Sunday, 15 June 2025
POLITICS NEWS

'อี้ แทนคุณ' จี้ 'ศธ.' รีบคุ้มครองโรงเรียนดังย่านสมุทรปราการ  หลัง สส.ก้าวไกลก้าวก่ายระเบียบ ส่อสร้างความแตกแยกในหมู่นักเรียน

(15 ธ.ค.66) ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีภาคีเครือข่ายผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนดังแห่งหนึ่งย่าน สมุทรปราการ ทำหนังสือให้เพจ 'วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร' และเพจได้ประสานมายังตนให้ตรวจสอบกรณีการโพสต์ข้อความของ สส.วีรภัทร คันธะ พรรคก้าวไกลที่เข้าข่ายไปก้าวก่ายแทรกแซงกิจการของโรงเรียน ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐในประเด็นกฎระเบียบของโรงเรียนในเรื่องเกณฑ์การตัดคะแนนความประพฤติของนักเรียน เช่น การประพฤติผิดในเชิงชู้สาวตัด 80 คะแนน 

โดยการโพสต์ดังกล่าวของ สส. นอกจากจะสร้างความไม่สบายใจต่อพฤติกรรมของ สส.คนดังกล่าวแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิเด็กนักเรียน เพราะมีการนำภาพถ่ายนักเรียนและสถานที่ของโรงเรียน โดยอาจทำให้สังคมเข้าใจผิดว่ากฎระเบียบและค่านิยมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติและมีคุณค่าของนักเรียนกับครูอาจารย์ ผู้ปกครอง ชุมชนและสังคม ตลอดจนภาคีเครือข่ายของโรงเรียนทั้ง 5 เครือข่าย เป็นกฎไม่เหมาะสม ล้าหลัง เลือกปฏิบัติโดยเป็นการตีความระเบียบดังกล่าวแบบมโนไปเองของ สส. หากแต่การสื่อสารนั้นได้สร้างความเสียหายให้กับนักเรียนและผู้ปกครอง เนื่องจากเกรงจะใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมให้นักเรียนบางส่วนละเมิดกฎและทำผิดทั้งที่กฎระเบียบดังกล่าวมีไว้เพื่อคุ้มครองนักเรียนด้วยความรักและเมตตาต่อเด็กนักเรียน

การตีความคลาดเคลื่อนเพื่อสร้างความขัดแย้งในต่อชุมชนการศึกษาตลอดจนชื่อเสียงของโรงเรียน โดยภาคีเครือข่ายผู้ปกครองตั้งข้อสังเกตการเคลื่อนไหวดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์อะไร เป็นการกระทำที่นอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่และการมาสร้างปัญหาหาเหยื่อ สร้างความขัดแย้ง การให้ท้ายนักเรียนบางกลุ่มของ สส.คนดังกล่าว แต่กลับมายุ่งวุ่นวายเรื่องของนักเรียน

ดังนั้นตนจะเรียกร้องและประสานไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการท่าน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ให้มาช่วยเหลือดูแลคุ้มครองโรงเรียน อย่าให้มีนักการเมืองมาหาผลประโยชน์โดยมิชอบและสร้างความแตกแยกในหมู่นักเรียนและผู้ปกครองและขอให้ตรวจสอบการกระทำดังกล่าวของ สส.ว่าเข้าข่าย การทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 185 ที่ว่า สมาชิก สส.ต้องไม่ใช้สถานะหรือตําแหน่งการเป็นส.ส.กระทําการใดๆ อันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่าย หรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม

ทั้งนี้หากพบว่า การก้าวก่ายหรือแทรกแซงสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ให้ร้องต่อ ป.ป.ช.ซึ่งอาจเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของความเป็น สส.สิ้นสุดลงได้ ตามมาตรา 101(7) คือ รับหรือแทรกแซงหรือก้าวก่ายการหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ โดยหากพบว่าจงใจบิดเบือนปลุกปั่นให้เด็กนักเรียนละเมิดกฎที่มีอยู่ทั้งยังไม่ฟังความคิดเห็นหรือสภาพปัญหาของสังคมรอบ ๆ โรงเรียนว่าเกิดอะไรอย่างไรขึ้นบ้าง ก็นำข้อมูลด้านเดียวไปโพสต์โจมตี โดยตนเป็นห่วงเกรงว่า หากขืนปล่อยไปนักเรียนจะมีชะตากรรมซ้ำรอยเดิมกับโรงเรียนดังแห่งหนึ่งที่สุดท้ายถูกลอยแพหมดอนาคต หลังหลงเชื่อและทำตามนโยบายของก้าวไกล

