Saturday, 21 June 2025
POLITICS NEWS

‘นิพนธ์’ ยัน!! ‘วสันต์’ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ทนาย ว่าความคดี ป.ป.ช. ฟ้องฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่

ข่าวลอยลมปั่นกระแสผิด ๆ ทำเอา ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ต้องออกมาตอบโต้ว่า ‘นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์’ ถอนตัวจากการเป็นทนายความคดีที่ตนตกเป็นผู้ต้องหาคดีที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฟ้องฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ กรณีไม่ตั้งเรื่องเบิกจ่ายค่ารถอเนกประสงค์ ในการซ่อมบำรุงทางขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.สงขลา) 

นิพนธ์ กล่าวยืนยันหนักแน่นว่า “วสันต์ไม่ได้ถอนตัวจากการเป็นทนายความในคดีนี้แน่นอน วันนี้คุณวสันต์ยังมาศาล และยังขึ้นว่าความอยู่ตามปกติ เป็นเจตนาของคนเขียน ที่ต้องการทำลายกันทางการเมือง เวลานี้ผมทำงานการเมืองก็มีคู่แข่งเยอะ บางคนเจตนาร้าย ต้องการทำลายกัน แต่ข้อเท็จจริงมี พิสูจน์กันได้”

วันนี้ ศาลทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดสืบพยานทั้งโจทก์และจำเลย เป็นการนัดสืบพยานต่อเนื่อง 3 วัน (อังคาร-พุธ-พฤหัสบดี) และเป็นการนัดสืบพยานนัดสุดท้ายแล้ว

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวก็ได้รายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าเป็นต้นมานายวสันต์ ได้เดินทางไปยังศาลทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และขึ้นว่าความด้วยตัวเอง ซักพยานด้วยตัวเองตลอด ส่วนข่าวที่บอกว่า ‘วสันต์’ ถอนตัวเป็น fake news (ข่าวปลอม) หรือเรียกง่ายๆ ว่า โกหกทั้งเพ!!

‘บิ๊กตู่’ ควงคณะรัฐมนตรีคู่ใจ ลงพื้นที่ จ.สระบุรี เยี่ยมชมโครงการรถไฟทางคู่ ‘มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ’

(17 ส.ค. 66) ที่จังหวัดสระบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางลงพื้นที่จังหวัดสระบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าโครงข่ายคมนาคมระบบราง งานอุโมงค์รถไฟผาเสด็จช่วงมาบกะเบา-หินลับ ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ

และตรวจเยี่ยมงานอุโมงค์มวกเหล็ก และลำตะคอง ช่วงอุโมงค์มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ในโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา สัญญาที่ 3-2 งานอุโมงค์มวกเหล็ก และลำตะคอง ตามนโยบายรัฐบาลที่ได้วางแผนและเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ของประเทศ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ผลักดันให้เกิดโครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง เพื่อรองรับและสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยกระดับการเดินทางและศักยภาพการให้บริการขนส่งระบบราง เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ทั่วประเทศและรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ลดต้นทุนการขนส่งระบบโลจิสต์ติก เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ลดระยะเวลาในการเดินทางได้อย่างชัดเจน และมีความปลอดภัย

โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม และผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ร่วมตรวจเยี่ยมด้วย

โดยจุดแรก นายกรัฐมนตรีและคณะ ตรวจติดตามความก้าวหน้างานอุโมงค์รถไฟผาเสด็จ (อุโมงค์ที่ 1) ช่วงมาบกะเบา-หินลับ ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 ซึ่งสัญญาที่ 3 เป็นงานอุโมงค์รถไฟ จำนวน 3 อุโมงค์ ได้แก่

อุโมงค์ที่ 1 ตั้งอยู่ระหว่างสถานีมาบกะเบา สถานีผาเสด็จ และสถานีหินลับ จ.สระบุรี มีความยาว 5.85 กิโลเมตร มีความกว้างประมาณ 7.50 เมตร สูง 7.00 เมตร มีลักษณะเป็นอุโมงค์คู่ รางเดี่ยว ซึ่งเป็นอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เป็นการออกแบบที่มีระบบความปลอดภัยค่อนข้างสูง โดยภายในอุโมงค์มีช่องอพยพผู้โดยสารทุก ๆ ระยะ 500 เมตร ในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัย ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 98.130

อุโมงค์ที่ 2 ตั้งอยู่ระหว่างสถานีหินลับ และสถานีมวกเหล็กใหม่ จ.สระบุรี มีความยาว 650 เมตร กว้าง 11.00 เมตร สูง 7.30 เมตร มีลักษณะเป็นอุโมงค์เดี่ยว รางคู่ โดยช่องอุโมงค์ที่มีขนาดใหญ่กว่าอุโมงค์อื่น ๆ ทำให้มองเห็นปากอุโมงค์ทั้งสองฝั่งได้อย่างชัดเจน ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ

