Saturday, 21 June 2025
POLITICS NEWS

ดับฝัน ‘พิธา’ ฮึดสู้ ระทึก…มีลุง มีเรา…เดินหน้า ‘เศรษฐา’ อาการหนัก…‘ชัยเกษม’ มีลุ้น

กำลังจะปั่นต้นฉบับ ก็ได้รับทราบว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำให้สถานการณ์ไทม์ไลน์การเลือกนายกรัฐมนตรีชัดเจนขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญชี้เปรี้ยงมาแล้วว่าไม่รับเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นไว้ กรณีข้อบังคับการประชุมรัฐสภากับการโหวตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์… เมื่อศาลไม่รับพิจารณาทุกอย่างก็ตกไป ผลพวงสำคัญก็คือ โอกาสการเสนอชื่อนายพิธาได้ถูกปิดฉากลงในชั้นนี้ แต่คำถามสำคัญคือถ้าพิธาจะไปยื่นเองเพราะมีส่วนได้เสีย จะเกิดอะไรขึ้น…

วางเรื่องนี้ไว้ก่อน…

คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยแถลงเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ว่าน่าจะได้โหวตนายกรัฐมนตรี วันที่ 18 หรือ 21 ส.ค. และพรรคเพื่อไทยยืนยันเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน ขณะที่ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคมั่นใจว่า… ม้วนเดียวจบ

ม้วนเดียวจบหรือม้วนเดียวจอดก็ไม่รู้… รู้แต่ว่าแต่สายข่าวของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ 5 สายลงมติ 3 ต่อ 2 สายว่า… เศรษฐาจะสอบไม่ผ่านคะแนน 375 เสียง… เหตุผลก็เรื่องเดิมๆ ที่รู้ๆ กันคือ กรณีการซื้อขายที่ดิน กรณีการเสียภาษีของบริษัทแสนสิริ ที่คุณเศรษฐาเคยบริหารนั่นแหละ… อ๋อ เรื่องสะพานข้ามคลอง ตั้งด่านเก็บค่าตั๋วอะไรนั่นด้วย… รวมทั้งกรณีแนวคิดการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เคยพูดเอาไว้ด้วย… 

จะว่าไปแม้จะกระบวนท่าลีลาเยอะจนถูกเหน็บแนมว่าเป็น ‘เพื่อไทยการแสดง’ ก็ตาม แต่มองอีกมุมก็น่าเห็นใจพรรคเพื่อไทยอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะอ้าปากพูดอะไร ขยับตัวอธิบายเรื่องอะไรก็ถูกกองทัพด้อมส้มของจริง และด้อมส้มใส่เสื้อแดงดักคอดักทางถล่มซ้ายถล่มขวาแทบโงหัวไม่ขึ้น…

ขนาด ‘สหายใหญ่’ ภูมิธรรม เวชยชัย แม่ทัพใหญ่ที่มีทั้งสายบุ๋นสายบู๊อยู่ในตัวก็งัดวิชาออกมารับมือแทบไม่ทัน… นอกจากสารภาพว่าการจัดตั้งรัฐบาลสูตรสลายขั้วหนนี้ พรรคเพื่อไทยยอมเสียต้นทุนทางการเมืองมากมายมหาศาล เพื่ออนาคตที่ดีของบ้านเมืองจะเกิดสมัครสมานสามัคคีเลิกแบ่งสีแบ่งฝ่าย…

อยากจะเรียน ‘บิ๊กอ้วน ภูมิธรรม’ ว่าเดินหน้าทำไปเถอะ ขอให้มีศรัทธาที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความสมานฉันท์จริงๆ อย่ามีวาระซ่อนเร้นทำให้เป็นรูปธรรม  อย่าเอาเรื่องนายห้างดูไบมาเกี่ยวข้อง รับรองคนเชียร์อื้อ!!

วันนี้… รู้สึก ‘เล็ก เลียบด่วน’ ออกความเห็นมากไปนิด… กลับมาที่ทิศทางข่าวจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งก็ยังสรุปว่า โอกาสของเสี่ยนิด เศรษฐา มีน้อย… โอกาสที่จะตกเป็นของชัยเกษม นิติสิริ มีสูงหากสุขภาพสู้ไหว หาไม่แล้วเกมมันจะไหลไปที่พรรคอันดับ 3 เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีระกูล นาทีนี้พร้อมแล้วที่จะรับส้มหล่น…