'อ.อุ๋ย' กระตุก 'ก้าวไกล' ต้องขับ 'ไอซ์ รักชนก' ออกจากพรรคโดยเร็ว หากยังยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

(15 ธ.ค.66) 'อ.อุ๋ย-ประพฤติ ฉัตรประภาชัย' นักวิชาการด้านกฎหมาย และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

พรรคก้าวไกลต้องขับ ไอซ์ รักชนก ออกจากพรรค เพราะทำผิดวินัยร้ายแรง

จากคำพิพากษาในคดีที่ สส. ไอซ์ รักชนก ถูกตัดสินให้จำคุก 6 ปี ในความผิดตามมาตรา 112 และ พรบ. คอมฯ ที่มีการเผยแพร่เป็นการทั่วไปนั้น เมื่ออ่านแล้วจะเห็นว่า จำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้โพสต์ข้อความหมิ่นฯ หรือต่อสู้ว่าภาพที่แสดงข้อความดังกล่าวถูกตัดต่อแต่อย่างใด เท่ากับว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ 

นอกจากนี้ หากวิญญูชนทั่วไปได้อ่านข้อความที่จำเลยโพสต์ ก็จะเห็นว่า ข้อความนั้น หาใช่การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต แต่เป็นการ ดูหมิ่น หมิ่นประมาทด้วยข้อความอันไม่มีมูลความจริง และอาฆาตมาดร้ายถึงชีวิตด้วย

ซึ่งจากข้อบังคับพรรคก้าวไกล ที่ใช้บังคับตั้งแต่ 20 สิงหาคม 2563 ข้อ 9 กำหนดว่า อุดมการณ์ของพรรคก้าวไกลคือการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในข้อ 119 (2) กำหนดว่า สมาชิกผู้ใดแสดงออกในทางตรงข้ามกับอุดมการณ์หรือมติพรรคโดยประการที่น่าจะทําให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรง ถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรง กรรมการวินัยสมาชิกพรรคสามารถลงโทษให้พ้นจากสมาชิกภาพได้ตาม ข้อ 118 (4) 

ดังนั้น การที่นางสาวรักชนก กล่าวอาฆาตมาดร้าย ดูหมิ่นและหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ใช่การวิจารณ์โดยสุจริต โดยศาลได้ตัดสินแล้วในข้อเท็จจริง เท่ากับว่า นางสาวรักชนก แสดงออกในทางตรงข้ามกับอุดมการณ์ของพรรคที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยประการที่น่าจะทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียง อันเป็นความผิดวินัยร้ายแรงตามข้อ 119 (2) ซึ่งพรรคสามารถลงโทษโดยการให้พ้นจากสมาชิกภาพได้ตามข้อ 118 (4) 

ผมจึงขอเรียกร้องให้พรรคก้าวไกลมีมติขับ สส. ไอซ์ ออกจากพรรคโดยเร็ว ให้เป็นมาตรฐานเดียวกับ สส. ปูอัด และ สส แจ้ ซึ่งกระทำผิดวินัยร้ายแรงเช่นเดียวกัน และสองรายนั้นคดียังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วยซ้ำไป แต่ของ สส. ไอซ์ นี่ศาลชั้นต้นตัดสินแล้วด้วย ดังนั้น ไม่มีเหตุที่จะต้องประวิงเวลาใด ๆ อีก ฝากด้วยครับ ด้วยความปรารถนาดี 

‘พีระพันธุ์’ งง!! รองโฆษกพรรคลาออก ทั้งยังเคลมคำพูดตน  ลั่น!! ‘รทสช.’ เป็นอนุรักษ์นิยมก้าวหน้า ที่ทำงานเพื่อปชช.

