Monday, 16 June 2025
POLITICS NEWS

‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ ผงาดนั่งหัวหน้า ‘ปชป.’ คนที่ 9 ด้วยคะแนนเสียง 88.5% จาก 260 องค์ประชุม

(9 ธ.ค.66) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กทม. ที่ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ ครั้งที่3/2566 ได้เข้าสู่ช่วงสำคัญคือการลงมติเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 9 ภายหลังจากเมื่อช่วงครึ่งวันเช้านายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมาชิกพรรค อดีตหัวหน้าพรรค ลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค จนเกิดการเคลียร์ใจส่วนตัวในประเด็นที่คาใจของพรรค ระหว่างนายอภิสิทธิ์ กับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการหัวหน้าพรรค และรักษาการเลขาธิการพรรค และทำให้นายอภิสิทธิ์ ประกาศลาออกจากสมาชิกพรรค หลังพักการประชุม 10 นาที ได้กลับเข้าสู่วาระเพื่อเสนอชื่อบุคคลชิงหัวหน้าพรรค

จากนั้นได้เข้าสู่กระบวนการเสนอชื่ออีกครั้ง โดยนายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และรักษาการรองหัวหน้าพรรค ภาคใต้ เสนอชื่อนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นหัวหน้าพรรค ส่วน น.ส.ผ่องศรี ธารภูมิ สมาชิกพรรคเสนอชื่อ พันโทหญิงฐิฏา รังสิตพล มานิตกุล ขณะที่นายขยัน วิพรหมชัย อดีต สส.ลำพูน เสนอชื่อน.ส.วทันยา บุนนาค มีเสียงรับรองเพียงพอ แต่เนื่องจากคุณสมบัติเป็นสมาชิกไม่ถึง 5 ปี และไม่เคยเป็นสส.ของพรรค ขัดกับข้อบังคับพรรค ข้อ31(6) และข้อ32(1 ) จึงต้องใช้เสียง 3 ใน 4 ของจำนวนผู้มาประชุม หรือ 195 เสียง เพื่อยกเว้นข้อบังคับดังกล่าว

ปรากฏว่า น.ส.วทันยา ได้เพียง 139 เสียง เท่ากับที่ประชุมไม่อนุญาตให้ลงสมัคร จึงถือว่าไม่ได้รับการคัดเลือกชิงหัวหน้าพรรค เช่นเดียวกับ พันโทหญิงฐิฏา ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติชิงตำแหน่งเช่นเดียวกัน  ทำให้เหลือผู้ถูกเสนอชื่อคือ นายเฉลิมชัย เพียงคนเดียว

ทั้งนี้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ลุกขึ้นกล่าวกับที่ประชุมว่า "กราบเรียนท่านชวน หลีกภัย ท่านบัญญัติ บรรทัดฐาน ท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ท่านผู้บริหารพรรค ท่านผู้อาวุโส ท่านสมาชิกพรรคที่เคารพทุกท่านครับ

ผมเรียนอย่างนี้ว่า ที่ผมขึ้นมาพูดนี้ ขออนุญาตอาจจะไม่ใช่เป็นวิสัยทัศน์ แต่อยากจะมาพูดในบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความรู้สึกของผม ผมขอกราบเรียนท่านสมาชิกทุกท่านว่า ผมรู้ว่าการตัดสินใจของผมในวันนี้มันเจ็บ มันทำลายสิ่งที่ผมสร้างมาทั้งชีวิต เข้าใจครับ แต่ผมพูดอยู่ตลอดเวลาว่า ผมคุยกับท่านหัวหน้าอภิสิทธิ์เมื่อสักครู่ ผมกรีดเลือดออกมาก็เป็นสีฟ้า ไม่มีสีอื่นเลย แล้วตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ในประชาธิปัตย์ ก็ยึดหลักการ และอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และเป็นคนเคร่งครัดในหลักการด้วยซ้ำ ก็เรียนท่านหัวหน้าอภิสิทธิ์ 

แล้วเมื่อผมมาเป็นรัฐมนตรี พรรคให้โอกาส ผมยืนยันเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต กล้าพูดนะครับว่า ผมไม่มีมลทินเรื่องนี้ ผมเป็นคนหนึ่งที่เวลาที่ผมอยู่กระทรวงเกษตรฯ ผมกล้าท้าข้าราชการให้ตรวจสอบผมอีกครับ เพราะว่าผมไม่ได้ไปในนามของตระกูลศรีอ่อน ผมไปในนามพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งติดตัวผม 

