Monday, 16 June 2025
POLITICS NEWS

‘ลอรี่’ วอน!! ฝ่ายค้านมองก.พลังงานแก้ ‘ค่าไฟแพง’ แบบใจเป็นธรรม แนะ!! หยุดเอาแต่ค้านเชิงทฤษฎีกลวงๆ ช่วยเห็นทุกข์ร้อนของปชช.บ้าง

(2 ธ.ค.66) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับนโยบายการปรับลดค่าไฟ โดยมีเนื้อหาว่า

[ลดค่าไฟระยะสั้น เห็นโจมตีจัง...]

ถามก้าวไกล ค่าไฟ 4.68 .- พอใจให้ปชช.ใช้ราคานี้อีกหลายปี เพื่อรอแก้ระยะยาวอย่างเดียว...จะเอางั้นเหรอ?

ตามที่มีตัวแทนฝ่ายค้าน ออกมาค้านรายวัน เรื่องการปรับลดค่าไฟให้พี่น้องปชช. จาก 4.68  บาท/หน่วย ที่กระทรวงพลังงานพยายามปรับลดลงให้เหลือ 4.20บาท/หน่วยนั้น ทั้งที่เป็นเรื่องดีที่ช่วยลดภาระปชช. สมควรจัดการก่อน

"คนลำบากเพราะ 'ค่าไฟแพง' เทียบเหมือน เห็น 'คนกำลังจมน้ำ' ตรงหน้า ยังไงก็ต้องช่วยจะไปอ้างต้องแก้ที่ต้นเหตุ 'สอนให้เค้ารู้จักว่ายน้ำ' ก่อน.. คงไม่มีใครรอดหรอกนะครับ"

ในฐานะกระทรวงที่เป็นฝ่ายบริหาร การแก้ค่าไฟแพง ต้องทำทั้ง ‘ลดระยะสั้น’ และ ‘หั่นโครงสร้างระยะยาว’ ซึ่งกระทรวงพลังงาน ภายใต้ รมว.พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เราทำอยู่ทั้งคู่ ..หยุดเอาแต่ค้านเชิงทฤษฎีกลวงๆ แต่ขาดความเข้าใจในการทำงานจริงได้แล้ว

ทางที่ดีต้องทำคู่ขนาน เฉพาะหน้าต้องเยียวยาปชช.ต่อลมหายใจไม่ให้รับภาระเกินไป ภายใต้โครงสร้างเดิมที่มี และขณะเดียวกัน 'รื้อ' ปรับโครงสร้างไฟฟ้า โดยเฉพาะแก้ไขรายละเอียดผลิตก๊าซธรรมชาติ - แก้กฎหมายควบคุมหลายฉบับ - รวมถึงเพิ่มพลังงานไฟฟ้าสะอาดในประเทศ ซึ่งใช้เวลาเป็นปี ซึ่งเราก็เน้นทั้งคู่ ให้ราคาไฟฟ้าต่อหน่วย ถูกลงในระยะยาว 3 บาทกว่า โดยรัฐไม่ต้องใส่เงินอุดหนุน

กระทรวงพลังงานเดินหน้าทำอยู่ ด้วยคณะกรรมการทรงคุณวุฒิเป็น 10 ชุด ขอให้ท่านเชื่อมือการบริหาร อย่าพาลใช้ข้อมูลชุดเก่าๆ ที่เราก็มี มาโจมตีรัฐบาลเลย

หวังว่าวันนึงท่านจะมองภาพให้กว้าง เปิดใจให้คนทำงานขึ้น มองเห็นทุกข์ร้อนประชาชนผู้ใช้ไฟระยะสั้นบ้าง และวันนั้นท่านจะไม่ออกมาพูด เอาดีเข้าตัวแบบนี้ครับ

‘ไอซ์ รักชนก’ ลุ้น!! 13 ธ.ค.นี้ วันชี้ชะตาฟังคำพิพากษาคดี ม.112 ชี้ ออกได้ 2 ทาง หนักสุดจำคุก-ไม่ให้ประกันตัวจะพ้นสภาพสส.ทันที

(2 ธ.ค.66) นางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กว่า นับถอยหลัง 13 วัน ฟังคำพิพากษา เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

หลายคนคงทราบข่าวเรื่องศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับคำร้องที่ไอซ์ฟ้องว่ากฎหมาย พรบ.คอมพิวเตอร์ขัดรัฐธรรมนูญ นั่นหมายความว่าถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในวันที่ 13 ธันวาคมนี้ ศาลอาญารัชดา ก็จะอ่านคำพิพากษาคดี 112 ของไอซ์

คดีหมายเลขดำที่ อ 683/2565 โจทย์ที่ยื่นฟ้อง มาตรา 112 พรบ.คอมพิวเตอร์คดีก็ดำเนินมาจนถึงวันนี้ นับถอยหลัง 13 วัน ฟังคำพิพากษา ในวันที่ 13 ธันวาคม 2566 เนื่องจากวันนั้นเป็นวันแรกของการเปิดสมัยประชุมสภา โดยจะมีการประชุมสภา ไอซ์จึงทำหนังสือเพื่อขอเลื่อนฟังคำพิพากษา เนื่องจากติดประชุมสภา ซึ่งต้องแล้วแต่ดุลยพินิจของศาล ว่าจะให้เลื่อนหรือไม่

