Sunday, 15 June 2025
POLITICS NEWS

‘นิพนธ์-สรรเพชญ’ ขึ้นป้ายสวัสดีปีใหม่ 67 ทั่วสงขลา แต่ไร้โลโก้ ปชป. คอการเมืองลือสนั่น!! หรือเลือกตั้ง อบจ.ปี 68 บ้านใหญ่จะหวนคืนสังเวียน?

(27 ธ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวบรรยากาศการเมืองในจังหวัดสงขลา ก่อนการเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2567 มีการพูดถึงพรรคการเมืองที่อยู่คู่ภาคใต้และจังหวัดสงขลามาอย่างยาวนานอย่าง ‘พรรคประชาธิปัตย์’ (ค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม) ที่ภายหลังการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจบริหารในพรรค โดยทีมบริหารชุดเก่าแพ้ให้กับทีมบริหารชุดใหม่ ภายใต้การนำของ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแทน มี ‘เดชอิศม์ ขาวทอง’ สส.สงขลา ขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรค พร้อมกับวลี ‘ตระบัดสัตย์’ เพราะเฉลิมชัยเคยลั่นวาจาไว้ว่า “ถ้าผลการเลือกพรรคประชาธิปัตย์ได้น้อยกว่าเดิม (52 ที่นั่ง) จะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต”

แต่เฉลิมชัยกลับเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ซึ่งหมายถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในนามพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคต แปลความได้ว่า ไม่ได้เลิกเล่นการเมืองจริง สมาชิกพรรคจำนวนหนึ่งจึงทยอยลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค

แฟนคลับประชาธิปัตย์ต่างมีความเห็นแตกต่างกันไปหลายฝ่าย โดยในจังหวัดสงขลามีการจับตาไปที่ ‘บ้านบุญญามณี’ ซึ่งถือเป็นบ้านใหญ่การเมืองในจังหวัดสงขลา ที่ขณะนี้ มีการขึ้นป้ายสวัสดีปีใหม่ 2567 ไปทั่วเมือง ในขณะที่เจ้าตัวเดินทางไปพักผ่อนกับครอบครัว จ.แม่ฮ่องสอน

ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า รูปภาพสวัสดีปีใหม่ของนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต สส.ประชาธิปัตย์หลายสมัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น ไม่ปรากฎรูปโลโก้พรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด รวมทั้งเมื่อสำรวจไปพื้นที่เขตอำเภอเมืองสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ สส.ของ นายสรรเพชญ บุญญามณี เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ และเป็นลูกชายของนายนิพนธ์ก็ไม่มีโลโก้พรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผมเช่นเดียวกัน ทำให้เป็นที่พูดคุยกันในกลุ่มคอการเมือง ผู้บริหารท้องถิ่น รวมถึงเครือข่ายการเมืองต่างพูดคุยกันว่า มีความไม่ปกติใดเกิดขึ้นหรือไม่ หรืออนาคตจะไม่มี ‘บุญญามณี’ อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์?

นอกจากนี้ ยังพบว่า ภาพป้ายสวัสดีปีใหม่ 2567 ของนายนิพนธ์ บุญญามณี นั้น ยังปรากฏทั่วจังหวัดสงขลา จึงมีการจับโยงวิจารณ์ถึงวาระนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ที่จะหมดวาระลงในเดือนธันวาคม ปี 67 และจะมีการเลือกตั้งในต้นปี 68 วงร้านกาแฟวิจารณ์กันสนั่นว่า เป็นไปได้หรือไม่? ที่นายนิพนธ์จะย้อนกลับมาลงชิงนายกฯ อบจ.สงขลาอีกครั้ง โดยละทิ้งจากพรรคประชาธิปัตย์

กล่าวสำหรับนายกฯ อบจ.สงขลา ปัจจุบัน ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ นั่งบริหารอยู่ และถือได้ว่าเป็นทีมเดียวกับนายนิพนธ์ โจทย์ของคอการเมืองจึงยากขึ้น ในขณะที่มีการวางตัวคนที่จะมาสืบทอดต่อจากนายไพเจนแล้วด้วย รอเพียงให้เกษียณอายุราชการเท่านั้น

แต่อย่าลืมว่า ‘การเมือง’ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป มีเหตุผลอธิบายได้

เมื่อ 'YouTuber ชั้นเลว' สูบแสงเพียงเพื่อแลกเงิน ก้มหน้าก้มตาโกยจากการสร้างภาพให้กับฆาตกร

ผมเชื่อว่าใครที่ติดตามความเป็นไปของสังคมไทย เน้นในโลกของโซเชียลเน็ตเวิร์ก คงต้องรู้สึกถึงความ ‘เสื่อมต่ำ’ ของคนอาชีพ YouTuber ยุคนี้ไม่มากก็น้อย 

ก่อนหน้าสัก 7-10 ปี คนที่จะยึดอาชีพนี้ในการหาเลี้ยงชีพจริงจังยังมีไม่มาก ส่วนใหญ่เข้ามาเพราะความไม่ตั้งใจ แต่เมื่อคลิปของตนเองเกิดฟลุ้ก และโด่งดังขึ้นมา เริ่มมีคนติดตามมากขึ้น นำมาซึ่งการเกิดรายได้งาม ๆ เข้ากระเป๋า คนที่พอจะเป็นมวยก็รีบฉวยปรับตัวตามสถานการณ์หันมาเอาจริงกับการหาเงินผ่านช่อง YouTube ของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด 

