Monday, 16 June 2025
POLITICS NEWS

จับตา!! ศึกชิงหัวหน้าพรรคปชป. ดัน ‘เฉลิมชัย’ ชน ‘มาดามเดียร์’ การตัดสินใจที่น่าห่วง หาก ‘แรงยุ-แรงเชียร์’ เหนือเหตุและผล

“เสียง สส.ส่วนใหญ่ของเรายังผนึกกำลังกันแน่นเหมือนเดิม” เป็นคำยืนยันจาก ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ สส.นครศรีฯ พรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นการตอกย้ำว่า ขั้วของ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน-เดชอิศม์ ขาวทอง’ ยังคงเดินหน้าสู้เพื่อยึดพรรคประชาธิปัตย์มาบริหาร

ภาพปรากฏชัดเมื่อ สส. 21 คนมาตั้งวงคุยกัน วิเคราะห์อนาคตกับการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนที่ 9 ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ อันเป็นการตั้งวงวิเคราะห์หลังจาก ‘มาดามเดียร์’ วทันยา บุนนาค หรือ วงษ์โอภาสี ตัดสินใจเปิดตัวลงชิงหัวหน้าพรรค พร้อมประกาศเจตนารมณ์ ‘ฟื้นฟูพรรค เรียกศรัทธาคืน’ ตามด้วยการออกคลิปส่งสัญญาณเจตนารมณ์ไปยังสมาชิกพรรคทั่วประเทศถึงความมุ่งมั่น

เอาเป็นว่ากระแสตอบรับดีเกินคาด ‘นิด้าโพล’ เป็นเครื่องยืนยันว่า มาดามเดียร์มาเต็งหนึ่ง แต่มีคะแนนไม่ตัดสินใจมากถึง 28% เลือกมาดามเดียร์ 27% ส่วน ‘นราพัฒน์’ และ ‘อภิสิทธิ์’ ยังตามหลังมาดามเดียร์

ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูก กลุ่ม สส.สาย ‘เฉลิมชัย-เดชอิศม์’ ประเมินว่า นราพัฒน์ แก้วทอง ต้องแพ้ ‘มาดามเดียร์’ จึงลงมติเปลี่ยนม้ากลางศึก ส่งเทียบเชิญ ‘เฉลิมชัย’ มาลงชิงหัวหน้าพรรคเอง แต่เฉลิมชัยยังไม่ตัดสินใจ ขอเวลา 1-2 วัน ในการตัดสินใจ ส่วนตัว #นายหัวไทร อยากให้เฉลิมชัยตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุและผล ไม่ใช่เกิดจากแรงยุ แรงเชียร์ 

เหตุและผลที่ว่า คือภารกิจหนักในการนำพาพรรค ฟื้นฟูพรรค เรียกศรัทธาพรรคจากประชาชนกลับคืนมา อุดมการณ์ของพรรคต้องกลับมาพิจารณาทบทวน ตรงไหนสึกหรอ กร่อนไป จะเสริมเข้ามาอย่างไร เพื่อให้พรรคมีความเป็นพรรคที่ทันสมัย เขาผลักให้ไปอยู่ฝ่ายอนุรักษ์ก็ยอม ไม่ดันตัวเองไปอยู่ฝ่ายก้าวหน้า เสรีนิยมประชาธิปไตย ตามอุดมการณ์ของพรรค

เหตุอีกประการที่ไม่ควรลืม คือการที่เฉลิมชัย ประกาศกร้าวบนเวทีว่า “ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ สส.น้อยกว่าเดิม จะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต จะกลับไปประจวบคีรีขันธ์” ถ้าเฉลิมชัยกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เท่ากับ ‘เฉลิมชัย’ ตระบัดสัตย์ครั้งสำคัญ นักการเมืองจำนวนไม่น้อยเสียผู้เสียคนกับการตระบัดสัตย์ นักการเมืองต้องพูดจริงทำจริง ไม่ทิ้งประชาชน

เมื่อประกาศวางมือทางการเมืองแล้ว ก็ไม่ควรมาจุ้นจ้านอะไรอีก ควรผันตัวเองไปทำอย่างอื่น ไม่ควรอยู่แม้กระทั่งเบื้องหลัง รักษาการหัวหน้าพรรคก็ไม่ควรรับแล้ว ถ้ายังมีใจรักประเทศชาติ ประชาชน ก็ยังมีบทบาทอื่นรองรับได้ ทำงานได้ เช่น มูลนิธิ สมาคม หรืออะไรก็ได้ที่สามารถช่วยเหลือชาติและประชาชนได้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมือง หรือพรรคการเมือง