สส.รักชนก ระบุว่าโดยคดีนี้สามารถมีคำพิพากษาออกได้ 2 แนวทาง คือ

1.หากศาลตัดสินว่าไอซ์ไม่มีความผิด ทุกอย่างก็จะจบลง (ถ้าอัยการไม่อุทธรณ์)
2.หากศาลตัดสินว่ามีความผิด ซึ่งก็แบ่งออกเป็น 2 แนวทางย่อย คือ
2.1 ศาลตัดสินว่ามีความผิด โดยให้รอลงอาญา (คดีนี้ก็จะสิ้นสุดเหมือนกันถ้าไม่มีการอุทธรณ์)
2.2 ศาลตัดสินว่ามีความผิด โดยตัดสินจำคุกระหว่าง 3-15 ปี หลังจากศาลตัดสินแล้วตามหลักการ จำเลยสามารถประกันตัวได้ในศาลชั้นต้น เพื่ออุทธรณ์คดีและสู้คดีต่อได้ในชั้นอุทธรณ์

ถ้าศาลให้ประกันตัวตามสิทธิ์ที่ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ไอซ์ก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ จนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุด (ในมาตรา 29 ที่ระบุไว้ว่า "บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญาเว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้ ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้”)

แต่ปัญหาจะเกิดขึ้น ถ้าศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวและส่งตัวไอซ์เข้าเรือนจำ แม้แต่นาทีเดียวก็หมายความว่าสถานะ สส.ที่ได้รับการเลือกตั้งมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ด้วยคะแนนเสียงจากประชาชน 47,592 ก็จะสิ้นสุดลง และ กกต. จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่แทนตำแหน่งที่ว่าง

ในฐานะประชาชน แน่นอนว่าไอซ์ยินดีที่จะเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาคดี 112 ถึงแม้ว่าจะเห็นว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นมีปัญหาทั้งข้อกฎหมายและการบังคับใช้ก็ตาม และ ไอซ์ก็เป็นหนึ่งเสียงที่สนับสนุนนโยบายของพรรคก้าวไกลในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย

ในฐานะสส.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตระหนักดีว่าการทำหน้าที่เป็นปากเสียงของประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งไอซ์จะพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะรักษาสถานภาพที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามสิทธิ์ที่พึงมี ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของไอซ์หรือพรรคก้าวไกล แต่เป็นการยืนยันเจตจำนงของประชาชนที่ลงคะแนนให้ไอซ์ในฐานะตัวแทนของพรรคก้าวไกล ไอซ์ไม่ร้องขออะไรมากไปกว่าสิทธิ์ที่พึงได้รับตามรัฐธรรมนูญ

ขั้นต้น ไอซ์จะทำจดหมายขอให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป ให้ไม่กระทบกับภารกิจในฐานะผู้แทนราษฎรที่กินภาษีประชาชน เพื่อให้การทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนประชาชนในสมัยประชุมไม่ว่าจะการพิจารณากฎหมาย การตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรี การอภิปรายในโอกาสวาระต่างๆ รวมทั้งร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 หรือแม้กระทั่งร่าง พ.ร.บ. กู้เงิน 500,000 ล้านบาทที่รัฐบาลจะเสนอเข้าสู่ การพิจารณาของรัฐสภา พ.ร.บ. อีก 31 ฉบับ ที่พรรคก้าวไกลยื่นและการทำหน้าที่โฆษก คณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ไม่ติดขัด

พร้อมกันนั้นไอซ์ก็จะใช้ทุกวันวินาทีที่มีค่าสำหรับการเป็นปากเสียงของพ่อแม่พี่น้องในพื้นที่พร้อมกับทีมรังนก อาสาสมัครในพื้นที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันไอซ์ก็ต้องรักษาสิทธิ์ที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญก็ ถ้ามีการพิพากษาว่ากระทำผิด ขอให้ผู้พิพากษาไม่ว่าจะเป็นศาลอาญาหรือผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ พิจารณาให้สิทธิ์ประกันตัวมาสู้คดีในขั้นตอนต่อไป เพื่อไม่ให้เป็นเหตุในการตัดสิทธิ์และหลุดจากสภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อไม่ให้ผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง ถูกถอดลงด้วยคดีทางการเมืองหรือการเทคนิคทางกฎหมาย

'อนุทิน' เผยความในใจ 'นายกฯ' มอบหมายดูแล 'สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ' รับช่วงแรก 'อยากเป็นลม' แต่พอได้สัมผัสรู้สึก 'ตรงใจ-ภูมิใจ' ในภารกิจ

