Saturday, 14 June 2025
POLITICS NEWS

‘พีระพันธุ์’ อึ้ง!! ‘สส.ก้าวไกล’ ใช้ ‘ข้อมูลคาดการณ์’ อภิปรายฯ งัดข้อมูลจริง ‘กฟผ.’ ยัน!! ‘ลดค่าไฟ’ ไม่ได้สร้างปัญหาการเงิน

(5 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า…

วันนี้ติดภารกิจตลอดทั้งวัน เพิ่งมีโอกาสได้สรุปข้อเท็จจริง

ช่วงหัวค่ำเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 66 ท่านศุภโชติ ไชยสัจ สส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายงบประมาณ ปี 2567 พาดพิงเรื่องที่รัฐบาลลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนว่าทำให้เป็นปัญหาการเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.)

น่าแปลกที่เรื่องเดียวกันท่านกลับเลือกพูดเรื่องปัญหาการเงินของ กฟผ. แทนที่จะพูดเรื่องประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากการช่วยแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าให้ประชาชนทั้งประเทศที่ผมและรัฐบาลนี้ทำสำเร็จ

ท่านบอกว่า กฟผ. มีสถานะเงินสดต่ำมากจนน่าเป็นห่วง โดยมีแนวโน้มตามกราฟิกที่นำมาแสดงว่าตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 กฟผ. จะมีกระแสเงินสดเหลือเพียง 39,234 ล้านบาท และลดลงเรื่อย ๆ ถึงขั้นมีกระแสเงินสดเหลือแค่ 10,000 กว่าล้านบาท โดยเฉพาะเดือนกรกฎาคม ตุลาคม และธันวาคม 2567 จะไปถึงขั้นกระแสเงินสดติดลบเอาเลย แถมยังมีหนี้สินที่ต้องชำระให้ ปตท. อีกหลายหมื่นล้านบาท 

ในขณะที่จะต้องส่งรายได้ให้รัฐอีกปีละหลายหมื่นล้านโดยปี 2566 กฟผ. ต้องนำรายได้ส่งรัฐ 17,142 ล้านบาท และปี 2567 ที่จะติดลบกระแสเงินสดด้วยนี้ กฟผ. กลับจะต้องนำส่งรายได้ให้รัฐถึง 28,386 ล้านบาท สูงกว่าปี 66 ถึง 65% แล้วจะทำอย่างไร

ฟังแล้วน่าตกใจว่ารัฐไปยัดปัญหาให้ กฟผ. เพิ่มทำไม ประชาชนทางบ้านและสื่อมวลชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงก็จะตกใจตามไปด้วย

ผมก็ตกใจครับ ไม่ได้ตกใจในข้อมูลและตัวเลขที่ท่านพูด แต่ตกใจว่าทำไมท่านเลือกเอาข้อมูลที่เป็นเพียง ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่ทำล่วงหน้าก่อนของจริงตั้งแต่ตุลาคม 2566 ปีที่แล้วมาพูด แทนที่จะเอา ‘ข้อมูลจริง’ ที่ ‘เกิดขึ้นจริง’ ณ เวลานี้ มาพูด

ขอเรียนตามนี้ครับ
1) ข้อมูลตัวเลขต่าง ๆ ที่ผมนำมานั้น มาจากรองผู้ว่าการ กฟผ. ฝ่ายการเงิน หรือ CFO ที่ให้ข้อมูลผมตอนที่จะนำงบการเงินปี 2564 - 2565 ของ กฟผ. รายงานต่อ ครม. เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 67 และอีกครั้งก่อนที่ผมจะตอบชี้แจงเมื่อคืน จึงเชื่อถือได้ว่าเป็น ‘ข้อมูลจริง’ แต่ถ้าท่านไม่เชื่อคงต้องไปเถียงกับ กฟผ. เอาเองนะครับ

2) ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่ท่าน สส. ศุภโชติ แห่งพรรคก้าวไกล นำมาพูดนั้น เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าตั้งแต่ตุลาคม 2566 ก่อนมี ‘ข้อมูลจริง’ ณ ปัจจุบัน ดังนี้

(ก) ตารางหรือกราฟที่ท่าน ส.ส. ศุภโชติ นำมาใช้นั้น เป็นเพียงการคาดการณ์เพื่อแสดงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้น และมิได้แปลว่าจะเกิดขึ้นจริงตามนั้น เพราะ กฟผ. จะต้องบริหารจัดการมิให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้น อย่างไรก็ตาม กฟผ. ก็ต้องประมาณการแบบ ‘ร้าย’ หรือแบบ worst case scenario ไว้ก่อน และตารางหรือกราฟนั้นก็เป็นเพียงเอกสารภายในที่ใช้เพื่อชี้แจงพนักงานของ กฟผ. ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลจริงในการบริหาร และไม่อาจใช้อ้างอิงได้ เพราะไม่ใช่ข้อมูลที่จะเกิดขึ้นจริง

(ข) มีปัจจัยที่เป็น ‘ข้อมูลจริง’ อื่น ๆ ที่ทำให้ กฟผ. มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ตามตารางที่นำมาแสดงอีกประมาณเกือบ 15,000 ล้านบาท เช่น กำไรจากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 4,000 ล้านบาท กำไรจากการรับงานภายนอกองค์กรประมาณ 1,000 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 2,600 ล้านบาท ต้นทุนลดลงจากการบริหารจัดการประมาณ 5,000 ล้านบาท และกำไรจากรายได้อื่นๆ ประมาณ 2,100 ล้านบาท เป็นต้น ทำให้ ณ สิ้นปี 2566 กฟผ. มีเงินสดคงเหลือจริงประมาณ 91,000 ล้านบาท ไม่ใช่ 63,623.6 ล้านบาท ตามที่ปรากฏในตารางคาดการณ์ที่นำมาแสดง

(ค) อัตราค่าไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บจากประชาชนตามการคาดการณ์ในตารางจะอยู่ที่ 3.99 บาท / หน่วย ตลอดปี 2567 และคาดการณ์ว่าเป็นภาระของ กฟผ. เองทั้งหมดแต่เพียงหน่วยงานเดียว แต่ ‘ข้อมูลจริง’ ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น อยู่ระหว่าง 4.15 ถึง 4.20 บาท / หน่วย ตั้งแต่มกราคมถึงเมษายน 2567 ส่วนค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกินเดือนละ 300 หน่วย ที่รัฐบาลคงไว้ที่ 3.99 บาท / หน่วย นั้น รัฐบาลเป็นผู้แบกรับภาระจากเงินงบกลางเป็นเงินประมาณ 1,995 ล้านบาท จึงไม่เป็นภาระของ กฟผ. ฝ่ายเดียว ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาแสดง

(ง) การแบกรับภาระอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงทั้งสองครั้งนี้ ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ เป็นการคาดการณ์ว่า กฟผ. จะเป็นผู้แบกรับภาระเองทั้งหมดแต่เพียงหน่วยงานเดียว แต่ตาม ‘ข้อมูลจริง’ รัฐบาลมีการบริหารจัดการและช่วยดำเนินการในหลายรูปแบบ โดยในครั้งนี้รัฐบาลมีการปรับโครงสร้าง Pool Gas และให้ กกพ. เรียกเก็บค่า Shortfall มาลดภาระ รวมทั้งใช้เงินงบกลางเข้ามาช่วยลดภาระ กฟผ. ด้วย
ข้อมูลใน (ค) และ (ง) นี้ก็ไม่ปรากฏในตารางที่เป็น ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาพูด เพราะในเวลาที่ทำตารางเมื่อเดือนตุลาคม 2566 นั้น ‘ข้อมูลจริง’ นี้ ยังไม่เกิดขึ้น

3) จากสถานะการเงินที่เป็น ‘ข้อมูลจริง’ ณ สิ้นปี 2566 กฟผ. มีเงินสดในมือประมาณ 91,000 ล้านบาท จึงเป็นไปไม่ได้ที่ ณ เดือนมกราคม 2567 เพียงหนึ่งเดือนให้หลังกระแสเงินสดของ กฟผ. ก่อนหักค่าใช้จ่ายจะเหลือเพียง 39,234 ล้านบาท ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาแสดง

4) มาตรฐานทางการเงินของ กฟผ. จะต้องคงสถานะเงินสดไม่ให้ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท หากเมื่อใดมีแนวโน้มว่าจะลดต่ำลงกว่ามาตรฐานนี้ กฟผ. จะดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ทันที และที่ผ่านมา กฟผ. ก็ดำเนินการตามนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริงที่สถานะการเงินจริงของ กฟผ. ในปี 2567 จะลดลงเรื่อย ๆ จนถึงขั้นติดลบในเดือนกรกฎาคม ตุลาคม และธันวาคม 2567 ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาแสดง

5) ตาม ‘ข้อมูลจริง’ นั้น กฟผ. ชำระหนี้เดิมที่มีกับ ปตท. หมดสิ้นแล้วตั้งแต่มกราคม 2566 สำหรับปี 2566 ทั้งปีนั้น กฟผ. ไม่ได้ติดหนี้อะไร ปตท. โดยมีการชำระหนี้ให้ ปตท. ตามกำหนดเวลาตลอดมา ณ วันนี้ กฟผ. จึงไม่มีหนี้สินอะไรกับ ปตท. อีก

6) การส่งรายได้ให้รัฐของ กฟผ. กำหนดมาตรฐานไว้ที่ประมาณ 50% ของกำไรในแต่ละปี สำหรับปี 2566 ที่ผ่านมา ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าในปี 2566 ว่า กฟผ. จะนำส่งรายได้ให้รัฐ 17,142 ล้านบาท แต่ตาม ‘ข้อมูลจริง’ กฟผ. จะนำส่งรายได้ให้รัฐสำหรับปี 2566 นี้ประมาณ 24,000 ล้านบาท ไม่ใช่ 17,142 ล้านบาท ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาพูด ข้อมูลที่นำมาพูดจึงผิดไปจากความจริงที่เป็น ‘ข้อมูลจริง’ ถึง 28.575% และนี้ยังแสดงให้เห็นประสิทธิภาพของ กฟผ. ด้วยว่าขนาดอัตราค่าไฟฟ้าลดลง แต่ กฟผ. ยังสามารถนำส่งรายได้สูงกว่า ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า

7) สำหรับปี 2567 ล่าสุด กฟผ. คาดการณ์ว่าจะนำส่งเงินรายได้ประจำปี 2567 ให้รัฐประมาณ 20,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ประมาณ 16.6666% ไม่ใช่จะนำส่งรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 65% จาก 17,142 ล้านบาท เป็น 28,386 ล้านบาท ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาพูดอีกเช่นกัน แต่ไม่แน่นะครับ เอาเข้าจริง กฟผ. อาจสามารถบริหารจัดการให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นเดียวกับปี 2566 ที่ผ่านมานี้ได้อีก ก็เป็นไปได้นะครับ

‘นายกฯ’ เรียก ‘รมว.กห.-ผบ.ทบ.’ ถกแก้ปัญหา ‘บำบัดผู้ติดยา’ เล็งเปิด ‘รพ.ค่ายทหาร’ จ่อแถลงแผนงานภายใน 2 สัปดาห์นี้

(5 ม.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทวิตข้อความ ถึงการแก้ปัญหายาเสพติดว่า “ปัญหาการบำบัดผู้ติดยาเสพติด เป็นปัญหาที่กระทบต่อสังคมไทย สส.ในพื้นที่ก็ได้สะท้อนปัญหาที่รับร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนมาเป็นจำนวนมาก 

ผมได้เชิญท่าน รมว.กลาโหม และผบ.ทบ.. เพื่อร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหา ฝ่ายความมั่นคงยินดีที่จะเปิดค่ายทหาร เพื่อรองรับผู้เสพยาเสพติด โดยคัดกรองนำผู้เสพยาจากหมู่บ้าน คัดแยกผู้ที่ติดยาเสพติดออกจากชุมชน และส่งไปบำบัดยังโรงพยาบาลของค่ายทหารประจำจังหวัดต่อไป ซึ่งจะแถลงข่าวถึงแผนการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมภายใน 2 สัปดาห์นี้ครับ“

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้เชิญ นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม และ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ. เข้าพบเพื่อหารือเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 4 ม.ค.ที่อาคารรัฐสภา ระหว่างร่วมประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567

‘วัชระ’ จี้ ‘พีระพันธุ์’ สอบปม ‘ทักษิณ’ จำคุกจริงหรือไม่? กร้าว!! ให้เวลา 7 วัน หากเรื่องไม่คืบเตรียมร้อง ป.ป.ช.