การเมืองไม่ใช่เรื่องของการแข่งขันเพื่อชัยชนะเพียงด้านเดียว การเมืองมีหลากหลายมิติ แต่นักการเมืองที่ก้าวเข้ามาคิดแค่ว่าทำอย่างไรให้ชนะ ทำอย่างไรในการช่วงชิง ‘อำนาจรัฐฯ’ มาอยู่ในมือ เข้าใจได้ว่า การแก้ไขปัญหาบางอย่างต้องใช้งบประมาณของรัฐฯ ต้องใช้อำนาจรัฐฯ ต้องใช้กลไกของรัฐฯ เป็นเครื่องมือ

แต่สถานการณ์ปัจจุบันของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการช่วงชิงอำนาจบริหารพรรค เพื่อนำพาพรรคไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ชาติ ประชาชน แต่เป้าหมายคือ ‘พวกพ้อง’ และ ‘ผลประโยชน์’ บรรดาโหวตเตอร์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือตัวสำรอง ยังมีเวลาในการนั่งสมาธิ ให้เปิดปัญญา ตั้งสติ คิดให้รอบคอบ เดินเข้าสู่ห้องประชุมโดยไม่มีแรงจูงใจอื่น นอกจากสติที่คิดได้ ปัญญาที่มุ่งหวังดีต่อชาติบ้านเมือง

อุดมการณ์ประชาธิปัตย์จะยังไม่ตายหรอก ถ้าพลพรรคทั้งหลาย มีสติ มีปัญญา และมุ่งมั่นต่อชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้งตามเจตนารมณ์ของ ‘ควง อภัยวงศ์’ ผู้ก่อตั้งพรรค เมื่อ 77 ปีก่อน

‘ชูวิทย์’ รอด!! กกต.ยกคำร้อง ปมรณรงค์ ‘ไม่เลือกพรรคกัญชา’  ชี้!! เป็นการวิจารณ์นโยบาย - แจกของไม่ได้เจาะจงผู้มีสิทธิ

(7 ธ.ค.66) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.สั่งยกคำร้องในคดีที่พรรคภูมิใจไทย ร้องว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 (1) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้หรือจะเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด จากกรณีเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. 2566 แล้ววันที่ 21 มี.ค.66 ที่ซอยละลายทรัพย์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ นายชูวิทย์ได้จัดกิจกรรมรณรงค์และมีการแถลงข่าว พร้อมแจกเสื้อ เข็มกลัด สติ๊กเกอร์ ‘ไม่เลือกพรรคบ้ากัญชา’ ‘ยกเลิกกัญชาเสรี’ แก่ประชาชน

โดย กกต.เห็นว่า การที่นายชูวิทย์จัดกิจกรรมดังกล่าว เพื่อแสดงความคิดเห็นของตนและวิพากษ์วิจารณ์นโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทย ประกอบกับจากการตรวจสอบวิดีโอคลิป เอกสารการถอดข้อความการแถลงข่าวประกอบคำร้อง ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในขณะที่นายชูวิทย์ดำเนินกิจกรรมรณรงค์ได้แจกเสื้อยืดคอกลม เข็มกลัด และสติ๊กเกอร์ ให้กับบุคคลที่เข้าร่วมกิจกรรมโดยพูดจูงใจให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใดแต่อย่างใด

โดยนายชูวิทย์แจกสิ่งของดังกล่าวให้กับประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องแจกสิ่งของให้กับเฉพาะประชาชนที่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น การกระทำดังกล่าวของนายชูวิทย์จึงไม่เข้าข่าย หรือมีลักษณะเป็นการจัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด ประกอบกับไม่ปรากฏว่า นายชูวิทย์เป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือผู้ช่วยหาเสียงให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือพรรคการเมืองใด รวมทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่น ที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่านายชูวิทย์กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 (1)

‘อุ๊งอิ๊ง’ แจง!! จัดกิจกรรมสงกรานต์ 77 จว.ทั่วประเทศ หวังให้ทั้งเดือนเมษายนมีงานต่อเนื่อง เพื่อดึงดูด นทท.