(2 ธ.ค.66) จากช่องติ๊กต็อก ‘สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (TPQI)’ ได้โพสต์คลิป นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เล่าความรู้สึกหลังนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ดูแล ‘สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ’ ว่าตนนั้นรู้สึกอย่างไร โดยระบุว่า…

“ท่านนายกรัฐมนตรีได้มีการมอบหมายให้กํากับดูแลสถาบันอันหนึ่ง ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี เพื่อทําหน้าที่แทนท่าน นั่นก็คือ 'สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ' ตอนที่ท่านมอบสถาบันนี้มาให้ผม ผมรู้สึกอยากจะเป็นลมตาย…จึงได้มีการบอกไปว่า ขอโทษนะครับ…ผมเป็นรองนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรคลําดับที่ 2 ในรัฐบาล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกฯ มอบให้ดูสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ…เพราะผมเป็นคนที่ต้องรู้อะไรก่อนถึงจะสนับสนุน ดังนั้น พูดง่าย ๆ ‘สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ’ เป็นอีกทางเลือกสําหรับคนไทย คนที่ไม่มีโอกาสเรียน ไม่จบปริญญา แต่มีทักษะมีความสามารถพิเศษที่ไม่สามารถเอาใบดิฟโพลม่ามาได้ แต่สถาบันนี้คือคนที่จะทําสิ่งนี้ โดยสถาบันนี้จะรับรองใบประกาศนียบัตรที่เปรียบเสมือนใบดิฟโพลม่า ที่จะทําให้คนที่มีทักษะหรือความสามารถนําใบนี้ไปประกอบอาชีพหรือขึ้นทะเบียนได้ 

ดังนั้น สิ่งนี้มันก็ตรงกับความตั้งใจของตัวผมอยู่แล้ว… วันนั้นที่ไปผมมีความสุขมาก ถือเป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งในความเป็นรัฐมนตรีของผมในรัฐบาลชุดนี้ คือได้ไปเยี่ยมที่ ‘สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ’...”

'ทนายแจม-ก้าวไกล' รีวิว 'รถไฟฟ้าสายสีชมพู' ไม่ใจดีกับเราเลย ที่จับสูงเกิน ทำแขนตึง คนตัวเล็กก็จับเสาไม่ได้ เพราะโบกี้คนแน่น

โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เปิดให้ใช้บริการ ระยะทางรวม 34.5 กิโลเมตร โดยมีสถานีรับส่งผู้โดยสาร 30 สถานี มีจุดเชื่อมต่อไปโครงข่ายอื่น 4 จุด ทำให้เชื่อมต่อได้หลายเส้นทาง

ล่าสุด ทนายแจม ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ได้รีวิวการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีชมพู ถึงปัญหาที่พบในการใช้บริการบางจุด และอยากให้มีการปรับปรุง โดยมีผู้ใช้บริการรายอื่น ๆ ร่วมสะท้อนปัญหาด้วย

ข้อความระบุว่า “รีวิว นั่ง #สายสีชมพู ครั้งแรก จากศูนย์ราชการฯ ไปต่อวัดพระศรีฯ ‘ตึงแขน’ มาก ที่จับอยู่สูงเกินไปนะคะ น้องนมเย็นไม่ใจดีกับเราเลย” พร้อมได้ระบุต่อว่า “ที่ไม่สามารถจับเสาได้ เพราะโบกี้คนแน่น ทำให้ผู้โดยสารที่ตัวเล็กไม่สามารถจับได้”

นอกจากนี้ผู้โดยสารรายอื่น ยังได้ร่วมสะท้อนปัญหา เช่น

-เห็นด้วยเลยค่ะ เราสูง 170 ยืนจากสถานีวัดพระศรีถึงสถานีคู้บอนคือเมื่อยมาก เราเองก็ว่ามันสูงเกิน ที่จับก็น้อยเกินถ้าเทียบกับพื้นที่ยืน บางทีช่วงคนเยอะไม่มีที่จับหน้าจะคว่ำเพราะมันกระตุกแรง
ที่จับเขาไม่ได้ใส่สายตรงกลางให้มันห้อยลงมา รบกวนรถไฟฟ้ามาใส่สายกันด้วยนะคะ ไม่ได้มีแต่ผู้ใหญ่ที่ตัวเล็กต้องใช้ น้อง ๆ เด็กนักเรียนก็ต้องใช้ค่ะ

ช่วยป้าอ้อด้วยฮะ สูงเหลือเกิน ข้อข่งข้อเข่างิ คนแน่นมากกกก จะจับที่จับก็เสมิฟฮะ / เตี้ย 55

เนื่องจากไม่มีพนักงานขับ ตอนจอดจึงลงเพื่อเปิดทางให้ด้านในลงสะดวกแต่ประตูปิดทั้งที่มีคนกำลังลงเลยขึ้นกลับไปไม่ได้ ต้องรออีกสองเที่ยวเพราะแน่นขึ้นไม่ได้ น้องนมเย็นไม่น่ารักเท่าไหร่