(4 ม.ค. 67) นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางไปที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือต่อ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ผ่าน นายสมพาส นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน 10 ประเด็น กรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า

เรื่อง ขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 1 ปี แต่ไม่ได้จำคุกจริงในเรือนจำแม้แต่วันเดียวจริงหรือไม่ มีอาการป่วยเป็นเท็จหรือไม่ และอยู่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจตลอดเวลาหรือไม่ และขอสำเนาเอกสารตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540

เรียน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี

อ้างถึง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 381/2566 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2566

สิ่งที่ส่งมาด้วย 1. คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา จำคุก นช. ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 3 คดี คือ คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 4/2551 ความผิดต่อหน้าที่ราชการ กำหนดโทษจำคุก 3 ปี , คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 10/2552 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กำหนดโทษจำคุก 2 ปี ซึ่งคดีที่ 1 กับคดีที่ 2 นับโทษซ้อนกันรวมกำหนดโทษจำคุก 3 ปี, คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 5/2551 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมกำหนดโทษจำคุก 5 ปี จำนวน 1 ชุด

2. ราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 1 กันยายน 2566 จำนวน 1 ชุด

3. สำเนาข่าวผู้จัดการออนไลน์ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2566 สื่อนอกตีข่าว 'ทักษิณ' ป่วยทันทีหลังกลับไทย ถูกส่งตัวจากเรือนจำเข้าโรงพยาบาลเมื่อคืนนี้ จำนวน 1 ชุด 

4. หนังสือนายวัชระ เพชรทอง ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2566 เรื่องขอให้ระงับยับยั้งการที่จะส่งตัว นช.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษไปคุมขังนอกเรือนจำและขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนลงโทษข้าราชการกรมราชทัณฑ์ เรียน พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จำนวน 1 ชุด 

5. หนังสือนายวัชระ เพชรทอง ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2566 เรื่องขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 1 ปี แต่ไม่ได้จำคุกจริงในเรือนจำแม้แต่วันเดียว และขอให้บังคับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งโทษอาญาและแพ่งให้ นช.ทักษิณชำระเงินให้แก่รัฐคดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์) จำนวนเงิน 189,125,644.55 บาท พร้อมดอกเบี้ย กราบเรียนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จำนวน 1 ชุด 

6. หนังสือสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ นร 0105.5/47874 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2566 ถึงนายวัชระ เพชรทอง จำนวน 1 ชุด ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่อ้างถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมายและมอบอำนาจให้ รองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) ในฐานะปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบกระทรวงยุติธรรม (ยกเว้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ) นั้น 

ข้าพเจ้านายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนกรณีเคลือบแคลงสงสัยว่า นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำนวน 3 คดี รวมกำหนดโทษจำคุก 8 ปี (สิ่งที่ส่งมาด้วย 1) และประกาศราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 1 กันยายน 2566 มีการประกาศให้โทษจำคุกเหลือ 1 ปี (สิ่งที่ส่งมาด้วย 2) และข่าว นช. ทักษิณฯ ถูกส่งตัวจากเรือนจำเข้าโรงพยาบาลคืนวันที่ 23 สิงหาคม 2566 (สิ่งที่ส่งมาด้วย 3) แต่ไม่ได้มีการจำคุกจริงตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 (ไม่เท่าเทียมนักโทษทั่วไป) 

ต่อมาข้าพเจ้ามีหนังสือร้องเรียนกรณีดังกล่าวถึง พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (สิ่งที่ส่งมาด้วย 4) และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (สิ่งที่ส่งมาด้วย 5) เนื่องจากมีการเอื้อประโยชน์เพื่อช่วยเหลือ นช.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นบิดาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง) หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนของบุคคลในรัฐบาลนี้

ในการนี้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือถึงข้าพเจ้าว่าได้ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังและกระทรวงยุติธรรมซึ่งมีหน้าที่และอำนาจเพื่อพิจารณา (สิ่งที่ส่งมาด้วย 6) ซึ่งหมายถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยังละเว้นไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามที่ข้าพเจ้าได้ร้องเรียนตามหนังสือลงวันที่ 26 ธันวาคม 2566 (สิ่งที่ส่งมาด้วย 5) 

บัดนี้ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบกระทรวงยุติธรรม โปรดดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 1 ปี แต่ไม่ได้จำคุกจริงในเรือนจำแม้แต่วันเดียวจริงหรือไม่ ดังนี้

1. ปรากฏข้อเท็จจริงว่าวันที่ 22 สิงหาคม 2566 กรมราชทัณฑ์มีการดำเนินการตามขั้นตอนเมื่อรับ นช.ทักษิณ ชินวัตร เข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หรือไม่ มีการกรอกทะเบียนประวัตินักโทษ (ร.ท.101) ครบทุกข้อจำนวน 4 หน้าหรือไม่ ถ่ายรูปในชุดนักโทษและตัดผมทรงนักโทษหรือไม่ เข้าห้องขังหรือไม่ มีข้าราชการการเมืองสั่งการให้ข้าราชการกรมราชทัณฑ์กระทำการขัดต่อระเบียบ กฎ กฎหมายของกรมราชทัณฑ์หรือไม่ และขอให้ท่านมีข้อสั่งการให้กรมราชทัณฑ์ส่งคลิปกล้องวงจรปิดของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ 

ในวันที่ 22-23 สิงหาคม 2566 ในจุดที่ นช.ทักษิณ เดินเข้าและออกจากเรือนจำแก่คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร และให้เปิดเผยต่อสาธารณชนด้วย 

2. กรณีแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ส่งตัว นช.ทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจมีอาการเจ็บป่วยจริงหรือไม่ ออกใบรับรองเท็จหรือไม่ และขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนแพทย์และพยาบาลทุกคนที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้กันข้าราชการที่ให้การเป็นประโยชน์ไว้เป็นพยานด้วย

3. นช.ทักษิณ ชินวัตร อยู่พักรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจตลอดเวลาหรือไม่ ป่วยจริงหรือไม่ มีแพทย์และพยาบาลดำเนินการรักษาจริงทุกวันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566 จนถึงปัจจุบันหรือไม่ มีเวชระเบียนการรักษาทุกวันหรือไม่ ขอให้เปิดเผยรายชื่อเจ้าพนักงานเรือนจำที่ควบคุม นช.ทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจทุกนาย และขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเจ้าพนักงานเรือนจำที่ควบคุม นช.ทักษิณ ทุกนายและผู้ตรวจเวรที่ไปเฝ้า นช.ทักษิณทุกวันว่าได้พบ นช.ทักษิณหรือไม่ มีการบันทึกภาพหรือไม่ และมีอาการเจ็บป่วยหรือไม่ โดยขอให้กันข้าราชการที่ให้การเป็นประโยชน์ไว้เป็นพยานด้วย

4. การออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2566 นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้เร่งรัดบังคับให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการออกระเบียบให้ทันบังคับใช้ในปี 2566 หรือไม่ ขอให้ท่านมีข้อสั่งการให้กรมราชทัณฑ์ส่งสำเนาการประชุมการร่างออกระเบียบดังกล่าวทุกครั้งแก่คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร และส่งสำเนาให้ข้าพเจ้าด้วยจำนวน 1 ชุด

5. ขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนกรณีกล้องวงจรปิดโรงพยาบาลตำรวจเสียทุกตัวทุกชั้นและขอให้ประสานงานสั่งการให้ติดตั้งกล้องวงจรปิดที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจภายใน 7 วันเพราะ นช.ทักษิณ ชินวัตร มีสภาพเป็นนักโทษเด็ดขาดอยู่ภายใต้กฎหมายของกรมราชทัณฑ์

6. ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2566 มีอำนาจเหนือคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา จำนวน 3 คดี (สิ่งที่ส่งมาด้วย 1) หรือไม่ และมีอำนาจเหนือราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 1 กันยายน 2566 (สิ่งที่ส่งมาด้วย 2) หรือไม่ การเร่งรัดออกระเบียบฯ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นช.ทักษิณเป็นการละเมิดพระราชอำนาจตามพระบรมราชโองการที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 1 กันยายน 2566 หรือไม่ ท่านจะดำเนินการอย่างไร

7. ขอให้บังคับโทษทางแพ่ง นช.ทักษิณ ชินวัตร ชำระเงินให้แก่รัฐคดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์) จำนวนเงิน 189,125,644.55 บาท พร้อมดอกเบี้ย คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 4/2551 มีการบังคับคดีแล้วหรือยัง เมื่อไร ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ถ้ายังไม่ดำเนินการท่านจะสั่งการตามอำนาจหน้าที่อย่างไร

8. นช.ทักษิณ ชินวัตร พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเกินกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ข้อ 7 (3) ที่ต้องรายงานต่อรัฐมนตรีทราบนั้นขอให้เปิดเผยรายงานต่อพี่น้องประชาชนทั้งประเทศภายใน 7 วัน

9. ขอให้ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เดินทางไปโรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 ภายใน 7 วัน เพื่อตรวจสอบว่า นช.ทักษิณ ชินวัตร ป่วยจริงหรือไม่ และอยู่โรงพยาบาลตลอดเวลาหรือไม่

10. มีข่าวว่าจะมีการทำบัญชีโยกย้ายข้าราชกรมราชทัณฑ์ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่ายการเมืองในกรณีนี้หลายตำแหน่ง ท่านจะให้ความยุติธรรมเบื้องต้นแก่ข้าราชการอย่างไร การกระทำของข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำตามข้อ 1 - ข้อ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่างกรรมต่างวาระ ผิดประมวลจริยธรรมอย่างร้ายแรงจึงขอให้ท่านตั้งคณะกรรมการสอบสวนภายใน 7 วันเพื่อผดุงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรม

ดังนั้นจึงขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทุกประเด็นในเรื่องนี้ เพื่อมาตรฐานความยุติธรรมที่เท่าเทียมกับนักโทษ 280,000 รายทั่วประเทศ รวมทั้งขอให้บังคับโทษทางอาญา นช.ทักษิณ ชินวัตร อย่างเคร่งครัด หากท่านไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามที่พี่น้องประชาชนร้องเรียนข้าพเจ้ามานี้ภายใน 7 วัน ข้าพเจ้าจำเป็นต้องยื่นร้องเรียนกล่าวโทษบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาเพื่อให้ ป.ป.ช.สอบสวนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกมาตราและสอบจริยธรรมร้ายแรงต่อไป และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าท่านรักษาและปฏิบัติตามกฎหมาย ด้วยหลักนิติรัฐ นิติธรรม และจริยธรรมทรงการเมืองอย่างเคร่งครัด จึงได้ส่งหนังสือร้องเรียนมายังท่าน

อนึ่งขอให้กันข้าราชการกรมราชทัณฑ์ แพทย์ พยาบาลโรงพยาบาลราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจที่ให้การตามความจริงและเป็นประโยชน์แก่ทางราชการทุกคนไว้เป็นพยานทุกราย และเอกสารทุกข้อ ข้าพเจ้ามีความประสงค์ที่จะขอตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ขอให้จัดส่งแก่ข้าพเจ้าภายใน 30 วัน พร้อมลงลายมือชื่อรับรองเอกสารทุกแผ่น

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และกฎหมายโดยเร่งด่วน หากผลเป็นประการใดโปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าและพี่น้องประชาชนทราบโดยเร็วที่สุดด้วย จักขอบคุณ

‘นายกฯ’ ย้ำ!! ‘กอ.รมน.’ ตั้งใจจริงแก้ปัญหาดับไฟใต้ พร้อมน้อมรับคำวิจารณ์ หากวิธีแก้ต่างกับบางฝ่าย

(4 ม.ค.67) จากนั้นเวลา 14.30 น.นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ชี้แจงการอภิปรายของนายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ว่า ขอบคุณสมาชิกที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับงบประมาณของ กอ.รมน. วิธีการบริหารจัดการปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งหลายประเด็นก็น่าหยิบยกมาพูดคุย และให้ทีมงานนำไปขยายผลต่อเพื่อปัญหาจะได้ลดลง

ทั้งนี้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่สะสมมานาน แต่ถ้าดูจากช่วงระยะหลัง เรื่องของความรุนแรงก็ลดน้อยลงอย่างมีนัยยะ ก็ต้องขอขอบคุณ สส. และตัวแทนของพรรคการเมืองที่เข้าไปมีส่วนร่วมให้เกิดความสงบ พูดคุยกับพี่น้องประชาชน ทำให้ปัญหาความรุนแรงลดน้อยลง และขอบคุณฝ่ายความมั่นคง กอ.รมน. ซึ่งท่านอาจจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ตนเห็นความตั้งใจจริง อาจจะมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันไป แต่ตนเชื่อว่าทั้งตันท่านเอง ฝ่ายความมั่นคง และ กอ.รมน. ก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือต้องการคืนความสงบ และความมั่งคั่งให้พี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกคน

นายกฯ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ตนเชื่อว่าเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ และใน 100 วันที่ตนได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ก็ได้มีโอกาสลงไปในพื้นที่ โดยในเดือน พ.ย.66 นัดเจอนายกฯ มาเลเซีย พูดคุยเกี่ยวกับด้านความสงบ ความมั่นคงความเรียบร้อย และปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยงการค้าระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศ ซึ่งจริงๆ แล้วตรงนี้เรามีการพัฒนากันมาในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสะพานสุไหง-โกหลก 2, การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ, การทำให้การเข้าเมืองของทั้งสองฝ่ายดีขึ้น และหลังจากที่มีการยกเลิก ตม.6 ทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทย 3 หมื่นคน จากหมื่นคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โรงแรมเต็มหมด คงไม่เป็นที่แปลกใจว่าถ้าพี่น้องประชาชนมีเงินในกระเป๋า มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เรื่องปัญหาความรุนแรงก็น่าจะลดน้อยลงไป ควบคู่ไปกับการทำงานของฝ่ายความมั่นคงของทั้งสองประเทศ ซึ่งทางมาเลเซีย ก็ชื่นชมมาว่าเรามีพลเรือนเป็นหัวหน้าทีมเจรจา และยินดีที่จะทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นการใส่ใจหรือไม่ใส่ใจ ตนว่าเป็นความคิดของแต่ละคนมากกว่า แต่ตนเชื่อว่า สส.ทุกคนมีความใส่ใจในแง่ของความสงบ ความเรียบร้อยของพี่น้องประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร ฉะนั้นเรื่องงบของ กอ.รมน. ที่ท่านพูดถึง ตนก็จะน้อมรับไปพิจารณา พูดคุยว่าจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้มีประโยชน์สูงสุด ส่วนเรื่องว่าถ้ามีความสงบแล้วไม่รู้ว่า กอ.รมน.จะไปทำอะไร ท่านไม่ต้องเป็นห่วงตนพูดคุย กับ ผบ.ทบ.เรียบร้อยแล้ว มีหลายเรื่องที่ท่านอยากทำให้พี่น้องประชาชน เรื่องการแก้ไขอุทกภัย แก้ไขภัยแล้ง ทั้งขุดบ่อเก็บกักน้ำ เมื่อมีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ท่านก็มีความตั้งใจจะออกมาช่วยกัน ลงพื้นที่ซ่อมแซมช่วยซ่อมบ้านผู้ประสบอุทกภัย ซึ่ง กอ.รมน. ก็ให้ความใส่ใจ 