อย่างไรก็ตาม… เชื่อกันว่าระดับเพื่อไทยคงไม่ปล่อยให้โอกาสทองผ่านเลยไปอย่างแน่นอน… หน้าฉากก็ทำวับๆ แวมๆ โหวตก่อนแบ่ง หรือแบ่งก่อนโหวต แต่นาทีนี้ก็คงส่งสัญญาณทางลึกกันแล้วว่าพรรคไหนได้กี่เก้าอี้ กระทรวงไหนที่เพื่อไทยขอสงวนสิทธิ์ ส่วนหลักการที่ปล่อยออกมาว่าไม่ให้พรรคการเมืองในรัฐบาลชุดนี้อยู่ที่กระทรวงเดิมนั้น ล่าสุดทราบว่าไม่ติดยึดแแล้ว… ทำให้พรรคภูมิใจไทยที่ยังตั้งมั่นที่จะคุมกระทรวงสาธารณสุข การท่องเที่ยวและการกีฬา คลายเครียดขึ้นมาบ้าง… ส่วนกระทรวงคมนาคมนั้นดูเหมือนจะทำใจแล้วว่า พรรคเพื่อไทยไม่ยอมปล่อยแน่…

อ๋อ สำหรับกระทรวงพลังงานที่โผเดิมจะยกให้พรรครวมไทยสร้างชาติกำกับดูแลนั้น… ล่าสุดทราบว่าพรรคเพื่อไทยโยกมาเป็นของตัวเอง แต่คนแดนไกลไม่ขัดข้องที่จะให้เจ้าสัวพลังงาน… ส่งคนมานั่งว่าการ… 

มีลุง… มีเรา… มีเจ้าสัว… มีเจ้ามือ…

ทราบแล้วเปลี่ยน!!

‘บก.ผู้จัดการ’ สวนกลับ ‘ชูวิทย์’ ไม่มีสิทธิ์เรียกคนอื่น “ลูกกระจ๊อก”

จากกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แฉ!! ‘เพื่อชาติ ครั้งสำคัญ’ โดยมีเป้าหมายโจมตี นายเศรษฐา ทวีสิน และบริษัทแสนสิริ พร้อมกับฉวยโอกาสแคนนอน แซะ ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ เมื่อวันที่ 15 ส.ค.66 นั้น…

มีช่วงหนึ่งระหว่างการเตรียม ‘พร็อบ’ ประกอบฉาก แล้วเรียกหา ‘นักข่าวผู้จัดการ’ เป็นระยะ เมื่อนักข่าวผู้จัดการแสดงตน ก็กล่าววาจาดูแคลนว่าเป็นแค่ “ไอ้ลูกกะจ๊อก” พร้อมถามหา ‘สนธิ’ ทำไมไม่มาเอง ส่งลูกกระจ๊อก มาทำไม รวมถึงไล่คุกคามนักข่าวท่านดังกล่าวออกจากเวที ว่า “ไสหัวไป”

ส่วนนักข่าวท่านดังกล่าวก็ได้มีการโต้ตอบ พร้อมมาอธิบายยืนยันการมาทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ที่จะซักถามหาความจริง จนเกิดการปะทะคารมกลางเวทีแฉอย่างที่เป็นคลิปในคอมเมนต์

ตั้งรัฐบาล วางตัวรัฐมนตรี สีสันพูดคุยในวงกาแฟตอนเช้า คาด!! หน้าตาคล้ายเดิม เติม 'เพื่อไทย-นายกฯ คนใหม่'

สมมติว่า ตัวเลขพรรคร่วมรัฐบาลสรุปอยู่ที่ 315 เสียง รวมสองพรรคลุง พลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติเข้าไปด้วย สูตรคำนวณโควตารัฐมนตรีก็จะเป็น 9:1 หมายถึง สส.9 คน จะได้รัฐมนตรี 1 คน ส่วนรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบันจะได้นั่งกระทรวงเก่าหรือไม่อยู่ที่การเจรจาไม่กำหนดเงื่อนไข บางคนอาจจะได้นั่งกระทรวงเดิม บางคนอาจจะต้องสลับกระทรวง ตามความเหมาะสม และผลการเจรจา

แต่ต้องทำใจอย่างหนึ่งว่า หน้าตารัฐมนตรีอาจจะคล้าย ๆ รัฐบาลปัจจุบัน เปลี่ยนในส่วนของเพื่อไทยเข้ามาใหม่ และหัว…ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

หากลองสรุปกันเล่น ๆ เพื่อขบคิด-ถกเถียงกันในวงกาแฟตอนเช้าเพื่อจะได้มีสีสันไว้คุยกันก่อนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าภายในสองวันนี้เพื่อไทยจะนัดภูมิใจไทยเพื่อคุยแบ่งกระทรวง โดยสัดส่วนโควตา 9:1 เพื่อไทยจะได้ 15-16 เก้าอี้ ส่วนภูมิใจไทย จะได้ 8 เก้าอี้ พลังประชารัฐ จะได้ 4-5, รวมไทยสร้างชาติได้ 4, ประชาชาติได้ 1 เก้าอี้

- เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี
- อนุทิน ชาญวีระกูล รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีสาธารณสุข
- พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา
- ภูมิธรรม เวชชยชัย รัฐมนตรีมหาดไทย
- ทวี สอดส่อง รัฐมนตรียุติธรรม
- อาทิตย์ นันทวิทยา รัฐมนตรีคลัง (คนนอก)
- ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีคมนาคม
- ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีศึกษา
- สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์
- จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีพลังงาน
- ปานปรีย์ มหิทธานุกร รัฐมนตรีต่างประเทศ
- วราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติ
- ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีดีอีเอส
- ธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่ว่าการพัฒนาสังคม ก็ว่าการแรงงาน
- พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ส่วนกลาโหม, วัฒนธรรม, อุดมศึกษา, อุตสาหกรรม พาณิชย์ น่าจะเป็นโควตาของเพื่อไทย ขณะที่ แรงงาน น่าจะเป็นโควตาของรวมไทยสร้างชาติ

จับตาในวงเจรจา เพราะยังมีตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย และยังมีคนว่างไม่ได้ลงตำแหน่ง เช่น สันติ พร้อมพัฒน์, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, สุชาติ ชมกลิ่น, ศักดิ์สยาม ชิดชอบ, สุทิน คลังแสง เป็นต้น และภายในพรรคเดียวกัน เมื่อได้โควตากระทรวงแล้ว อาจจะสลับคนเข้ามานั่งก็เป็นเรื่องภายในของพรรค ในวงเจรจาคงไม่ลงรายละเอียดตัวบุคคล

'รองปธ.สภาฯ' ครวญ!! เสียดายผลการศึกษากลายเป็นเศษกระดาษในถังขยะ  แนะ!! 'เร่งเดินหน้า-ล่ารายชื่อ' เสนอ พ.ร.บ.บริหารคลองไทย

เมื่อวานนี้ (15 ส.ค. 66) ตัวแทนจากสมาคมคลองไทยภาคประชาชน นำโดย น.ส.เสาวณี ทองทรัพย์ นายกสมาคมคลองไทยภาคประชาชน, พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร ที่ปรึกษาสมาคม, ดร.สุเมต สุวรรณพรหม อุปนายกสมาคมฯ, ดร.สถาพร เขียววิมล ที่ปรึกษาสมาคม, นายเฉลียว คงตุก ที่ปรึกษา และตัวแทนจากจังหวัดต่าง ๆ ในภาคกลาง, ภาคตะวันออก เดินทางเข้าพบ เพื่อแสดงความยินดีกับ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ที่ได้รับเลือกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฏร

ในโอกาสนี้ น.ส.เสาวณี ในฐานะนายกคลองไทยภาคประชาชน ได้กล่าวรายงานถึงการริเริ่มก่อตั้งสมาคมคลองไทยภาคประชาชน พร้อมแจ้งถึงวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งสมาคมฯ ความว่า สมาคมคลองไทยภาคประชาชนก่อตั้งขึ้นมามีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนให้ศึกษาคลองไทยในเชิงลึกและในการขุดคลองไทย เพื่อร่วมในการบริหารจัดการร่วมกับภาครัฐ โดยการออกพระราชบัญญัติคลองไทย เพื่อการศึกษาและวิจัยร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อดำเนินการหรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลและองค์กรสาธารณประโยชน์ในการทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ เป็นศูนย์กลางการสื่อสารและประชาสัมพันธ์คลองไทย และสมาคมจะไม่ดำเนินการเกี่ยวกับการเมืองแต่ประการใด

ดร.สุเมต กล่าวเสริมว่า วุฒิสภาชุดก่อนโน้นเคยตั้งกรรมมาธิการขึ้นมาศึกษาเรื่องการขุดคอคอดกระ ซึ่งสมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ และมูลนิธิร่วมพัฒนาภาคใต้ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย โดยมีท่าน พล.อ.ดรุณ โสถิพันธ์ เป็นทั้งนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ และประธานมูลนิธิร่วมพัฒนาภาคใต้ เห็นว่า ดร.สุเมตเรียนจบวิศกรรมศาสตร์ และทำงานเป็นวิศวกร ได้มอบหมายให้ ดร.สุเมต ดูแลและติดตามเรื่องคอคอดกระอย่างใกล้ชิด และปัจจุบันมูลนิธิร่วมพัฒนาภาคใต้ได้เปลี่ยนมือมาเป็นท่านประพันธ์ บุณยเกียรติ์ ก็ยังให้ความสำคัญกับการขุดคลองไทย สมาคมชาวปักษ์ฯ ก็เคยจัดเสวนาเรื่องคลองไทยมาแล้ว 2 ครั้ง เคยเห็นท่านพิเชษฐ์แอบไปนั่งฟังอยู่ด้วย ท่าน พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ ก็มอบหมายให้ ดร.สุเมตติดตามเรื่องคลองไทยอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