(14 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา โพสต์ข้อความลาออกจากการเป็นรองโฆษกและสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ รวมถึงโจมตีการทำงานของกรรมการบริหารพรรค ว่า ตนยังไม่เห็นหนังสือลาออก แต่ตนรู้สึกแปลกใจสิ่งที่นายชินภัสร์พูด เพราะเป็นสิ่งที่ตนพูดในที่ประชุมพรรคเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 ธ.ค.) ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ได้เป็นแบบนั้น จะต้องเดินแบบไหน ซึ่งนายชินภัสร์เองก็นั่งฟังในห้องประชุม

“เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาผมได้เจอกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งคุยกับนายชินภัสร์เมื่อวานนี้ก็ไม่ได้มีอะไร แต่ผมแปลกใจว่าสิ่งที่นายชินภัสร์สื่อสารคือเป็นสิ่งที่ผมพูดในห้องประชุมว่าเวลานี้ประชาชนเขาเบื่อการเมืองแบบนี้ การเมืองที่มีแต่การเมือง ประชาชนต้องการนักการเมืองที่ทำงาน เพราะฉะนั้นการเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติต้องทำงาน การเป็นผู้สมัครหรือสส.จะทำงานในสภาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลงพื้นที่พบประชาชนเพื่อรับฟังปัญหานำมาหารือว่าจะปรับปรุงอย่างไรด้วย” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะต้องไม่เป็นพรรคการเมืองเพื่อการเมือง ต้องเป็นพรรคการเมืองที่ทำงานเพื่อประชาชน พร้อมกับกล่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมก้าวหน้า อะไรที่จำเป็นต้องปรับ แต่อะไรที่เป็นเสาหลักของประเทศ อันนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราจะต้องเก็บในสิ่งที่ดี รักษาสิ่งที่เป็นแบบไทย ส่วนอะไรต้องปรับเปลี่ยนให้ประเทศเดินหน้า สังคมเดินหน้า ประชาชนอยู่แล้วมีความสุข ต้องเปลี่ยนหมด กฎเกณฑ์กติกาใช้ไม่ได้ต้องรื้อทิ้ง

‘ป้าอยุธยา’ ฝากถึง ‘เก็ต’ หลัง ‘ลาออก-ทิ้งระเบิด’ รทสช. ต่างอะไรกับก้าวไกล ที่ความคิดตนถูกปัดตก ก็ไม่ถูกใจ

(14 ธ.ค.66) นางกัลยานี จูปรางค์ หรือ ป้าอยุธยา ประธานกลุ่มปกป้องสถาบันอยุธยา ได้ออกมาอัดคลิปพูดถึงกรณีที่ ‘เก็ต ชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา’ อดีตรองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความลาออกจาก รทสช. โดยมองว่าการทำงานของพรรคฯ ในลักษณะนี้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้ และหากฝ่ายอนุรักษ์ยังมีอะไรที่ไม่มากกว่าการ ‘ปกป้องสถาบัน’ และ ‘ห้ามเเตะ 112’ ไปวันๆ ก็จะไม่มีพื้นที่เหลือในอนาคตอีกต่อไป โดย ‘ป้าอยุธยา’ กล่าวว่า...

นี่หรือความคิดของเด็กรุ่นใหม่ ป้ามองเก็ตมาตลอด มองเห็นเด็กคนหนึ่งที่ได้รับการศึกษามาจากเมืองนอก และพยายามบอกว่าตนเป็นคนรุ่นใหม่ 

แน่นอนว่า เก็ต จะลาออกจากพรรค หรือไม่ชอบใจพรรค บอกว่าการบริหารงานของพรรคไม่ถูกใจบ้าง มองว่าเป็นอนุรักษ์นิยมแบบนี้ ไปได้ไม่ถึงไหนบ้าง ป้าอยากบอกว่า จุดยืนของพรรค รทสช. เขาก็บอกมานานแล้ว ว่า จะยึดมั่นภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่แตะต้องเรื่องที่จะทำให้สะเทือนสถาบันฯ นี่คือหลักการของพรรค

ต้องถาม เก็ต ก่อนว่าเข้าใจบทบาทพรรคตรงนี้หรือไม่ ตลอดระยะเวลา 10 เดือนที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคแห่งนี้

ขณะเดียวกัน ในแง่หลักการทำงานของพรรคนี้ ก็อยู่ในหลักเกณฑ์ และจุดยืนที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อปากท้องประชาชนตามผลงานที่ประจักษ์อยู่ในปัจจุบัน และตัวพรรค รทสช. เอง ก็มีอุดมการณ์อย่างชัดเจน ภายใต้ตัดสินใจและกระทำการใดๆ บนกลไกของรัฐธรรมนูญ