“ส่วนเรื่องของไบโพลาร์ ผมก็ไม่ได้เป็นหมอ ก็ไม่ทราบว่าท่าน เป็นหรือไม่ แต่เท่าที่สัมผัสมาพบว่าเป็นคนที่สม่ำเสมอ และดูเรื่องผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง และจะมีการประชุมที่หลังบัลลังก์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

หลังจากนั้น นายรอมฎอน จึงได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า “ประเด็นเรื่องไบโพลาร์ว่า ตนไม่ได้วิจารณ์ในแง่ของสุขภาพ แต่เป็นคำเปรียบเปรยถึงความไม่คงเส้นคงวาของการดำเนินนโยบาย การแปลงไปสู่ภาคปฏิบัติของ กอ.รมน.ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่ได้ละลาบละล้วงไปถึงผู้ใดเป็นการส่วนตัว ส่วนที่นายกฯ ระบุว่า กอ.รมน.หมดงานจะไปทำเรื่องอื่น ตนก็ยิ่งตกใจคงต้องเตือน สส.คนอื่นๆ ว่าอาจจะต้องรับมือกับ กอ.รมน.ที่เข้าไปยุ่ง ทั้งนี้อยากให้นายกฯ เซ็นรับรองตัวร่าง พ.ร.บ. ยุบ กอ.รมน. กลับมาให้สภาฯ ได้พิจารณาต่อ”

เบื้องหลัง 'รางวัลสร้างภาพ' ปั้นโปรไฟล์ให้สวยหรู คนจัดรวย คนซื้อรางวัลได้ใบเบิกทางไปต้มตุ๋นคน

ผมอยู่วงการเพลง ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของวงการบันเทิง ก็เลยใกล้ชิดกับวงการขายสินค้าในแบรนด์ต่าง ๆ ด้วย ต้องพูดจาต่อรองกันบ้าง เวลาผมจะจัดงานคอนเสิร์ตแต่ละครั้ง เพราะสินค้าบางแบรนด์ก็อยากนำเสนอตัวเองมาเป็นผู้สนับสนุนในอีเวนต์ที่เราจัด เพื่อใช้เป็นอีกหนึ่งช่องทางประชาสัมพันธ์สินค้าของเขา

ส่วนใหญ่ มักจะเป็นสินค้าประเภทอาหารเสริม ยาลดน้ำหนัก เครื่องสำอาง เครื่องประทินผิวต่าง ๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแบบใด มักจะมีเจ้าของสินค้าที่เป็นผู้หญิงโดยเรียกตัวเองตาม ๆ กันมาว่าเป็น 'CEO' พร้อมประกาศก้อง ว่าเคยได้รับรางวัลว่าเป็นนักธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ดำเนินธุรกิจจนประสบความสำเร็จ สินค้าของตนเองได้รางวัลสินค้าที่ดีเลิศ มียอดจำหน่ายสูงลิบ จนสถาบัน (อะไรก็ไม่รู้) ต้องมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้ให้ ซึ่งมีทั้งถ้วยรางวัล และใบประกาศนียบัตรใส่กรอบโชว์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของตนเอง

แต่หากลงลึกก็จะพบพิรุธมากมาย ซึ่งนอกจากผมจะไม่ขอจบดีลกับเหล่า 'CEO น่าสงสัย' เหล่านี้แล้ว ผมยังมีคำถามในใจเกิดขึ้นไม่น้อยเลย 

สถาบันที่มอบรางวัล มีจริงหรือไม่? มีข้าราชการรู้เห็นด้วยหรือไม่? ใครอยู่เบื้องหลังการจัดงานเช่นนี้?

เพราะการจัดงานมอบรางวัลลักษณะนี้ จะเป็นการมอบรางวัลแบบ ‘ทำให้จบๆ ไป’ หวังเอาภาพมาต่อยอดเท่านั้น แก่นแท้ของการจัดงาน จึงไม่รู้สึกว่าเป็นจัดงานเพื่อเชิดชูผู้ได้รับรางวัล ดูยังไงก็ไม่ต่างจากการขายรางวัลให้กับคนที่มางาน

เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ดูแล ควรเร่งเข้ามาตรวจสอบ ควบคุม เอาจริงเอาจังกับการจัดตั้งการ ‘มอบรางวัลเถื่อน’ ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่ตั้งขึ้นมาด้วยเจตนาเพื่อแสวงหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่มีความน่าเชื่อถือ ไม่มีบรรทัดฐาน ขาดหลักคุณธรรม จริยธรรม ไม่ได้เฉียดใกล้ความจริง และความถูกต้อง เพื่อจะเชิดชูสังคมให้เกิด ‘แบบอย่างที่มีคุณค่า’ ในแขนงอาชีพใด ๆ ได้เลย

เท่าที่สืบทราบ ผู้ได้รับรางวัลส่วนใหญ่จะได้รับการติดต่อให้ดีลจ่ายเงินในรูปแบบของการ ‘บริจาค’ เข้ากระเป๋าของทีมผู้จัดงาน มีทั้งรูปแบบส่วนบุคคล บริษัท หรือมูลนิธิต่าง ๆ เพื่อแลกกับการแต่งตัวสวย ๆ มาเดินขึ้นเวทีรับ ‘รางวัลยอดเยี่ยม’ ในสาขาอาชีพที่ปั้นแต่งขึ้นมาให้สอดคล้องกับหน้าที่การงานจริง ๆ ของผู้จ่ายเงิน

