Sunday, 15 June 2025
POLITICS NEWS

'นายกฯ' เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.น่าน ติดตามการเจรจาแก้หนี้นอกระบบ 23 ธ.ค.นี้

(22 ธ.ค. 66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดน่าน ในวันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2566 เพื่อติดตามประเด็นการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดน่าน 

โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลตำรวจโท อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ร่วมคณะตรวจราชการ ซึ่งมีกำหนดการดังนี้

โดยเวลาประมาณ 11.00 น. นายกรัฐมนตรีออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานน่านนคร ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เวลาประมาณ 14.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดน่าน นายกรัฐมนตรีจะติดตามประเด็นการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดน่าน โดยนายกรัฐมนตรีจะประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และร่วมรับฟังการเจรจาแก้ปัญหาหนี้ระหว่างประชาชน (ลูกหนี้) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว นายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ในเวลาประมาณ 16.15 น. ทั้งนี้ กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

“การลงพื้นที่จังหวัดน่านของนายกฯ เพื่อติดตามการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในครั้งนี้ เป็นการยืนยันว่า นายกฯ และรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาหนี้นอกระบบที่ส่งผลกระทบต่อทุกคนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ และให้ความสำคัญกับประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นรากฐานสำคัญของประเทศ โดยการเร่งแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ คืนศักดิ์ศรี คืนความหวังและสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนคนไทย ให้มีความเข้มแข็งตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงระดับมหภาค รวมทั้งยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนทำให้ไม่กลับไปมีหนี้ล้นพ้นตัวอีก” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทิ้งท้าย

บทสรุป 'วัคซีนการเมือง' ด้อยค่า!! เพียงหวังทำลายคู่แข่งทางการเมือง ปลูกฝังความเกลียดชังให้คนไทย จนโกยฐานเสียงเข้าฝั่งตนได้สำเร็จ

(21 ธ.ค. 66) จากผู้ใช้บัญชีติ๊กต๊อก 'พราหมณ์_อิศรา_อินทร์ยา' ได้ขมวดปมผลลัพธ์ทางการเมืองจากกลุ่มคนและบางพรรคการเมืองที่สร้างความบิดเบือนในประเด็นวัคซีนโควิด-19 และ เรื่องสิทธิประกันสังคม ให้คนไทยบางกลุ่มหลงเข้าใจในสิ่งผิดๆ ... ต่อว่ารัฐบาล ด้อยค่าวัคซีน และบั่นทอนกำลังใจคนทำงาน ซึ่งวันนี้ความจริงได้ปรากฏแล้วว่าไม่เป็นความจริง ดังนี้...

“เพื่อบรรลุเป้าหมายก้าวไกลทําได้ทุกอย่าง โดยไม่แคร์วิธีการ…

เทคนิคสําคัญที่พวกเขาใช้ในการทําลายคู่แข่งทางการเมืองและสร้างความนิยมให้กับตัวเองคือการปลุกความหวาดกลัวและสร้างความเกลียดชัง พี่น้องคงจําได้จากเหตุการณ์โควิด-19 ใครที่ออกมาจุดกระแสต่อต้านวัคซีนที่ผลิตในประเทศ หรือวัคซีนที่รัฐบาลจัดหา ยกย่องเชิดชูวัคซีนไฟเซอร์ โจมตีดิสเครดิต แกนนําออกมาพูด และตามด้วยด้อมส้ม ตามด้วย IO 20-30 ล้านบัญชี ออกมาปั่นกระแสล้างสมองทั้งประเทศ สุดท้าย…ดารานักร้องหรืออินฟลูเอนเซอร์เห็นดีเห็นงามพากันออกมาคอลเอาท์ โจมตีด่าทอสร้างความเกลียดชังรัฐบาล จนสําลักความเกลียดไปทั่วประเทศ…

สุดท้ายเป็นไงล่ะ…สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ตอนนี้ผลปรากฏแล้วที่สหรัฐฯ เองได้มีการฟ้องร้องบริษัทไฟเซอร์ไปแล้ว และถ้ามันเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่าง ๆ ขึ้นมา ถามว่าพรรคก้าวไกลจะรับผิดชอบยังไง? คุณปั่นหัวคนไปฉีดไฟเซอร์เป็นล้าน ๆ คนแล้ว และถ้าเกิดมีใครตายคุณจะรับผิดชอบยังไงไหว 