‘อนุทิน’ ส่งข้อความร่วมยินดี ‘บิ๊กตู่’ ได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรี เผย ‘อดีตนายกฯ’ ขอบคุณ-ฝากฝังทุกคนช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเมือง

(1 ธ.ค. 66) ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นองคมนตรี ว่า…

“ยินดีกับท่านด้วย เพราะเคยทำงานด้วยกันมาก่อนในฐานะร่วมรัฐบาลเดียวกัน ได้ส่งข้อความไปยินดีกับท่านแล้ว และท่านตอบกลับมาว่า ขอบคุณ และให้ช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเมือง ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อท่าน”

ศาลฯ สั่งจำคุก 'ทนายนกเขา' 5 ปี 9 เดือน ปรับ 2 แสน 'ตั๊น-จิตภัสร์' จำคุก 9 เดือน ปรับ 4 หมื่น คดีไล่ 'รัฐบาลปู' ปี 57

(1 ธ.ค. 66) ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี กปปส. ชุดเล็ก 7 คนร่วมกันกบฏ ก่อการร้าย หมายเลขดำอ.2732/2562 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายนัสเซอร์ ยีหมะ การ์ดคปท., นายอุทัย ยอดมณี แกนนำคปท., นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา แกนนำคปท., น.ส.จิตภัสร์ หรือ ตั๊น กฤดากร, นายพานสุวรรณ ณ แก้ว, นายประกอบกิจ อินทร์ทอง และนายกิตติศักดิ์ ปรกติ นักวิชาการ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุม เป็นกบฏสมคบกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ฯ

จากกรณีเมื่อช่วงวันที่ 23 พ.ย.2556 - 1 พ.ค. 2557 จำเลยกับพวกซึ่งเป็นแกนนำกลุ่ม กปปส. ได้ร่วมกันชุมนุม ต่อต้านการบริหารราชการแผ่นดินและขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้พ้นจากตำแหน่ง ยุยง ปลุกระดม ให้ประชาชนกระด้างกระเดื่อง

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายนัสเซอร์ จำเลยที่ 1 กระทำความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทที่หนักที่สุดข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป พิพากษา จำคุก 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา

ส่วน น.ส.จิตภัสร์ หรือตั๊น จำเลยที่ 4 มีความผิดฐานยุยงให้ข้าราชการหยุดงาน สั่งจำคุก 9 เดือนปรับ 40,000 บาท

นายอุทัยและนายนิติธร จำเลยที่ 2 และ 3 ศาลพิพากษาจำคุกรวม 5 กระทง คนละ 5 ปี 9 เดือน ปรับคนละ 200,000 บาท

นายพานสุวรรณ และนายประกอบกิจ จำเลยที่ 5 และ 6 ศาลพิพากษาจำคุกคนละ 4 ปี 9 เดือน ปรับคนละ 180,000 บาท

ส่วน นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นนักวิชาการ แสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ตามข้อมูลวิชาการ จึงไม่มีความผิดพิพากษายกฟ้อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 2, 3 ,4 ,5 ,6 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ที่กระทำผิดเพราะต้องการแสดงออกเพื่อต่อสู้ทางการเมืองเพราะเห็นความไม่ชอบธรรมในรัฐบาลและไม่ได้เป็นการกระทำเพื่อส่วนตัวหลังเกิดเหตุได้เข้ามอบตัว เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างกล้าหาญ โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี

‘เทพไท’ ยินดี ‘ลุงตู่’ เป็นองคมนตรีคนใหม่ แต่งกลอนเชิดชูความดีที่สร้างไว้ให้ชาติไทย

(1 ธ.ค. 66) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก เทพไท เสนพงศ์-คุยการเมือง ระบุว่า ‘สดุดีลุงตู่’ ขอแสดงความยินดีกับ ‘ลุงตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรีคนใหม่

ส่วนตัวผมกับลุงตู่นั้น รู้จักกันมานานแล้ว ก่อนที่ท่านเป็นหัวหน้าคสช. และเป็นนายกรัฐมนตรีเสียอีก ผมรู้จักกับท่านในฐานะผมเป็นโฆษกส่วนตัว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับท่านที่อยู่ในฐานะรองผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งได้ทำงานร่วมกันที่ ศอฉ. กองพันทหารราบที่11 ด้วยกันมาเป็นเวลาหลายเดือน ในปี 2553  

ตอนท่านเป็นหัวหน้าคสช.และนายกรัฐมนตรี อาจจะเห็นผมออกมาวิพากษ์วิจารณ์ พาดพิงถึงตัวท่านอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งไม่ได้มีเหตุอะไรที่ไม่พอใจเป็นการส่วนตัว เพียงแต่ผมไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 และการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่าน จึงได้วิพากษ์วิจารณ์ไปตามหลักประชาธิปไตยที่ผมยึดมั่นอยู่