ผู้จัดได้เงิน ผู้จ่ายได้ภาพไปอวดโชว์สังคม ‘วิน - วิน’ ในทางโง่เง่า เบาปัญญา

ถือเป็น ‘รางวัลขยะ’ ที่หากปล่อยไว้จะคอยกัดเซาะความดีงามให้หมดหายไปจากสังคมไทย ซ้ำยังถูกมองจากคนนอกในเชิงขบขัน กลวงโบ๋ และน่าเวทนาทุกคนที่มารวมตัวกันอยู่ในงานปลอม ๆ เช่นนี้ยิ่งนัก

‘นายกฯ’ ยัน ‘แลนด์บริดจ์’ อยู่ในใจนานาชาติ ภายใต้จุดยืน ‘เป็นกลาง’ เพื่อเชื่อมโลกทั้งโลก

(4 ม.ค.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระแรก เป็นวันที่ 2

น.ส.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายตอนหนึ่งถึงโครงการแลนด์บริดจ์ว่า มีการประเมินว่าจะทำให้จีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ของทุกปี ซึ่งในงบฯ ปี 67 นี้ได้จัดทำเพื่อศึกษาความเหมาะสม การออกแบบเบื้องต้น การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์รูปแบบการลงทุน และยังมีการตั้งงบฯ พัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ให้มีความสมบูรณ์ และเมื่อโครงการแลนด์บริดจ์เกิดขึ้นในอนาคต ตนหวังว่ารัฐบาลจะจัดงบฯ ในปี 2568 เพื่อรองรับการสร้างโอกาสให้โครงการแลนด์บริดจ์ เพราะหัวใจของโครงการนี้จะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้น แล้วยังทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ เกิดความเจริญรอบๆโครงการ ซึ่งรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ชูธงโครงการแลนด์บริดจ์ เป็นโครงการระดับโลก เพื่อให้เป็นเส้นทางเดินเรือของโลกโดยผ่านประเทศไทย

“โครงการนี้มาในเวลาที่ใช่ เพราะปัจจุบันช่องแคบมะละกาเริ่มแออัด โครงการแลนด์บริดจ์จะเป็นเส้นทางสำรองเชื่อมทั้งทางทะเล และทางบก ช่วยสร้างห่วงโซ่การขนส่งภูมิภาคไปจนถึงระดับโลก พาประเทศไทยไปสู่การลงทุนสร้างความเจริญให้ประเทศ” น.ส.ศรีญาดา กล่าว

ต่อมาในเวลา 12.20 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้เดินทางมาถึง พร้อมเข้าชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯ ถึงโครงการแลนด์บริดจ์ ว่า โครงการดังกล่าวทำให้ไทยอยู่ในหมุดหมายการผลิตของต่างประเทศทั่วโลก โดยหลายประเทศต้องการเข้ามาตั้งโรงงานในไทย แต่โรงงานผลิตหลายสินค้าไม่สามารถตั้งได้เพราะต้องการสร้างให้ใหญ่กว่านั้นเนื่องจากต้องส่งสินค้าไปทั่วโลก แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาตอนนี้ คือ ช่องแคบมะละกาที่แออัดและเกิดอุบัติบ่อยครั้ง ทำให้การขนส่งสินค้าต้องเข้าคิว และใช้เวลาจำนวนมาก อย่างไรก็ดีในช่วง 10-15 ปี เชื่อว่าจะมีปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น และมีมูลค่าสินค้าใช้เส้นทางเดินเรือเพิ่ม โดยช่องแคบดังกล่าวบริหารไม่เกิดประโยชน์สูงสุด

“การทำแลนด์บริดจ์ เพื่อเพิ่มศักยภาพแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้ปริมาณน้ำมันขนส่งทั่วโลก 60% ผ่านช่องแคบมะละกา หากมีปัญหาเรื่องขนถ่ายสินค้า รัฐบาลจึงตระหนักทำเรื่องแลนด์บริดจ์ และจุดยืนของเราคือ เป็นกลาง ความขัดแย้งระหว่างจีน และ สหรัฐอเมริกาที่มีความรุนแรง แต่เขาต้องค้าขาย เมื่อประเทศไทยเป็นกลางเสนอตัวทำแลนด์บริดจ์ เชื่อมโลกทั้งโลก และจีน-สหรัฐอเมริกาสามารถใช้เป็นศูนย์กลางขนถ่ายสินค้าได้ดี” นายเศรษฐา ชี้แจง

นายกฯ ชี้แจงด้วยว่า การทำแลนด์บริดจ์ถือเป็นเรื่องจำเป็น แต่รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ หรือเพิกเฉยต่อเสียงประชาชนในพื้นที่ รัฐบาลดำเนินการสำรวจความคิดเห็นรับฟังความเห็น พรรคร่วมฝ่ายค้าน ภาคประชาคม และประชาชนในพื้นที่ รวมถึงนักธุรกิจทุกคน ให้แน่ใจว่าโครงการดังกล่าวว่า เป็นเมกะโปรเจกต์ที่สำคัญของโลก นอกจากนี้โครงการแลนด์บริดจ์ยังทำให้หลายประเทศ เช่น ซาอุดีอาระเบีย ที่มีความมั่นคงด้านพลังงานอยากเข้ามาลงทุน สร้างโรงกลั่นน้ำมัน และโรงงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าจะทำให้ไทยมีความมั่นคงทางพลังงาน และมีความพร้อมยืนในโลกที่ขัดแย้ง พึ่งตนเองได้ ให้ชีวิตประชาชนยกระดับ

'มือเศรษฐกิจจุลภาค' ติง 2 ประเด็น 'สส.ก้าวไกล' อภิปรายงบการเงิน สะท้อนความสามารถแบบเด็กฝึกงาน เน้น 'มั่ว-มโน' ข้อมูลขึ้นมาเอง

(4 ม.ค. 67) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ มือเศรษฐกิจจุลภาค อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Ta Plus Sirikulpisut' ในหัวข้อ 'อภิปรายงบประมาณของพรรคก้าวไกล' ระบุว่า...