ฉะนั้นคำว่า ‘เด็กรุ่นใหม่’ ของ ‘เก็ต’ คืออะไร? การเมืองสมัยใหม่ของเก็ตคืออะไร? ต้องเป็นเด็กรุ่นใหม่แบบก้าวไกล หรือ เก็ต เป็นคนแบบพรรคก้าวไกล? เห็นทราบมาว่าน้องชายอยู่พรรคก้าวไกลด้วยหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ

อย่างไรก็ตาม จากนี้ เก็ต จะไปอยู่พรรคใดก็ตามสะดวก แต่ก็ไม่น่าจะโจมตีพรรคที่ตนเองเคยอยู่มา ด้วยความรู้สึกส่วนตัวที่ว่า ไม่ถูกใจ และอย่างน้อยก็อยากให้ตระหนักว่า พรรค รทสช. ก็เป็นพรรคที่ทำให้เก็ตมีคนรู้จัก ได้คะแนนจากการเลือกตั้งเกือบหมื่นคะแนน จากแต่ก่อนที่มีคะแนนหลักร้อย 

ในฐานะที่ป้าเป็นผู้บุกเบิกและหาเสียงให้พรรค รทสช. เก็ต จะไปสู่พรรคที่ทันสมัยนิยมกว่า ก็เป็นสิทธิ แต่การโจมตีพรรคที่เคยสังกัด เพียงเพราะแค่คิดว่าตัวเองทำถูก พอผู้ใหญ่สั่งสอนก็ขัดใจ จนนำมาสู่การตัดสินใจและกล่าวโทษเช่นนี้…

สรุปว่า ‘คนรุ่นใหม่’ เขาชอบทำกันแบบนี้งั้นหรือ?

'เก็ต ชินภัสร์' ลาออกสมาชิกพรรค 'รทสช.' ชี้ทำงานแบบนี้เปลี่ยนประเทศไม่ได้ เตือน!! ฝ่ายอนุรักษ์ หากไม่ปฏิรูปตัวเอง จะไม่มีพื้นที่เหลือในอนาคต

(14 ธ.ค. 66) เก็ต ชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา อดีตรองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความลาออกจาก รทสช. ระบุว่า...

— จดหมายลาออกสมาชิกพรรค 

10 ปีที่ผ่านมาโลกเปลี่ยนแปลงไปในทุกมิติ 

ผมสัมผัสได้ว่าคนไทยต้องการความเปลี่ยนแปลง ประชาชนไม่ต้องการการเมืองเดิม ๆ นักการเมืองรุ่นเก่าเดิม ๆ ชุดความคิดเดิม  =ๆ อีกต่อไป 

ผมอยู่สังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติมา 10 เดือน บินไปเข้าประชุมพรรคจากเชียงใหม่ทุกสัปดาห์ ทุ่มเทพลังกายและพลังใจทํางานกับพรรคมาตลอด ผมจึงกล้าพูดได้ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศได้ ตราบใดที่ยังไม่เปลี่ยนระบบภายใน และยังทํางานแบบเดิม 

ผู้บริหารพรรคในอุดมคติของผมต้องกล้าชน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เข้าถึงง่าย ฟังความคิดเห็นของสมาชิกพรรค ใจถึง ทํางานเชิงรุก ทำงานมีระบบ และกล้าเปลี่ยนแปลง

หากฝ่ายอนุรักษ์ไม่ปฏิรูปตัวเอง ฝ่ายอนุรักษ์จะไม่มีพื้นที่เหลือในอนาคต

ส่วนสถาบันกษัตริย์ยังคงต้องมีอยู่ จุดยืนข้อนี้ของผมชัดเจน แต่ฝ่ายอนุรักษ์ต้องมีมากกว่า ‘ปกป้องสถาบัน’ และ ‘ห้ามเเตะ 112’ ไปวัน ๆ 

ผมจึงตัดสินใจลาออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอยุติบทบาทรองโฆษกพรรค ณ บัดนี้

ด้วยความเคารพ

เก็ต ชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา
14 ธันวาคม 2566

‘มาดามเดียร์’ ประกาศคว่ำบาตร กก.บห.ชุดใหม่ 'ปชป.' ลั่น!! ไม่ขอร่วมทุกกิจกรรมพรรค แต่ยืนยัน 'ไม่ลาออก'