แต่ในระหว่างที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ท่านได้ทำคุณประโยชน์ ให้กับประเทศชาติในหลายประการ มีผลงานที่จับต้องได้หลายโครงการ และที่สำคัญที่สุด คือท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยถูกข้อกล่าวหาว่า ทุจริตคอร์รัปชันเลย ถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มือสะอาดคนหนึ่ง ที่สังคมการเมืองไทย ควรจะผู้นำมือสะอาดแบบนี้มาก ๆ

ในโอกาสที่ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี ผมจึงขอนำบทกลอนชื่อ ‘สดุดีลุงตู่’ ที่ผมเคยเขียนไว้ สมัยอยู่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช และมาเพิ่มเติมอีกหนึ่งบท หลังจากท่านได้รับโปรดเกล้าเป็นองคมนตรีเมื่อวานนี้

ซึ่งบทกลอนบทนี้ ผมได้มอบให้ อาจารย์ณกรณ์ ชูรักษ์ เรียบเรียงดนตรีและขับร้องเป็นเพลงแหล่ ซึ่งจะเผยแพร่ในวันที่ 4 ธันวาคม 2566 นี้ หรือหากมีใครจะนำไปขับร้องด้วย ผมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่สงวนลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

เพลงแหล่ สดุดีลุงตู่

สดุดี ลุงตู่ ผู้ยิ่งใหญ่
ผู้อยู่ใน หัวใจ ไทยทั้งหล้า
เป็นนายกฯ 9 ปี ที่ผ่านมา
ได้นำพา ชาติบ้านเมือง เรืองระบือ

ความสงบ เกิดขึ้น ทุกหย่อมหญ้า
ทั้งพารา แซ้ซ้อง และเชื่อถือ
ความซื่อสัตย์ สุจริต คนเลื่องลือ
กล่าวขานชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เป็นรัฐบาล สร้างผลงาน ไว้มากมาย
ไทยทั้งหลาย ทั่วถิ่น ถวิลหา
คนละครึ่ง เราชนะ ติดตามมา
ได้เยียวยา ช่วงโควิด พิชิตไทย

พัฒนา โครงสร้าง ทั้งประเทศ
ทุกคานเขต ก้าวหน้า ทันสมัย
สร้างถนน สร้างสะพาน ทางรถไฟ
นักท่องเที่ยว หลั่งไหล มามากมาย

ฟื้นสัมพันธ์ ไมตรี กับซาอุ
ส่งออก ยอดทะลุ ในการขาย
สร้างรถไฟ ในกรุงเทพ 12 สาย
ความเร็วสูง รางคู่ก็ได้ พัฒนา

ทั้งแหล่งน้ำ การเกษตร ปศุสัตว์
ทุกแผนงาน ของรัฐ ได้จัดหา
ทรัพยากร มนุษย์ ได้พัฒนา
คนจน คนรากหญ้า ได้ดูแล

บัตรสวัสดิการ แห่งรัฐ ได้จัดให้
เบี้ยยังชีพ ก็ได้ ให้คนแก่
อสม. กำนันผู้ใหญ่ ได้ดูแล
เพื่อพ่อแม่ พี่น้อง ผองไทยเรา

ปรับเงินเดือน ให้องค์กร ส่วนท้องถิ่น
ได้มีกิน มีใช้ ไม่อายเขา
อบต. อบจ. เทศบาลเรา
ช่วยแบ่งเบา เพิ่มรายได้ ให้สุขขี

ทุกชุมชน เทศบาล ท่านจัดให้
ค่าตอบแทน ก็ได้ ทุกพื้นที่
ผลผลิต การเกษตร ราคาดี
เพราะรัฐมี ส่วนต่าง ของราคา

เกษตรกร มีรายได้ พอใช้สอย
อย่างน้อย ห้าอย่าง ไม่สร้างปัญหา
ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด ยางพารา
ข้าวชาวนา และมันสำปะหลัง

ประเทศไทย ได้เจริญ รุดหน้า
ทั่วพารา ไม่ทิ้งใคร ไว้ข้างหลัง
ทำเพื่อชาติ ศาสน์กษัตริย์ อย่างจริงจัง
คนไทย สมดั่งหวัง ทั้งแผ่นดิน

มีผลงาน ของท่าน อีกมากมาย
สาธยาย บอกได้ ไม่จบสิ้น
ชื่อลุงตู่ ดังก้อง ทั่วธานินทร์
ทุกฐานถิ่น อย่างทรนง องอาจ

จนบัดนี้ มีพระบรม ราชโองการ
สนองงาน ใต้เบื้อง พระยุคลบาท
โปรดเกล้า เป็นองคมนตรี ศรีของชาติ
ขอรับใช้ เป็นข้ารองบาท ทุกชาติไป

‘ชัยธวัช’ อ้าง!! นิรโทษกรรมคดี ม.112 นำไปสู่ความปรองดอง พร้อมธำรงรักษาให้พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ

(1 ธ.ค. 66) นายธชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง ‘นิรโทษกรรม 112’ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ข้อเสนอการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ที่ถูกดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดอง หรือการคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อถกเถียงสำคัญสำหรับการนิรโทษกรรมคดีการเมืองในปัจจุบันคือ เราควรนิรโทษกรรมผู้ที่ถูกดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายอาญา ม.112 ด้วยหรือไม่

เหตุผลของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งเราควรนำมาพิจารณาร่วมกันคือ หากเรานิรโทษกรรมคดี 112 ไปแล้ว จะเป็นการไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ หรือจะเป็นการปล่อยให้เกิดการแสดงความคิดเห็น หรือการแสดงออกทางการเมืองที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไปอีกหรือไม่

สำหรับประเด็นนี้ ผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์จะสามารถดำรงอยู่อย่างมั่นคงในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ได้ ก็ด้วยความรักความศรัทธาหรือความยินยอมพร้อมใจของประชาชน ไม่ใช่ด้วยการใช้อำนาจกดบังคับหรือการสร้างความกลัว ดังนั้น การบังคับใช้ ม.112 อย่างรุนแรงดังที่เป็นอยู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงไม่ใช่การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยั่งยืน ซ้ำร้ายยังจะส่งผลบ่อนทำลายสายใยความสัมพันธ์อันดี ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนในระยะยาวอีกด้วย

ในสภาพการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ปรารถนาดีหรือจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างจริงใจ ควรต้องร่วมกันตั้งหลักในการพิจารณากุศโลบาย ที่สอดคล้องกับสถานการณ์และพลวัตของสังคมไทย เราต้องช่วยกันไม่ให้เกิดเงื่อนไขที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ เข้าไปเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองได้ จัดวางพระราชสถานะอย่างประณีตภายใต้รัฐธรรมนูญ ระมัดระวังอย่าให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างพระราชอำนาจกับหลักการ ‘ปกเกล้า แต่ไม่ปกครอง’ ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ผมเชื่อมั่นว่า มีแต่หนทางนี้เท่านั้น ที่จะธำรงรักษาให้องค์พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะตามรัฐธรรมนูญอย่างมั่นคง สังคมไทยในห้วงยามนี้ต้องการทุกคนมาร่วมกันคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมีสติ มิใช่การอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์และ ม.112 มาคุ้มครองผลประโยชน์หรืออำนาจของตนเอง

'อานนท์' โวย!! ศาลอาญา ไม่อนุญาตให้เป็นทนายจำเลยช่วย 'ทอปัด' อ้าง!! ทั้งที่ยังมีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะเป็นทนายความ เหตุคดียังไม่ถึงที่สุด

'อานนท์' ยื่นคำร้องคัดค้าน ภายหลังศาลอาญาไม่อนุญาตให้เบิกตัวมาทำหน้าที่ทนายจำเลยในคดี 112 ของ 'ทอปัด' ระบุ ยังมีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะเป็นทนายความ เนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุด

เมื่อวันที่ 30 พ.ย.66 นายอานนท์ นำภา ทนายความและผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของศาลอาญาที่ไม่อนุญาตให้เบิกตัวอานนท์จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาทำหน้าที่ทนายจำเลยในนัดสืบพยานคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ของ ทอปัด อัฒอนันต์ อายุ 28 ปี ศิลปินนักวาดภาพอิสระ จากการวาดภาพรัชกาลที่ 10 เผยแพร่ในอินสตาแกรม ซึ่งจะมีการสืบพยานในวันที่ 1, 15 ธ.ค. 2566 และ 31 ม.ค. 2567  

การยื่นคำร้องคัดค้านเกิดขึ้นภายหลังเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2566 ศาลอาญามีคำสั่ง ‘ยกคำร้อง’ ต่อคำร้องในคดีของทอปัด ที่อานนท์ยื่นขอให้เบิกตัวมาทำหน้าที่ทนายความของจำเลย ร่วมกระบวนการพิจารณาสืบพยานในวันที่ 1, 15 ธ.ค. 2566 และ 31 ม.ค. 2567

ทั้งนี้ อานนท์ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 2566 หลังศาลอาญามีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 จากการปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ14ตุลา ให้จำคุก 4 ปี และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันระหว่างอุทธรณ์ แม้จะยื่นประกันแล้ว 3 ครั้ง รวมถึงศาลฎีกาก็มีคำสั่งไม่ให้ประกันหลังทนายความยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกัน จนถึงปัจจุบัน (30 พ.ย. 2566) อานนท์ถูกคุมขังมาแล้ว 66 วัน

🔴 คำร้องคัดค้านคำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้เบิกตัวทนายอานนท์มาในคดีของทอปัดมีเนื้อหาดังนี้...

คดีนี้ศาลนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 1 ธ.ค. 2566 ทนายความจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเบิกตัวทนายจำเลย ซึ่งถูกขังโดยอำนาจของศาลนี้มาปฏิบัติหน้าที่ทนายความ ศาลมีคำสั่งยกคำร้องและไม่เบิกตัวทนายความจำเลยมาปฏิบัติหน้าที่โดยให้เหตุผลว่า ทนายความจำเลยถูกพิพากษาว่ามีความผิดในคดีอาญา (คดีมาตรา 112) มีโทษจำคุก 4 ปี จึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ทนายได้ 

ทนายจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้...