แต่ที่ผิดคือ จำนวนไม่น้อยมักไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นสังคมจะได้หรือเสียอะไร? คิดแค่ตัวเองได้เงิน ช่องของตัวเองโด่งดังก็เพียงพอแล้ว ความเสื่อมของสังคมไทยจึงเริ่มต้นนับจากบรรทัดนี้

การผันตัวเองมาเป็น YouTuber ของคนประเภทข้างต้นนั้น เกิดขึ้นมากมายในสังคมไทย แต่น้อยถึงน้อยมากที่เราจะเห็น YouTuber ที่พึ่งพาได้จริง ๆ หรือเป็น ‘YouTuber’ ในแนวสร้างสังคมให้เกิดความแข็งแรง หรือคอยปลุกสำนึกให้ผู้คนคิดเป็น 

กลับกันที่มีให้เห็นดาษดื่นคือ YouTuber ที่ขาดความหวังดีต่อโลก แต่ที่น่าเจ็บปวดคือ กลับมีคนไทยชอบ และติดตามสนับสนุนอย่างมหาศาล การจะเห็น ‘YouTuber ชั้นเลว’ โด่งดังในประเทศไทย จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด

ยุคหนึ่ง หากอยากจะวัดดูว่า คนไทยโง่ หรือ ฉลาด ก็ให้ดูจำนวนคนที่เลือกนักการเมืองเลว ๆ มาเข้าสภา แต่ยุคนี้สามารถดูได้จากจำนวนคนที่ติดตาม ‘YouTuber ชั้นเลว’ ก็จะได้คำตอบไม่แพ้กัน 

‘YouTuber ชั้นเลว’ หรือบางคนเรียกขานว่าเป็น ‘YouTuber ขยะ’ คุณจะเรียกอะไรก็ได้ เพราะพฤติกรรมของ YouTuber สองประเภทนี้จะคล้ายคลึงกันนั่นคือปั้นช่อง YouTube แบบไร้ทิศไร้ทาง อะไรคือ กระแส มีแสง ก็จะวิ่งเข้าหา เกาะติดไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่แยกถูกผิด ชั่วดี ไม่มีอุดมการณ์เพื่อส่วนรวม ไม่มีสามัญสำนึก ไร้ศีลธรรม ขาดความคิดในเชิงสร้างสรรค์ มองเห็นคอนเทนต์ใดที่ทำแล้วพอจะได้เงิน ก็จะรีบพากันกระโจนเข้าใส่เสมอ 

ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีข่าวว่าชายคนหนึ่ง ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนลงมือทำให้หลานสาวตัวน้อยของตัวเองเสียชีวิต เมื่อถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ชายคนนี้ก็โด่งดังขึ้นมา เพียงไม่กี่วันเหล่า YouTuber ก็พากันไปรุมล้อม จำนวนหนึ่งก็ช่วยกันปกป้อง สร้างภาพให้ดูน่าสงสาร ราวกับชายคนนี้เป็นคนดีที่โลกใบนี้ควรโอบอุ้ม 

แต่เมื่อต่อสู้กันในชั้นศาลยาวนาน จนที่สุดหลักฐานมัดว่าเขาคือคนผิด หรือ ‘ฆาตกรฆ่าหลาน’ เหล่า YouTuber ที่เสริมส่งให้คนผิดมีที่ยืนตลอดมา หรือช่วยให้ได้รับโอกาสดี ๆ อันมากมายจากสังคมไทยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยยอมรับในความผิด ก็ไม่ต่างจาก ‘YouTube ชั้นเลว’ หรือ ‘YouTuber ขยะ’ มองมุมไหนก็ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม นั่นก็รวมถึงนักร้องลูกทุ่งบางคน สินค้าบางชนิด หรือช่องข่าวบางช่องที่เคยสนับสนุน ‘ชายผู้ฆ่าหลาน’ คนนี้โดยไม่ลืมหูลืมตา 

วิงวอนคนไทยอย่าลืมคนเหล่านี้เชียว เลิกสนับสนุนได้...คือดี 

'ศาลฎีกา' ยกฟ้อง ‘ยิ่งลักษณ์’ คดีย้าย ‘ถวิล’  ชี้!! ไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

(26 ธ.ค.66) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกา อม.) สนามหลวง นัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.11/2565 อัยการสูงสุด โจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ กรณีโอนย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)

ศาลฯ พิพากษายกฟ้องและเพิกถอนหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหตุจำเลยไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ

โดยศาลฯ วินิจฉัยว่ายังไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาพิเศษและรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยโอนย้ายนายถวิลเพื่อให้ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่างลง

ภายหลังการอ่านคำพิพากษา นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ผลของคำพิพากษาวันนี้ คือ ยกฟ้องอดีตนายกยิ่งลักษณ์ สาระสำคัญ คือ ความเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการทั้งหมด การโยกย้ายก็เป็นไปตามกฎหมายข้าราชการพลเรือน มาตรา 57 สามารถกระทำได้ ประเด็นที่สองเรื่องการกระทำความผิดทางอาญา ต้องอาศัยเจตนาเป็นสำคัญ ตามมาตรา 59 ในทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าไม่มีพยานหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปกลั่นแกล้งนายถวิล ประเด็นที่สามในเรื่องของคำพิพากษาศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ ในส่วนของศาลปกครองเป็นการพิจารณาถึงการโอนย้ายชอบหรือไม่ชอบ ส่วนศาลรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องการพ้นการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ไม่มีเรื่องการกระทำผิดทางอาญาจึงไม่อาจนำคำพิพากษาทั้งสองศาลมาฟังว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์กระทำผิดทางอาญา

‘นายกฯ’ ลั่น!! 314 เสียง แฮปปี้ดี  พร้อมย้ำ!! ตอนนี้ยังไม่คิดปรับ ครม.