1. สส. พรรคก้าวไกล อภิปรายฐานะการเงิน กฟผ. คาดเคลื่อน ตั้งสมมติฐานหรือได้ข้อมูลจากไหนไม่ทราบ ท่านพีระพันธุ์ ชี้แจง ก็ขอให้ท่านเปิดเผย ท่านพีระพันธุ์ แจ้งว่าข้อมูลนั้นเปิดเผยได้โปร่งใส แต่ท่านผู้อภิปรายนำข้อมูลที่มาพูดจากที่ใด ควรเปิดเผย

ผมเห็นว่า ฝ่ายค้าน นำข้อมูลเท็จมาอภิปรายใส่ร้ายผู้บริหารควรเผยที่มา หรือ วิธีการที่มั่วขึ้นมา และควรได้รับการลงโทษ ในฐานะใส่ร้ายผู้บริหารประเทศ 

2. คุณศิริกัญญา โชว์ความสามารถเด็กฝึกงานอีกแล้ว โดยมั่ว Nominal GDP กับ Real GDP ทั้งที่กระทรวงการคลังใช้วิธีดังกล่าวมายาวนาน ผมเห็นว่าคุณไหม ควรกลับไปทำงานประจำที่มีการฝึกสอน Training อย่างเข้มข้น จะได้ฝึกงานบริหารไปด้วยที่ผ่านมาทำแต่งานวิชาการ ที่ปรึกษา ยังไม่แม่นจริง แล้วยังไม่เคยผ่านงานบริหารคน อยากให้ก้าวไกลเอาทีมงานมาช่วยให้มากหน่อย ขายหน้าพรรคเปล่า ๆ ครับ

'เศรษฐา' คลุกวงในบิ๊กสื่อ ขอแรง 'เชียร์-หนุน' พร้อมเคลียร์ผังนอกแผน ฟาก 'รทสช.' ต้องคงไว้ช่วยค้ำศรัทธา แต่ ‘อุ๊งอิ๊ง' ดวงท่าจะไม่พาถึงนายกฯ

สวัสดีปีมังกรครับท่านผู้อ่านท่านผู้ฟังและท่านผู้ชม...

ว่ากันว่าปี 2567 จะเป็นปีมังกรร้ายมังกรเดือด...อาการของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน จะอยู่จะไปอยู่ในอัตรา 50/50...แบบว่าเป็นตายเท่ากัน

ทบทวนกันอีกที...ระเบิดลูกใหญ่ 5-6 ลูก...

- ร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 3.48 ล้านล้านบาท
- ประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญ 
- พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท  
- การเลือกตั้ง สว.ช่วง มิ.ย.-ก.ค. 
- พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

...ล้วนแล้วแต่จะสร้างความร้อนแรงทางการเมืองในมิติต่างๆ...

นั่นยังไม่นับประเด็นสำคัญคือ...การปรับ ครม. ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นแน่ และ 'เล็ก เลียบด่วน' ค่อนข้างเชื่อตามโหรใหญ่หลายสำนักว่าจะเป็นการปรับใหญ่...หลายตำแหน่ง

แต่ยังไงๆ ว่ากันว่ายังไม่ถึงคิวที่จะเอาพรรคสีฟ้า...ประชาธิปัตย์ เข้ามาแทนที่พรรครวมไทยสร้างชาติที่เริ่มมีการปล่อยข่าวกันออกมาตามสภากาแฟบางวงซึ่งวิเคราะห์ว่า การเดินหน้าปฏิรูปราคาพลังงานของ รองตุ๋ย-พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อาจไม่สบอารมณ์กลุ่มทุนใหญ่บางกลุ่ม ต้องรีบตัดไฟต้นลม...

ซึ่ง 'เล็ก เลียบด่วน' ไม่คิดว่าพรรคเพื่อไทยจะคิดสั้นขนาดนั้น พวกเขาต้องรู้ดีว่า ขณะนี้พีระพันธุ์เป็นรัฐมนตรีที่ช่วยค้ำยันความศรัทธาต่อรัฐบาลได้ไม่น้อย เตะ พีระพันธุ์ ออกไปก็เหมือนเตะตัดขาตัวเอง...ปีนี้ปล่อยผ่านไปก่อน ปีหน้าค่อยว่ากันอีกที...

สำหรับอาการของ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน แม้จะยังลนลานอยู่บ้าง แต่เบื้องลึกทีมงานของนายกฯ สูงยาวถุงเท้าแดงคนนี้ได้จัดทัพปรับแถวในหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาคิดว่าจะเป็นผลดีในการทำงานของนายกฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวรบของสื่อมวลชน...

แหล่งข่าวระดับไม่สูงมากแต่เชื่อถือได้ยืนยันกับ 'เล็ก เลียบด่วน' เหยี่ยวชราว่า...ตอนนี้ผู้บริหาร (ข่าว) ของสื่อทีวีหลายต่อหลายช่องและสื่อนสพ.หลายฉบับได้พบกับนายกฯ ตัวเป็นๆ หมดแล้ว...ความเป็นกันเองตรงไปตรงมา และรอบรู้ประเด็นเศรษฐกิจของโลกของไทย ก็เพียงพอที่จะทำให้สื่อน้อยใหญ่ให้กำลังใจ...ให้โอกาสนายกฯ คนนี้

ส่วนการกระชับพื้นที่สื่อเอาหลายรายการออกจากผังวิทยุ / โทรทัศน์ เช่น กรณียกเลิกรายการ 'คุยถึงแก่น' ช่องหอยม่วงแบบไม่บอกกล่าวอะไรนั่น แม้เป็นอะไรที่ไม่สมควรทำ แต่ถึงที่สุดก็ยังไม่ทำให้รัฐบาลรู้สึกระคายเคืองในเสียงโจมตี-ต่อต้าน...

เอาไปเอามาถ้าไม่มีปัจจัยอื่นๆ ที่คาดไม่ถึงเข้ามาแทรกซ้อน รัฐบาลเศรษฐาก็น่าจะลอดข้ามปีมังกรไปได้ เศรษฐาก็ยังจะเป็นนายกฯ ต่อไป เหตุผลสำคัญที่สุดเพราะ 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร ยังไม่พร้อมที่จะย่างสามขุมขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ ในปีนี้...ส่วนปีหน้าก็ต้องตามไปดูกันอีกที...ดูว่า 'คุณแม่' คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ จะเห็นเช่นไร...

แต่พูดก็พูดเหอะ...สำหรับ 'เล็ก เลียบด่วน' คุยกับหมอดูมา 3 สำนัก ล้วนทายทักว่าดวง 'อุ๊งอิ๊ง' จะไปไม่ถึงนายกฯ ดังนั้นถ้าจะสัมผัสกับคำว่า 'รัฐมนตรี' ปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า...ควรจะได้เข้าไปเป็นรองนายกฯ ควบว่าการซักกระทรวง...เพื่อพิสูจน์ฝีมือและเรคคอร์ดประวัติชีวิต...

ด้วยรักและเห็นใจ...จร้า!!