อุโมงค์ที่ 3 ตั้งอยู่บริเวณเขื่อนลำตะคอง ระหว่างสถานีคลองขนานจิตร อ.ปากช่อง และสถานีคลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา มีความยาวประมาณ 1.4 กิโลเมตร กว้าง 7.50 เมตร สูง 7.00 เมตร ลักษณะเป็นอุโมงค์คู่ รางเดี่ยว ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยอุโมงค์ทั้ง 3 แห่ง มีศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ ซึ่งในอนาคตได้มีการวางแผนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่มีทิวทัศน์สวยงาม เนื่องจากโดยรอบเป็นภูเขาและป่าร่มรื่น

นายกรัฐมนตรี รับฟังรายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ จากนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และได้ขึ้นขบวนรถไฟไปยังอุโมงค์ผาเสด็จ ระยะทาง 300 เมตร เพื่อเยี่ยมชมอุโมงค์ผาเสด็จ ก่อนขึ้นขบวนรถไฟกลับไปยังบริเวณพื้นที่โครงการฯ โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณกระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยกันดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ มีความก้าวหน้าเกิดผลสำเร็จเป็นไปแผนที่กำหนดไว้ และเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ได้วางแผนและเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ ระบบราง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับการพัฒนาประเทศ ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่รัฐบาลได้วางแผนไว้

พร้อมย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้ประชาชนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศจะได้รับจากโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ รวมถึงโครงการอื่น ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการไว้สำหรับประชาชนและประเทศชาติ ในการพัฒนาไปสู่อนาคต ส่วนบางโครงการที่อยู่ในระหว่างการศึกษา ก็ขอให้ดำเนินการต่อให้เกิดผลสำเร็จตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้ต่อไป

หากโครงการฯ แล้วเสร็จจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการเดินขบวนรถได้อย่างสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถรองรับขบวนรถเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว โดยขบวนรถโดยสาร จะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เฉลี่ย 100-120 กม./ชม. จากเดิม 50 กม./ชม. และขบวนรถสินค้า จะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เฉลี่ย 60 กม./ชม. จากเดิม 29 กม./ชม. ลดระยะเวลาการเดินทาง มีความตรงต่อเวลาของขบวนรถ เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ ลดต้นทุนการขนส่งด้านโลจิสติกส์ และประชาชนมีทางเลือกในการเดินทางมากยิ่งขึ้น อีกทั้งช่วยเพิ่มความปลอดภัยทั้งผู้ใช้รถใช้ถนนกับผู้โดยสารรถไฟ ด้วยการแก้ปัญหาจุดตัดระหว่างทางรถไฟกับถนนให้เป็นทางต่างระดับทั้งหมด ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาอุบัติเหตุได้อย่างยั่งยืน โดยคาดว่าจะก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ และเปิดเดินรถในทางคู่ใหม่บางส่วนได้ภายในปี 2567 นี้

'บิ๊กตู่' ลงพื้นที่สระบุรี ตรวจโครงข่ายคมนาคมระบบราง ดูความคืบหน้า ‘รถไฟทางคู่ - รถไฟไฮสปีดไทย-จีน’

(17 ส.ค. 66) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ จ.สระบุรี ตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ อุโมงค์ที่ 1 (อุโมงค์ผาเสด็จ) ณ พื้นที่โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ฯ สถานีรถไฟหินลับ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี รับฟังรายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ จากนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย

จากนั้น นายกรัฐมนตรีออกเดินทางจากพื้นที่โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ฯ ไปยังอุโมงค์มวกเหล็ก ต.มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-จีน (ไฮสปีด) ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพฯ - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา) (เฟส 1) แล้วเดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช ต.มิตรภาพ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

'รองอ๋อง' แจง!! โพสต์รูปเบียร์ แค่ดื่มโชว์ว่าผื่นไม่ขึ้น แต่ถ้ามองมุมกฎหมาย ยอมรับว่า 'มีโอกาสผิด'

(16 ส.ค.66) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก รองประธานสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่มีการสอบถามมายังตน แต่ก็เห็น นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาพิพากษาแล้ว ก็เป็นสิทธิของนายราเมศ ตนเป็นบุคคลสาธารณะก็รับฟัง โดยเรื่องนี้ตนเห็นแล้วว่า มาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีปัญหา ซึ่งคราฟต์เบียร์ดังกล่าว ได้มีการทำขึ้นที่จังหวัดพิษณุโลก ผู้ผลิตไม่รู้จะเปิดตัวอย่างไร

“ผมก็เลยลองไต่เส้นดู ไม่ได้เชิญชวนให้มาดื่มกันแต่แจ้งให้ทราบว่ามีแล้ว ผมลองกินให้ดูก่อน เพราะคราฟต์เบียร์ คนส่วนมากต่างแค่ว่ากินแล้วผื่นขึ้นหรือไม่ จะแพ้หรือไม่ มีมาตรฐานอุตสาหกรรม ผมจึงดื่มให้ดูนอกเวลาราชการ ไม่ได้มีเจตนาท้าทายกฎหมาย ทุ่มเทมา 3 ปี ก็อยากจะบอกเพื่อน ๆ ว่าวันนี้เสร็จแล้วนะ ก็โดนเลย”