"ในฐานะคนทำสื่อ จัดรายการวิทยุอยู่คลื่น 90.5 เมื่อมีโอกาสก็จะนำเสนอให้ข้อมูลคลองไทยกับผู้ฟังมาโดยตลอด"

ดร.สุเมต กล่าวอีกว่า "เมื่อท่านพิเชษฐ์มาทำเรื่องระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ทำและพูดเรื่องคลองไทย มีคนกล่าวขานถึงท่านพิเชษฐ์กันมาก พูดกันถึงขนาดว่า เมื่อไหร่พรรคเพื่อไทยจะส่งผู้สมัครตัวจริงมาลงสมัครรับเลือกตั้งภาคใต้เสียที ภาคใต้ไม่ใช่เฉพาะประชาธิปัตย์ ประชาชนพร้อมที่จะเลือกคนที่มีความรู้ความสามารถ การเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้ว"

ด้านนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ในฐานะอดีตประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ที่มีรายงานผลการศึกษาแต่ถูกสภาตีตกไปนั้น ได้กล่าวว่า "พวกเรามีหน้าที่ในการทำต่อไป มาเริ่มต้นแค่นี้ก็ยังดี มาเริ่มต้นกันใหม่ (พูดต่อไม่ออก หยุดไปพักหนึ่ง) 100 ครั้ง 1,000 ครั้ง เมื่อมีโอกาสเราก็จะทำ ด้านนิติบัญญัติ การเสนอญัตติ หรือกระทู้ เป็นเรื่องเล็กไป เราทำได้มากกว่านั่น เมื่อมีโอกาสก็จะทำ"

นายพิเชษฐ์ กล่าวอีกว่า "การศึกษาแต่ละครั้งมีการแทรกแซง มีผลประโยชน์ มีแรงกดดันจากมหาอำนาจเยอะมาก คนธรรมดายังรู้ว่าจะทำได้ไม่ได้ แต่เมื่อผลการศึกษาเสร็จแล้ว ผมยังอุ่นใจ และหวังว่าผลการศึกษาเราจะได้ชื่นใจ และชื่นชม แต่ต้องเอาไปทิ้งถังขยะ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ผมไม่อยากแตะรายงานผลการศึกษานั้นอีกเลย"

นายพิเชษฐ์ เสริมอีกว่า "เรื่องกฎหมายก็ต้องหา สส.ใต้ที่เข้มแข็งรวมชื่อกันให้ได้ 20 คนเสนอกฎหมายต่อสภา ภาคประชาชนก็ไปล่ารายชื่อให้ได้ 10,000 รายชื่อ เสนอกฎหมายมาประกบกับของ สส. จะออกมารูปแบบไหนก็ต้องผ่านสภา นี้คือแนวทางที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่มีประเทศใด ชาติไหนมาห้ามเราได้

"สส.เก่าที่เคยศึกษาเรื่องคลองไทย ก็ต้องชวนมาร่วมกัน แต่น่าเสียดายสอบตกไปเยอะ เขามีองค์ความรู้อยู่แล้ว เวลานี้รัฐบาลก็เปราะบาง ก็ให้เขาทำงานไป ภารกิจของเราในสภาก็ทำงานกันไป ขอให้กำลังใจทุกท่าน ให้รีบทำ เวลาเรารอไม่ได้ มีกฎหมายรอจ่อคิวอยู่เยอะมาก เวลานี้เข้ามารอคิวแล้วถึง 60 ฉบับ

"ชื่อของพิเชษฐ์ เขาไม่อยากให้เข้ามาในสภานะ โดนสะกัดสุด ๆ กว่าจะเข้ามาได้ก็สุด ๆ แต่เมื่อได้เข้ามาแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป" นายพิเชษฐ์ กล่าว

‘เท่าพิภพ’ รับเสียน้ำตาบ่อย หลัง ‘ก้าวไกล’ ทำ ปชช.ผิดหวัง ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ เชื่อ ทุกปัญหาจะค่อยๆ ถูกแก้ไข

‘เท่าพิภพ’ รับ เสียน้ำตาบ่อย ‘ก้าวไกล’ ทำปชช.ผิดหวัง ห่วง ‘สส.เพื่อไทย’ ลงพื้นที่ลำบาก เหตุไม่พอใจการจับข้ามขั้วตั้ง รบ. สะท้อนเสียงจากการประชุมที่อินโดนีเชีย ต่างชาติมองประเทศไทย เสียประชาธิปไตยไปแล้ว