(6 ธ.ค. 66) ที่ เดอะกรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาโครงการเสริมสร้างศักยภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และบุคลากรทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ว่า อยากให้สมาชิกทุกคนมาร่วมกิจกรรมที่ทีมงานได้เตรียมไว้ ซึ่งทุกคนได้ร่วมกิจกรรมอย่างสนุกสนานมาก และมีการระดมสมองกัน มีการละลายพฤติกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น

เมื่อถามว่ามีการใช้งบประมาณเกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์เป็นจำนวนมาก น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ที่ตนเป็นประธานอยู่ ได้ประชุมเรื่องงบประมาณที่ใช้จบไปแล้ว ก็เหลือการนำเข้าที่ประชุมที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อเคาะและนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งงบดังกล่าวนี้กว่าจะเสร็จก็น่าจะเดือน พ.ค.2567 ซึ่งจะเป็นงบทั้งปี ตั้งแต่ปี 2567-2568 เพราะฉะนั้นจะเป็นไปตามกระบวนการแน่นอนตามที่นายกรัฐมนตรีได้พูดไว้

“เราตั้งงบประมาณไว้ประมาณ 5,100 ล้านบาท มาจากภาคเอกชนทุก ๆ สาขาที่คุยกันไว้ 11 สาขา ซึ่งเราไม่ได้ของบเพิ่ม เป็นงบที่มีอยู่ในกระทรวง แล้วในแต่ละกระทรวงก็จะนำมารวมกัน เพื่อทำเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ และตัวเลขนี้รัฐบาลไม่ได้คิดขึ้นมา เป็นการร่วมมือทำงานกันระหว่างผู้รู้จริงคือภาคเอกชน ซึ่งรัฐบาลคอยอำนวยความสะดวกให้กับสิ่งที่เอกชนรู้อยู่แล้วในแต่ละสาขา ซึ่งเอกชนมีความระมัดระวังอยู่แล้วในการใช้งบประมาณ และมีตัวเลขออกไปแล้วว่าแต่ละสาขาใช้งบประมาณเท่าไร” น.ส.แพทองธาร กล่าว

เมื่อถามว่าจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในการใช้งบจะทำให้คณะกรรมการมีโอกาสมาดูว่าจะปรับลดอะไรบ้างหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือคอมเมนต์ต่าง ๆ เรารับฟังแน่นอน และดีใจที่ทุกคนให้ความสนใจกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์เพราะมีความหลากหลายมาก ๆ ถ้ามีคนสนใจเยอะ ๆ ตนเชื่อว่าอุตสาหกรรมต้องดีและแข็งแรงขึ้นแน่นอน 

เมื่อถามว่าดึงงบมาจากกระทรวงไหนบ้าง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ดึงงบมาจากหลายกระทรวง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นงบที่อยู่ในกระทรวงนั้นอยู่แล้ว แต่เรานำมาจัดแจงให้เห็นภาพว่าทำอะไรบ้าง

เมื่อถามว่าหลังจากที่ประกาศกิจกรรมสงกรานต์ออกมาแล้วหลายคนได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนได้สื่อเรื่องสงกรานต์ไปในเฟซบุ๊กของตนเอง และเห็นการตีความกลับมา ว่า จะให้สาดน้ำกันทั้งเดือน “อันนี้ก็หนาวเหมือนกันนะคะถ้าสาดน้ำกันทั้งเดือน” ซึ่งตนไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่จะเป็นเรื่องของการจัดกิจกรรม 77 จังหวัดทั่วประเทศ แน่นอนวันที่ 13-15 เม.ย. เรามีอีเวนต์ทุกปีอยู่แล้ว แต่เราจะพยายามให้ทั้งเดือนเมษายน มีงานทั่วประเทศ เพื่อรอนักท่องเที่ยวเข้ามาให้มีจุดเที่ยวในประเทศไทยยาวนานขึ้น อยู่นานขึ้น นั่นคือจุดมุ่งหมาย แต่ถ้าจะให้สาดน้ำ 30 วันก็คงจะไม่ได้