เมื่อถามต่อว่า ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะเรามีกฎหมายระบุไว้ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า หากมองมุมกฎหมายล้วน ๆ ตนยอมรับว่า มีโอกาสผิด และกฎหมายข้อนี้เกิดมาตั้งแต่ปี 2551 หลังรัฐประหารปี 2549 ตอนช่วงที่ตนยังเด็ก ก่อนหน้านั้น มีโฆษณา ทำให้ติดภาพในการโฆษณา ตนเข้าใจว่า ยุคนั้นยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการจำกัดในสื่อหลัก ห้ามอยู่ในโฆษณาทีวี วิทยุโทรทัศน์ โรงหนัง แต่ตั้งแต่ปี 2551 มาก็มีความบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อย ๆ ขนาดบอกส่วนประกอบยังไม่ได้

นายปดิพัทธ์ ย้ำว่า เมื่อกฎหมายเป็นแบบนี้ เจ้าใหญ่ก็เลยใช้วิธีเลี่ยงบาลีไปโฆษณาน้ำแร่ น้ำดื่ม ตนจึงคิดว่า เรื่องนี้เป็นกฎหมายไม่เป็นธรรม เอาเปรียบคนตัวเล็กตัวน้อย ซึ่งมีความพยายามแก้ไขกฎหมายข้อนี้มานานมาก ขอ ครม. ก็มีแต่คำปฏิเสธ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องอารยะขัดขืน หากมีการเปรียบเทียบปรับก็จะยินดีที่จะไปจ่าย แต่ตอนนี้ยังไม่มีหมายเรียกชี้แจง ซึ่งคาดว่าจะมี

เมื่อถามว่า เป็นการพลาดหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นไก่กับไข่ ถ้ามีประชาชนโดนกฎหมายข้อนี้ก็ถึงจะไม่มีเวลาที่จะต้องแก้ แต่หากมีคนสนใจก็อาจมีการแก้ก็ได้ ก่อนมีสุราคราฟต์เบียร์ นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม.พรรคก้าวไกล ก็โดนจับก่อน ทำไมต้องแก้ก่อนแล้วค่อยทำ นอกจากนี้ กฎหมายหลายข้อยังออกมาในช่วงยุค คสช. เช่น การห้ามขายสุราในวันพระใหญ่ การจัดโซนนิง

“ผมก็เลยทำหน้าที่ สส.พิษณุโลก มีอะไรดีในจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร ผมไม่ได้ทำแค่เรื่องเบียร์ ผมพาไปเที่ยวด้วย พาไปดูอาหารการกินด้วย” นายปดิพัทธ์ กล่าว

ส่วนกรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา ไปร้องหน่วยงานต่าง ๆ ให้ตรวจสอบ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า เขาก็ไปทุกเรื่อง ร้องทุกเรื่อง ไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไร ตนเห็นหนังสือแล้ว ต้องรอตั้งคณะกรรมการสอบสวนก่อน ยืนยันว่า พร้อมชี้แจง หากผิดก็ยอมรับ

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่หากต้องกระเด็นออกจากตำแหน่งรองประธานสภา ตามคำพูดของนายศรีสุวรรณ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่าหากเรามีความกลัว ทำได้แค่ใส่เครื่องแบบเซ็นเอกสาร โดยที่ไม่คิดจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ตนคิดว่า ตำแหน่งแบบนี้ก็ไม่ค่อยคุ้มค่า เพราะฉะนั้น ตนคิดว่า ต้องทำทั้ง 2 อย่าง เวลาที่ทำหน้าที่ในสภาก็เป็นมืออาชีพ ตนไม่หวั่นไหว หากจะขอโทษสักเรื่องคงจะเป็นการขอโทษหลายท่านที่ตนแสดงบทบาทไม่เหมาะสม แต่หากถามว่าพลาดหรือไม่ ยืนยันว่า มันไม่ได้พลาด มองว่า ลักษณะนี้คล้ายกับกฎหมายขับรถเกินอัตราเร็ว ตนไม่ได้บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คิดว่าเป็นการเล่นงานทางการเมืองหรือไม่

‘บิ๊กป้อม’ สั่ง!! กอนช.รับมือ ‘เอลนีโญ’ ลดพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ พร้อมรณรงค์ทุกภาคส่วนบริหารจัดการน้ำอย่างประหยัด-คุ้มค่า

(16 ส.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ครั้งที่ 2/2566

โดยที่ประชุมเห็นชอบ ร่างมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2566 เพิ่มเติมเพื่อรองรับสถานการณ์ ‘เอลนีโญ’ ซึ่งประกอบด้วย 3 มาตรการที่สำคัญ ได้แก่

