Monday, 23 June 2025
POLITICS NEWS

‘คนกาก้าวไกล’ ชี้ ‘ด้อมส้ม’ ไม่ต่างจาก ‘สลิ่ม’ เพราะประชาธิปไตยแบบด้อมส้ม = ‘ห้ามเห็นต่าง’

(19 ก.ค. 66) จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี จากจุดยืนจะเสนอแก้ไขมาตรา 112 ภายหลังจากนั้นก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั่วโลกออนไลน์ และเกิดกระแสหากใครเห็นต่าง ‘ด้อมส้ม’ หรือกองเชียร์ของพรรคก้าวไกลจะเข้ามารุมต่อว่าทันที

ล่าสุดก็มีผู้ใช้งานโซเชียลรายหนึ่งได้เผยแพร่คลิปวิดีโอ อ้างว่าตัวเองเป็น 1 ใน 14 ล้านเสียงที่เลือกพรรคก้าวไกล แต่มองว่าในตอนนี้ ‘ด้อมส้ม’ กำลังจะกลายเป็น ‘สลิ่ม’ เพราะประชาธิปไตยพรรคก้าวไกล เท่ากับห้ามคิดต่าง

ผู้ใช้โซเชียลรายดังกล่าวระบุในวิดีโอว่า “ผมเป็น 1 ใน 14 ล้านเสียงที่กาก้าวไกลนะ แต่คุณเชื่อไหมว่าต่อไป ประชากรสลิ่มจะเติบโตขึ้น เพราะอะไร? มาลองฟังเหตุผล”

“คนที่เห็นด้วยกับนโยบายพรรคก้าวไกล จะมีตั้งแต่เห็นด้วย 100% 90% 80% 70% ผมเรียกคนที่เห็นด้วย 100% ว่า ติ่ง ติ่งก็คือเขาจะทำอะไร จะเลี้ยวไปทางไหนก็คือถูกหมด คนอื่นห้ามเห็นต่าง ประชาธิปไตยของพรรคส้มไม่มีแบบว่า ผมเคารพความคิดคุณนะ เคารพความเห็นคุณนะที่เห็นต่างจากผม เราอยู่ร่วมกันได้ เรามีสิทธิคนละ 1 สิทธิ์ 1 เสียงนะ ไม่มีอะไรแบบนี้นะ ห้ามคิดต่าง!! ห้ามคิดไม่ตรงกับกู แบบนี้คือพวก 100%”

“ที่นี้พวกที่เห็นด้วย 90% 80% 70% ไม่เห็นด้วยในบางนโยบาย อย่างผมไม่เห็นด้วยเรื่องนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ก็จะโดนพวกเห็นด้วย 100% ว่าแล้วว่า ห้ามเห็นต่าง ต้องเห็นตรงกับเขา นี่คือประช่าธิปไตย ดังนั้นจะทำให้คนไปเป็นสลิ่มมากขึ้น และจะกัดกินแบรนด์ส้มจากภายในเรื่อย ๆ กัดกินแบบธรรมชาติ เหมือนพวกหัวคะแนนธรรมชาติที่ตอนนี้ค่อยๆ ล้มหายตายจากไปทีละคน”

ผู้ใช้โซเชียลรายนี้ยังทิ้งท้ายไว้ว่า “คุณลองไปลองดูนะ คุณลองคิดต่างและแหย่เข้าไปในด้อมส้มนี้ดู ลองทำแล้วดูว่าเป็นจริงไหม”

‘จาตุรนต์’ ชี้!! ไม่ควรยึดหลักเสียงส่วนใหญ่จากในสภาฯ เพราะบางเสียงไม่ได้มาจากการเลือกของ ปชช.

(19 ก.ค. 66) นายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย กล่าวในรัฐสภาฯ ระบุว่า…

“เราไม่อาจตีความในทางที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่อาจตีความในทางที่จะเอาเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภา ที่อาจจะประกอบไปด้วยผู้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มาหักล้างเจตนารมณ์ของประชาชนที่แสดงออกในการเลือกตั้ง”

‘กัณวีร์’ เผยความรู้สึก หลังศาล รธน. สั่ง ‘พิธา’ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ลั่น!! ไม่ยอมแพ้ ขอเคียงข้าง ‘ก้าวไกล’ พร้อมจับมือสู้ไปด้วยกัน

กัณวีร์ พรรคเป็นธรรม เผยความรู้สึก นั่งอยู่ในสภา หลัง ศาลรธน. สั่ง พิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ ปมถือหุ้นไอทีวี ลั่นอย่ายอมแพ้ขวากหนามขวางกั้น