(14 ธ.ค. 66) ที่รัฐสภา น.ส.วทันยา บุนนาค สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวเปิดใจถึงบทบาทของตนเองต่อพรรคประชาธิปัตย์หลังจากนี้ว่า ตนเองจะยังคงตั้งมั่น และมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานสิ่งที่เป็นประโยชน์ แก้ไขกฎหมายที่เป็นปัญหาต่อประชาชนต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีตำแหน่งหรืออำนาจใด ๆ แต่กิจกรรมทั้งหมด ที่ขับเคลื่อนโดยกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จะของดเว้นบทบาท และยุติบทบาทการทำงานกับพรรค แต่จะยังคงเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อทำงานที่เป็นประโยชน์กับประชาชนต่อไป แต่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพรรค โดยเฉพาะผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบัน ตนจะไม่ขอเข้าร่วม 

น.ส.วทันยา ยังกล่าวถึงการสืบหาข้อเท็จจริงกรณีที่มีแชทหลุดล็อบบี้สกัดการลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของตนเอง โดยมั่นใจว่า สื่อมวลชนได้มีการเปิดเผยชื่อของผู้ส่งข้อความดังกล่าวแล้ว และยังเป็น 1 ในคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ด้วย ซึ่งตนเชื่อว่า การสกัดกั้น กีดกันการแข่งขันของตนนั้น สังคมจะรับทราบ และเห็นเป็นประจักษ์แล้วว่า มีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นในการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 9 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่เหตุที่เกิดขึ้น ตนเองไม่ขอไปร้องเรียนใด ๆ เพิ่มเติม เพราะการเลือกหัวหน้าพรรคได้ข้อยุติแล้ว 

พร้อมย้ำว่า ตนเองไม่ศรัทธาในวิถีการทำงานการเมืองในลักษณะดังกล่าว โดยเฉพาะการมีแชตไลน์การล็อบบี้หลุด หรือการกีดกันสกัดกั้นทางการเมือง ที่สะท้อนความไม่เป็นธรรม และเป็นข้อกังขาถึงความสง่างามของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ตนจึงขอยุติบทบาท และกิจกรรมทางการเมืองที่ขับเคลื่อนโดยคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยจะยังคงเหลือเพียงการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อถามถึงสาเหตุที่ยังไม่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ทั้งที่สมาชิกรุ่นเก่าตัดสินใจหันหลังให้กับพรรคประชาธิปัตย์นั้น น.ส.วทันยา กล่าวว่า ระหว่างนี้ ยังขอรอดูทิศทางการทำงานของพรรคให้ชัดเจนกว่านี้ก่อน เพราะยังจะต้องให้ความเป็นธรรมกับกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ด้วย แม้จะไม่ได้ศรัทธา และไม่ได้เห็นด้วยกับแนวทางการบริหารของกรรมการบริหารชุดใหม่ที่กำลังจะดำเนินไป จึงไม่เร่งผลีผลามตัดสินใจ และจะอดทน ไม่ย่อท้อต่อการทำงานทางการเมือง ดังนั้น จึงไม่เร่งสรุป หรือตัดสินใจใด ๆ และยังตั้งมั่นทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยไม่จำเป็นต้องไปข้องเกี่ยวกับการทำกิจกรรมของพรรค 

น.ส.วทันยา กล่าวด้วยว่า ยอมรับว่าหากคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ นำพาพรรคไปร่วมรัฐบาล ก็จะเป็นจุดทบทวนสำคัญของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่เฉพาะตนเองเท่านั้น จะเป็นจุดทบทวนของสมาชิกพรรคทุกคน รวมถึงประชาชนผู้ให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด เพราะเชื่อว่า ประชาชนเชื่อมั่นการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ที่ยึดมั่นใจอุดมการณ์ และจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน ไม่ได้แสวงหาประโยชน์และอำนาจ

‘ต้อม ยุทธเลิศ’ ย้อนถาม หลัง ‘ไอซ์ รัชนก’ ได้ประกันตัว คดี 112 เหตุใดคนอื่นที่โดนโทษเดียวกัน ถึงไม่ได้รับการประกันตัวบ้าง?!