มาตรการที่ 1 การจัดสรรน้ำให้เป็นไปตามลำดับความสำคัญที่คณะกรรมการลุ่มน้ำกำหนด เกี่ยวกับการวางแผนการระบายน้ำ

มาตรการที่ 2 ให้ควบคุมการเพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง (ตลอดช่วงฤดูฝน) และให้มีการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกร

มาตรการที่ 3 ให้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ (ตลอดช่วงฤดูฝน) ได้แก่การใช้น้ำภาคการเกษตร เช่น การปลูกพืชใช้น้ำน้อย การปรับปรุงระบบการให้น้ำพืช และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น

รวมถึงการประหยัดน้ำของทุกภาคส่วน ส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมใช้ระบบ 3R เพื่อลดการใช้น้ำจากแหล่งต่างๆ และการลดการสูญเสียน้ำในระบบประปา และระบบชลประทาน

โดยที่ประชุม กอนช.รับทราบสถานการณ์จากอิทธิพลของปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้และรัฐบาลได้มีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ที่กำลังประสบปัญหาเป็นอย่างมาก สืบเนื่องจากปริมาณฝนที่ตกน้อยในหลายพื้นที่ และแหล่งน้ำมีปริมาณน้ำจำกัดโดยเฉพาะ น้ำอุปโภคบริโภค

แม้ว่าปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการตาม ‘12 มาตรการรับมือฤดูฝน’ อย่างต่อเนื่องและเต็มที่ จึงยังคงต้องเฝ้าระวังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบและก่อให้เกิดปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรงได้ และขณะเดียวกันปรากฏการณ์ ‘เอ็นโซ่’ (ENSO) อยู่ในสภาวะ
เอลนีโญ และจะมีแนวโน้มที่มีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.66  ทำให้ประเทศไทยช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.66 จะมีปริมาณฝนต่ำกว่าปกติ

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอให้ สทนช.และหน่วยงานต่างๆ เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจให้ประชาชน รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างทั่วถึง ทันเวลา เพื่อเตรียมความพร้อมและจัดลำดับความสำคัญในการใช้น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค อย่างเพียงพอของประชาชนเป็นอันดับแรก น้ำที่เหลือจึงใช้เพื่อการอื่นๆ รวมถึงพื้นที่ EEC ที่มีความสำคัญด้วย ต่อไป พร้อมรณรงค์ขอให้ประชาชน เกษตรกรและทุกภาคส่วนร่วมกันใช้น้ำอย่างประหยัด และคุ้มค่า

‘จุลพันธ์’ ห่วงร่าง กม.ค้างท่อถูกตีตก เหตุตั้ง รบ.ใหม่ล่าช้า เร่ง ‘วันนอร์’ หาทางแก้ ดันร่าง กม.เป็นประโยชน์ได้ไปต่อ

‘สส.เพื่อไทย’ ห่วง ร่าง กม.ค้างท่อ ถูกตีตก หลังเกินเวลาตาม รธน.กำหนด เหตุ ตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า เร่ง ‘วันนอร์’ หาทางแก้ ขณะนี้ ‘สส.ก้าวไกล’ แนะบรรจุกระทู้เรื่องเบี้ยยังชีพฯ โดยไม่ต้องรอ ครม.ใหม่

(16 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระ เปิดให้ สส.หารือถึงกระบวนการทำงานของสภาฯ โดยเฉพาะการยืนยันร่างกฎหมายที่ค้างในสภาฯ ชุดที่ 25 ที่อาจจะเกิดปัญหา หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยังล่าช้า

โดยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย หารือว่า กระบวนการยืนยันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่ค้างในสภาฯ ชุดที่ 25 โดยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 147 กำหนดกรอบให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ตั้งใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง ยืนยันร่างกฎหมาย ภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้ง คือ 3 กรกฏาคม ดังนั้น จะครบกำหนด คือ 31 สิงหาคม แต่ขณะนี้กระบวนการโหวตนายกฯ ยังไม่แล้วเสร็จ หากต้องรอกระบวนการมี ครม.ใหม่อาจจะเกินกำหนดเวลาดังกล่าว ทั้งที่มีกฎหมายสำคัญหลายฉบับค้างอยู่ อาทิ ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ..ศ..., ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม, ร่าง พ.ร.บ.ประมง เป็นต้น

ทั้งนี้ ตนขอให้นายวันมูหะมัดนอร์ พิจารณาใช้กลไกของสภาฯ คือ นัดประชุมตัวแทนพรรคการเมือง เพื่อทำหนังสือในนามความเห็นชอบจากทุกพรรคการเมือง ที่มีความจำเป็นให้ ครม.รักษาการยืนยันร่างกฎหมายที่ค้างอยู่ทุกฉบับ โดยไม่ปัดตก ซึ่งตนมองว่าจะเป็นทางออกที่ดีและร่างกฎหมายที่เป็นประโยชน์จะเดินหน้าได้