(26 ธ.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสื่อทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายาเซลล์แมนสแตนด์ ‘ชิน’ ให้ ว่า ก็เข้าใจในทุกๆ ปีก็มีการตั้งฉายา ซึ่งเป็นเรื่องของสีสัน ฉายาของนายกฯ ที่ตั้งเป็นเซลล์แมนสแตนด์ชิน คำว่า เซลล์แมน ตนก็ทราบอยู่แล้ว เพราะประกาศตัวอยู่แล้ว ส่วนสแตนด์ ‘ชิน’ เป็นคำควบกล้ำระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษหรือเปล่า ซึ่งสื่อต้องอธิบายให้ฟัง ตนจึงจะตอบได้ ตนเองก็เข้าใจหลวมๆ ขอให้ถามได้เลย ไม่เป็นไรจะได้ตอบได้ถูกต้อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า คำว่าสแตนด์ ‘ชิน’ ในคำบรรยายหมายความว่าอาจจะเป็นเงาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่รอการขึ้นมาเป็นนายกฯ นายเศรษฐา กล่าวว่า “อ๋อ !โอเค”แต่วันนี้ตนก็เป็นนายกฯ อยู่ และทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และพยายามตั้งใจเอาให้ครบ 4 ปีให้ได้ แต่สำคัญมากกว่านั้นไม่ใช่อยู่ไปให้ครบ 4 ปีแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนไม่ได้ดีขึ้น ส่วนสแตนด์ ‘ชิน’ คือคอยสำหรับให้ครอบครัวไหนเข้ามา อันนี้พี่น้องประชาชนเป็นคนตัดสินมากกว่า ตรงนี้ก็ต้องคอยการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็เข้าใจไม่ได้คิดอะไร

เมื่อถามว่า มองอย่างไรกับฉายารัฐบาลแกงส้ม ‘ผลัก’ รวม นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่ค่อยเข้าใจคำว่าผลักสักเท่าไหร่ แต่หลักแกงส้มเป็นแกงที่มีรสชาติดี และตนก็รู้ว่าเรารวมกันหลายพรรคอยู่แล้ว และรสชาติแกงส้มก็มีทั้งเปรียว หวาน เค็ม เผ็ด ใช่ไหม ตนคิดว่ารัฐมนตรีทุกคนก็ครบเครื่องพร้อมที่จะทำงานให้กับพี่น้องประชาชน ตนมองเป็นลักษณะนั้นมากกว่า 

เมื่อถามย้ำว่าคำว่า ‘แกง’ หมายถึงการแกล้ง ที่เป็นการพรรคก้าวไกลในช่วงต้นๆ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่พรรคเพื่อไทยเราก็โหวตให้ในตอนนั้น แต่ไม่สามารถรวบรวมเสียงได้ และเราก็ไม่สามารถคอยได้ 9-10 เดือนตามที่เขาบอก ก็ต้องทำหน้าที่กันไป ประเทศคอยไม่ได้ ไม่ได้แกล้งแน่นอน และยืนยันตามที่ตนพูดมาตลอดตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งก็บอกอยู่แล้วว่าพร้อมสนับสนุนตรงนั้นหากสามารถทำได้ 

เมื่อถามว่า นายกฯ จะรักษาบรรยากาศของพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้อยู่ครบกันไปถึง 4 ปีใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อยู่ที่ผลงานของเรามากกว่า และดูที่ความตั้งใจของรัฐมนตรีทุกท่าน ไม่ได้มองแยกว่าเป็นรัฐมนตรีจากพรรคไหนเป็นพรรคไหน เราดูผลงานเป็นหลักของทุกๆ รัฐมนตรี และเอาผลงานเป็นที่ตั้ง เมื่อถามว่า 314 เสียงแปลว่าจะไม่มีการปรับพรรคไหนมาหรือปรับออกใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่วันนี้เรามีความสุขอยู่แล้วตรงนี้ และเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านจากทุกพรรคได้ทำงานอย่างเต็มที่ และตนก็ตระหนักดีพี่น้องสื่อมวลชนได้ให้ข้อคิดตลอดเวลา มีปัญหาตรงไหน ต้องแก้ไขตรงไหน และต้องปรับปรุงอย่างไร ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้รัฐมนตรีทุกคนทุกพรรคช่วยกันทำงานอยู่แล้ว 

ผู้สื่อข่าวถามว่าแต่การจะมีพรรคใหม่เข้ามาเพิ่มร่วมรัฐบาล ก็พร้อมที่จะพิจารณาใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ตอนนี้ไม่ได้คิด ผมเชื่อว่า ณ วันนี้ 314 เสียงเรายังทำงานกันได้ดีอยู่ มีเรื่องหรือมีปัญหาอะไรเราก็คุยกันอย่างตรงไปตรงมาโดยเอาผลงานเป็นที่ตั้ง วันนี้เราโอเคอยู่แล้วตรงนี้”