(14 ธ.ค. 66) หลังจากที่เมื่อวานนี้ (13 ธ.ค.) ศาลอาญาตัดสินให้ ‘ไอซ์ รัชนก ศรีนอก’ ส.ส.พรรคก้าวไกล จำคุก 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 และความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลังโพสต์วิจารณ์หมิ่นสถาบันฯ ซึ่งไอซ์ได้ขอยื่นประกันตัวด้วยวงเงิน 500,000 บาท โดยเป็นเงินสด 300,000 และใช้ตำแหน่ง สส.ค้ำประกันเป็นวงเงิน 200,000 บาท เพื่อออกมาสู้คดีต่อ และศาลก็อนุมัติให้ประกันชั่วคราวได้ แต่มีเงื่อนไขห้ามจำเลยกระทำการหรือร่วมกิจกรรมลักษณะเดียวกันกับข้อหาตามคำฟ้อง และหรือมีพฤติกรรมใดๆ ในลักษณะและข้อเดียวกัน

ล่าสุด ด้านผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง ‘ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค’ ก็ไม่รอช้า รีทวิตข้อความของสาวไอซ์ ที่พิมพ์เลข 5555 จำนวนมาก เหมือนเป็นการหัวเราะ โดย ต้อม เขียนข้อความใต้รีโพสต์นี้ว่า “🤭หัวเราะทีหลังดังกว่าจริงๆ ครับ”

พร้อมทั้งมีการให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า การที่ได้รับประกันตัวแบบนี้ แต่คนที่เคยโดนคดีเดียวกัน แต่ไม่ได้รับประกันตัว แบบนี้ถือเป็นคนเหมือนกันหรือไม่?

“ตั้งแต่คดีที่เขาหมิ่นประมาทผม มากล่าวหาใส่ร้าย ผมมองเป็นเรื่องเล็กเลย เพราะว่าเขาทำคดีนี้ไว้ รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เขาทำกับผมมันก็ผิดอยู่แล้ว แต่อันนี้หนักกว่า นี่เป็นเหตุนึงที่ผมไม่ได้คิดจะไปเอาความจนถึงที่สุด เพราะวันนี้มันเห็นแล้วว่าสิ่งที่เขาทำมันหนักกว่าที่ทำกับผม แต่ถ้าถามเรื่องส่วนตัว เรื่องอารมณ์ เรื่องความสะใจ เราไม่ขอแสดงแล้วกัน ทุกอย่างมันเป็นไปตามกฎหมาย คนก็ต้องยอมรับผลของการกระทำแค่นั้นเอง เขาจะได้เข้าใจคำว่า ‘อภิสิทธิ์’ นี่ก็จะไปย้อนถามอีกว่า ถ้าเขาได้ประกัน แล้วทำไมคนอื่นไม่ได้ประกันล่ะ? คนอื่นที่ติดไปในคดี 112 ที่ไม่ได้ประกันตัวล่ะ หมายความว่ายังไง? ถ้าจะให้เท่าเทียมกัน คนที่เคยติด คนที่ไม่ได้ประกัน คุณก็ต้องไม่ได้ประกันเหมือนกัน คุณต้องเป็นคนเท่ากัน สุดท้ายสิทธิ สส.อะไรก็ตามกฎหมาย ก็ว่ากันไป เอาใจช่วย (หัวเราะ)” ต้อม ยุทธเลิศ กล่าว

ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2564 ทั้งคู่ได้เคยมีคดีความต่อกัน ไอซ์ได้แจ้งความผู้กำกับชื่อดังในข้อหาทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บด้วย ฝั่งต้อมได้ยื่นฟ้องไอซ์ในคดีหมิ่นประมาท จากที่มีปากเสียงกันในประเด็นกล่าวหาว่า มีคนทุจริตเงินบริจาคสนับสนุนการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มราษฏร บนเรือไฮซีซัน

‘อนุทิน’ ย้ำจุดยืน ‘ภท.’ คงเดิม ไม่แตะ 112 หากนิรโทษกรรมสอดไส้แก้มาตรานี้ เลิกคุยกัน

(13 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณี นายนิกร จำนง ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เสนอแนะให้มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในนามพรรคร่วมรัฐบาล ว่า “พรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีจุดยืนชัดเจนว่าเราไม่แตะ ม.112”