1. ทนายความจำเลยยังมีศักดิ์และมีสิทธิ์ในวิชาชีพทนายความอย่างสมบูรณ์ตาม พ.ร.บ.ทนายความ เพราะคดีการเมืองที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ยังไม่ถึงที่สุด ซึ่งตามรัฐธรรมนูญย่อมถือว่าทนายความจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งการสิ้นสุดลงของการเป็นทนายความย่อมเป็นไปตามกฏหมายว่าด้วยทนายความ ซึ่งทนายความจำเลยยังมีชื่อเป็นทนายความ ไม่ได้ถูกเพิกถอนการเป็นทนายความแต่อย่างใด ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ อันเป็นการขัดขวางไม่ให้ทนายความได้ปฏิบัติหน้าที่ในคดีได้

2. การที่ศาลมีคำสั่งไม่ให้ทนายความจำเลยมาศาลเพื่อทำหน้าที่ ทั้งที่ทนายความจำเลยถูกขังโดยอำนาจศาล ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ในการสืบพยานโจทก์จะไม่มีทนายความที่จำเลยไว้วางใจและแต่งตั้งมาทำหน้าที่ กระบวนการพิจารณาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีมาตรา 112 ซึ่งเป็นความผิดในหมวดความมั่นคงและเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ ย่อมไม่อาจดำเนินไปด้วยความยุติธรรมได้ 

ทั้งนี้ กระบวนพิจารณาคดีมาตรา 112 ได้ถูกจับตาโดยประชาคมโลกมาโดยตลอด รวมทั้งเนติบัณฑิตแห่งสหภาพยุโรปได้เคยทำหนังสือแสดงความกังวลในการปฏิบัติหน้าที่ของทนายความจำเลย ซึ่งถูกละเมิดจากการแสดงออกอย่างสันติทางการเมืองจนกระทบต่อการทำหน้าที่ ซึ่งหนังสือดังกล่าวถูกส่งไปยังสภาทนายและถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 โดยตรง

การออกคำสั่งของศาลในคดีนี้ยังตอกย้ำถึงกระบวนการยุติธรรมในคดีมาตรา 112 อย่างชัดเจนว่า มีความไม่ปกติ และอาจเกิดความไม่ยุติธรรมในการพิจารณาคดี

3. หากศาลเห็นว่า การแต่งกายในชุดนักโทษไม่เหมาะสมที่จะสวมครุยเนติบัณฑิตว่าความในห้องพิจารณา เหมือนในการพิจารณาคดีของศาลนี้ในหลายคดี หากศาลมีคำสั่งห้ามสวมชุดครุย ทนายความจำเลยก็ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งแม้จะไม่เห็นด้วย 

การที่ทนายความจำเลยไม่อาจแต่งกายด้วยชุดสุภาพแบบสากลนิยม แต่ต้องสวมชุดนักโทษ ก็เพราะศาลนี้และศาลอุทธรณ์ ตลอดจนศาลฎีกา ไม่ได้มีคำสั่งให้ประกันทนายความจำเลย ไม่ใช่เรื่องที่ทนายความแต่งกายไม่ถูกระเบียบเอง ทั้งการไม่อาจสวมครุยก็ไม่กระทบต่อการทำหน้าที่ ถึงขนาดจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะหากทนายความปฏิบัติหน้าที่ไปด้วยความยุติธรรม แม้อยู่ในชุดนักโทษก็สามารถทำให้เกิดความยุติธรรมได้ แต่หากทำหน้าที่ไปด้วยอคติหรือมิจฉาทิฐิ แม้จะสวมชุดครุยที่ทอด้วยไหมก็คงไม่มีค่าอันใด

ด้วยเหตุผลที่ทนายความจำเลยกล่าวมาข้างต้นทนายความจำเลยจึงขอแถลงคัดค้านคำสั่งศาลดังกล่าวไว้ 

อานนท์ นำภา
ทนายความจำเลย

'สุวัจน์' เคลียร์ปม 'กรณ์' ทิ้งชาติพัฒนากล้า ชี้!! เป็นความตั้งใจเดิม ไม่เกี่ยวอ้าแขนรับ 'สส.แจ้'

(30 พ.ย. 66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี เขต 2 ที่โดนขับออกจากพรรคก้าวไกลจากกรณีปัญหาคุกคามทางเพศ ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้า เมื่อ 27 พ.ย. ที่ผ่านมาว่า ทางพรรคฯ โดยนายทะเบียนพรรคฯ ก็ได้ตรวจสอบคุณสมบัติต่าง ๆ และได้รับเข้าเป็นสมาชิกพรรคฯ ก็ได้แจ้ง กกต. และได้แจ้งไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรให้รับทราบ