แล้ววันนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อวานผมก็สัมภาษณ์ไป บอกวันนี้ถึงผมจะมีแต่วิญญาณแต่ผมยังมีความสำนึกในพระคุณ ในทุกอย่างที่เป็นประชาธิปัตย์ ที่ทำให้ผมมีโอกาสมายืนวันนี้ ผมเรียนท่านสั้นๆ ว่าผมมีความจำเป็นครับ และผมก็อยากจะเห็นพรรคเดินไปข้างหน้า

ผมจะทำทุกอย่างให้พรรคมีเอกภาพ ผมจะทำให้พรรคซึ่งมีอยู่แล้วนี้ ยึดมั่นในหลักการ และอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และที่สำคัญเมื่อสักครู่ที่ผมคุยกับท่านหัวหน้าอภิสิทธิ์ก็คือ ผมยืนยันกับหัวหน้าอภิสิทธิ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่ ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เป็นนะครับ เราไม่เคยเป็นตลอดระยะเวลา 22 ปี ที่ผมอยู่ประชาธิปัตย์ เราไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่ หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมา มันอาจจะทำให้การเมืองของพรรคสะดุด ผมก็จะพยายามทำทุกอย่าง เหมือนที่ผมบอกละครับว่า ผมมาทำงานในภารกิจหนึ่ง ผมจะพยายามทำตรงนี้ให้ดีที่สุด จะพยายามทำให้เป็นเอกภาพ และทำให้ดีที่สุดและจะไม่มีวันทำลายหลักการ และอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ขอบคุณมากครับ" นายเฉลิมชัย กล่าว

จากนั้นในเวลา 13.31 น. ที่ประชุมได้ลงมติเลือกนายเฉลิมชัย เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 9 ด้วยคะแนน 88.5 เปอร์เซ็นต์โดยที่ประชุมมีองค์ประชุม 260 คน

‘จุรินทร์’ ชี้ 2 ภารกิจหลักของหัวหน้าคนใหม่ คอยพัฒนาพรรค - ทำงานในสภาอย่างเต็มที่

(9 ธ.ค.66) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ หลักสี่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สัมภาษณ์ก่อนการประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ว่า อยู่ที่ทุกคนต้องช่วยกันให้ได้หัวหน้าพรรคฯ ส่วนตัวหวังว่าน่าจะเรียบร้อย ส่วนกรณีกระแสข่าวนายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ลงชิงหัวหน้าพรรคนั้น ตนไม่ทราบ แต่การแข่งขันภายในพรรคเป็นเรื่องปกติ

เมื่อถามว่าหลังการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้จะเกิดความขัดแย้งหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า อยู่ที่ตัวบุคคล ตนขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่มีความตั้งใจที่จะเข้ามาพัฒนาพรรค โดยยึดถือประโยชน์พรรคเป็นหลัก

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ซึ่งตนคิดว่าภารกิจของกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ อย่างน้อยที่สุดต้องมี 2 เรื่องเฉพาะหน้าที่จะต้องทำ เรื่องแรกก็คือทำหน้าที่ในสภาฯ ให้มีความเข้มแข็ง เพราะอันนี้คือการทำหน้าที่แทนคนไทยทั้งประเทศที่เลือกพรรค เรื่องที่สองก็คือภารกิจในการพัฒนาพรรค หมายความว่าทำให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ หรือทำให้ดีขึ้น เพื่อที่จะได้เป็นที่ยอมรับของประชาชนมากขึ้นต่อไปในอนาคต

‘ธนกร’ ยัน!! รทสช.พร้อมลุยงานสภาเต็มที่ เหตุมีกฎหมายสำคัญรอพิจารณาอยู่เพียบ

(9 ธ.ค.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า สส.ของพรรคพร้อมทำงานเป็นตัวแทนประชาชนในสภาทันทีที่เปิดสมัยประชุม เนื่องจากมีกฎหมายสำคัญรอเข้าพิจารณาเป็นจำนวนมาก อาทิ ร่างพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง, ร่างพ.ร.บ.ประมง, ร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด, ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ. … ที่ว่าด้วยสิทธิสมรสเท่าเทียม ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวข้องโดยตรงกับพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ในช่วงปิดสมัยประชุม คณะกรรมาธิการก็ได้เร่งประชุมขับเคลื่อนงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถบรรจุร่างกฎหมายต่างๆ เข้าพิจารณาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดการบังคับใช้มีผลต่อประชาชนทุกกลุ่มทันที 