เมื่อถามว่า คดีทุจริตที่เกิดขึ้นในช่วงมีความวุ่นวายทางการเมืองจะนำมาพิจารณาด้วยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “เดี๋ยวรอว่าจะมีการหารือในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ แต่จุดยืนภูมิใจไทยเหมือนเดิมคือเราไม่มีปัญหากับมาตรา 112 ในปัจจุบัน เมื่อถามย้ำว่า คดีความต่างๆ สามารถพูดคุยกันได้ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ขอหารือกันก่อน ต้องดูว่าแก้ ม.112 หรือไม่ ถ้าแก้ก็ไม่ได้”

เมื่อถามว่า เห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทย (พท.) หรือไม่ที่เสนอตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาเพื่อศึกษาก่อน นายอนุทิน กล่าวว่า “ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้” 

เมื่อถามอีกว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีการผลักดันเรื่องนิรโทษกรรมจนรัฐบาลมีปัญหา กังวลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “โอ๊ยนานไปแล้ว จำไม่ได้ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าการเมืองเลยมั๊ง เอาปัจจุบันดีกว่า”

‘ไอซ์ รักชนก’ เฮ!! ศาลให้ประกันตัววงเงิน 5 แสนบาท ยังไม่หลุดตำแหน่ง สส. พร้อมเงื่อนไขห้ามกระทำผิดซ้ำ

(13 ธ.ค. 66) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก หลังศาลอ่านคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบันหมายเลขดำ อ.683/2565 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง ไอซ์ รักชนก หรือ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคก้าวไกล จำเลยมีความผิดจากการทวีตและรีทวิตข้อความ ที่มีเนื้อหาที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทสถาบันเบื้องสูง

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3 และมาตรา 14 ให้ลงโทษตามมาตรา 112 อันเป็นบทหนักสุด รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา

ภายหลังฟังคำพิพากษา ไอซ์ รักชนก ยังมีสีหน้ายิ้มเเย้มเเละถูกพาไปห้องควบคุมตัว

บ่ายวันที่ 13 ธ.ค. 2566 นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคพรรคก้าวไกล เดินทางกลับมาศาลอาญาเพื่อยื่นประกันตัว ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ต่อมาเวลา 15.00 น. ศาลมีคำสั่งในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 683/2565 หมายเลขแดงที่ อ 3739/2566 น.ส.รักชนก ศรีนอก ไอซ์ จำเลย ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว

และมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราว ระหว่างอุทธรณ์วงเงิน 500,000 บาท (เงินสด 300,000 บาท ตำแหน่ง 200,000 บาท) กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยกระทำการหรือร่วมกิจกรรมลักษณะเดียวกันกับข้อหาตามคำฟ้องและหรือมีพฤติการณ์ใดๆ ในลักษณะและข้อหาเดียวกัน

หลังจาก ไอซ์ รักชนก ได้ประกันตัว จึงไม่หลุดจากสถานะ สส.ก้าวไกล ขั้นตอนหลังจากนี้ ก็จะไปสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป

‘นายกฯ’ ลั่น!! 4 ปี ปัญหายาเสพติดต้องหมดไป เตรียมประกาศเผายาบ้าครั้งใหญ่ 26 ธ.ค.นี้

(13 ธ.ค.66) ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ถนนเพลินจิต เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ร่วมงานเสวนาหัวข้อ ‘คนไทยถาม นายกฯ เศรษฐาตอบ’ ในงาน เดลินิวส์ ทอล์ก 2023 (Dailynews Talk 2023) 

เมื่อถามถึงมาตรการปราบปราม ทำไมยาบ้าราคาถูกปราบปรามไม่หมดและหาได้ง่าย และบางพื้นที่ขายเม็ดละ 30 บาท? นายกฯ กล่าวว่า “เป็นคำถามที่เราคาดหวังอยู่แล้วว่าต้องมีมาตลอดเวลาที่ลงพื้นที่เรื่องปัญหายาเสพติดแบ่งเป็น 2 ทาง คือ เรื่องซัพพลาย ที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน เราต้องตัดซัพพลายให้ได้ก่อน โดยทหารและฝ่ายความมั่นคงจะต้องตัดซัพพลายตรงนี้ หลังจากนั้นเมื่อจับและยึดได้ ตามกฎหมายเก่ามีประเด็นว่ากว่าจะเผาได้ใช้เวลานานมาก ต้องมีการพูดคุย จับมาได้ก็มีการย้ายถิ่นฐานการเก็บรักษายาบ้าไปอย่างน้อย 2 - 3 สเต็ป สังคมจึงมีข้อกังขาว่าระหว่างที่มีการย้ายมีการรั่วไหลออกไปอีกหรือไม่ ก็มีการพูดคุยกันว่าต่อไปนี้จับได้พิสูจน์ได้ให้เก็บไว้แล้วเผาทันที...