“อิ๊งอยากให้ทุกคนมูฟออนจากการนิยามซอฟต์พาวเวอร์ได้แล้ว เรากำลังจะทำเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เพื่อพัฒนาประเทศให้ไปถึงจุดที่ยิ่งใหญ่อลังการ อันนี้เรามองไปถึงจุดข้างหน้า แล้วเราจะปักหมุดว่าเราจะเป็นประเทศที่ดันซอฟต์พาวเวอร์ออกจากประเทศ ทำให้คนทั่วโลกรู้จักเรา เข้าใจเรา ชอบวัฒนธรรมของเรา นี่คือสิ่งที่เราพยายามทำอยู่ เราไม่ได้พยายามนิยามคำว่าซอฟต์พาวเวอร์แล้ว” น.ส.แพทองธาร กล่าว

เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นผู้นำหญิงคนหนึ่ง ขณะนี้มีมาดามแป้ง มาดามเดียร์ ขึ้นมาชิงตำแหน่งใหญ่ ๆ สำคัญ ๆ ในประเทศ มองว่าจะทำให้ผู้หญิงขึ้นมามีบทบาทอย่างไรได้บ้าง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนมองว่าการที่ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทเป็นเรื่องที่ดี ความคิดหรือว่าภาพจำในอดีตที่ผ่านมา อาชีพนั้น อาชีพนี้เหมาะกับผู้ชายเท่านั้น ซึ่งตนมองว่าคำนั้นไม่สามารถใช้ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว ตนคิดว่าทั้งผู้หญิงผู้ชายมีสิทธิ์ทุก ๆ อาชีพเมื่อมีใจรัก เมื่อมีความสามารถ และได้รับโอกาส เพราะฉะนั้นจะผู้หญิงผู้ชายได้หมดและตนยินดีในด้านของการเมือง หรือด้านของตำแหน่งสำคัญ ๆ ที่มีผู้หญิงจะเข้ามามีบทบาทเยอะขึ้น เป็นเครื่องหมายว่าเปิดโอกาสให้ผู้หญิงและผู้ชายทำได้ทั้งนั้น เปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิ์เท่ากัน 

‘อนุทิน’ เข้ม!! สั่งทุกจังหวัดบังคับใช้ กม.คุมแหล่งก่อมลพิษ หนุนเร่งพีอาร์เชิงรุกสร้างความร่วมมือ ปชช.แก้ปัญหา PM 2.5 

(6 ธ.ค. 66) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ มอบนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดำเนินการสำหรับป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ปี 66-67

ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงฤดูหนาวจนถึงฤดูแล้งของทุกปี ประเทศไทยจะเกิดสถานการณ์ฝุ่นละอองเกินเกณฑ์มาตรฐานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีสาเหตุทั้งจากโดยธรรมชาติ สภาพอากาศและภูมิประเทศที่เอื้อต่อการเกิดสถานการณ์และกิจกรรมของมนุษย์ จนเกิดการสะสมของฝุ่นละอองในปริมาณสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน

ทั้งนี้ ตามข้อสั่งการ รมว.มหาดไทย ได้ให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ที่ส่งผลต่อการเกิดปัญหาไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการสนับสนุนการสั่งดำเนินการ ตลอดจนแจ้งเตือนแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยให้ฝ่ายปฏิบัติการให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่แหล่งกำเนิด กำชับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ให้บังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการเผาในที่โล่ง การคมนาคมขนส่ง อุตสาหกรรม และการก่อสร้าง ส่วนกรณีการเผาในพื้นที่การเกษตร ให้อำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่ ตลอดจนใช้กลไกอาสาสมัครร่วมรณรงค์งดการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ให้กับเกษตรกรเกี่ยวกับการกำจัดหรือใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ไปสู่การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มแทน เช่น การไถกลบตอ ซัง การใช้จุลินทรีย์ในการย่อยสลาย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อว่า นายอนุทินได้กำชับให้กองอำนวยการ ปภ.จังหวัด ทบทวนและจัดทำแผนเผชิญเหตุในกรณีต่างๆ ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน อาทิ พื้นที่เสี่ยง เช่น พื้นที่ป่า พื้นที่การเกษตร พื้นที่ริมทาง และพื้นที่ชุมชน/เมือง ตลอดจนข้อมูลประชากรกลุ่มเสี่ยง ข้อมูลทรัพยากร เครื่องจักรกลสาธารณภัย พร้อมกับมีแนวทางปฏิบัติแต่การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แต่ละระดับอย่างชัดเจน ตลอดจนประสานการปฏิบัติร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งชุดเฝ้าระวังระดับพื้นที่ สนับสนุนการลาดตระเวนเฝ้าระวัง ป้องปรามการลักลอบเผาในเขตพื้นที่ป่า เขตพื้นที่การเกษตร