กรณีของ ‘คุณช่อ พรรณิการ์’ ก็เหมือนกัน เพื่อให้ตัวเองชนะการเลือกตั้งได้เป็นบอร์ดบริหารของประกันสังคม เธอถึงขั้นมาโจมตีประกันสังคม และบอกว่าประกันสังคมถ้าเกิดเป็นมะเร็งเขาจะให้เงิน 50,000 บาท แต่เดชะบุญผู้รู้คนที่เขาถือประกันตน ได้ออกมาพูดเลยว่าไม่จริง…เขารักษาให้จนหาย จ่ายเท่าไหร่เขาก็รับผิดชอบจนหาย จึงเห็นได้ชัดเลยว่า ‘คุณช่อ พรรณิการ์’ พยายามจะสร้างความหวาดกลัวและสร้างความเกลียดชังต่อประกันสังคม โดยเป้าหมายก็คือเพื่อให้ตัวเองชนะการเลือกตั้ง และนี่คือสิ่งที่พวกเขาทํามาตลอด โดยไม่แคร์วิธีการขอให้ชนะ จะใส่ร้ายป้ายสี โจมตี ประณามด่าทอ หรือปั่นกระแสล้างสมองคนไทยเท่าไหร่เขาก็ทํา…

ถึงคราวพี่น้องประชาชนต้องคิดแล้วล่ะ…ทุกสิ่งที่เขาพูดมาทําได้จริงไหม เป้าหมายของพวกเขาคืออะไรกันแน่? นโยบาย 2-300 ข้อ เกี่ยวกับปากท้องความกินดีอยู่ดี เขาไม่สนใจ เขาไม่ทํา เอาแต่มุ่งมั่นไปที่ทําลายสถาบัน / 112 / มุ่งไปที่การแบ่งแยกประเทศไทย มุ่งไปที่สร้างความแตกแยกให้สังคม ตั้งแต่ระดับโรงเรียนไปจนถึงระดับครอบครัว อะไรที่ดี ๆ กับบ้านเราขัดขวางจนหมด…

ดังนั้น ไม่สามารถทราบได้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขานั้นคืออะไร แต่เชื่อว่า ‘ความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง ความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน’ นี่ไม่น่าจะใช่เป้าหมายของพวกเขาแน่นอน…

'พีระพันธุ์' เผย ไม่แปลกฝ่ายค้านจ้องตรวจสอบรัฐบาลเข้มข้น ย้ำ!! เป็นเรื่องปกติ พร้อมแนะ พิจารณางบปี 67 ควรจะจบให้เร็ว

(21 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศจะตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นหลังได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ว่า เป็นเรื่องปกติ ฝ่ายค้านก็ต้องตรวจสอบเข้มข้นทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ถ้าเขาบอกว่าไม่ตรวจสอบเลยถึงจะประหลาด เป็นเรื่องปกติในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ส่วนที่มองกันว่าฝ่ายค้านอาจไม่เป็นเอกภาพเท่าไหร่นั้น ก็แล้วแต่คนจะมอง อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้เป็น สส. ไม่ทราบรายละเอียดทางสภา 

เมื่อถามถึงกรณีพรรคฝ่ายค้านขอเลื่อนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 67 จากวันที่ 3-5 ม.ค. เป็นวันที่ 9-11 ม.ค.67 นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ เป็นเรื่องของสภา ในส่วนของรัฐบาลก็ทำปกติ สภาจะเห็นว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องที่สภาไปหารือกันเอง 

เมื่อถามย้ำว่า การเลื่อนออกไปจะทำให้งบประมาณที่จะออกมาล่าช้าไปอีกหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า วันนี้เราก็ใช้งบของปี 67 อยู่แล้ว แต่โดยหลักการมันก็ไม่ควรเท่านั้นเอง ทุกอย่างมันควรจะรีบ จะจบให้เร็ว เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภาที่จะต้องหาประโยชน์สูงสุดของประชาชน เพราะทั้งหมดนี้มันคือประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่ประโยชน์ของรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ซึ่งไม่ว่าเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ต้องทำงานร่วมกันเพื่อประชาชน อะไรที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดก็ทำตามนั้น เท่านั้นเอง

‘นายกฯ’ ชี้!! อัตราการเกิดคนไทยลดลงต่อเนื่อง เป็นการบ้านสำคัญรัฐบาล ต้องสร้างอนาคตที่ดีแก่ลูกหลาน ผู้หญิงต้องมีชีวิตบาลานซ์ ‘ทำงานได้-มีลูกได้’

(21 ธ.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

“เห็นข้อมูลชุดนี้แล้วน่าตกใจนะครับ แม้ว่าปัญหาอัตราการเกิดของประเทศไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจะไม่ใช่เรื่องใหม่

จากบทความนี้ของ The​ Nation https://www.nationthailand.com/thailand/general/40023947 ก็จะเห็นว่าอัตราการเกิดปีที่ผ่านมาของไทยต่ำที่สุดในรอบ 71 ปี

ประเด็นนี้ละเอียดอ่อน!!