เมื่อถามย้ำว่าอนาคตถ้าจะมีเสียงเพิ่มก็ไม่ติดใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า วันนี้แฮปปี้อยู่แล้ว มีความสุขอยู่แล้ว 314 เสียงจาก 500 เสียงเพียงพอต่อการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีทำงานอย่างเต็มที่ก็ต้องปรับกันไป แม้ไม่เห็นด้วยกันหมดแต่ก็มีการพูดคุยกันอย่างผู้ใหญ่ เมื่อถามว่า วัด KPI รัฐมนตรีอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า โอ้โห แต่ละกระทรวงมีเรื่องที่ต้องทำต่างกันไปคงพูดลำบาก เราเน้นเรื่องวัดผลงานเอาระยะเวลามาเป็นตัวจับไม่ใช่พูดลอยๆ 

เมื่อถามว่า ถ้าได้มาเพิ่มอีก 25 เสียงจากพรรคประชาธิปัตย์จะทำให้ดีขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ในแง่ของตัวเลขก็อาจจะดีขึ้น แต่ในแง่ของการที่จะมาเกลี่ยมาแบ่งกระทรวงกันใหม่มันก็ลำบากขึ้น มันไม่มีอะไรดีหมดหรอก ขอให้ยึดคำที่ตนพูดไว้ วันนี้ 314 เสียงพอแล้ว และรัฐมนตรีทุกท่านทำงานกันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ผลงานก็เริ่มทยอยออกมาแล้ว 

เมื่อถามว่า ทำไมถึงยังมีกระแสข่าวการปรับครม.ออกมา นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ตนไม่ได้เป็นคนให้ข่าว ตนมีหน้าที่ตอบคำถามอย่างเดียว 

เมื่อถามว่า ในที่ประชุม ครม.มีการกำชับถึงการอภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีการกำชับอะไรเป็นพิเศษ 

‘วัชระ’ ยื่นหนังสือถึง ‘นายกฯ’ ตั้ง กก.สอบ ‘นช.ทักษิณ’ พร้อมมอบใบมะละกอ หวังช่วยรักษาโรค จะได้กลับเรือนจำเร็วๆ

(26 ธ.ค.66) ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านนายพันศักดิ์ เจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านมวลชน เรื่อง ขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 6 ปี แต่ไม่ได้จำคุกจริงในเรือนจำแม้แต่วันเดียว และขอให้บังคับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งโทษอาญาและแพ่งให้ นช.ทักษิณชำระเงินให้แก่รัฐคดีทุจริตปล่อยของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์) จำนวนเงิน 189,125,644.55 บาท พร้อมดอกเบี้ย 

ตามหนังสือที่อ้างถึงข้าพเจ้านายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรค
ประชาธิปัตย์ ได้กราบเรียนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่องขอทราบผลการติดตามของกระทรวงการคลังได้ดำเนินการให้จำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร) ชดใช้ความเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวการติดตามเร่งทวงเงินคดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยนั้น

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 11 ก.ย.66 ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา “การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่อยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง โปร่งใสและตรวจสอบได้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 53 รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด” แต่ปรากฏว่าท่านไม่ได้ปฏิบัติตามคำแถลงนโยบายในเรื่องสำคัญที่อยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ คือ กรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 1 ปี แต่ไม่ได้จำคุกจริงในเรือนจำแม้แต่วันเดียว และยังได้อภิสิทธิ์ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล และยังมีการเร่งรัดออกระเบียบตำรวจถึงวันนี้รวม 126 วันโดยพี่น้องประชาชนไม่เชื่อว่ามีการเจ็บป่วยจริง กรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2560 ลงวันที่ 5 ธ.ค.66 ให้ทันในปีนี้เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ นช.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นบิดาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนของบุคคลในรัฐบาลนี้

ดังนั้น จึงขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทุกประเด็นในเรื่องนี้ ธรรมให้ข้อเท็จจริงแก่พี่น้องประชาชน รวมทั้งขอให้บังคับโทษทางอาญาและแพ่งให้แก่รัฐคดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จำนวนเงิน 189,125,644.55 บาท พร้อมดอกเบี้ย หากท่านปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริตไม่ดำเนินการตามกฎหมายภายใน 15 วัน ข้าพเจ้าจะดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญาทันที

และนายวัชระได้มอบใบมะละกอให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ผู้เผยแพร่คลิปว่าใบมะละกอนำมาต้มรักษาโรคร้ายได้ จึงนำมาให้นายสมศักดิ์ นำไปให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่พักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจนาน 126 วันแล้ว จะได้หายกลับเรือนจำเสียที

'สื่อทำเนียบ' ยกคำ 'นายกฯ' วาทะแห่งปี "ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย" 

(26 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตั้งฉายารัฐบาล และ รัฐมนตรีประจำปี ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติ ได้มีมติร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และ วาทะแห่งปี ประจำปี 2566 ดังนี้