“โดยในวันที่ 26 ธ.ค.จะมีการประกาศเผายาเสพติดครั้งใหญ่ หลังจากที่เราได้ประกาศไปแล้ว และได้ไปคุยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งประเทศลาวและกัมพูชา ได้มีการพูดคุยกันอย่างซีเรียสว่าทุกคนเห็นพ้องกันว่าต้องขจัดออกไป เราจะมีแผนงานอย่างไรให้ทำไปแล้วเท่าไหร่ ทั้งนี้ ผู้ที่ติดคุก 85% เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งหมด ฉะนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องเห็นใจและเราต้องบูรณาการในการที่ผู้เสพ เป็นผู้ป่วยและไม่ใช่คืนเขากลับบ้านจะต้องมีวิธีการที่เราจะจะต้องให้เขามีอาชีพที่เหมาะสมและพูดคุยกับครอบครัวเขาว่าจะดูแลรักษาอย่างไรไม่ให้เขากลับไปเสพใหม่อย่างไร”

เมื่อถามต่อว่า การจัดการกับปัญหายาเสพติดมี KPI ว่าอีก 4 ปีรัฐบาลเศรษฐาจะพลิกโฉมการแก้ปัญหายาบ้าอย่างไร? นายกฯ กล่าวว่า “ที่บอกว่าปัญหาลดไป 50% หรือหมดไปพบว่าความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องให้เคพีไอว่าภายใน 4 ปีนี้จะต้องหมดไป”

เมื่อถามถึงนโยบายปราบผู้มีอิทธิพลและอาวุธเถื่อนกระบวนการถึงไหนแล้ว? นายกฯ กล่าวว่า “เรื่องอาวุธเถื่อน ตนว่าเรื่องนี้ถ้าไปดูที่ต่างประเทศหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเคสตัวอย่างที่จริง เขามีธุรกิจขายอาวุธปืนหรือผลิตอาวุธปืนเป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก หลายรัฐบาลของสหรัฐไม่สามารถจัดการปัญหาอาวุธปืนและการยิงกันได้ เพราะภาคธุรกิจใหญ่กว่า เช่นที่เท็กซัสมีอุตสาหกรรมที่ใหญ่มาก ถ้าใครบอกว่าจะแบนเรื่องการเข้าถึงอาวุธปืนได้ง่าย รับรองว่าคนนั้นไม่ได้เป็นประธานาธิบดี แต่ที่ประเทศไทย ตนมองว่าเป็นปัญหาที่ง่ายมาก เพราะเราไม่อยู่อุตสาหกรรมปืน... 

“ฉะนั้นตรงนี้ก็เป็นวาระหนึ่งที่เรามีการพูดคุยกันว่าให้มีการเข้าถึงอาวุธปืนทั้งเหตุการณ์ที่ พารากอน ซึ่งฝ่ายความมั่นคงก็ได้ออกกฎหมายช่วยจัดการในเรื่องนี้ หลายคนมองว่า นักท่องเที่ยวจีนที่หลายท่านบอกว่าเดินทางเข้ามาในประเทศประเทศไทย เพราะการเข้าถึงอาวุธปืนของเรายังสูงอยู่เราก็ยอมรับเรื่องเหล่านี้และต้องแก้ไข ซึ่งเรื่องของอาวุธเถื่อนเป็นอะไรที่เรายอมรับไม่ได้ต้องไปดูที่กฎหมาย และเรื่องของผู้มีอิทธิพลเป็นเรื่องที่มีมาหลาย 10 ปีแล้ว ซึ่งก็หลายคนก็บอกว่าเรื่องการแก้ไขหนี้นอกระบบ เรื่องยาเสพติดก็มีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังชัดเจนการที่เราแถลงนโยบายไปแล้ว โดย รมว.มหาดไทย และ รมช.มหาดไทย ประกาศชัดเจนว่าเราไม่ยอมรับของการมีผู้มีอิทธิพล เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นที่จังหวัดนครปฐมเราก็มีการบริหารจัดการ เราไม่ยอมรับอยู่แล้ว”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top