ขณะที่นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หารือขอให้สภาฯ เร่งรัดการตั้งกรรมาธิการสามัญ (กมธ.) 35 คณะ เพื่อให้เป็นช่องทางการทำงานของสภาฯ โดยไม่ต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เนื่องจากมีปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่รอเวลาไม่ได้ อย่างไรก็ตามในส่วนของร่างกฎหมายที่รอการยืนยัน พบว่ามีร่างกฎหมายที่ภาคประชาชนเข้าชื่อเสนอต่อสภาฯ เช่น ร่างกฎหมายชนเผ่า

ทั้งนี้ ตามระเบียบทราบว่าภาคประชาชนไม่ต้องเข้าชื่อเพื่อเสนอใหม่ แต่ผู้เสนอร่างกฎหมายนั้นต้องยืนยันต่อการเสนอต่อสภาฯ จึงขอให้ประธานสภาฯ พิจารณาทำหนังสือส่งถึงประชาชนที่ริเริ่มส่งร่างกฎหมายต่อสภาฯทุกคน เพื่อให้มายืนยันต่อสภาฯ ตามกรอบที่กำหนด

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่าพรรคก้าวไกลได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม มาตรา 1448 และมีเพิ่มอีก 68 มาตรา ต่อสภาฯ ซึ่งผ่านการรับฟังความเห็นของประชาชนจำนวนมาก เพราะไม่ต้องการรอการยืนยันจาก ครม.ชุดใหม่ ดังนั้น ขอให้พิจารณาเร่งรัดการตรวจสอบและบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภาฯ โดยเร็ว

ด้านนายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หารือให้สภาฯ พิจารณาบรรจุวาระกระทู้ถามสด โดยไม่ต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ เนื่องจากขณะนี้มีประเด็นที่เป็นปัญหาของประชาชนที่ต้องการคำชี้แจงจากรัฐบาลชุดรักษาการ เช่นเบี้ยงยังชีพผู้สูงอายุที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ อยากให้เชิญรัฐมนตรีมาชี้แจง ดังนั้นขอให้พิจารณาดำเนินการในการประชุมคราวหน้าโดยทันที

ขณะที่นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ประเด็นที่เป็นปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชน ตนเห็นด้วยและจะรับไปพิจารณา

‘กกต.’ โต้เดือด ‘พิธา’ กรณีไต่สวนอาญา ม.151 ชี้!! ยังไม่แล้วเสร็จ ปัด ‘กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษ’

(16 ส.ค. 66) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารข่าว ว่า ตามที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความว่า “คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต.มีมติยกคำร้องในคดีอาญา มาตรา 151 ตามข้อกล่าวหาว่า รู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการ เมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ...” จากกรณีที่เป็นข่าวว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. โดยเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ กกต.จึงได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ เพื่อพิจารณาว่าฝ่าฝืนมาตรา 151 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 (พรป.สส.) หรือไม่ประการใดนั้น

กกต.ชี้แจงว่า ในการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป 2566 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 3 ราย ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงาน กกต. กล่าวหาว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น อันเป็นกิจการสื่อมวลชน เชื่อว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (3) แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน แต่คำร้องดังกล่าวยื่นเกินกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติ กกต. จึงมีมติสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวทั้งหมดไว้พิจารณา 

แต่เมื่อ กกต.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า รายละเอียดที่ปรากฏตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของผู้ยื่นคำร้อง มีเหตุอันควรเชื่อว่านายพิธา อาจจะเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้ง สส. โดยมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏ จึงได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนฯ ให้เป็นไปตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ว่า นายพิธา กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ประการใด ขณะนี้การดำเนินการสืบสวนไต่สวนยังไม่เสร็จสิ้นและได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ โดยอยู่ในระหว่างกระบวนการสืบสวนไต่สวนเป็นไปตามลำดับชั้นตามระเบียบและกฎหมาย หลังจากนั้น จะได้นำเสนอข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและความเห็นต่อ กกต. ให้เป็นผู้พิจารณาและมีคำสั่งต่อไป

โดยเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2566 กกต. ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ทำให้นายพิธา มีสมาชิกภาพเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ แต่ปรากฏว่า กกต. ได้พิจารณามีข้อเท็จจริงและมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏ เชื่อได้ว่านายพิธา อาจเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ตามมาตรา 98 (3) อันเนื่องมาจากการเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวีจำกัด (มหาชน) อาจมีผลทำให้สมาชิกภาพ สส.ของนายพิธาฯ ต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (6) แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ดังนั้น จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้ทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ข้อกฎหมาย และความเห็น เสนอต่อ กกต.ให้พิจารณาสั่งการต่อไป

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เห็นว่า มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าสมาชิกภาพความเป็น สส. ของ นายพิธา อาจมีเหตุสิ้นสุดลง จึงเสนอความเห็นต่อ กกต. ให้มีมติยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันต่อไป