เมื่อถามว่ามีความกังวลหรือไม่ที่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ส่งเข้าพิจารณาในสภาล่าช้า นายธนกร กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.งบฯ ปี 67 เป็นกฎหมายที่สำคัญมาก มีผลโดยตรงต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หากเกิดความล่าช้าอาจส่งผลกระทบต่อโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการลงทุนได้ จึงขอฝากไปยังรัฐบาล ให้เร่งมือส่งร่างกฎหมายงบประมาณดังกล่าว เข้าพิจารณาตามขั้นตอนของสภาโดยเร็ว 

”ทราบว่าขณะนี้ทางกระทรวงการคลังได้ส่งร่างดังกล่าวให้ทางสำนักงบประมาณแล้ว คาดว่าจะสามารถส่งเข้าสภาได้ต้นเดือนมกราคมปีหน้าได้ หากพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ได้รวดเร็วก็จะส่งผลดีต่อการบริหารทุกกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ที่จะขับเคลื่อนงานพัฒนาประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้ทันที” นายธนกร กล่าว

‘มาดามเดียร์’ ย้ำ 3 จุดยืน ‘ประเทศไทย-ประชาธิปไตย-ปชช.’ ก่อนประชุมเลือก ‘หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์’ ในวันนี้

(9 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. ในฐานะผู้สมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ภาพพรรคประชาธิปัตย์พร้อมข้อความบนภาพ ‘Better Democrat For Better Democracy’ และเขียนข้อความประกอบภาพว่า

“ประเทศไทย - ประชาธิปไตย - ประชาชน สร้างประชาธิปัตย์เป็นพรรคของทุกคน เพื่อร่วมสร้างประชาธิปไตยที่ดีกว่า”

ก่อนที่จะมีการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3 เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ในเวลา 09.30 น.

‘หมออ๋อง’ ถูก ‘อดีต สส.อนาคตใหม่’ ฟ้องฐานหมิ่นประมาท ยัน!! ไม่หนีหมายเรียกแน่นอน พร้อมเข้าสู่กระบวนการสอบสวน

(8 ธ.ค. 66) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก พรรคเป็นธรรม และรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ทวีตข้อความผ่าน X ต่อกระแสข่าวที่ถูกตำรวจพิษณุโลกสั่งฟ้องในคดีหมิ่นประมาท นายเกษมสันต์ มีทิพย์ สมาชิกพรรคภูมิใจไทย ว่า…

“จากที่สอบถามกรณีข่าวผมหนีหมายเรียกและจะถูกหมายจับคดีหมิ่นประมาท ผมยืนยันว่ายังไม่ได้รับหมายใดๆ มีเพียงการไปรับทราบข้อกล่าวหาเท่านั้น และยินดีเข้ากระบวนการสอบสวนทุกอย่าง” พร้อมระบุอีกว่า “ผู้ร้องคือ อดีต สส.อนาคตใหม่ ที่ไปอยู่กับพรรคภูมิใจในปัจจุบัน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวเป็นกระแสเกิดขึ้นหลังจากที่เพจ ‘วันนี้พรรคก้าวไกลโกหกอะไร’ โพสต์ข้อความว่า…

“ตำรวจเตรียมออกหมายจับ หมออ๋อง หลังวันที่ 11 ธ.ค. หากไม่ไปรายงานตัว เหตุเบี้ยวนัดคดีหมิ่นประมาทหลายรอบ”

พร้อมระบุรายละเอียดในช่องแสดงความเห็นโดยเป็นภาพโพสต์ของนายเกษมสันต์ ที่ระบุว่า ได้ยื่นหนังสือถึง ‘ผบ.ตร.’ ถึงการดำเนินการตามที่ได้แจ้งความดำเนินคดีไว้ เพราะผู้ต้องหาไม่ยอมมาพบพนักงานสอบสวนแม้มีหมายเรียกออกไปแล้วถึง 2 ครั้ง

ผู้ต้องหามีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาประวิงเวลา เพื่อที่จะใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองอีกครั้งในวันเปิดประชุมสภาที่จะถึงนี้ ตำรวจมีระยะเวลาในการดำเนินการในครั้งนี้เหลือเวลาอีก 3 วันคือวันที่ 7, 8 และ 11 ก่อนที่ผู้ต้องหาจะได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองอีกครั้งในวันที่ 12 ธ.ค.