(15 ส.ค. 66) ที่ตึกไทยซัมมิท นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตกร สส.กทม.พรรคก้าวไกล กล่าวก่อนการประชุม สส.ของพรรคก้าวไกล ถึงการรับฟังความเห็นจากประชาชนในการลงพื้นที่กรณีการโหวตนายกรัฐมนตรีให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่ ว่า ตนคิดว่าบรรยากาศในการลงพื้นที่ขณะนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะไม่ได้เป็นไปในแนวทางบวกเหมือนหลังการเลือกตั้ง เพราะประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย ในการที่พรรคก้าวไกลจะโหวตให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย พร้อมยอมรับว่าตนเองเสียน้ำตาบ่อย เพราะทำให้ประชาชนผิดหวัง ซึ่งก็ทำได้แค่เพียงให้กำลังใจ สส. ของพรรคคนอื่นๆ ที่เจอสถานการณ์เดียวกัน

แต่ก็อาจจะเป็นแบบที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่เคยระบุไว้ว่า “อาจจะไม่ได้เป็นฝ่ายค้าน” ก็ได้ ขอให้กำลังใจ สส.เขตพรรคเพื่อไทยด้วย เราก็เข้าใจว่าในระบบพรรคการเมือง ผู้บริหารพรรคคงจะไม่ได้รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนมากเท่า สส.เขต จึงอยากให้ สส.เขตสะท้อนเสียงที่ได้รับฟังจากประชาชนขึ้นไป ให้ผู้บริหารของพรรคได้รับทราบ ซึ่งก็ไม่ได้มีคนตำหนิหรือติเตียนอะไรที่พรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ส่วนใหญ่มีแต่คนมาให้กำลังใจ

เมื่อถามว่า ในการประชุมที่ประเทศอินโดนีเซีย ได้มีการพูดคุยกับผู้นำคนอื่นๆ ในการประชุมหรือไม่ และมีเสียงสะท้อนอย่างไรบ้าง นายเท่าพิภพ กล่าวว่า จากการที่ตนได้พูดคุยกับรองประธานสภาจากประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศมาเลเซีย ทั้งสองคนก็ได้สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ซึ่งตนก็ได้แค่เพียงอธิบายถึงระบบที่บิดเบี้ยวของประเทศไทย ว่าสุดท้ายแล้วปัญหาจะค่อยๆ ถูกแก้ไปเอง

ซึ่งก็หวังว่าคงจะมีรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อที่จะได้เร่งแก้ไขปัญหา เพราะทั้งสองประเทศเขาจะมีการจับขั้ว และตกลงกันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ไม่ใช่มาจับกันมั่วภายหลังการเลือกตั้ง เราจึงได้เรียนรู้ว่า ประเทศไทยได้สูญเสียสิ่งที่เราเคยได้เป็นตัวอย่างการเป็นประชาธิปไตยให้กับประเทศอื่น ซึ่งในการประชุมครั้งหน้า ตนก็ไม่อยากจะตอบคำถามลักษณะเดียวกันนี้อีก

'บิ๊กป้อม' ชี้!! แก้หนี้นอกระบบลดฮวบ หลังปราบเชิงรุก พร้อมเดินหน้าต่อเนื่อง 'จัดหาแหล่งทุน-พัฒนาทักษะ'

(15 ส.ค.66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงปัญหาหนี้นอกระบบ ว่า การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นในนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ต้องการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ขาดโอกาส ถูกเอารัดเอาเปรียบจากกลุ่มอิทธิพลโดยเฉพาะเจ้าหนี้นอกระบบ ตนได้ประสานงานกับฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และตำรวจ ช่วยดูแลแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากหนี้นอกระบบจากกลุ่มนายทุนที่ฉวยโอกาสปล่อยกู้เก็บดอกเบี้ยโหด ส่งแก๊งทวงหนี้มาข่มขู่ ใช้ความรุนแรงกับลูกหนี้ที่หาเช้ากินค่ำ รวมถึงทุกส่วนราชการที่ขับเคลื่อนแก้ปัญหา โดยเฉพาะศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชนของตำรวจ ที่เจรจาไกล่เกลี่ย บังคับใช้กฎหมาย จนส่งคืนทรัพย์สินให้กับประชาชนได้จำนวนมาก 

นอกจากนั้นได้ประสานกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน เข้าไปร่วมจัดหาแหล่งทุน รวมถึงพัฒนาทักษะอาชีพให้ประชาชนที่มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงโอกาส เป็นการช่วยสร้างความเข้มแข็งของผู้มีรายได้น้อย และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม

"ปัญหาหนี้นอกระบบฝังรากลึกในสังคมไทยมายาวนาน มีประชาชนจำนวนมาก รอการช่วยเหลือ ซึ่งส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในทุกพื้นที่ยังเร่งทำงานเพื่อปลดล็อกปัญหา ที่เป็นกับดักความยากจนของสังคม และประสานให้โอกาสช่วยเหลือลูกหนี้ให้สามารถกลับมายืนเข้มแข็ง" พล.อ.ประวิตร กล่าว