ผมในฐานะนายกฯ และรัฐบาล ตระหนักในเรื่องสิทธิเหนือร่างกายและอำนาจของผู้หญิง ที่พึงมีสิทธิ์เต็มที่ในการตัดสินใจที่จะมีลูกหรือไม่มีลูก

ขณะเดียวกันในฐานะนายกฯ ผมคิดว่าผมมีหน้าที่ในการทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่แล้วมีความสุข เศรษฐกิจดี มีความปลอดภัย ถ้าคนจะมีลูกก็มั่นใจว่า ลูกหลานของเขาจะได้รับการศึกษาที่ดี มีงานทำ ไม่มีเรื่องยาเสพติด ผู้หญิงมี Work Life Balance ทำงานได้ มีลูกได้

เรื่องใหญ่ครับ และเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเอาไปทำการบ้าน”

‘ศาลรธน.’ ไม่รับคำร้องสอบ ‘รองอ๋อง’ โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชี้!! ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ร้องถูกละเมิดสิทธิ-เสรีภาพให้เสียหาย

(20 ธ.ค.66) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่นายทรงชัย เนียมหอม ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ว่านายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงกระทำการอันเป็นการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยใช้สิทธิพิเศษของตนเองเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 มาตรา 3 และมาตรา 32 ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 4 มาตรา 29 วรรคสามและวรรคสี่ มาตรา 27 และมาตรา 50(3) หรือไม่ โดยศาลฯ เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องไม่ปรากฏว่า นายทรงชัย ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพและได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรงจากการกระทำของนายปดิพัทธ์อย่างไร กรณีไม่เป็นไปตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้นนายทรงชัย จึงไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ได้

‘ไอซ์ รักชนก’ แจงปมแม่บ้านสภาฯ แอบถ่ายภาพห้องทำงาน ชี้!! ที่แม่บ้านต้องผิดกฎฯ เพราะมีคน ‘หลอกใช้’ เป็นเครื่องมือ

(20 ธ.ค. 66) น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘รักชนก ศรีนอก - Rukchanok Srinork’ ระบุว่า…

สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่มีบุคคลภายนอกเข้ามาถ่ายรูปห้องทำงานที่สภาของไอซ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมโดยไม่ได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่สภา ตามมาด้วยความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นจากเรื่องการรักษาความปลอดภัยของสภาไปยังเรื่องอื่น ๆ ไอซ์จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ 

1) ในสัปดาห์ที่แล้ว มีการนำภาพห้องทำงานของไอซ์ ซึ่งอยู่บริเวณพื้นที่ชั้นในของรัฐสภา เผยแพร่บนเพจ Facebook เพจหนึ่งที่จัดตั้งไว้เพื่อกล่าวหาพรรคก้าวไกล และต่อมามีการบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าการเผยแพร่ดังกล่าวนำไปสู่การไล่แม่บ้านสภาออกจากงาน

2) พื้นที่บริเวณห้องทำงานของ สส.ทุกคน เป็นพื้นที่ชั้นในของรัฐสภา ระบบรักษาความปลอดภัยวางกฎไว้ว่าต้องมีการสแกนบัตรเพื่อเข้าถึง เมื่อเกิดเหตุดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงทำการสืบสวนว่ามีบุคคลภายนอกเข้ามาแอบถ่ายรูปหรือไม่ ผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นแม่บ้านที่ไม่มีส่วนรับผิดชอบทำงานในบริเวณดังกล่าวเข้ามาถ่าย เนื่องจากมีผู้ช่วย สส. พรรครัฐบาลบอกให้แม่บ้านสภาไปถ่ายรูปห้องดังกล่าว โดยอ้างว่าต้องการจะติดฟิล์มบนกระจกแบบห้องนั้น แม่บ้านจึงไปถ่ายรูปส่งให้