“ผมรอมาแล้ว 100 กว่าวัน ซึ่งผู้ต้องหาได้ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองไปแล้ว 90 วัน จากสมัยเปิดประชุมสภาครั้งที่ผ่านมา รวมกับระยะเวลาที่สามารถดำเนินการได้ 40 วันในช่วงปิดประชุมสภา” นายเกษมสันต์ ระบุ

นอกจากนั้น เพจดังกล่าวยังระบุโพสต์ที่ว่า “สั่งฟ้องแล้ว” พร้อมภาพเป็นหนังสือแจ้งความคืบหน้าการสอบสวนคดีอาญา ลงชื่อ พ.ต.ท.ธนาพล เมฆบุตร สารวัตร (สอบสวน) สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก แจ้งต่อนายเกษมสันต์ ระบุความคืบหน้าของพนักงานสอบสวน ระบุว่า การสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง และจะส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการต่อไป ลงวันที่ 16 พ.ย.

ซึ่งกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากนายเกษมสันต์ แจ้งความเอาผิดนายปดิพัทธ์ ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณาด้วยเอกภาพ ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ หรือที่ทำให้ความปรากฏด้วยวิธีการใดๆ

‘อี้-แทนคุณ’ กระตุกมุมคิด!! ทิศทางข้างหน้า ‘ประชาธิปัตย์’ อุดมการณ์แห่งพรรคที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์ ต้องหวนคืน

(8 ธ.ค.66) จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกปัญหา’ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.66 ดำเนินรายการโดย สถาพร บุญนาจเสวี ได้พูดคุยกับ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ ในหัวข้อ ‘ประชาธิปัตย์ What's next?’ มีเนื้อหา ดังนี้...

หากให้พูดถึง ทิศทางในอนาคตของ ‘ประชาธิปัตย์’ คงต้องมองที่ ‘เอกภาพทางความคิด’ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดมากกว่า โดยส่วนตัวของผมเองมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ ได้บทเรียนหลายประการจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา หรือแม้แต่การเลือกตั้งก่อนหน้านั้นก็ดี ว่า การที่เราไม่สามารถสร้าง ‘เอกภาพ’ หรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันใน ‘ทางความคิด’ ได้ อาจจะเป็นปัญหาในอนาคต 

แน่นอนว่า เราอาจจะภูมิใจว่า เราเป็นพรรคการเมืองที่มีเสรีภาพในการคิดหรือพูดได้อย่างมากมาย ซึ่งถือเป็นเรื่องดี แต่ในวันที่เราต้องเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน การมีเอกภาพทางความคิดสำคัญมากจริง ๆ เพราะเสรีภาพจากจำนวนคนในพรรค รวมถึงสมาชิกพรรคเรือนแสนคนนั้น มันอาจทำให้เราหลงทิศ 

เราฟังความคิดที่หลากหลายได้ครับ!!

แต่สุดท้าย!! เวลาที่ต้องตัดสินใจเรื่องใด ทุกคนที่เป็นเลือด ปชป.ควรมุ่งมั่นและมีวินัย ในการเดินหน้าตามครรลองของความเป็นพรรคแห่งที่มีความเชื่อมั่นจากประชาชนในด้าน ‘ความซื่อสัตย์’ ใช่หรือไม่? เรื่องนี้สำคัญ!! 

คุณอี้ กล่าวต่อว่า 77 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเปรียบเป็นต้นไม้ คือ ใหญ่มาก และสิ่งที่สำคัญต่อพวกเรามาก ๆ ในหลายปีที่ผ่านมา ก็คือ ‘ป่า’ ซึ่งป่าในที่นี้ก็คือ ‘ประชาธิปไตย’ และ ‘ประชาชน’ ที่สร้างเราให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า พรรคประชาธิปัตย์ คือ พรรคแห่งความซื่อสัตย์ ฉะนั้นต่อให้เราจะยืนหยัดมานานแค่ไหน แต่เราจะลืม ‘ประชาธิปไตย-ประชาชน’ ที่ปลุกปั้นให้เรามีตัวตนไม่ได้ 

ผมเชื่อว่า ‘ความสุจริต’ ประชาธิปไตยที่สุจริต จะเป็นจุดแข็งที่สุดของประเทศไทย เพียงแต่วันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่า มันจะหายไปเพียงเพราะความเห็นแก่ผลประโยชน์เพียงชั่วขณะแค่ไหน 

ทั้งนี้ คุณอี้ ยังกล่าวอีกว่า การได้อยู่กับพรรคที่มีอุดมการณ์ในแง่ของความรักชาติบ้านเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคอื่น ๆ ใช่ว่าจะไม่มีอุดมการณ์ที่กล่าวมานั้น สะท้อนให้เห็นผ่านการทำงานทั้งการเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ไม่เคยมีข้อครหาในเรื่องของคอร์รัปชัน ซึ่งตรงนี้เป็นจุดแข็งและเป็นอุดมการณ์ที่มั่นคงของพรรคประชาธิปัตย์มายาวนาน และหวังให้ประเทศไทยใช้สิ่งนี้เป็นจุดแข็งของประเทศด้วยในอนาคต