'แดงปทุมฯ' ให้กำลังใจ 'หมอชลน่าน' ขอให้จัดตั้งรัฐบาลได้อย่างราบรื่น

(15 ส.ค.66) นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, ประเสริฐ จันทรรวงทอง สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ ตรีชฎา ศรีธาดา สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรค รับมอบหนังสือและดอกไม้จากตัวแทนพี่น้องเสื้อแดงจังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดจันทบุรี และชมรมแท็กซี่สุวรรณภูมิ แท็กซี่กรุงเทพ ที่มาให้กำลังใจที่พรรคเพื่อไทย ให้จัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ พร้อมประกาศพร้อมอยู่เคียงข้างทำงานให้ประชาชนเต็มความสามารถ

‘ลิณธิภรณ์’ หวั่น!! ปรับเบี้ยผู้สูงอายุ แก้ปัญหาไม่ตรงจุด ชี้!! รัฐต้องหาทางเพิ่มรายได้ เพื่อกระจายสวัสดิการให้ทั่วถึง

(15 ส.ค. 66) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการและรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีการปรับหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้สูงอายุที่จะเข้าเกณฑ์ใหม่ได้รับเงินดังกล่าว จะต้องเป็นผู้ไม่มีรายได้ หรือคนจน ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนดว่า พรรคเพื่อไทยตระหนักถึงสถานการณ์จำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้น และประเทศไทยกำลังจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาแรกในโลก ที่ต้องรับมือกับภาวะแก่ก่อนรวย โดย 1 ใน 5 ของคนไทยเป็นผู้สูงอายุ และในอีก 20 ปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 โดย 63% อยู่ในภาคเกษตร และ 87% เป็นแรงงานนอกระบบ และมีปัญหาร่วมกันคือรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ ไม่มีเงินเก็บ 

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้นนโยบายของพรรคเพื่อไทยจึงทำเพื่อตอบโจทย์การสร้างรายได้ แก้ปัญหาระดับโครงสร้างในทุกมิติผ่านชุดนโยบายของพรรคเพื่อไทยเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ประกอบด้วย กระเป๋าเงินดิจิทัล กระตุ้นเศรษฐกิจ บรรเทาความเดือนร้อนให้ทุกคน 1 ครอบครัว 1 ศักยภาพ softpower สร้างแรงงานทักษะสูง 20 ล้านตำแหน่ง ผู้สูงอายุคนเกษียณก็ยังสามารถทำงาน สร้างรายได้ มีศักดิ์ศรี เพิ่มรายได้ภาคเกษตร เพิ่มรายได้ 3 เท่าตัว เพราะผู้สูงอายุและกำลังจะเข้าสู่ภาวะผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตร อัปเกรด 30 บาทรักษาทุกโรค บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทั่วไทย ผู้ป่วยติดเตียง-ผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้รับการดูแลจากผู้ช่วยพยาบาล ทั้งที่บ้านและศูนย์ชีวาภิบาลของรัฐและเอกชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ลูกหลานสามารถไปประกอบอาชีพได้ตามปกติโดยไม่ต้องลางาน Learn to Earn เรียนเพื่อสร้างรายได้ เรียนรู้ง่ายตลอดชีวิต จับคู่สมรรถนะของคนเข้ากับงานที่ใช่ เพื่อช่วยให้มีงานทำเร็วที่สุด ตรงกับสมรรถนะของตนเองมากที่สุด และสร้างรายได้ที่ดีที่สุด 

“สวัสดิการจำเป็นสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ เพื่อไทยมุ่งเป้าให้คนไทยยืนได้ด้วยลำแข้งตนเอง การปรับเบี้ยผู้สูงอายุให้เฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่การให้ถ้วนหน้าแบบเดิม ต้นเหตุมาจากรัฐมีงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งเพื่อไทยเห็นปัญหานี้มาโดยตลอด เราจึงเป็นพรรคเดียวที่พูดถึงการสร้างรายได้ เพื่อมีรายได้มาจัดสวัสดิการโดยรัฐ สำหรับกลุ่มผู้เปราะบาง ผู้ด้อยโอกาสให้ครอบคลุมและทั่วถึงในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้คนไทยทุกกลุ่มเข้าถึง” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว

'อัษฎางค์' เบิกเนตร 'วิโรจน์' หลังพ่นวาทกรรม 'พิสูจน์ความจน' แสดงถึงการด้อยความรู้ เก่งแต่สร้างความเกลียดชังให้คนในชาติ