ทั้งนี้ เมื่อเกิดสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นไฟป่า หมอกควัน หรือระดับปริมาณฝุ่น PM2.5 แนวโน้มสูงเกินค่ามาตรฐาน ให้ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด อำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินท้องถิ่น บูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกระดับการปฏิบัติตามมาตรการ บังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นอย่างเข้มงวด กรณีที่เกิดไฟป่าให้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ที่มีทักษะชำนาญ ประกอบกำลังเป็นชุดปฏิบัติการพร้อมอุปกรณ์เข้าระงับเหตุการณ์โดยเร็ว

“ท่าน มท.1 ห่วงใยผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงอันตราย จึงเน้นย้ำให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครที่เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐ จัดอุปกรณ์ส่วนบุคคลที่มีความเหมาะสม กรณีการเกิดไฟป่าที่กำลังภาคพื้นที่เข้าถึงยาก ให้ประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่มีอากาศยานเข้าสนับสนุน และให้ดูแลด้านสวัสดิการและค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามระเบียบด้วย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายอนุทินยังได้เน้นย้ำให้มีการสื่อสารเชิงรุกผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงสาเหตุการเกิดฝุ่นละออง ที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการลดปัญหา ได้เข้าใจต่อสถานการณ์ มาตรการข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบทลงโทษหากมีการฝ่าฝืน ส่วนการดูแลสุขภาพประชาชนให้หน่วยงานด้านสาธารณสุข ให้ดำเนินการให้ข้อมูลการดูแลสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นการมีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ให้ข้อมูล หรือการให้ความรู้ผ่านช่องต่างๆ และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดพื้นที่และระบบบริการประชาชนในพื้นที่ปลอดภัย (Safety Zone) หรือห้องปลอดฝุ่น เพื่อดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพในกรณีจำเป็นต่อไป

เปิดจดหมาย ‘ลูกสาวทนายอานนท์’ เขียนถึงพ่อ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ พร้อมถาม “พ่อทำไมถึงอยู่ในคุก?” ขณะเจ้าตัวต้องโทษมาแล้ว 70 วัน

(5 ธ.ค. 66) นายอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ‘ลูกเขียนจดหมายถึงพ่อ’

โดยภายในภาพเป็นรูปเด็กกำลังกอด นายอานนท์ พร้อมมีข้อความที่เขียนด้วยมือว่า…

“พ่อทำไมถึงอยู่ในคุก แล้วพ่ออยู่ที่ห้องไหนของเรือนจำ แล้วหนูต้องรออีก 10 ปีใช่ไหม?”

สำหรับ นายอานนท์ อยู่ระหว่างถูกจับคุกในเรือนจำเป็นเวลา 4 ปี หลังจากศาลอาญาพิพากษา ในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 ขณะนี้ต้องโทษอยู่ในเรือนจำมา 70 วัน

‘นายกฯ’ ถก ‘ผบ.ทสส.’ เร่งแก้ปัญหาชายแดนใต้-ปราบยาเสพติด หนุนลดช่องว่างทหารและประชาชน เป็นที่พึ่งพิงได้ทุกสถานการณ์

(5 ธ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล โดยได้เรียก พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เข้าหารือที่ตึกไทยคู่ฟ้า โดยใช้เวลาหารือประมาณ 20 นาที

นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือว่า โดยปกติตนจะพบปะกับ ผบ.ทสส.เป็นประจำอยู่แล้ว โดยวันนี้เป็นเรื่องรับทราบข้อมูลแนวทางการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ แนวทางการทำงานกับรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงของมาเลเซีย รวมถึงปัญหายาเสพติดที่จะทะลักเข้ามาจากพม่า ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง โดยทางทหารจะทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อปราบปรามยาเสพติดและสกัดการนำเข้าอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการเผาป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ต้องพึ่งฝ่ายความมั่นคงค่อนข้างมาก

“อีกเรื่องที่คุยกันในภาพรวม คือผมอยากให้ทหารมาช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหายาเสพติด ปัญหาสิ่งแวดล้อม เรื่องที่ดินทำกิน ช่วยดูแลปัญหาน้ำไม่ให้ท่วม ไม่ให้แล้ง รวมทั้งดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน นอกเหนือจากเรื่องความมั่นคงที่ท่านดูแลอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างระหว่างทหารกับประชาชนได้อีกทางหนึ่งด้วย” นายเศรษฐา กล่าว