(19 ก.ค. 66) หลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์รับคำร้องวินิจฉัยคุณสมบัติ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น พร้อมมีคำสั่งให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.สตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.66 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ เลขาธิการพรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ กัณวีร์ สืบแสง Kannavee Suebsang ระบุว่า…

“ตัวผมเองนั่งอยู่ในสภาฯ แต่ความรู้สึกคงไม่ต่างจากพี่น้องประชาชนที่อยู่ด้านนอกครับ

อย่างไรก็ตาม อย่ายอมแพ้กับขวากหนามที่มาขวางกั้นประชาธิปไตยของประเทศไทย และกฏเกณฑ์ที่ถูกสร้างมาเพื่อเอื้อให้กับอำนาจนิยม คนไทยยังต้องการเห็นประชาธิปไตยของประชาชนครับ!! จับมือไปด้วยกัน!! ส่งกำลังใจครับ

ขณะเดียวกัน กัณวีร์ ยังได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า ความสง่างามทางการเมืองไทย คือการเคารพเสียงมติมหาชนและปฏิบัติตามกฎหมาย ตามครรลองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

อย่ายอมแพ้กับขวากหนามที่มันมาขวางกั้น การนำพาประเทศชาติให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่ฉุดรั้งประชาธิปไตยของประเทศไทย

อย่าหยุดยั้ง เพราะกฏเกณฑ์ระเบียบที่ถูกสร้างมาเอื้อให้กับอำนาจนิยม ที่จะหยุดการพัฒนาประเทศที่มีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง

ให้กำลังใจ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หยุดปฏิบัติหน้าที่แค่ชั่วคราว แล้วค่อยกลับมาอย่างสง่างามครับ ประชาชนยังต้องการเห็นประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน

‘โรม’ ไม่เห็นด้วย หลังศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง ‘พิธา’ หยุดปฏิบัติหน้าที่

(19 ก.ค. 66) นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวในรัฐสภาฯ วาระโหวตเลือกนายกฯ ครั้งที่ 2 หลังศาลรัฐธรรมนูญลงมติสั่งให้ ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ แคนดิเดตนายกฯ และ ส.ส. พรรคก้าวไกล หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ว่า…

“การพยายามตีความข้อบังคับ เพื่อตัดไม่ให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถูกเสนอชื่อ เพื่อลงมติรอบที่ 2 ได้นั้น เห็นได้ว่า มีข้อปัญหาที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมไม่อาจเห็นด้วยกับการตีความแบบนี้”

‘อัครเดช’ ชี้ การโหวตนายรัฐมนตรี เมื่อมีการลงมติ ก็ต้องเป็นญัตติ

(19 ก.ค. 66) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรครวมไทยสร้างชาติ
กล่าวในรัฐสภาฯ วาระโหวตเลือกนายกฯ ครั้งที่ 2 เกี่ยวกับการตีความ การโหวตนายกรัฐมนตรี นั้นจัดเป็นการยื่นญัตติ หรือไม่ โดยมีความเห็นว่า ...

“เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว การที่เราได้มีการเสนอให้มีผู้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น มีการลงมติ ฉะนั้น เมื่อมีการลงมติ ตามความหมายของพจนานุกรม มันแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เราต้องเคารพ ที่กฎหมายได้ระบุไว้” นายอัครเดช กล่าวที่รัฐสภา

‘พิธา’ ลุกขึ้นกล่าวอำลา หลัง ศาล รธน. สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ชี้!! ตั้งแต่ 14 พ.ค. ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม

(19 ก.ค. 66) หลัง ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์รับคำร้องวินิจฉัยคุณสมบัติ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น พร้อมมีคำสั่งให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.66 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ในช่วงบ่วยวันเดียวกัน มีหนังสือจาก นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ส่งถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจ้งให้ทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ถูกร้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ ส.ส. ชั่วคราว นับตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย

ล่าสุด ที่รัฐสภา นายพิธา ขออนุญาตประธานสภาฯ ลุกขึ้นพูด ระบุว่า ตอนนี้มีเอกสารจากศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ คงจะขออนุญาตพูดว่ารับทราบคำสั่ง และจะปฏิบัติตามจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเป็นอื่น

นายพิธา กล่าวต่อว่า ขอใช้โอกาสนี้อำลาท่านประธานจนกว่าเราจะพบกันใหม่ และขอฝากเพื่อนสมาชิก ในการใช้รัฐสภาดูแลพี่น้องประชาชน คิดว่าประเทศไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ถ้าเกิดประชาชนชนะมาแล้วครึ่งทาง เหลืออีกครึ่งทาง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่แต่ขอให้เพื่อสมาชิกทุกคนช่วยกันดูแลประชาชนต่อไป

โดยหลังพูดจบมี ส.ส.จาก 8 พรรค ลุกขึ้นปรบมือให้กำลังใจนายพิธา

'ช่อ' อ้าง!! ฝ่ายอนุรักษ์พร้อมหักได้ทุกดีล  ชี้!! ก้าวไกลถอย 112 จะได้เป็นนายกฯ จริงหรือ?