>> ฉายารัฐบาล แกง​ส้ม ‘ผลัก’ รวม

‘แกง’ คือ คำสแลงที่ใช้แทนความหมายว่า แกล้ง ‘ส้ม’ คือ สีของพรรคก้าวไกล ส่วนคำว่า ‘ผลักรวม’ ล้อมาจากคำว่า ‘ผักรวม’ เมนูแกงส้มยอดนิยมประเภทหนึ่ง เมื่อรวมกันแล้ว นิยามความหมายในทางการเมือง สะท้อนกระแสสังคม มองพรรคก้าวไกลถูกกลั่นแกล้ง MOU ถูกฉีก และ ถูกผลักออกจากการร่วมรัฐบาล ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมาย และ ข้ออ้างทางการเมือง ส้มจึงหล่นใส่พรรคอันดับรอง กลืนน้ำลายจัดตั้งรัฐบาล ‘มีลุง’ ก็ไม่เป็นไร โดยให้เหตุผลเพื่อความสมานฉันท์ ทำเอาแฟนคลับผู้รักประชาธิปไตยถึงกับหัวใจสลาย ก่อเกิดวาทกรรม ‘ตระบัดสัตย์’

ดังนั้น แกง​ส้ม ‘ผลัก’ รวม จึงใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ของการจัดตั้งรัฐบาลที่ว่า ‘ชนะเลือกตั้ง แต่แพ้จัดตั้ง’ ได้เป็นอย่างดี

>>นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง : เซลล์แมนสแตนด์ ‘ชิน’

นับแต่เศรษฐีที่ชื่อ ‘เศรษฐา’ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็เดินหน้าทำงานทันที โดยเฉพาะการหารายได้เข้าประเทศ ต้องยอมรับในความมุ่งมั่นตั้งใจ คิดเร็วทำไว เดินสายพกประเทศไทยใส่กระเป๋า ไปโรดโชว์จีบนักลงทุนทั่วโลก ประกาศตัวเป็นเซลล์แมนเต็มรูปแบบ

แต่ในทางการเมือง ยังถูกมองว่า ไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง เงาของคนในตระกูล ‘ชินวัตร’ ยังปกคลุม เปรียบเสมือนตัวแสดงแทน หรือ สแตนด์อิน เพราะเคยหลุดปากขณะออกงานพร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวสุดที่รักของนายใหญ่ หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยเช่นกัน ว่า “นายกฯ คนไหน มีนายกฯ 2 คน” อีกทั้งหลายนโยบาย ก็ถูกวิจารณ์ว่า ต่อยอดมาจากนโยบายเดิม ของรัฐบาลนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

>>นายภูมิธรรม​ เวชย​ชัย​ รองนายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​พาณิชย์ : รองกอง

รองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 คนที่นายกรัฐมนตรีต้องเชื่อใจ และ ปล่อยให้ดูแลทุกอย่าง เมื่อต้องออกไปเดินสายขายของในต่างประเทศ ต้องรับเละทุกงานในมิติการเมือง และ ถูกโยนให้รับผิดชอบเป็นเจ้าภาพหลักหลายเรื่อง ที่นายกฯ หลายยุคหลายสมัยต้องนั่งหัวโต๊ะ กลับกลายเป็นการประชุมครั้งแรกของรัฐบาลนี้ รองนายกฯ ที่ชื่อ ‘ภูมิธรรม’ ต้องทำหน้าที่แทน นับตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาประมง กลุ่มพีมูฟ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ EEC หรือแม้แต่ช่วงวิกฤตนาทีชีวิตแรงงานไทยในอิสราเอล ประชุมนัดแรก ก็ยังเป็น ‘ท่านรอง ภูมิธรรม’ ไหนจะงานหลักในกระทรวง ปัญหาของแพง ราคาอ้อย น้ำตาล อีรุงตุงนัง กองสุมอยู่รอบตัว เหมือนลองกอง ผลดก พวงยาว กิ่งใหญ่

>>นายสุทิน คลังแสง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​กลาโหม​ : พลิกทินสู่ดาว

ได้ยินแทบไม่เชื่อหู ใครเห็นเป็นต้องขยี้ตา เมื่อพลเมืองเต็มขั้น เคยรับเงินเดือนครู หลงใหลในดนตรีหมอลำ ผันตัวเข้าสู่แวดวงการเมือง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกองทัพ นอกจากนามสกุล ‘คลังแสง’ ขนาดเจ้าตัวยังไม่เคยนึกฝัน ว่าชีวิตนี้จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ด้วยบุคลิกสุภาพ ใจเย็น มืออ่อน และ ลีลาร้องรำน่าเอ็นดู จึงเข้าได้กับทหารทุกกรมกอง พลิกชีวิตลูกอีสาน สู่ดาวเจิดจรัสเฉิดฉาย ท่ามกลางเหล่าทัพได้อย่างแนบเนียน

>>พ.ต.อ. ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงยุติธรรม : ทวี สอดไส้

ยิ่งกว่านอนมา สำหรับตำแหน่งเจ้ากระทรวงยุติธรรม เต็งหนึ่งชื่อเดียว แบบไร้คู่แข่งมาตั้งแต่ต้น สะท้อนความไว้วางใจจากนายใหญ่แค่ไหน คงไม่ต้องพูดถึง

แม้จะไม่โดดเด่นในการบริหารราชการช่วง 3 เดือนแรก แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะประเด็น เอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังเดินทางกลับมารับโทษ ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตำรวจ ทำให้ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่คืนเดียว เผือกร้อนแค่ไหนคงไม่ต้องถาม มือพองแค่ไหนก็ต้องถือ กว่านายทักษิณจะออกจากคุก ต้องถูกจ้องถล่มอีกมากแค่ไหน คงไม่ต้องเดา