จากนั้นนายกฯ ได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาล เพื่อไปเป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เขตดุสิต กรุงเทพฯ

‘สว.อุปกิต’ เผย ศาลฯ ให้ประกันตัว ‘โรม’ คดีฟ้องหมิ่นฯ นัดใหม่ปีหน้า โต้!! ‘ด้อมส้ม’ ฟ้องเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี ไม่ใช่ปิดปาก ลั่น!! เอาผิดถึงที่สุด

(5 ธ.ค. 66) นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญา รัชดาฯ นัดตนและนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล สอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีซึ่งตนฟ้องนายรังสิมันต์ ข้อหาหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท โดยคดีนี้นายรังสิมันต์ เคยใช้เอกสิทธิ์ สส.เลื่อนนัดสอบคำให้การ จากวันที่ 21 ส.ค. 2566 มาเป็นวันที่ 4 ธ.ค. แทน โดยนายรังสิมันต์ ใช้ตำแหน่ง สส.ประกันตัวเองสู้คดี ขณะที่ศาลกำหนดวันสืบพยานโจทก์วันที่ 10 ต.ค.2567 และสืบพยานจำเลย วันที่ 11 ต.ค.2567

“นายรังสิมันต์ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้หมิ่นประมาท อ้างเป็นการทำหน้าที่ สส.โดยเป็นการอภิปรายในสภาฯ ซึ่งผมก็ไม่ได้ฟ้องนายรังสิมันต์ในกรณีนี้ แต่ฟ้องในประเด็นที่นายรังสิมันต์นำข้อมูลมาหมิ่นประมาท ทั้งผ่านการไลฟ์ตามสื่อโซเชียล และใช้เป็นประเด็นหาเสียงตามเวทีต่างๆ ซึ่งยืนยันจะเอาผิดถึงที่สุดให้เป็นคดีตัวอย่าง” นายอุปกิตระบุ

นายอุปกิต กล่าวยืนยันว่า การฟ้องคดีหมิ่นประมาทไม่ใช่เป็นการฟ้องปิดปากเหมือนที่บรรดาด้อมส้มพยายามสร้างกระแส แต่เป็นการปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรี และเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม ที่ใครก็ตามที่ใส่ร้ายใส่ความคนอื่นก็ต้องได้รับผลกรรมที่ตนเองก่อขึ้น ดังนั้น การที่ศาลรับฟ้องไม่ว่าจะเป็นกรณีนายรังสิมันต์ หรือกรณีตนฟ้องนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ หมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท แสดงว่า ‘คดีเหล่านี้มีมูล’

“ฝากไปถึงคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้ามาเป็นนักการเมือง ย้อนไปพิจารณาดูสิ่งที่ผมเคยพูดถึงทฤษฎีสมคบคิด การป้ายสีทางการเมืองเพื่อหวังคะแนนนิยมให้ได้ชนะการเลือกตั้ง วันนี้อาจจะมีอาชีพใหม่ที่มีการสมคบระหว่างเจ้าหน้าที่กับบรรดานักการเมือง บรรดานักร้อง นักแฉ ที่ออกมาเคลื่อนไหวเปิดโปงเรื่องต่างๆ แต่จริงๆ แล้วหวังจะได้เงินส่วนแบ่ง 25% จากกฎหมายใหม่คดียาเสพติดหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องเลวร้ายมาก” นายอุปกิต กล่าว

อดห่วงสังคมไทย ‘ปวกเปียก-เบาหวิว-ผิวเปลือก’   เมื่อมีคนดัง ‘โง่’ สังคมไทยจึงได้แต่ความ ‘ง่อย’

สังคมไทย เวลาจะดูว่า ‘คนดัง’ ในแวดวงต่าง ๆ เช่น ดารา นักร้อง หรือเซเลบที่มีชื่อเสียงในวงสังคมคนไหนฉลาดปราดเปรื่อง หวังพึ่งพา คิดดีต่อส่วนรวม หรือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมได้หรือไม่นั้น วิธีง่ายที่สุด ให้ดูการให้สัมภาษณ์ออกสื่อในแต่ละครั้ง…