อย่างตอนที่สมัยรัฐบาลท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนนั้นพอเกิดปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย เช่น ปัญหาปลากระป๋องเน่า ท่านอภิสิทธิ์ก็ให้รัฐมนตรีที่ดูแลต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกทันที ซึ่งภาพแบบนี้เราคงเคยเห็นที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นกันมาบ้าง ทั้ง ๆ ที่บางทีปัญหานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับคน ๆ นั้นโดยตรง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในความรับผิดชอบของเขา ก็ต้องพร้อมจะโค้งคำนับและลาออกทันที ไม่ใช่โค้งคำนับแล้วก็ไม่ลาออกเหมือนนักการเมืองไทย นี่คือประชาธิปัตย์

ดังนั้น ส่วนตัวของผมเอง ก็อยากเห็น ประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคที่หล่อหลอมเรื่องเหล่านี้มายาวนาน จนกลายเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคที่ชัดเจน ไม่ปล่อยให้ ‘ความซื่อสัตย์’ นี้ เลือนหายไปในวันข้างหน้า

ผมขออนุญาตทิ้งท้ายไว้ด้วยคำกล่าวของ ท่านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า...

“ถนนทุกสายในเมืองไทย สามารถปูด้วยทองคําได้ ถ้าไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน”

‘พีระพันธุ์’ ยัน!! ‘รทสช.’ ยึดมั่น 3 สถาบันหลัก ‘ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์’ ลั่น!! พร้อมเดินหน้าต่อแม้ไร้ ‘ลุงตู่’ ปัดตอบ ปม ‘ปชป.’ บางส่วนจ่อย้ายซบอก

(8 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางการทำงานของพรรค รทสช. ที่จะยึดเหนี่ยวฐานเสียงเดิมของพรรคเป็นอย่างไรต่อไป หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นองคมนตรี ว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นพรรคก็ไม่ได้มีท่านอยู่ และท่านได้ลาออกจากสมาชิกพรรคเป็นเวลาพอสมควรแล้ว แต่พรรคยังเดินหน้าไปตามปกติ ทุกคนทำงานทางการเมือง ส่วนตนในฐานะหัวหน้าพรรค พยายามทำหน้าที่ให้ดีทั้งการดูแลพรรคและ ดูแลประชาชนในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหากจะต้องเปลี่ยนจุดขายจะเปลี่ยนอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวยืนยันว่า “ไม่ครับ จุดขายของเราคือเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่คือจุดขายหลัก”

เมื่อถามถึงการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ถูกจับตามองว่า อาจจะมีสมาชิกบางส่วนไหลมาอยู่กับพรรค รทสช. นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ไม่ทราบ อันนี้ไม่ทราบ ไม่มีความเห็น”

เมื่อถามย้ำว่า พรรค รทสช.พร้อมที่จะเปิดรับหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ยังไม่มีความเห็นใดๆ อะไรยังไม่เกิด ก็ไม่พูด”

‘สว.อุปกิต’ แฉ!! ‘โรม’ ตั้ง ‘สามีทนายแจม’ นั่งเลขา กมธ.ความมั่นคงฯ โยงใช้อำนาจทำลายตน ตีชิ่ง รบ.ก่อน เพื่อเรียกเรตติงทางการเมือง

(8 ธ.ค.66) นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเผยแพร่ตามสื่อมวลชนถึงผลการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ที่มีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นประธานกมธ. โดยมีวาระพิจารณาปัญหาตั๋วตำรวจที่เกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทยนั้น มีข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ไม่ปรากฏเป็นข่าว แต่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณชนคือ การที่ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ ปัญญาณ์ธรรมกุล เพื่อนรักของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท นายตำรวจชุดจับกุมคดี ตุน มิน ลัต ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการคณะ กมธ. แสดงบทบาทอย่างสำคัญในการอภิปรายซักถามเรื่องตั๋วตำรวจในการประชุม กมธ.ด้วย

นายอุปกิต กล่าวว่า ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ได้เห็นการเชื่อมโยงที่ชัดเจนมากขึ้นจากที่ตนเคยชี้แจงไปว่า ความแปดเปื้อนที่เกิดขึ้นกับตน มีมูลเหตุจูงใจจากสิ่งซึ่งตนใช้คำว่า ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ โดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.มานะพงษ์ กับ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ เพื่อนรักและสามี นางสาวศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือ ‘ทนายแจม’ สส.กทม.พรรคก้าวไกล และนายรังสิมันต์ โรม พยายามใช้คดีจับกุม ตุน มิน ลัต เชื่อมโยงมาถึงตน พยายามออกหมายจับตนโดยมิชอบ เพื่อทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลที่ผ่านมา และหาคะแนนนิยมทางการเมือง