(19 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเกิดกระแสการรีทวีตคลิปการให้สัมภาษณ์ในตอนหนึ่งของนางสาวพรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ แกนนำคณะก้าวหน้า ซึ่งให้สัมภาษณ์ ‘มติชนทีวี’ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยตอบคำถามในประเด็นมาตรา 112 กับพรรคก้าวไกล

นางสาวพรรณิการ์กล่าวว่า ตนขอถามจริงๆ จากใจ ว่าเชื่อจริง ๆ ใช่หรือไม่ ว่าถ้าพรรคก้าวไกลถอนจากการผลักดันแก้ไข ม.112 แล้ว นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี

“ดิฉันถามจริง ๆ ทุกท่านมองตาดิฉันนะ ถามจริง ๆ จากใจ ท่านเชื่อจริง ๆ หรือ ว่าถ้าก้าวไกลถอน ม.112 แล้วจะได้เป็นนายกฯ ท่านเชื่อจริง ๆ ใช่ไหม ตอนพรรคอนาคตใหม่ ถูกกระทำสารพัดขนาดไหน ตอนนั้นยังไม่มีเรื่อง 112 คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดนระงับการปฏิบัติหน้าที่ โดนตัดสิทธิ ยังไม่มีเรื่อง 112

มาวันนี้ท่านเชื่อจริง ๆ หรือว่า ถ้าพรรคก้าวไกลยอมถอยเรื่อง ม.112 จะทำให้เขาได้เป็นรัฐบาล ดิฉันอาจจะมองโลกในแง่ร้ายก็ได้ แต่วันใดที่พรรคก้าวไกลถอยเรื่อง 112 คุณจะไม่เหลืออะไรเลย เพราะคุณถูกบังคับให้ทรยศต่อประชาชน คุณถูกฝ่ายอนุรักษนิยมบังคับ หลอกล่อ หรืออะไรก็ตามให้กลายเป็นหนึ่งในพรรคที่ไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในการเลือกตั้ง แล้วไม่มีอะไรการันตีได้ คุณเห็นมากี่ครั้งแล้วว่า อนุรักษนิยมสามารถหักทุกดีลได้ ไม่ว่าเขาจะเคยพูดหรือสัญญาอะไรไว้ คุณเห็นมากี่ครั้งแล้วในการเมืองไทย เขาพร้อมที่จะหลอกให้คุณทรยศประชาชน และสุดท้ายเขาก็ทรยศคุณอีกต่อหนึ่ง ไม่มีอะไรแน่นอนไปกว่าความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อเรา และความเชื่อมั่นศรัทธาที่เราและประชาชนมีต่อกัน” นางสาวพรรณิการ์กล่าว

‘ธงทอง’ อธิบายชัด โหวตนายกฯ ไม่ใช่ญัตติ  เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีศักดิ์สูงกว่าข้อบังคับฯ

(19 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเพจ ‘Tongthong Chandransu’ ระบุว่า…

“รัฐธรรมนูญมีศักดิ์ทางกฎหมายสูงกว่าข้อบังคับการประชุมของรัฐสภาอย่างแน่นอน

การเสนอชื่อบุคคลเพื่อให้รัฐสภามีมติให้ความเห็นชอบเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 ประกอบมาตรา 272 นอกจากนั้นข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 เอง ในหมวดเก้าว่าด้วยเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี ได้แยกเรื่องนี้ออกไว้เป็นการเฉพาะ และกำหนดไว้เป็นการพิเศษว่าการเสนอชื่อดังกล่าวต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถ้าคำนวณจากจำนวนเต็ม 500 ก็จะพบว่าการเสนอชื่อนี้ต้องมีผู้รับรองถึง 50 คน

โปรดสังเกตว่าบทบัญญัติมาตรา 157 และมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญก็ดี บทบัญญัติของข้อบังคับการประชุมรัฐสภาหมวด 9 ก็ดี ไม่ปรากฏคำว่า “ญัตติ” อยู่ในที่ใด

ในขณะที่การเสนอญัตติทั่วไปตามข้อ 29 แห่งข้อบังคับการประชุมรัฐสภาพ.ศ. 2563 กำหนดว่าต้องมีสมาชิกรัฐสภารับรองไม่น้อยกว่าสิบคน จึงเห็นการแยกแยะความแตกต่าง และความสำคัญของสองเรื่องนี้ออกจากกันโดยชัดเจน