ส่วนเหตุที่รับเข้ามาก็มีการติดต่อและสมัครมาที่พรรคฯ และเราก็ดูในเรื่องคุณสมบัติโดยนายทะเบียนพรรคฯ ก็ได้ตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติถูกต้องและคิดว่ารัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดเอาไว้ให้หาพรรคใหม่สังกัดภายใน 30 วัน ฉะนั้นตนก็คิดว่าก็เป็นโอกาสของนายวุฒิพงศ์ฯ ในการที่จะมาทำงานที่พรรคชาติพัฒนากล้า เพื่อพิสูจน์ผลงานให้กับพี่น้องประชาชนได้เห็นและทำงานตามแนวทาง นโยบายต่าง ๆ ของพรรคชาติพัฒนา

ส่วนที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และกลัวประเด็นดรามาของแฟนคลับพรรคชาติพัฒนากล้าก็มีจำนวนมากนั้น นายสุวัจน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ก็ได้พูดคุยและได้รับทราบว่านายวุฒิพงศ์เองก็ได้ชี้แจงต่อสาธารณะไปแล้ว และสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เกิดขึ้นนั้นก็เกิดมาก่อนที่จะมาอยู่กับพรรคชาติพัฒนา และในส่วนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันกับพรรคชาติพัฒนาแต่อย่างใด ฉะนั้นก็คิดว่าเป็นโอกาสที่นายวุฒิพงศ์จะได้พิสูจน์ตนเองในการทำงานให้พี่น้องประชาชนเห็น และก็ทำงานตามแนวนโยบายต่าง ๆ ของพรรคชาติพัฒนาต่อไป

ส่วนจะมีมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น หรืออาจจะมีตามมาอีกด้วยนั้น ตนเองไม่ทราบ ตอนนี้ไม่มีมาเพิ่ม ตอนนี้มีแค่นี้ ส่วนจะมีหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่เหตุการณ์วันข้างหน้า ซึ่งตอนนี้ก็มีที่ต้องหาสังกัดพรรคอยู่ 2 คนเห็นว่าได้ครบหมดแล้ว จากนี้ไปก็ไม่มีกรณีไหนแล้ว ซึ่งทำให้ตอนนี้พรรคชาติพัฒนามี สส.รวมเป็น 3 คน ส่วนจะมีเรื่องตำแหน่งจะมีหรือไม่หรือต่อรองอะไรนั้น ไม่มีอะไร ไม่ได้ไปคุยอะไรกับใครทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องอะไรทั้งสิ้นก็เพียงแต่ว่า เมื่อมาสมัครที่พรรคแล้วตรวจสอบคุณสมบัติตามข้อบังคับพรรคที่เกี่ยวข้องก็ถือว่าเมื่อนายทะเบียนยืนยันว่าการตรวจสอบคุณสมบัติทุกอย่างถูกต้องก็เท่านั้น ไม่ได้ไปมีมุมอื่น ไม่มีอะไรทั้งสิ้น

ผู้สื่อข่าวถามถึงนายกรณ์ จาติกวนิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคฯ ไปแล้วนั้น จะมีการเคลียร์ใจกันบ้างหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า จริง ๆ นายกรณ์พอเลือกตั้งเสร็จ ตอนเลือกตั้งนายกรณ์เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พอเลือกตั้งเสร็จเราได้กัน 2 เสียงและหลังเลือกตั้งนายกรณ์ก็มาแจ้งกับตนว่า จะขอลาออกจากหัวหน้าพรรค และสมาชิกพรรค โดยตอนนั้นจะออกทั้ง 2 ตำแหน่งเลย ตนเลยได้บอกกับท่านว่า เพิ่งเลือกตั้งเสร็จ อยากให้ท่านอยู่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน เหมือนกับเป็นขวัญเป็นกำลังใจ เราก็ทำงานร่วมกันมา ตนก็ขอท่านไว้ ถ้าจะออกก็ออกจากหัวหน้าพรรคตำแหน่งเดียวก่อน สมาชิกพรรคเอาไว้อีกสักระยะหนึ่งแล้วกัน แล้วท่านอยากจะออกอะไรไม่มีปัญหา ซึ่งท่านก็ได้อยู่เป็นสมาชิกพรรคอีกต่อมา 2-3 เดือน

“เมื่อวานผมก็ได้พูดคุยกันแล้วก็รับทราบ ก็เป็นไปตามเรื่องเดิม เพราะเรื่องเดิมก็แสดงวัตถุประสงค์แล้ว และไม่ได้เกี่ยวกับการรับสมาชิกมาเพิ่ม เพราะได้คุยกันไว้แล้ว ตอนนั้นท่านบอกว่าเมื่อผลการเลือกตั้งเสร็จและผลการเลือกตั้งได้มา 2 เสียงท่านก็คิดว่าอยากที่จะยุติบทบาทการทำงานหน้าที่ทางการเมืองไว้ชั่วขณะหนึ่งก่อนและท่านขอคิดอะไรอีกสักหน่อยหนึ่งทำนองนั้น ก็ได้พูดคุยกันแล้วและก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องอื่น ๆ” นายสุวัจน์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top