“นอกจากยืนยันทฤษฎีสมคบคิดแล้ว วันนี้สิ่งที่นักการเมืองรุ่นใหม่ทำยังย้อนแย้งกับสิ่งที่เคยวิจารณ์เรียกร้อง เคยโจมตีสภาผัวเมีย สภาฝากเลี้ยง แต่ตัวเองทำยิ่งกว่า” นายอุปกิตระบุ

นายอุปกิต กล่าวว่า ตำแหน่ง สส.ควรทำสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ ประชาชน แต่กลไกสภา กลับถูกใช้เพื่อเหตุผลทางการเมือง ดังจะเห็นว่า อีกวาระสำคัญในการประชุม กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ วานนี้ มีการเรียกตัวแทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มาชี้แจงปัญหาไฟฟ้าขัดข้องในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยอ้างว่าเป็นความเดือดร้อนประชาชนแต่ความจริงแล้ว นายรังสิมันต์ต้องการใช้กลไก กมธ. เรียกเอกสารที่ กฟภ.ทำสัญญาซื้อขายไฟกับ บริษัทอัลลัวร์ พีแอนด์อี เพื่อจะหาช่องโจมตีตน ทั้งๆ ที่ได้ยืนยันไปหลายครั้งแล้วว่า ก่อนมารับตำแหน่ง สว.ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในเครือบริษัทอัลลัวร์แล้ว

“ขณะที่เรื่องซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวเอง และยังเป็นที่เคลือบแคลงกรณี “ตั๋วปารีส” กลับไม่มีความคืบหน้าว่า กมธ.จะสร้างความกระจ่างในเรื่องนี้อย่างไร ผมอยากถามว่า อนุ กมธ.ตั๋วปารีสจะตั้งได้กี่โมง” นายอุปกิต กล่าว

‘มาดามเดียร์’ ขอโอกาสสมาชิก ปชป.นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค วอน!! ขอเลือกคนที่ความสามารถ ไม่ใช่เพราะระบบอุปถัมภ์

(8 ธ.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. พรรคปชป. ในฐานะผู้สมัครชิงหัวหน้าพรรคปชป. แถลงว่า จุดยืนที่ตั้งใจเสนอตัวเองเป็นทางเลือก เพราะเชื่อมั่นและศรัทธาในพรรคปชป. ทางเดียวที่จะทำให้พรรคกลับมาเป็นที่ไว้วางใจและเป็นที่พึ่งของประชาชน คือการทำจุดยืนและอุดมการณ์ให้กลับมาชัดเจน ดังนั้น พรรคต้องเสนอทางออก เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชน ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงเพื่อตัวเอง ตนตั้งใจและศรัทธาในวิถีอุดมการณ์ ไม่เปลี่ยนแปลงคำพูดใด ๆ ไม่เปลี่ยนจุดยืน แต่จะขอสู้ให้ถึงที่สุด

เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่ 21 สส. ปชป. มีมติสนับสนุนให้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการหัวหน้าพรรค ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไป ทั้งที่นายเฉลิมชัยเคยประกาศว่าจะเลิกเล่นการเมือง น.ส.วทันยา กล่าวว่า ไม่รู้สึกอย่างไร ยิ่งมีจำนวนผู้สมัครมากเท่าใดสมาชิกจะมีโอกาสที่ดี 

เมื่อถามอีกว่า การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคครั้งนี้ ยังมีความหวังหรือไม่ เพราะดูแล้วผลโหวตจะเทไปในทางนายเฉลิมชัย น.ส.วทันยา กล่าวว่า วันที่ตนตัดสินใจ เพราะศรัทธาวิถีของพรรคเช่นนี้ ดังนั้นจึงตัดสินใจลงมือทำ ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น จะขอทำตามความฝันและสู้ถึงที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า กรณีที่มีการระบุว่านายเฉลิมชัยดูแลสส.พรรคมาตลอด 4 ปี คิดเห็นอย่างไร น.ส.วทันยา กล่าวว่า คงต้องเป็นการตัดสินใจของสมาชิกพรรค ตนเคารพความเห็นที่แตกต่าง ไม่สามารถตอบแทนสมาชิกอื่น ๆ ได้ 