แม้คำถามที่ถูกถามจากนักข่าว หรือผู้ดำเนินรายการต่าง ๆ จะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่คนดังที่มี ‘สำนึกดี’ หรือ ‘คิดเป็น’ จริง ๆ จะสามารถพูดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องความห่วงใยต่อสังคมที่เป็นไปได้ตลอดเวลา หรือจะดูการเขียน Facebook สำหรับคนที่เล่น Facebook อยู่เป็นประจำก็พอจะเห็นตัวตนจริง ๆ ได้ชัดในระดับหนึ่ง 

และนั่นก็รวมถึงนักการเมืองด้วย!!

นักการเมืองไทยยุคใหม่มักแสดงออกถึงการเป็นคนที่มีการศึกษาสูง แต่ทุกวันนี้บางคนยังเขียนคำว่า ‘คะ’ กับ ‘ค่ะ’ หรือ ‘ครับ’ เป็น ‘คับ’ โชว์ออกโซเชียลเน็ตเวิร์กรายวัน เห็นถึงการเป็นคนขาดความรู้ ขาดความละเอียดในการดำเนินชีวิต ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อมีสำนึกที่ต่ำเตี้ยเช่นนี้ ก็ยากที่ประชาชนจะหวังพึ่งพาอาศัยในเรื่องที่ถูกต้องได้ 

เรื่องการไปให้สัมภาษณ์สื่อต่าง ๆ บางคนอาจจะคิดว่าก่อนที่คนดังจะตอบ ก็ต้องกลับมาที่คำถามจากสื่อก่อน ด้วยสื่อไทยจำนวนไม่น้อย ก็มักจะถามในสิ่งที่ไม่ได้มีประโยชน์กับสังคม หรือถามแต่สิ่งที่ชาวบ้านนิยมชมชอบ แต่ขาดความลุ่มลึกในการถาม ขาดคำถามที่มีประสิทธิภาพ 

แต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ว่าใครจะถามมาแบบไหน คนดังที่มีความฉลาดหลักแหลมในการตอบ และมีความรับผิดชอบต่อสังคมในระดับที่สูงมากพอ คำตอบนั้น ๆ ก็จะมีแง่มุมให้คิดตามในทุก ๆ คำถามเสมอ เรียกว่าสามารถใช้ทุกโอกาส ทุกช่องทางที่มี ผลักดัน และต่อยอดไปในทางสร้างสรรค์ได้ในทุก ๆ สถานการณ์ แต่เรื่องเช่นนี้เราจะไม่มีทางได้เห็นในกลุ่มคนดังที่บ้องตื้น โง่เขลาเบาปัญญา แสวงหาแต่ชื่อเสียงและเงินทองไปวัน ๆ ซึ่งจะมีเป็นส่วนใหญ่ ๆ ในสังคมไทย 

บางที ที่เด็ก ๆ สมัยนี้ ขาดความลึกซึ้ง ขาดสามัญสำนึกในการอยู่ร่วมกันในสังคม และหยาบกระด้าง นั่นเพราะส่วนหนึ่งเราขาด ‘แบบอย่างที่ดี’ ยุคนี้เราจะเจอแต่ประเภทป่วยเปียก เบาหวิว และผิวเปลือก ฉายโชว์ออกสื่อ ปลิวว่อนบนโลกโซเชียลอยู่ตลอดเวลา แล้วแก่นแกนที่ดีงาม ความแข็งแรงทางความคิดที่ตั้งอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องจากใครไหนเล่า จะมีให้ยึดเกาะหรือเดินตาม? มีแต่เลวร้ายลงจนยากจะฉุดดึงให้กลับมาสูงสง่าเท่าเดิม 

คำตอบที่ช่วยพยุงได้ในทันทีคือ ‘ตัวเรา’ 

ถ้าคิดว่าพึ่งพาใครไม่ได้ ก็อย่าพยายามเป็นในแบบที่มักง่าย และทำในสิ่งที่มันดูไม่งาม ผลักให้สังคมมันล้มตามกันไป

‘วิโรจน์’ เหน็บ!! คอร์รัปชันจะกลายเป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์ไทย’ ดึงดูดมาเฟียข้ามชาติ เน้นจ่ายส่วยเรื่องจบ ไม่สนกฎหมาย

(4 ธ.ค.66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์ข้อความผ่าน X ระบุว่า…