กกต. ขอชี้แจงว่าคณะกรรมการฯ ตามที่ได้รับแต่งตั้งจาก กกต. จำนวน 2 คณะ เป็นผู้ที่มีหน้าที่และอำนาจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงภายใต้การบังคับบัญชาซึ่งกันและกัน ดังนั้น คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ จะมีความเห็นเป็นเช่นใด ถือได้ว่าเป็นดุลยพินิจอันเป็นความเห็นเบื้องต้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสืบสวนและไต่สวนเท่านั้น โดยจะมีกระบวนการและขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบสืบสวนไต่สวนอีกหลายขั้นตอน กระบวนการดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด หลังจากนั้น เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายแล้วจะนำเสนอความเห็นต่อ กกต. พิจารณาในลำดับสุดท้าย

การพิจารณาเสนอความเห็นว่า นายพิธา กระทำความผิดตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. หรือไม่ กกต. จะต้องนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มาใช้ประกอบการตัดสินใจที่จะดำเนินคดีอาญากับนายพิธา หรือไม่ประการใด อันเป็นหลักประกันว่าบุคคลจะได้รับโทษในทางอาญา เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถนำพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายมาต่อสู้และหักล้างข้อกล่าวหาได้ทุกประเด็น

สำหรับการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยกรณีสมาชิกภาพ สส. ของนายพิธาฯ มีเหตุต้องสิ้นสุดลง เป็นการดำเนินการตามมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นระบบไต่สวน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสามารถใช้อำนาจดังกล่าวที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและแสวงหาพยานหลักฐานจากแหล่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง กกต.ไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการให้คดีที่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นไปในทางหนึ่งทางใดตามที่ กกต.ต้องการ

ศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวล ชนหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นประการใด ย่อมส่งผลโดยตรงต่อสมาชิกภาพการเป็น สส. ของนายพิธา เฉพาะตน โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผูกพันทุกองค์กร ดังนั้น กระบวนการในการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.ต่อ นายพิธา จึงยังไม่เสร็จสิ้นหรือมีผลเป็นที่สุดเด็ดขาด กกต.จึงไม่ได้กลั่นแกล้ง หรือจงใจที่จะทำให้นายพิธา ต้องได้รับโทษตามกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น การนำข้อมูลมาเสนอต่อสาธารณชน อันอาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิดว่ากระบวนการตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วย การเลือกตั้ง สส. เป็นกระบวนการเดียวกันกับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยชี้ขาดเรื่องคุณสมบัติตามมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน 

‘ก้าวไกล’ ยัน!! เสนอญัตติทบทวนมติรัฐสภากรณีสภาโหวตนายกฯ ต่อไป ย้ำ!! สภาควรแก้ไขกันเองได้ ทำเรื่องที่ถูกต้องให้เป็นบรรทัดฐาน

(16 ส.ค.66) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีสภาฯ โหวตเลือกนายกฯ เนื่องจากผู้ร้องเรียนไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง ไม่อาจใช้สิทธิยื่นคำร้องเรียนได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213

นายรังสิมันต์กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้พิจารณาในเนื้อหาสาระข้อเท็จจริง แต่ยกเรื่องเทคนิคกระบวนการมาเป็นเหตุผล สำหรับพรรคก้าวไกลยืนยันโดยตลอดว่ากรณีเช่นนี้ สภาฯ ควรแก้ไขปัญหากันเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้องค์กรภายนอกอย่างศาลรัฐธรรมนูญเข้ามา อะไรก็ตามที่ทำไม่ถูกต้องหรือผิดพลาดไป สภาฯ มีอำนาจแก้ไขปรับปรุง จึงเป็นที่มาที่ทำให้พรรคก้าวไกลเสนอญัตติเพื่อให้สภาทบทวน ว่าการที่สภาเคยมีมติว่าญัตติที่เสนอพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกลซ้ำ ไม่สามารถทำได้นั้น เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องทางกฎหมาย

ดังนั้น ในโอกาสที่จะมีการเลือกนายกฯ ต่อไป พรรคก้าวไกลขอยืนยันจะเสนอญัตตินี้ต่อไป และหวังว่ากระบวนการนี้จะทำให้สภาฯ ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง โดยยืนยันว่าไม่ใช่การตีรวนทางการเมือง

“สถานะแคนดิเดตนายกฯ เป็นสถานะตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่พอเสนอกันไปแล้วไม่ผ่านในรอบแรก จะบอกว่าสถานะนั้นไม่มีอีกแล้ว การพิจารณาแบบนี้เป็นการเล่นการเมือง โดยไม่พิจารณาอยู่บนข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย พรรคก้าวไกลยืนยันว่า การพิจารณาแคนดิเดตนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นใคร หากรอบนี้ไม่ผ่าน รอบต่อไปก็เสนอได้” นายรังสิมันต์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นนี้ พิธาจะยื่นคำร้องเองในฐานะบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ไม่ยื่นแน่นอน แม้พรรคก้าวไกลจะเป็นเป้าของการไม่ให้เสนอนายกฯ ซ้ำ แต่เรายืนยันมาตลอดว่าเรื่องนี้เป็นกิจการของสภาฯ จึงต้องการใช้กลไกของสภาฯ ในการทำสิ่งที่ถูกต้อง

