมื่อถามว่าขณะนี้พร้อมถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ในการโหวตครั้งต่อไปหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ทางพรรคมีแคนดิเดตนายกฯ 3 คน ต้องรอให้มีมติจากกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) ว่าจะเป็นใคร ทั้งนี้ แคนดิเดตทุกคนมีความพร้อม

เมื่อถามว่า 8 พรรคร่วมยังเหนียวแน่นหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่าวันนี้ยังเป็นแบบนั้นอยู่ โดยคณะเจรจาอาจไปพูดคุยกันเย็นนี้หรือวันที่ 21 ก.ค. เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีแนวทางว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ รวมถึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

เมื่อถามว่าการดันนายพิธา เป็นนายกฯ ของพรรคร่วม ถือว่าสิ้นสุดแล้วหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตามที่ฟังดูในทางกฎหมาย น่าจะเป็นเช่นนั้น

เมื่อถามว่าการโหวตชื่อนายกฯ เหมือนเป็นบรรทัดฐานว่าจะเสนอชื่อหนึ่งคนได้เพียงครั้งเดียว การมีพรรคก้าวไกลอยู่จะส่งผลให้โหวตนายกฯ ไปในทิศทางใด นายเศรษฐา กล่าวว่า การเสนอชื่อนายกฯ ครั้งต่อไปต้องคิดให้ดี ต้องเจรจาให้เหมาะสม เมื่อถามว่าส่วนตัวมองว่าควรจะแพ็กกับพรรคก้าวไกลต่อหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องให้เกียรติคณะเจรจา เพราะตนไม่ได้อยู่ในคณะเจรจา

เมื่อถามว่าหากพรรคเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะทำอย่างไรไม่ให้ ม.112 เป็นปัญหา นายเศรษฐา กล่าวว่า มองว่าพรรคที่จะเสนอชื่อนายกฯ ครั้งต่อไป ต้องไม่มีเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิก ม.112 ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว.รวมถึงพรรคอื่น ดูก็รู้ว่าเรื่องอะไรเป็นอะไร

เมื่อถามว่ามองว่าวิธีใดที่จะทำให้มาตรา 112 ไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะทำให้คนเข้าใจพรรคเพื่อไทยมากที่สุดว่าเราไม่ได้หักพรรคก้าวไกล นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนพูดแทนพรรคก้าวไกลไม่ได้ แต่พรรคเพื่อไทยคงต้องพูดคุยกัน ถ้าเราจะเป็นแกนนำ เรื่องนี้ต้องหยุดลงไป ส่วนความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกล ตนไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะตนไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจา แต่คิดว่าหากมีมาตรา 112 อยู่ คงไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลาย ๆ พรรค

เมื่อถามว่าจะมีพรรคร่วมเข้ามาเติมเสียงเพิ่มขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า คิดว่าอาจจะล้ำหน้าไปเล็กน้อย ต้องให้เกียรติ 8 พรรคร่วมก่อน เพราะ 8 พรรคปัจจุบันก็มีเสียงเยอะ แต่ต้องมาคุยกันอีกครั้งว่าจะตกลงกันอย่างไร อย่างไรก็ตาม เสียงสว.250 เสียงถือเป็นส่วนที่สำคัญในการสนับสนุนให้เป็นนายกฯ

เมื่อถามว่าตัวนายเศรษฐาจะต่อสายพูดคุยกับ สว.ได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนรู้จักสว.แค่คนสองคน เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว คงเป็นเรื่องของหลักการมากกว่า ถ้าตกลงกันได้และพูดคุยกันรู้เรื่อง เชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนจากสว. คิดว่าอย่าเพิ่งข้ามขั้นดีกว่า วันนี้เรายังผูกมัดอยู่กับเอ็มโอยู และต้องให้เกียรติคณะกรรมการเจรจาว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ถ้าเจรจาแล้วเห็นเป็นอื่นก็ต้องกลับมาคุยในพรรคกันต่อ แล้วพิจารณาว่าต่อไปเราจะไปอย่างไรกับใคร

เมื่อถามว่าคิดหรือไม่ว่าตอนนี้เกมบีบให้พรรคเพื่อไทยต้องข้ามขั้ว นายเศรษฐา กล่าวว่า ต่างคนต่างคิดอยู่แล้ว แต่สำคัญที่สุดคือคนที่มีอำนาจตัดสินใจ กก.บห. คณะเจรจาร่วมต้องเป็นคนพิจารณาให้ดี ส่วนเรามีหน้าที่ที่ต้องทำต่างกัน วันนี้ตนเป็นแคนดิเดตนายกฯ ก็ต้องเตรียมพร้อมเรื่องเศรษฐกิจที่พรรคมอบหมายมา

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ 8 พรรคยังอยู่ด้วยกัน การจะมีการเปลี่ยนแปลงข้ามขั้ว หรือจะมีพรรคอื่นเข้ามาเสริมก็ต้องให้เกียรติกับคณะเจรจา ขอให้ใจเย็น มีอีกหลายวันก่อนถึงวันที่ 27 ก.ค. เราต้องให้เกียรติกับพรรคร่วม ซึ่งผลการโหวตเมื่อวันที่ 19 ก.ค.เป็นผลที่น่าผิดหวัง แต่ต้องยอมรับและเดินต่อไป ทั้งนี้ หาก กก.บห.มีทิศทางการจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร ก็พร้อมทำตาม

เมื่อถามว่ามีการพูดถึงสูตรผลักให้พรรคก้าวไกล ไปเป็นฝ่ายค้าน วันนี้มองว่ายังต้องจับมือกับพรรคก้าวไกลไปจนกว่าจะสุดทางไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับว่าสุดคืออะไร สุดทางคือพรรคก้าวไกลไม่สามารถส่งนายกฯได้ ถือว่าสุดทางแล้วหรือยัง อันนี้ต้องฝากไปยังคณะเจรจาของ 8 พรรคว่า นี้คือสุดทางหรือยัง ถ้าสุดทางแล้วต้องมาพิจารณาว่าพรรคที่มีคะแนนอันดับสอง จะได้รับการมอบหมายหรือไม่ จะตกลงกันได้หรือไม่ อยากให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เพราะถึงอย่างไรเรายังร่วมอุดมการณ์กันอยู่ดี

เมื่อถามว่าหากโหวตอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะยังมีพรรคก้าวไกลอยู่ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องผลักพรรคก้าวไกลออก นายเศรษฐากล่าวว่า ตนว่าทุกคนรู้อยู่ อย่าให้ตนตอบดีกว่า เมื่อถามย้ำว่าจะทำตามแนวทางของกก.บห.ยอมเป็นนายกฯ โดยที่ไม่มีพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า อย่าไปถึงจุดนั้น จุดแรกคือ 8 พรรค ต้องตกลงกันให้ได้ก่อนว่าขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร

หากมีมติออกมาว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ก็ต้องประชุม กก.บห.ก่อน แล้วเลือกแคนดิเดตนายกฯ ต้องว่าไปตามขั้นตอน ยังมีเวลาอีกหลายวัน

เมื่อถามว่าในการหากเสนอชื่อนายเศรษฐา มั่นใจหรือไม่ว่าเสียง 8 พรรคจะเหมือนเดิม นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ก้าวล่วง หากบอกว่าเขาโหวตให้แล้วเขากลับไม่โหวตให้ ดังนั้น ขอไม่ตอบดีกว่า เพราะต้องให้เกียรติพรรคร่วม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top