คอร์รัปชัน มาเฟียข้ามชาติ และธุรกิจสีเทา คือ ซอฟต์พาวเวอร์ของไทย

ประเทศมี กม.อาญา แต่คุกมีไว้ขังคนจน มี กม.ห้ามคอร์รัปชันแต่ก็มีอยู่ทุกอณู ผิดกม.จ่ายส่วยก็เคลียร์ได้ ยอมให้ ตร.ไถ ก็ทำธุรกิจผิดกฎหมายได้

นี่มัน Soft Power ดึงดูดมาเฟียข้ามชาติ ให้มาลงทุนในธุรกิจสีเทาชัดๆ

‘มาดามเดียร์’ แลกเปลี่ยนมุมมอง ผู้นำฯ นักศึกษา มข.  รับฟังไอเดีย ‘ศก.-การเมือง’ เพื่อปรับสู้เลือกตั้งหนหน้า

‘มาดามเดียร์’ ล้อมวงคุย ผู้นำองค์การนักศึกษา ม.ขอนแก่น แลกเปลี่ยนมุมมองเศรษฐกิจ-การเมือง-ความคาดหวัง พร้อมนำปรับใช้ทำนโยบายสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า ขณะนักศึกษาเชียร์นั่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ 

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 66 ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมืองกรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ พบปะแลกเปลี่ยนรับฟังความคิดและข้อเสนอแนะกับกลุ่มผู้นำองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น นำโดย นายวรเชษฐ์ อสิพงษ์ ประธานกลุ่มเลือดสีอิฐ มหาวิทยาลัยขอนแก่น น.ส.บุญยานุช อ่อนนางใย อุปนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และมีนายวีระยุทธ งามจิตร อดีตผู้สมัคร ส.ส. ขอนแก่น เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมด้วย ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนถึงมุมมองของนักศึกษาที่มีต่อการเมืองระดับชาติ มุมมองด้านเศรษฐกิจและสังคม สิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ขับเคลื่อนหรือปรับเปลี่ยน เช่น เรื่องของระบบการศึกษา เรื่องของกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) รวมถึงยังได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองในการบริหารงานขององค์การนักศึกษา 

โดย น.ส.วทันยา ได้อธิบายถึงเรื่องของ กยศ. ว่า เมื่อการเลือกตั้งในปี 2566 พรรคประชาธิปัตย์ได้มีนโยบายในเรื่องของการเรียนฟรีถึงปริญญาตรีเพื่อเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้นักศึกษาจะได้ไม่ต้องกู้ยืมเงินในกองทุน กยศ.เพื่อนำมาเป็นค่าเทอมอีกต่อไป และจะปรับกองทุน กยศ. ให้นักศึกษาสามารถกู้ยืมเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันแทน 

น.ส.วทันยา ยังกล่าวอีกว่า วันนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้มาพูดคุยกับน้องนักศึกษาที่เป็นองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ช่วยเสนอมุมมองแลกเปลี่ยนในหลายเรื่องที่ทำให้เข้าใจในเรื่องของปัญหาในแต่ละช่วงวัย รวมถึงความคาดหวังของพวกเขาต่ออนาคตที่อยากจะเห็นในรูปแบบของการเมืองไทย และเศรษฐกิจที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต ซึ่งการพูดคุยนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นจุดหนึ่ง ที่จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้แล้วทำให้เราเข้าใจในมุมมองของแต่ละช่วงวัยได้อย่างถ่องแท้มากยิ่งขึ้น รวมถึงทำให้เราเข้าใจถึงสภาพปัญหาและความคาดหวังขอเขาเพิ่มมากขึ้น โดยสิ่งที่วันนี้ได้มีโอกาสร่วมพูดคุยจะได้นำกลับไปปรับใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในการที่จะนำเสนอต่อประชาชนในการเลือกตั้งครั้งต่อไป 

นอกจากนี้ ในช่วงท้ายของการพูดคุย น.ส.วทันยา ได้ให้กำลังใจน้องนักศึกษากลุ่มเลือดสีอิฐให้ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะลงรับเลือกตั้งนายกองค์การนักศึกษาที่จะเกิดในช่วงเดือนมกราคม 2567 ขณะที่น้องนักศึกษาก็ได้ให้กำลังใจกับ น.ส.วทันยา ขอให้ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 9 ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top