3) เนื่องจากในอดีตเคยเกิดเหตุการณ์ที่มีบุคคลภายนอกแอบเข้ามาถ่ายรูปหรือขโมยเอกสารสำคัญ (ลองนึกถึงช่วงเวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือข้อมูลทุจริตคอร์รัปชัน) ฝ่ายรักษาความปลอดภัยสภาจึงมีข้อตกลงกับฝ่ายรักษาความสะอาด ว่าจะมีการแบ่งแม่บ้านแต่ละคนให้ทำงานอยู่ประจำแต่ละโซน ไม่สามารถข้ามไปทำกิจกรรมนอกพื้นที่รับผิดชอบ เป็นกฎที่แม่บ้านทุกคนได้รับทราบก่อนเข้าทำงานที่รัฐสภา

4) เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพบว่าแม่บ้านคนดังกล่าวทำผิดกฎ จึงมีคำสั่งให้ย้ายไปทำงานแม่บ้านที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า แต่แม่บ้านทำหนังสือลาออกกลับมา 

5) หลังจากไอซ์รับทราบเหตุการณ์ทั้งหมด จึงได้พูดคุยกับฝ่ายรักษาความปลอดภัย ขอให้ทบทวนคำสั่งย้าย ไม่ควรลงโทษแม่บ้านคนดังกล่าวที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นความผิดของผู้จ้างวานซึ่งรู้กฎของรัฐสภาอยู่แล้ว ไม่ใช่เจตนาโดยตรงของแม่บ้านที่จะละเมิดกฎความปลอดภัยของสภา  

ทั้งนี้ ไอซ์ได้ทำหนังสือถึงฝ่ายรักษาความปลอดภัยและสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรชี้แจงเรื่องทั้งหมดแล้ว

‘ศาล รธน.’ นัดชี้ชะตา ‘พิธา’ ถือหุ้นไอทีวี 24 ม.ค.67 แถมระทึกต่อ!! เตรียมไต่สวนคดีแก้ ม.112 จันทร์หน้า

(20 ธ.ค.66) ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งว่าได้ไต่สวนพยานในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่จากกรณี เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อสารมวลชนใดๆ อยู่ในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ โดยมีพยานรวม 3 ปากคือนายแสวง บุญมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายคิมห์ สิริทวีชัย ตอบข้อซักถามของศาลและของคู่กรณีคดีเป็นอันเสร็จสิ้นการไต่สวน ศาลนัดฟังคำวินิจฉัยในวันพุธที่ 24 ม.ค 2567 เวลา 14:00 น.

ส่วนคดีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความของพระพุทธะอิสระ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 1 และ พรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่เสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ...เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่ ศาลฯ ได้มีการอภิปรายเพื่อเตรียมการไต่สวนในวันจันทร์ที่ 25 ธ.ค.เวลา 9.30 น. 

‘สุริยะ’ โชว์ผลงาน ‘99 วัน 9 เรื่องเด่น’ สนองนโยบาย Quick Win โปรเจกต์เชื่อม ‘บก-น้ำ-ราง-อากาศ’ ดัน ศก.โต-ประชาชนอยู่ดีมีสุข

(20 ธ.ค. 66) ณ ห้องราชดำเนิน อาคารราชรถสโมสร กระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในการแถลงผลงาน 99 วัน 9 เรื่องเด่น โครงการสำคัญเร่งด่วน พร้อมขับเคลื่อนโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคม ตามนโยบาย Quick win พร้อมด้วยนางมนพร เจริญศรี และนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ว่า ในระยะเวลา 99 วันที่ผ่านมา นับตั้งแต่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินโครงการ และนโยบายต่าง ๆ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางบก ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ รวมถึงการให้บริการระบบคมนาคมขนส่งในทุกมิติเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับนโยบาย Quick win ของรัฐบาล

ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา 99 วันที่ผ่านมา มี 9 โครงการเด่นที่กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการ และผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรม ดังนี้ 

1. มาตรการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท หรือนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ใน 2 โครงการ คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - คลองบางไผ่ และโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน ซึ่งถือเป็นนโยบาย Quick Win นโยบายแรกของรัฐบาล ส่วนการประกาศใช้มาตรการดังกล่าวในโครงการรถไฟฟ้าในเส้นทางอื่น ๆ นั้น ขณะนี้ กระทรวงคมนาคม อยู่ระหว่างการหารือและพิจารณาร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่า จะสามารถเปิดให้ใช้บริการได้ในระยะต่อไป