ส่วนหากผลการเลือกตั้งออกมาว่า ตนแพ้แล้ว ยังจะอยู่กับพรรค ปชป. ต่อหรือไม่ น.ส.วทันยา กล่าวว่า ขอกลับมาประเมินอีกครั้งว่าทิศทางจะยังเป็นเหมือนเดิมกับวันแรกที่ตนเดินเข้ามาสมัคร และเหมือนวันแรกที่เราศรัทธาหรือไม่ ตนศรัทธาพรรคในสิ่งที่เป็นอุดมการณ์ ประชาชนเป็นเจ้าของ สมาชิกทุกคนมีเสรีภาพทางความคิด ไม่มีเจ้าของมาชี้นิ้วสั่ง 

ถามย้ำว่าหากไม่เป็นไปตามที่หวังจะออกจากพรรคใช่หรือไม่ น.ส.วทันยา กล่าวว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจ ต้องขอประเมินก่อน ไม่ได้เป็นความผิดใคร พรรคเป็นเรื่องของพรรค สมาชิกก็เป็นเรื่องของสมาชิก แต่แนวอุดมการณ์ของตนเป็นเรื่องของตน ถ้าเราไม่เหมาะสมกับองค์กรใด ก็เป็นเรื่องของตัวเองที่ต้องพิจารณา

ถามอีกว่าการสมัครหัวหน้าพรรคครั้งนี้ เป็นการเทหมดหน้าตักหรือไม่ น.ส.วทันยา กล่าวว่า ไม่คิดว่าเป็นการเทหมดหน้าตัก แต่มีความฝันในการเมืองแบบนี้ และเห็นว่าสิ่งที่พรรคต้องแพ้พ่ายในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพราะเราไม่มีจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้ประชาชนได้ ไม่ใช่เฉพาะปัญหาภายใน แต่เกิดจากการทำหน้าที่ของพรรคและนักการเมืองที่ต้องยึดโยงกับประชาชน ไม่ใช่ทำงานเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง 

ถามด้วยว่าก่อนเลือกตั้งที่จะถึงนี้ อยากฝากบอกไปยังเพื่อนสมาชิกอย่างไร น.ส.วทันยา กล่าวว่า หลายคนบอกตนเป็นเลือดใหม่ประชาธิปัตย์ แต่วันนี้ในฐานะคนคนหนึ่งเชื่อวิถีอุดมการณ์ ฉะนั้น การให้โอกาสครั้งนี้ไม่ใช่ให้โอกาสตนได้เลือกตั้งหัวหน้าพรรคเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการให้โอกาสพรรคเติบโตเปลี่ยนแปลง 

ถามถึงความชัดเจนเรื่องกก.บห.ชุดใหม่ น.ส.วทันยา กล่าวว่า ยังไม่มี และที่ทราบกันอยู่แล้วคือมาด้วยตัวเอง หากวันนี้ต้องการฟื้นฟูต้องเลิกที่จะเลือกจากความสัมพันธ์ และจากระบบอุปถัมภ์ ต้องก้าวข้าม เลือกคนที่คุณสมบัติและความสามารถ หากเลือกเพราะความสัมพันธ์และระบบอุปถัมภ์จะนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งของคนในพรรค ท้ายที่สุดประชาชนและพรรคจะต้องสูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถออกไป

‘ปิยบุตร’ ชี้!! ‘แซะ กัด จิก’ ได้แค่สะใจ แต่ไม่ใช่หนทางชนะ แนะ ‘พวกส้ม’ เปิดแนวรบรอบใหม่ ต้องนำเสนอ ‘สังคมในฝัน’

(8 ธ.ค. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุว่า…

นับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบัน พลังของฝ่ายก้าวหน้า ก้าวรุดหน้ามากขึ้นทั้งในทางปริมาณและในทางคุณภาพ

จนอาจกล่าวได้ว่า ตลอดเกือบ 2 ทศวรรษนี้ พลังฝ่ายก้าวหน้า ทำ ‘สงครามทางความคิด’ (War of Position) รุกคืบ เอาชนะ ฝ่ายอนุรักษ์/ฝ่ายชนชั้นปกครองมากขึ้นตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่ ‘สิ่งเก่าใกล้ตาย แต่ยังไม่ตาย สิ่งใหม่จะเกิด แต่ยังเกิดไม่ได้’ แบบที่กรัมชี่ว่าไว้เช่นนี้ ทำให้ยังไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะโดยเด็ดขาด