(15 ส.ค. 66) อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า Age Pension หรือที่เมืองไทยเรียกว่า ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ นั้นในทุกประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก ต้องมีการ Tests ซึ่งก็คือ ‘การพิสูจน์ความจน’ ก่อนที่จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ

ถ้าไม่มีการการตรวจสอบคุณสมบัติผู้จะได้รับ ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ ก็จะทำให้ผู้ที่มีรายได้สูงหรือมีทรัพย์สินมากอยู่แล้วได้รับ ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ เหมือนคนที่ไม่มีรายได้และไม่มีทรัพย์สมบัติ

ไหนเรียกร้องความเท่าเทียม ตกลงคุณต้องการนำ ‘ภาษีกู’ มาแบ่งจ่ายให้เศรษฐีได้รับเบี้ยผู้สูงอายุเหมือนคนจนหรือ? คุณต้องการแบบนั้นจริงหรือ?

สส.วิโรจน์ พรรคก้าวไกล ออกมาโวยรัฐ ‘เอาหน้า’ เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน หรือสร้างความเกลียดชังของประชาชนต่อรัฐ หรือออกมาแสดงการถึงการด้อยความรู้ กันแน่ ?

สส.วิโรจน์ ใช้คำว่า “การพิสูจน์ความจน คือการกลุ่มอนุรักษ์นิยมต้องแต่จะกดคนให้จนและพยายามตัดเบี้ยผู้สูงอายุ”

ผมจะช่วยเปิดกระโหลก เปิดกะลาให้ท่าน สส.ผู้ทรงเกลียด

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีสวัสดิการแห่งรัฐดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก็กำหนดว่า ผู้ที่เกษียณอายุ ต้อง ‘การพิสูจน์ความจน’ ก่อนจะมีสิทธิ์รับเบี้ยผู้สูงอายุ”

รายละเอียดสำหรับการ ‘การพิสูจน์ความจน’ ของออสเตรเลียนั้นเยอะมาก และต้องใช้เวลาอ่านทำความเข้าใจอย่างมากถึงจะเข้าใจได้ทั้งหมด ไม่ใช่เหมือนเมืองไทยที่ใครอายุ 60 ก็รับเบี้ยผู้สูงอายุทันทีถ้วนหน้า

เงินภาษีของประชาชนต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดมิใช่หรือ แล้วทำไมถึงยินดีที่จะจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุซึ่งเป็นเงิน ‘ภาษีกู’ ให้กับเศรษฐี ซึ่งเขาไม่ได้เดือดร้อน

เบี้ยผู้สูงอายุเพียง 600 หรือ 3,000 (ตามนโยบายก้าวไกลที่ออกมาหาเสียงว่าจะให้คนแก่ตอนก่อนเลือกตั้ง จนคนแห่ไปกาให้ก้าวไกล ก่อนที่ก้าวไกลจะมาประกาศหลังเลือกตั้งว่ายังทำไม่ได้) ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุวัยเกษียณ แต่ไม่มีผลอะไรกับเศรษฐีเลย เอาเงินก้อนนี้ไว้จ่ายผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์หรือไม่มีรายได้ ไม่ดีกว่าหรือ เพราะผู้สูงอายุวัยเกษียณกำลังเพิ่มขึ้นทุกปี

ขอยกตัวอย่าง การพิสูจน์ความจน เพื่อรับเบี้ยผู้สูงอายุในออสเตรเลียเล็กน้อย (ความจริงรายละเอียดเยอะมาก) ได้แก่

ต้องมีรายได้ต่ำจริงหรือไม่มีรายได้เลย

ผู้สูงอายุวัยเกษียณบางท่านยังคงมีรายได้จากทรัพย์สินเช่น การขายทรัพย์สินต่าง ๆ (เช่น บ้าน) รายได้จากการเล่นหุ้น, เป็นหุ้นส่วนบริษัท หรือบางท่านยังทำงานอยู่แม้จะเลยวัยเกษียณแล้วก็ตาม

แรงงานที่ออสเตรเลียไม่ได้เกษียณที่อายุ 60 (รุ่นผมเกษียณด้วยอายุ 67)

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนไทยวัยเกิน 60 ที่ยังทำงานมีรายได้สูงมากในออสเตรเลีย แอบกลับมารับ ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ จากรัฐบาลไทยด้วย ได้ 2 ต่อ ทั้งที่รายได้สูงอยู่แล้ว คุณอยากได้แบบนี้ใช่มั้ย

หรือคนไทยวัยเกษียณที่อยู่เมืองไทยก็ตาม แต่เขายังคงมีรายได้จากการทำงาน มีรายได้มหาศาลจากการขายทรัพย์สินต่าง ๆ (เช่น บ้าน) มีรายได้จากการเล่นหุ้น หรือเป็นหุ้นส่วนบริษัท แต่เขาได้รับ ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ เท่ากับผู้สูงอายุคนอื่น ๆ ที่มีรายได้น้อยหรือไม่มีเลย

คุณ สส. คุณทนาย คุณอาจารย์นักวิชาการ คุณนักเรียกร้องสิทธิ์

พวกคุณเรียกสิ่งนี้ว่าความเท่าเทียมกันหรือ?