2. การเปิดใช้ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2566 เพื่อรองรับปริมาณเที่ยวบินในปัจจุบัน และกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว รวมถึงรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

3. เปิดอาคารเทียบเครื่องบินรอง หลังที่ 1 (SAT-1) พร้อมทั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติเชื่อมต่อระหว่างอาคาร SAT-1 กับอาคารผู้โดยสารหลัก ซึ่งได้เปิดให้บริการแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2566 โดยทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี เพื่อรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวของประเทศตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

4. เร่งรัดการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) โดยเตรียมเปิดให้ประชาชนใช้บริการฟรี 2 เส้นทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 คือ มอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน – นครราชสีมา (M6) ช่วงปากช่อง - ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 77 กม. และมอเตอร์เวย์ สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี (M81) ช่วงนครปฐม ฝั่งตะวันตก – กาญจนบุรี ระยะทาง 51 กม. และเปิดให้บริการใช้งานฟรีต่อเนื่องจนกว่าด่านเก็บค่าผ่านทางจะแล้วเสร็จ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง

ขณะเดียวกัน ยังได้เร่งรัดโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ เส้นทางนครปฐม - ชุมพร และได้เปิดให้บริการช่วงสถานีบ้านคูบัว จ.ราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนถึงจุดหมายได้เร็วขึ้นถึง 1 ชั่วโมง 30 นาที เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเดินทางของประชาชน รวมทั้งการขนส่งสินค้า โดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถอีกต่อไป

5. การพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะ โดยการยกมาตรฐานและปลอดภัยท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาให้สามารถเชื่อมโยงกับระบบขนส่งรูปแบบอื่นโดยการให้บริการด้วยระบบตั๋วร่วม พร้อมทั้งออกแบบรองรับผู้ใช้บริการทุกประเภท โดยมีแผนพัฒนาท่าเรือเป็นสถานีเรือ (ระบบปิด) ทั้งหมด 29 ท่า ซึ่งขณะนี้ปรับปรุงเสร็จแล้ว จำนวน 9 ท่า อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงและก่อสร้าง จำนวน 5 ท่า และในส่วนที่เหลืออีกจำนวน 15 ท่า จะมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องต่อไป

6. เดินหน้าโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย - อันดามัน (Landbridge) โดยกระทรวงคมนาคมได้เร่งรัดดำเนินโครงการให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้เริ่มดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) โดยล่าสุดได้ร่วมประชาสัมพันธ์โครงการ Landbridge ในการประชุมเอเปค ครั้งที่ 30 ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - ญี่ปุ่น ซึ่งการประชุมในครั้งนี้มีนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นสนใจเป็นจำนวนมาก

7. การปรับเปลี่ยนรถยนต์ใช้น้ำมัน (สันดาป) เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อขับเคลื่อนการปรับปรุงรถสาธารณะทุกชนิดให้เป็น EV โดยกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด ทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจพิจารณาเปลี่ยนรถยนต์สันดาปที่หมดอายุสัญญาเช่าให้เป็นรถยนต์ EV ซึ่งจะนำร่องกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ที่จะทยอยปรับเปลี่ยนรถที่ให้บริการในท่าอากาศยานทั้งหมด ให้เป็นรถยนต์ EV รวมถึงรถส่วนกลางที่จะหมดสัญญาเช่า จะเริ่มสัญญาเช่ารถใหม่ให้เป็นรถยนต์ EV ด้วย เพื่อช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศ หรือฝุ่นละออง PM 2.5 สอดรับนโยบายอากาศสะอาดเพื่อประชาชน

8. โครงการพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ การพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต (ระยะที่ 2) คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2572, โครงการก่อสร้างขยายช่องจราจร ทล.4027 ช่วง บ.พารา - บ. เมืองใหม่, โครงการทางพิเศษ สายกระทู้ - ป่าตอง, การพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งที่ 2 จ.พังงา โดยขณะนี้ ทอท. อยู่ระหว่างทบทวนข้อกำหนดรายละเอียดในการจ้างที่ปรึกษาศึกษาความเป็นไปได้ และความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการในเบื้องต้น