ดังนี้จึงเห็นได้ว่า การเสนอชื่อบุคคลเพื่อให้รัฐสภามีมติให้ความเห็นชอบเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับข้อบังคับการประชุมรัฐสภาหมวดเก้า ซึ่งกำหนดวิธีการขั้นตอนไว้โดยเฉพาะ ไม่มีเหตุผลทางกฎหมายใดที่จะนำบทบัญญัติ จากข้อบังคับการประชุมรัฐสภากรณีการเสนอญัตติทั่วไปมาปรับใช้แก่กรณี”

‘เสี่ยหนู’ ย้ำ!! จุดยืนภูมิใจไทยไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หนุนพรรคแก้ ม.112 - ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

(19 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ว่า ของพรรคภูมิใจไทยยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังเหมือนเดิม คือไม่แก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยจะมีเงื่อนไขอะไรหรือไม่นายอนุทิน กล่าวว่า มีแนวทางอยู่ 2 ข้อ ที่เป็นเรื่องหลัก คือ เรื่องมาตรา 112 และไม่เอารัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะไม่ทำ

เมื่อถามว่า มีการมองว่าหากพรรคลำดับที่ 2 จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ และเป็นพรรคลำดับที่ 3 มองอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า รอให้เกิดขึ้นก่อน ซึ่งตอนนี้มันยังไม่เกิด ตอนนี้ยังอยู่ในกระบวนการที่พรรคอันดับ 1 ยังจัดตั้งรัฐบาลอยู่ ยังมาไม่ถึงพรรคลำดับที่ 2 เลย

เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ยังจับมือกับพรรคก้าวไกลอยู่ พรรคภูมิใจไทยจะร่วมด้วยได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ก็พูดไปแล้ว คือไม่เอา ซึ่งตนก็ยังอยู่ในแนวทางไม่แตะมาตรา 112 และไม่เอาเสียงข้างน้อย

เมื่อถามย้ำว่า แต่หากไม่มีพรรคก้าวไกลจะพิจารณารับข้อเสนอใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า อย่าเพิ่งแต่ อย่าเพิ่งถ้า

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีชื่อของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ขึ้นมาแทนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล รับได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเรื่องของแต่ละพรรคที่มีแคนดิเดตนายกฯ ตนขอบอกว่าทุกคนที่แต่ละพรรคเสนอมีความเหมาะสมตามเหตุผลของพรรคนั้น ถ้าเราไปบอกคนนู้นไม่เหมาะคนนี้ไม่เหมาะ ซึ่งไม่มีสิทธิ์ที่จะไปพูด ถ้าเราไปบอกไม่เหมาะเดี๋ยวเขาจะบอกว่าเราฝั่งเราไม่เหมาะก็ยุ่งตาย

เมื่อถามว่า โดยส่วนตัวพร้อมชิงตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เอาไว้ให้มีความชัดเจนก่อน ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมสนับสนุนให้พรรคที่กำลังจัดตั้งรัฐบาลทำได้สำเร็จ

‘ธรรมนัส’ ยัน พปชร. ไม่ดัน ‘ลุงป้อม’ ชิงนายกฯ ย้ำชัด!! ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

(18 ก.ค. 66) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานประสานงาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ภายหลังการหารือภายใน สำหรับการประชุมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ในวันพรุ่งนี้ (19 ก.ค.) ว่า ส่วนแนวทางพรรคการโหวตเลือกนายกฯ รอบ 2 นั้น ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกอะไรได้ ต้องรอดูหน้างานก่อนการโหวตในวันพรุ่งนี้ โดยก่อนจะมีการโหวตทางพรรคพลังประชารัฐจะประชุม ส.ส.เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ร.อ.ธรรมนัส ย้ำว่า พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายชัดเจนในเรื่องก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะฉะนั้น คนที่จะมาเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย หากไม่มีประเด็นที่ขัดกับจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่มีปัญหา ทางพรรคฯ พร้อมจะสนับสนุน ขณะเดียวกัน ทางพรรคฯ ไม่มีแนวทางการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยจะไม่เสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ในการโหวตนายกฯ 

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อแทน คงต้องหารือกันอีกครั้ง พร้อมระบุว่า ยังไม่ถึงเวลาของเรา และขณะนี้ ยังไม่ได้รับการติดต่อจากใคร และยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดถึงเรื่องนั้น ต้องรอให้การโหวตพรุ่งนี้ผ่านไปก่อน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top