พวกคุณโจมตีว่า การพิสูจน์ความจนหรือกฎเกณฑ์ที่รัฐกำหนด เพื่อให้ได้คนที่สมควรได้รับความช่วยเหลือจากรัฐในเรื่อง ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ ว่ารัฐกดขี่คนจน ผู้เฒ่าผู้แก่หรือ

ทั้งที่เป็นการใช้เงินจาก ‘ภาษี’ ให้ตรงตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง รวมทั้งเป็นไปตามหลักสากลที่ทั่วโลกเขาทำกัน

เปิดกระโหลกออกจากนอกกะลา กันเสียที

อย่าฟังแต่เสียงโกหก เพื่อหาเสียงของนักการเมืองจอมบิดเบือนเสียทีพี่น้องไทย

'พิธา' ย้อนถาม 'กกต.' 2 ปมหุ้นไอทีวี สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ "เป็นธรรมหรือไม่?"

(15 ส.ค.66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

เมื่อวานนี้มีข่าวออกมาว่าคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ของ กกต. มีมติว่าจะให้ยกคำร้องผมในคดีอาญามาตรา 151 เรื่องการรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังลงสมัคร จากการถือหุ้นไอทีวี โดยคณะกรรมการสืบสวนมีเหตุผลสำคัญว่า บริษัทไอทีวีไม่มีการดำเนินกิจการอยู่และไม่มีรายได้จากการเป็นสื่อ จึงไม่ถือว่าผมมีความผิด 

ผมยืนยันอีกครั้งว่า คดีหุ้นไอทีวีของผม เป็นที่น่าสงสัยว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ เพราะผมถือหุ้นนี้มาตลอดเวลาที่ทำงานการเมือง เป็น สส. มา 4 ปี แต่เพิ่งจะเกิดการร้องเรียนกันขึ้นในเวลาที่ผมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และมีการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้าการเสนอชื่อผมต่อสภาไม่กี่วัน รวมถึงมีหลักฐานความผิดปกติมากมายที่บ่งชี้ว่ามีความพยายามปลุกปั้นให้บริษัทไอทีวีซึ่งเลิกกิจการสื่อไปนานกว่า 10 ปี กลับมาเป็น ‘หุ้นสื่อ’ ให้ได้ 

มาวันนี้ ที่มีการเปิดเผยมติของคณะกรรมการไต่สวนออกสู่สาธารณะแล้วว่าผมไม่ผิด ทำให้มีประเด็นคำถามที่ผมขอถามไปยัง กกต. ดังนี้

1. คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนดังกล่าว ซึ่งทำคดีมาตรา 151 (คดีอาญา) มีมติก่อนที่ กกต. จะพิจารณาส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ถึงแม้ว่า กกต จะอ้างว่า การพิจารณาของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน เป็นคนละกระบวนการกับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่คณะกรรมการสืบสวนฯ ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่รวบรวมพยานหลักฐานและเรียกพยานบุคคลมาสอบข้อเท็จจริง ได้เห็นข้อเท็จจริงว่า ไอทีวีมิได้ประกอบกิจการสื่อและมิได้มีรายได้จากกิจการสื่อมวลชนในขณะที่ผมสมัครรับเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่กกต. กลับยังยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยละเลยข้อเท็จจริงบางประการที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้หยิบยกมาพิจารณา และละเลยแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวางหลักเรื่องการมีรายได้และที่มาของรายได้เป็นเกณฑ์ว่าบริษัทใดเป็นสื่อหรือไม่

2. การที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนมีมติว่า หุ้นไอทีวีไม่ใช่หุ้นสื่อ นอกจากจะสอดคล้องกับแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ก็สอดรับกับความเห็นของประชาชนทั่วไปอีกด้วย ดังนั้น การสั่งให้ผมหยุดปฏิบัติหน้าที่ ทั้ง ๆ ที่ไอทีวี และอินทัช ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ล้วนแต่มีเอกสารงบการเงินยืนยันว่า ไอทีวีหยุดประกอบกิจการ และไม่มีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อ ประกอบกับคดีหุ้นสื่อ (นอกจากคดีคุณธนาธร) ของ สส. ปี 2563 ประมาณ 60 คน ศาลก็ไม่ได้สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด แต่ในคดีผม กลับสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ผมจึงขอให้สังคมพิจารณาว่าการสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ผม มีความเป็นธรรมหรือไม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top