นอกจากนี้ ยังมีโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 (ช่วงท่าอากาศยานฯ - ห้าแยกฉลอง) ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพ (รฟม.) อยู่ระหว่างศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสมของโครงการฯ เพื่อให้โครงการฯ เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนตามข้อสั่งการของกระทรวงคมนาคม คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนธันวาคม 2574 อย่างไรก็ตาม โครงการในจังหวัดภูเก็ตที่กล่าวมานั้น จะสามารถลดปัญหาการจราจร และเพื่อเสริมศักยภาพให้เมืองท่องเที่ยวระดับโลก

9. การปราบส่วยทางหลวง แก้ปัญหาการทุจริต โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเคร่งครัดรวมถึงแก้ไขข้อกฎหมายให้มีบทลงโทษมากขึ้น รวมถึงมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยในช่วงที่ผ่านมานั้น ทุกหน่วยงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็ว

“สำหรับทั้ง 9 ผลงาน และโครงการทั้งหมดที่กล่าวมานั้น จะสามารถขับเคลื่อนภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และเป็นการพัฒนาระบบคมนาคมให้มีมาตรฐานตามระดับสากล รวมถึงเพื่อยกระดับความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น และกระจายความเจริญไปสู่ทุกภูมิภาค” นายสุริยะ กล่าว

‘ชัยธวัช’ รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ ทำหน้าที่ถ่วงดุลรัฐบาล

(20 ธ.ค. 66) ที่รัฐสภา มีพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ลำดับที่ 10 โดยมี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 2 และสส.ของพรรคก้าวไกล รวมถึงข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ร่วมในพิธีดังกล่าว และร่วมแสดงความยินดี ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มี สส.จากพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมพิธีในครั้งนี้แม้แต่คนเดียว

ด้านนายประมวล พงศ์ถาวราเดช สส.ประจวบคีรีขันธ์ รองหัวหน้าพรรค ในฐานะประธาน สส.พรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงกรณีที่ สส.ประชาธิปัตย์ไม่ได้เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับนายชัยธวัช ที่ได้รับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ว่าเนื่องจากได้รับแจ้งตอนเข้าประชุมวิปฝ่ายค้าน ช่วงบ่ายเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.โดยนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ทำหน้าที่ ประธานวิปฝ่ายค้านบอกว่า ถ้าว่างให้เชิญมาร่วมพิธี รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งก็ได้ขอโทษไปแล้วว่า สส. ส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัดและเดินทางมาในพื้นที่กรุงเทพฯ แล้ว จึงไม่ได้เตรียมชุดขาวปกติมาเพื่อมาร่วมในพิธี แต่อย่างไรก็ตาม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะมีการนัดพูดคุยกับผู้นำฝ่ายค้านอยู่แล้ว จึงจะใช้โอกาสดังกล่าวในการแสดงความยินดี

‘ชัยธวัช’ เชื่อ!! คดีแก้ ม.112 ไม่ถึงขั้นยุบพรรค ชี้ ไม่สามารถนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้

(20 ธ.ค.66) - นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการต่อสู้ในคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล และพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง หลังมีความพยายามเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ฝ่ายกฎหมายได้เตรียมพร้อมและส่งเอกสารชี้แจงเพื่อประกอบการไต่สวน ในวันที่ 25 ธ.ค. นี้ เชื่อว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่เป็นความผิดตามคำร้อง แต่ต้องรอและหวังว่าเมื่อไต่สวนแล้ว หากไม่มีการไต่สวนเพิ่ม คาดว่าศาลจะนัดวิจิจฉัยในช่วงปลายเดือน ม.ค. หรือ ต้น ก.พ.67

“ผมไม่กังวลว่าจะไปถึงการยุบพรรคเพราะคดีนี้เป็นการร้องให้ยุติการกระทำ ไม่สามารถไปไกลถึงเรื่องยุบพรรคได้ ทั้งนี้พรรคต่อสู้เต็มที่ และการเสนอร่างกฎหมายใดๆ ไม่สามารถนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้ เพราะกระบวนการทางนิติบัญญัติมีกรอบชัดเจนว่าไม่สามารถขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้” นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช กล่าวย้ำด้วยว่า ในกระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้น สามารถเกิดได้ทั้งก่อนหรือหลังประกาศใช้ โดยศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการเสนอร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขกฎหมายใด ไม่เฉพาะมาตรา 112 เท่านั้น ซึ่งในกระบวนการทางนิติบัญญัติไม่สามารถนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้ด้วยตัวของร่างกฎหมายนั้นๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top