>>นายชาดา ไทย​เศรษฐ์​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ : มาเฟียละเหี่ยใจ​

นักการเมืองชื่อดังแห่งจังหวัดอุทัยธานี ประวัติโลดโผน ภาพจำพัวพันวงการนักเลง ถูกประทับตรามาเฟีย ผู้คนยกสถานะให้เป็นผู้ทรงอิทธิพล แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธมาโดยตลอด พร้อมให้คำจำกัดความตัวเองไว้ว่า “ ความดีพอสมควร ความชั่วพอประมาณ สันดานพอคบได้”

หน้าที่การงานในตำแหน่งรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญ เป็นโต้โผปราบปราม ‘ผู้มีอิทธิพล’ จนฮือฮากันทั้งประเทศ แต่ยังไม่ทันได้สร้างผลงาน ‘ลูกเขย’ ก็สร้างเรื่องก่อน ถูกเจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) จับกุม ในข้อหาเรียกรับสินบนจากผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการระบบประปาหมู่บ้านแบบบาดาล 2 โครงการ งานนี้เก้าอี้รัฐมนตรีร้อนระอุ เปิดแถลงข่าวภายใน 24 ชั่วโมง สั่ง ‘ลูกเขย’ ยื่นใบลาออกทันที ไม่ต้องรอสอบสวน ลั่นเป็นลูกเขยชาดา สปิริตต้องมากกว่าคนอื่น

>>วาทะแห่งปี

“ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย​”

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประกาศเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 หลังพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย

โดยขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเท ทำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ แต่ทำงานยังไม่ถึง 4 เดือน กลับขอลาพักผ่อนกับครอบครัวเป็นเวลา 4 วัน จนชาวโซเชียล อดแซวไม่ได้

หากถามนักข่าวหลายคนที่คุ้นเคย และ ตามติดภารกิจนายเศรษฐา ต่างรู้ซึ้งเป็นอย่างดี ถึงคำว่า “ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” แทบทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ตามนายกฯ 3 เดือนเหมือน 3 ปี ให้สัมภาษณ์ทุกที่ ที่มีโอกาส ถึงไม่เห็นหน้าก็มาทางโซเชียล ค่ำคืนไม่พักไม่ผ่อน โพสต์ประเด็นร้อนทันใจ ‘ภูเก็ตก็แค่ปากซอย’ นักข่าวพิสูจน์แล้ว นายกฯ ทำได้จริง พร้อมสะท้อนปัญหาหลักของนายกฯ ที่มักบอกว่าเป็นคนพูดตรง คือ การสื่อสาร หลายครั้งนำภัยมาสู่ตน เมื่อขึ้นศักราชใหม่แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร คงต้องรอติดตามกันต่อไป

‘นายกฯ’ สรุปภาพรวมปี 66 เน้นบรรเทาความเดือดร้อน ปชช. พร้อมย้ำ!! ตั้งแต่รับตำแหน่งมา ทำงานเต็มที่ไม่รู้จักเหนื่อย

(24 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สดผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ถึงภาพรวมการทำงานของรัฐบาลในปี 2566 ว่า หากให้ประเมินแบบการให้คะแนนตนคงไม่ให้ เพราะเป็นหน้าที่คนอื่นที่ต้องให้ แต่ว่าตั้งแต่ที่เข้ามารับตำแหน่งนั้น เราก็ทำงานอย่างเต็มที่ รัฐบาลเราให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เรื่องของการลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนที่ออกมาก่อนหน้านี้ ทั้งการลดค่าไฟ ลดค่าน้ำมัน พักชำระหนี้เกษตรกร เป็นต้น อีกทั้งยังมีเรื่องของนโยบายภาพรวมในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญด้วย

เมื่อถามผลประเมินที่บางฝ่ายออกมาให้คะแนนนายกรัฐมนตรีเข้าเกณฑ์สอบผ่าน สะท้อนถึงการทำงานหนักด้วยหรือไม่ นายเศรษฐาถึงกับร้อง “โอ๊ย!” ก่อนกล่าวว่า หากเราทำงานหนักแล้วประชาชนยังเดือดร้อน ลงไปพื้นที่ยังเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นก็เชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านทำเต็มที่ ไม่ใช่แค่ตนทำงานคนเดียว ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันหมด อีกทั้งปัญหาต่างๆ ก็ต้องค่อยๆ แก้กันไป ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักการเมืองอยู่แล้วที่อาสามา เข้ามาตรงนี้ทราบอยู่แล้วว่าต้องทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล นายเศรษฐากล่าวย้ำว่า ยังคงเป็นไทม์ไลน์เดิมคือพฤษภาคมปีหน้า

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า ขอให้ใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่ ระมัดระวังเรื่องของการเดินทาง ที่สำคัญคือเมาไม่ขับ ขอให้ทุกคนปลอดภัย และปีหน้าขอให้เป็นปีที่ดีขึ้น ส่วนทางรัฐบาลก็จะทำงานอย่างเต็มที่

'นายกฯ' ยัน!! ปม 'ทักษิณ' ทำตามกฎระเบียบ ไม่เอื้อประโยชน์ให้ใคร  ชี้!! หากโยงเข้าการเมืองก็ทำได้ทุกเรื่อง ลั่น!! มีปัญหาต้องแก้ไขกันไป

(24 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สดผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งถึงกรณีการรักษาตัวในโรงพยาบาลครบ 120 วันของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก รวมถึงเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ที่ผ่านมา กรณี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล และมีกระแสข่าวว่านำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือ รวมถึงยังมีอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมทั้งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเข้ามาด้วยว่า...