“เรื่องนี้เป็นเรื่องหลักการ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง หรือเพื่อให้นายพิธากลับมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ อีกครั้ง ไม่ว่าแคนดิเดตเป็นใคร จะได้ประโยชน์จากข้อเสนอของพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น เว้นเสียแต่บางกลุ่มบางพวกต้องการวางหมากให้การเสนอนายกฯ เกิดขึ้นได้ครั้งเดียว ซึ่งไม่ใช่เจตนาที่ดีแน่ๆ โดยอาจแบ่งเป็น 2 กรณี หนึ่งคือเพื่อให้พรรคก้าวไกลไม่ผ่านหรือพรรคการเมืองบางพรรคไม่ผ่าน แล้วหวังว่าตัวเองจะได้ประโยชน์ และสอง เป็นการปูทางไปสู่นายกฯ คนนอก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย” นายรังสิมันต์ กล่าว

นอกจากนี้ นายรังสิมันต์ยอมรับว่า สถานะของญัตติดังกล่าวมีปัญหา เพราะแม้ตามกระบวนการมีผู้รับรองถูกต้อง และไม่มีอำนาจในข้อบังคับฯ ที่ให้ประธานวินิจฉัย ซึ่งประธานชี้แจงว่าให้รอศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่มีข้อกฎหมายเช่นกันว่าระหว่างที่รอ จะทบทวนไม่ได้ ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าเป็นเจตนาดีของประธานรัฐสภา ที่ต้องการให้กระบวนการมีความชัดเจนก่อนแต่หากพิจารณาด้วยเหตุผล หากเรื่องนี้กลายเป็นบรรทัดฐาน หากรอต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีความชัดเจน จะสร้างความเสียหายแก่บ้านเมือง เพราะการเสนอชื่อบุคคลในรัฐสภานั้นไม่ได้มีแค่ตำแหน่งนายกฯ และหากเสนอชื่อนายกฯ ซ้ำไม่ได้ อาจทำให้ได้รัฐบาลที่ไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน ทำลายประชาธิปไตย ทำลายการเมืองแบบรัฐสภา ทำลายความหวังของพี่น้องประชาชน

เปิดนิติกรรมอำพรางแท้ ๆ ตระกูลกมลวิศิษฎ์

(16 ส.ค.66) จากเพจ ‘คุยทุกเรื่องกับสนธิ’ ได้เผยว่า คุณชูวิทย์กล่าวหาว่าบริษัท แสนสิริ ทำนิติกรรมอำพราง ผมจะเอาตัวนิติกรรมอำพรางตัวจริงเอามาให้ท่านผู้ชมและคุณชูวิทย์ดู

ช่วงปี 2542 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ของนายชูวิทย์ ได้ครอบครองที่ดินบริเวณด้านหลังโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก สุขุมวิท 24 มีเนื้อที่ทั้งหมด 557 ตารางวา หรือไร่กว่า ๆ เดิมทีที่ดินนี้มีโฉนดแบ่งเป็น 2 แปลง แปลงแรกคือ 278.5 แปลงที่สองก็เท่ากัน

อีก 20 ปีต่อมา วันที่ 27 กันยายน 2562 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้โอนขายที่ดิน 4 แปลงนี้ ให้กับลูก 4 คนของนายชูวิทย์ ในราคาแปลงละ 27.86 ล้านบาท ถ้าเฉลี่ยเป็นตารางวา ตารางวาละ 200,000 บาท รวม 4 โฉนด เนื้อที่รวม 557 ตารางวา คิดเป็นเงิน 111.4 ล้านบาท

ในวันเดียวกัน 27 กันยายนได้โอนที่ ขายที่ให้ลูกในราคา 27 ล้านกว่าบาทเศษ ๆ ลูกทั้งสี่คนของคุณชูวิทย์ก็โอนขายที่ดิน 4 แปลง ต่อไปให้บริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เดวิส 24 ในราคาแปลงละ 502 ล้านบาท หรือตารางวาละ 3.6 ล้านบาท รวมเป็นเงินที่ขายทั้งสิ้น 2,008 ล้านบาท

รัฐควรต้องมีรายได้จากภาษีขายที่ดินบริษัทของตระกูลกมลวิศิษฎ์ นำโดยนายชูวิทย์ และครอบครัว รวมแล้ว 924 ล้านบาท

นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมบริษัท สมบัติเติมตระกูล จึงซอยที่ดินแยกเป็น 4 โฉนด อำพรางขายให้ลูก ๆ 4 คน ในราคาถูก ๆ เจตนาเพื่อทำให้ฐานภาษีต่ำ จะได้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างมากคำนวณแล้วขายไป 111.4 ล้านบาท ภาษีแค่ 11 ล้านบาทเอง

ทำไมต้องขายแบบนี้? เพราะว่าถ้าสมบัติเติมตระกูล ขายโดยตรงมาให้บริษัทนี้ ขายตรง ไม่ต้องผ่านขั้นตอนผ่องให้ลูกก่อน 4 คน จะต้องเสียภาษีนิติบุคคล 359,550,927 บาท เพราะฉะนั้นแล้ว ผมเชื่อว่าสรรพากรก็จะต้องเชื่อว่าเป็นนิติกรรมอำพราง 

บริษัท สมบัติเติมตระกูล ของคุณและลูก ๆ คุณนั้นจะต้องเสียภาษีที่แท้จริงตามที่ผมชี้แจงให้ดู อันนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมของนายทุนที่เล่นแร่แปรธาตุหรือเปล่า เหมือนอย่างที่คุณไปด่าคุณเศรษฐาเขา ฉันใดฉันนั้น

กระบวนการทำนิติกรรมอำพราง ทำให้รัฐต้องสูญเสียภาษีไปเก้าร้อยกว่าล้านบาท นี่เป็นการโกงแผ่นดินไทยนะครับ คุณชูวิทย์ คุณต้องรู้นะว่าแผ่นดินไทยนั้นศักดิ์สิทธิ์

‘บิ๊กตู่’ เผยความในใจ ไม่ได้เข้ามาเพื่อทุจริต แต่เข้ามาทำหน้าที่ดูแลบ้านเมืองด้วยความตั้งใจ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงเหตุการณ์รัฐประหาร ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 พร้อมยืนยันว่า ตลอดระยะเวลาในการทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง ตนและคณะทำงานทุกท่านนั้นไม่ได้เข้ามาเพื่อทำการทุจริต แต่เข้ามาทำหน้าที่ดูแลบ้านเมืองด้วยความตั้งใจ จากใจจริง โดยระบุว่า…

“วันแรกวันที่ 22 บ้านผมเนี่ย ร้องไห้ทั้งบ้าน เอาล่ะ พูดไปเดี๋ยวก็ไม่ดี ถ้าไม่อยากให้ผมเป็นอย่าง งี้เลย แต่ผมบอกไม่ได้ ต้องทํา แล้วผมก็ไม่ได้บอกใคร พี่ ๆ ผมบอกทีหลังทั้งนั้นแหละ แต่มันไม่ได้ไง วันหน้าเกษียณก็โดนด่าอีก ปล่อยให้เป็นอย่างงี้ได้ไง? เพราะฉะนั้น อย่ารอเวลา เวลาของเรามันใกล้จะหมดแล้ว คําว่าหมดก็คือหมดจากเวทีโลก ถ้าเรายังปล่อยให้เป็นอยู่แบบเดิม มันจะกลับมาอีกไม่ได้เลย เราจะเป็นประเทศที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง วันนี้ไม่ถึงขั้นนั้น เราเริ่มเดินหน้าได้แล้ว ด้วยความร่วมมือของทุกท่านในปัจจุบัน ใครก็ตามที่ยังเฉื่อยแฉะ ยังรอเวลา ผมว่าผมไม่ปล่อยให้ท่านรออยู่แล้วนะ”

“การทุจริตผิดกฎหมาย อะไรที่ร่ำลือกันมาว่าวันนี้ก็มีอยู่ 50% ส่ง คสช. สลึงพวกผมยังไม่ได้เลย ผมไม่มีต้นทุน ไม่มีต้นทุนในการทํางาน ไม่ได้เสียเงินสักสลึงเข้ามาทํางาน เพราะฉะนั้นผมไม่ต้องการที่จะเอากําไรกลับไป…ไม่มี เพราะฉะนั้นผมยืนยันว่าพวกเราเข้ามาด้วยความตั้งใจ ทุกคนเข้ามาด้วยคุณวุฒิ วัยวุฒิ ความรู้ความสามารถ เกียรติยศของแต่ละท่าน ผมเข้ามาด้วยชีวิต นะ ผมแตกต่าง…ผมอาจจะมีคุณวุฒิหรือมีความรู้ความสามารถไม่เท่าบรรดาพี่ ๆ แต่ผมก็เอาชีวิตเข้ามา ถ้าผมทํา 22 พฤษภาคม ทําจัดระเบียบไม่ได้ ผมก็กลายเป็นกบฏ แล้วผมได้อะไรขึ้นมา นั่นแหละคือสิ่งที่อยากให้ทุกคนรู้จิตใจผม เพราะผมปล่อยไปไม่ได้ เพราะผมสงสารลูกหลานผมในวันข้างหน้า เขาจะอยู่กันยังไง แล้วประเทศไทยมันจะเข้มแข็งกับเขาได้ยังไง…”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top