พลังใหม่ฝ่ายก้าวหน้ายังไม่สามารถขึ้นครองอำนาจรัฐได้ ในขณะเดียวกัน พลังฝ่ายชนชั้นปกครอง ยังครองอำนาจอยู่ แต่สูญเสีย ‘อำนาจนำ’ ไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถได้ความยินยอมพร้อมใจได้ดังเดิม ต้องใช้อำนาจบังคับกดปราบเป็นหลักแทน

ผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 และเหตุการณ์การแสดงออกทางการเมืองในช่วงปี 63-64 คือ ผลรูปธรรมที่แสดงให้เห็นถึงการรุกคืบของพลังฝ่ายก้าวหน้า

นี่จึงเป็นที่มาของการสนธิกำลังกัน 3 ฝ่าย ระหว่าง ‘ชนชั้นนำดั้งเดิม + ชนชั้นนำทางการเมือง + ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ’ เพื่อรักษาอำนาจและสถานะให้คงอยู่ดังเดิมต่อไป

แต่พวกเขาก็ทราบดีว่า การครองอำนาจเพื่อรักษาอำนาจสถานะให้คงอยู่ต่อไป โดยไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นคือ การรอวันล่มสลาย ดังนั้น พวกเขาต้องปฏิบัติการรุกคืบเอาคืนฐานที่มั่นทางความคิด

War of Position โต้กลับ กำลังดำเนินไป

เมื่อพลังฝ่ายก้าวหน้า ต้องการการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่

พวกเขา พลังฝ่ายอนุรักษ์และชนชั้นปกครอง ก็ต้องทำความคิดสะกดคนให้เชื่อว่า มันเป็นไปไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ หากอยากเปลี่ยนแปลง ก็ต้องใช้การประนีประนอม ยอมถอยแบบทุกกระบวนท่า ถอยแบบไม่มีเงื่อนไข เพื่อแลกกลับการเข้าไปมีอำนาจ

เรื่องทางเศรษฐกิจก็สำคัญ ต้องทำให้คนมั่นใจว่า ชีวิตเรา เอาเท่านี้ไปก่อน อย่างน้อยก็ดีกว่าเดิม

พวกเขาต้องอธิบายว่า ความขัดแย้งทางการเมืองตลอด 20 ปี กำลังหมดไป

คนรุ่นใหม่ เมื่อเติบโตขึ้น ก็ต้องการชีวิตที่ดี หันหน้ามาทำชีวิตให้มีความสุขในแต่ละวันดีกว่า

ฯลฯ

นี่คือ การทำสงครามทางความคิด โดยฝ่ายชนชั้นปกครอง เพื่อโต้กลับฝ่ายก้าวหน้า

ดังนั้น พลังฝ่ายก้าวหน้า ต้องเข้าสมรภูมิการทำสงครามทางความคิดนี้

มวลชน สมาชิก ผู้ปวารณาตัวสังกัดฝ่ายก้าวหน้า คือ ปัญญาชน ในความหมายแบบที่กรัมชี่บอก

ทุกคนสามารถรับบทบาทในการทำงานทางความคิดได้

แต่การต่อสู้ทางความคิดกับพวกเขา ด้วยการตอบโต้รายวัน รายชั่วโมง ในโลกโซเชียล จับผิดเรื่องเล็กน้อย โต้เถียงกันไปมาในโลก X แบบที่ทำกันอยู่ดาษดื่น ณ เวลานี้ อาจช่วยทำให้สบายใจ สะใจ หรือปรามการโจมตีของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง แต่นี่ไม่ใช่ยุทธวิธีที่จะเอาชนะทางความคิดได้

การรบทางความคิดรอบใหม่ (หลังจากพวกเขาสนธิกำลังกันสามฝ่าย) ต้องนำเสนอสังคมแบบใหม่ในฝัน ทำให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ต้องนำเสนอความเป็นไปได้ ต้องสู้กับความเชื่อที่ว่าเป็นไปไม่ได้ มิใช่ เฝ้ามองว่านายกรัฐมนตรีหลุดอะไร มีประเด็นอะไรให้เอาไปแซะต่อได้บ้าง

พรรคการเมืองและนักการเมือง ต้องรับบทบาทชี้นำ

มวลชนเอาการเอางานของพรรคทั้งออนกราวนด์และออนไลน์ ต้องช่วยกันชี้นำ

ยิ่งปล่อยให้สังคมสิ้นหวังเท่าไร

ยิ่งปล่อยให้คนจำนวนมากรำคาญกับการซัดกันไปมาในเรื่องไม่เป็นเรื่องระหว่างสองฝ่ายเท่าไร

ก็ยิ่งทำให้พวกเขาชนะในสงครามความคิดรอบใหม่นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top