"มีการพูดคุยกันในหลายเรื่องที่เราติดตามกันอยู่ เป็นคดีที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจ ประเด็นของนายทักษิณ อย่างที่ตนได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ว่าขอให้เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์กับโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งตนมั่นใจว่าเขาไม่ได้ออกกฎระเบียบมาเพื่อดูแลคนๆ เดียว ต้องคิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก รวมถึงเชื่อว่าทั้งสองหน่วยงานจะยึดถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วย"

เมื่อถามถึงความพยายามเชื่อมโยงประเด็นของนายทักษิณมาเป็นเรื่องของการเมือง จะส่งผลต่อการกดดันทางการเมืองในปีหน้าด้วยหรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า "ทุกเรื่องก็คงเป็นประเด็นการเมืองทั้งหมดหากจะโยงกันจริงๆ แต่เราก็ยึดมั่นในกฎระเบียบที่ไม่ได้ทำมาเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นไปตามกฎแล้วทุกคนมีสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกกล่าวโทษหรือผู้ที่อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจเอง ท่านเองก็เป็นนายกรัฐมนตรีมาสองสมัย และเป็นบุคคลที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมา ท่านก็ได้รับการดูแล แต่เชื่อทุกอย่างเป็นไปตามกฎกติกาที่ได้วางกันไว้ ส่วนเรื่องจะมาเป็นประเด็นทางการเมืองมากน้อยขนาดไหนอย่างไร ตนคงไม่ไปทำนายส่วนนั้นได้"

"มีปัญหาก็ต้องแก้ไขกันไป มีอะไรไม่กระจ่างก็ต้องชี้แจงกันไป แต่เรายึดมั่นในกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว" นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีพรรคการเมืองฝ่ายค้านออกมาระบุ เตรียมขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในช่วงปีหน้า? นายกฯ กล่าวว่า "การตรวจสอบเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านอยู่แล้ว หน้าที่เราคือทำงาน แต่หากมีการสอบถามมาหรือถึงขั้นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเราก็มีหน้าที่ต้องตอบ และยืนยันไม่มีความหนักใจ เราทำงานเอาประชาชนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว เชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านรวมถึงตน ตอบอยู่แล้วถึงเรื่องที่เราทำกันมา"

ดาบสองคมจาก ‘สมศักดิ์’ หลังออกโรงป้อง ‘โทนี่’ พร้อมจับตา!! ปรับครม.จองเก้าอี้ใหญ่ ฝันไกลมท.1

สรุปว่ากรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ได้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่รพ.ตำรวจ ชั้น 14 จนถูกโจมตีว่าเป็นนักโทษเทวดานั้น บัดนี้ครบ 120 วันแล้ว เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2566 ที่ผ่านมา…ตามกฎกระทรวง (ยุติธรรม) ว่าด้วย ‘การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563’ ที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ในฐานะรมว.ยุติธรรม ลงนามให้ไว้ ณ วันที่ 25 ก.ย.2563 ระบุไว้ชัดเจนในข้อ 7(3) ว่า

กรณีพักรักษาตัวเกิน 120 วัน ให้ผบ.เรือนจำมีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี (ราชทัณฑ์)พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษา และหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีทราบ…

ปัญหามีอยู่ว่าตอนนี้ที่ นช.ทักษิณ ได้ใช้บริการชั้น 14 ต่อนั้น...ด้วยเหตุผลใด ตามข้อ 7(3) ที่ว่ามา หรือว่า นช.ทักษิณ ได้เปลี่ยนไปใช้สิทธิ์ระเบียบราชทัณฑ์ล่าสุดว่าด้วย ‘คุกนอกเรือนจำ’  หรือรอย้ายไปคุมขังที่รพ.พระราม 9, ที่บ้าน หรือที่อื่น ๆ...

ไม่มีการแถลงจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนใหม่หมาด…สหการณ์ เพชรนรินทร์ ว่าอะไรเป็นอย่างไร...มีแต่เสียงปกป้องนายใหญ่ของสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ ที่ตอบคำถามนักข่าวเมื่อ 22 ธ.ค. กรณีกรรมาธิการการตำรวจสภาฯ จะไปตรวจชั้น 14 ว่าหากเขาไม่อนุญาตก็ไปไม่ได้ เพราะเป็นเอกสิทธิ์ของผู้ป่วย “หากถามว่าเป็นโรคอะไร เจ็บป่วยอะไร และเขาไม่อยากเปิดเผย  หากเปิดเผยจะถูกฟ้องตายห่า...”

ก่อนหน้านั้นวันที่ 21 ธ.ค. ในฐานะรมว.ยุติธรรมเก่า สมศักดิ์อธิบายความเป็นมาตั้งแต่พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 และกฎกระทรวง 2563 จนมาถึงระเบียบราชทัณฑ์ 2566 ที่รับช่วงต่อยอดเรื่องการพัฒนาการคุมขังนอกเรือนจำตามหลักสากล หลักสิทธิมนุษยชนได้อย่างค่อนข้างชัดเจน...ก่อนที่จะฟันธงตรงประเด็นว่า...ทักษิณเข้าเกณฑ์ที่จะใช้สิทธิ์ ‘คุกนอกเรือนจำ’

‘เล็ก เลียบด่วน’ เช็กข่าวจากแนวรบพรรคเพื่อไทยมาแล้วว่า...การออกมาพูดสองรอบของสมศักดิ์ เข้าตา-โดนใจกรรมการบ้านชินวัตรเป็นยิ่งนัก...เป็นการออกมาพูดในจังหวะที่ถูกที่ถูกเวลา

- สมศักดิ์รู้ดีว่าโดยเนื้อแท้สังคมไม่ได้คัดค้านเนื้อหาระเบียบราชทัณฑ์ เพราะมันจะตอบโจทย์นักโทษกว่าหมื่นคนที่จะได้ใช้บริการ ‘คุกนอกเรือนจำ’ ทักษิณก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น..

-อดีตรัฐมนตรี 13 -14 สมัย อย่างสมศักดิ์ย่อมอ่านขาดว่าอีกไม่นาน...หรืออย่างช้าประมาณ พ.ค.-มิ.ย. จะมีการปรับครม.อย่างแน่นอน และรอบนี้เขาน่าจะได้ทำงานใหญ่กว่ารองนายกฯ...อย่างน้อยควรจะได้ดูแลกระทรวงเกษตรฯ อีกสักครั้ง หรือหากให้เขาเลือกได้ก็จะขอเลือกเก้าอี้รมว.มหาดไทยโน่นเลย...แม้จะยากเพราะภูมิใจไทยถือโควต้าอยู่..

อย่างไรก็ตาม แม้จะออกตัวแรงและทำได้เข้าตากรรมการประชาชนชาวพรรคเพื่อไทย แต่ในอีกมุมก็ย่อมมีแรงต้านเป็นธรรมดา..การออกโรงของสมศักดิ์ เมื่อผสมกับคำประกาศของนายทักษิณ ‘วิญญัติ ชาติมนตรี’ ที่ขู่ฟอด ๆ จะฟ้องทุกคนที่ละเมิดสิทธิ์ทักษิณ แบบว่าเมื่ออ่านที่ทนายวิญญัติประกาศแล้ว...เกือบจะทำให้คิดว่า..แค่เอ่ยชื่อทักษิณกรูก็อาจถูกฟ้องได้…

อันนี้แหละมันจะเป็นดาบอีกคมยิ่งทำให้...คนหมั่นไส้และชิงชังในปรากฏการณ์ทักษิณที่ถูกมองว่าเป็นนักโทษเทวดา...ทั้ง ๆ ที่จะไม่มีปัญหาอะไรเลย หากทุกฝ่ายทุกคนพูดความจริง…

แต่ที่มันไม่พูดกันไม่ได้…ใช่หรือไม่ว่าเพราะมีการโกงความยุติธรรม โกงความจริงกัน!?

‘นิด้าโพล’ เปิดผลสำรวจคะแนนนิยมนักการเมือง 'พิธา' นำโด่ง เหตุมีความเป็นผู้นำ-วิสัยทัศนดี แซงหน้า 'เศรษฐา' อันดับ 2

(24 ธ.ค.66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาสปี 2566’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 13-18 ธันวาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคะแนนนิยมทางการเมือง การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า

อันดับ 1 ร้อยละ 39.40 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะมีความเป็นผู้นำ เป็นคนรุ่นใหม่ วิสัยทัศน์ดี บุคลิกดี และเข้าถึงประชาชน 
อันดับ 2 ร้อยละ 22.35 ระบุว่าเป็น นายเศรษฐา ทวีสิน (พรรคเพื่อไทย) เพราะมีความรู้ความสามารถ ตรงไปตรงมา และชื่นชอบพรรคเพื่อไทย 
อันดับ 3 ร้อยละ 18.60 ระบุว่ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ 
อันดับ 4 ร้อยละ 5.75 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ ชื่นชอบพรรคและนโยบายพรรคเพื่อไทย และชื่นชอบผลงานในอดีตของตระกูลชินวัตร 
อันดับ 5 ร้อยละ 2.40 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) เพราะมีความรู้ความสามารถ มีความน่าเชื่อถือ ตรงไปตรงมา และมีความซื่อสัตย์สุจริต 
อันดับ 6 ร้อยละ 1.70 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม ตรงไปตรงมา และชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา 
อันดับ 7 ร้อยละ 1.65 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะมีประสบการณ์ด้านการบริหารประเทศ และต้องการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ 

ร้อยละ 3.90 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) นายชัยธวัช ตุลาธน (พรรคก้าวไกล) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) นายวราวุธ ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (พรรคประชาธิปัตย์) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ (พรรคชาติพัฒนากล้า) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง (พรรคประชาชาติ) นายเฉลิม อยู่บำรุง (พรรคเพื่อไทย) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ (พรรคไทยศรีวิไลย์) และ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์
และร้อยละ 4.25 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 44.05 ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล อันดับ 2 ร้อยละ 24.05 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 3 ร้อยละ 16.10 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 4 ร้อยละ 3.60 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 5 ร้อยละ 3.20 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ อันดับ 6 ร้อยละ 1.75 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 7 ร้อยละ 1.45 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 1.85 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคไทยสร้างไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อไทยรวมพลัง พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนากล้า และพรรคเสรีรวมไทย และร้อยละ 3.95 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top