‘จุรินทร์’ สับงบประมาณ 67 ล่าช้า มีเวลาใช้เพียง 5 เดือน แถมลอก ‘ลุงตู่’ มาปรับ แต่กลับกระตุ้น ศก.ได้แค่ 70%

(3 ม.ค. 67) ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ลุกขึ้นกล่าวอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ในวงเงิน 3.48ล้านล้านบาท วาระแรก เป็นวันแรกตอนหนึ่ง ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุมว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 แม้จะไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เรียนว่าเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญ ถ้ารัฐบาลเสนอแล้วไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ ก็ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือไม่ก็ยุบสภาฯ ซึ่งก็เป็นหน้าที่รัฐบาลที่มีหน้าที่ต้องไประดม สส. รัฐบาลมาลงคะแนนเสียงให้ได้ และเชื่อว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะผ่านการพิจารณาวาระแรกได้ เพราะรัฐบาลมีเสียง สส. ในสภาฯ แบบเด็ดขาด ถึง 314 เสียง ถ้าไม่ผ่านตนคิดว่านายกรัฐมนตรี ต้องเลิกใส่ถุงเท้าสีแดงและพิจารณาตัวเองได้แล้ว

“ยืนยันว่าฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบทั้งตัวงบประมาณฯ ถ่วงดุล สอบถามและแสดงความเห็น และผู้ใช้งบประมาณฯ สิ่งที่นายกรัฐมนตรีกล่าวคำแถลงมาทุกอย่างดีหมด ซึ่งงบประมาณฉบับนี้ ถือเป็นงบประมาณฉบับแรกของรัฐบาลชุดนี้ เกิดจากการเอางบฯ ปี 66 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ มารื้อทำใหม่หมด ส่งผลให้ปฏิทินงบปีนี้ล่าช้าไปกว่า 9 เดือน เพราะมันแต่ใช้เวลาไปตั้งรัฐบาล เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดหลายเดือน แต่หลัง ครม.มีมติให้รื้องบประมาณดังกล่าว ก็ใช้เวลาอีกหลายเดือนเช่นเดียวกันกว่าจะกลับเข้าสู่สภาฯ ได้ ทำให้พ.ร.บ.งบปี 67 นี้ ต้องไปบังคับใช้ประมาณเดือน พ.ค. จึงส่งผลให้ พ.ร.บ.งบฯ ฉบับนี้ เป็นงบฯ ฉบับเป็ดง่อย” นายจุรินทร์ กล่าว

ทั้งนี้ เพราะงบประมาณทั้งสิ้น 3.48 ล้านล้านบาท รัฐบาลมีเวลาใช้เงินแค่ 5 เดือน จากปกติ 12 เดือน เท่ากับว่ามีเวลาใช้เงินแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ และที่สำคัญคือ ประสิทธิภาพของการใช้เงิน เรื่องของใช้เงินงบลงทุนที่เป็นหัวใจสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีเพียง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่มีเวลาใช้เพียง 5 เดือน สุดท้ายก็จะเป็นงบเป็ดง่อยไม่สามารถนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มร้อยตามที่พูดไว้

นายจุรินทร์ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้มีรัฐมนตรีจำนวน 34 คน แต่โลกลืมไปแล้วจำนวนกี่คน สองมือรวมกันนิ้วยังมีไม่พอให้นับ โดยนายกรัฐมนตรีพยายามตีปี๊บบอกว่า เศรษฐกิจกำลังวิกฤตต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจแบบขนาดใหญ่ แต่ขณะเดียวกันงบประมาณแผ่นดิน ที่มีผลต่อ GDP ถึงร้อยละ 18 กลายเป็นเป็ดง่อย แล้วจะไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตตามเป้าหมายได้อย่างไร ยืนยันว่า งบประมาณที่นายกรัฐมนตรีไปสั่งรื้อนั้น ไม่มีอะไรเข้ามาใหม่ เป็นงบที่เหมือนรัฐบาลที่ผ่านมาดำเนินการ และยังมีอีกหลายเรื่องที่แย่กว่าเดิม โดนแบ่งเป็น 4 ประเด็น คือ…

1. งบฉบับนี้ยังขาดดุลเหมือนเดิม และจะขาดดุลต่อไปจนครบอายุรัฐบาลนี้คือ 4 ปีเต็ม

2. งบประมาณของรัฐบาลชุดนี้เพิ่มขึ้น แต่งบการลงทุนน้อยลงกว่าเดิม แต่กลับเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำแทนคิดเป็น 44 เปอร์เซ็นต์

3. งบประมาณกลาง ซึ่งพอไปดูเนื้อใยแล้ว เป็นงบสำหรับกรณีฉุกเฉิน ที่เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีโดยตรง กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เคยต่อว่ารัฐบาลที่ผ่านมา แต่กลับทำเสียเอง “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง”

4. งบประมาณฉบับนี้เป็นงบประมาณคิดใหญ่ ทำเป็น แต่กลับมาเป็นคิดกู้ ทำกู้ ซึ่งสิ่งรัฐบาลที่แล้วทำไว้ คือกู้ 5.93 แสนล้าน แต่รัฐบาลนี้นำไปรื้อ กลายเป็นกู้เพิ่มขึ้นเป็น 6.93 แสน กู้เพิ่มขึ้นแสนล้านบาท ทั้งที่พวกท่านเคยวิจารณ์รัฐบาลที่แล้วว่าเป็น ‘นักกู้แห่งแม่น้ำเจ้าพระยา’ แต่ตนคิดว่ารัฐบาลนี้กลายเป็น ‘นักกู้ถุงเท้าสีชมพู’

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของงบประมาณกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมเช่นกัน ตนสนับสนุน ถ้าจะนำเงินไปยกระดับควบคุมผู้ต้องขัง ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และหลักสิทธิมนุษยชน โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ โดยมีสถานที่เป็นเรือนจำ และทัณฑสถาน ครอบคลุมผู้ต้องขัง 2.8 แสนคนทั่วประเทศ ถ้ารัฐบาลดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์

“ผมมีคำถามว่ารัฐบาลในฐานะผู้ใช้งบประมาณ ได้บริหารโครงการตามวัตถุประสงค์ โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง 2.8 แสนคนหรือไม่ เพราะมีข้อสงสัยเกิดขึ้นในสังคมว่าทำไมรัฐบาลนี้จึงปล่อยให้นักโทษบางคนเข้าคุกทิพย์มาแล้วกว่า 120 วัน แต่ยังไม่เคยติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว” นายจุรินทร์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้านนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงนายจุรินทร์ทันที โดยฟ้องต่อประธานฯ ว่า เป็นการอภิปรายนอกประเด็น “ผมไม่คิดว่านายจุรินทร์ อดีตรัฐมนตรี จะลุกขึ้นอภิปรายงบประมาณ เพราะท่านล้มเหลวมาตลอด อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายก็ได้คะแนนน้อยกว่าคนอื่นเขา นี่ก็ลากออกไปนอกประเด็นใช้สไตล์เก่า ๆ ผมไม่เห็นด้วยที่จะนำเรื่องข้างนอกเข้ามาสู่สภาฯ ผมรู้ว่าคนที่นายจุรินทร์ กำลังพูดถึงคือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกกลั่นแกล้งไปอยู่เมืองนอก 17 ปี แต่ต้องเข้าใจว่า ทุกครั้งที่ขออนุญาต มีใบรับรองจากอธิบดี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” นายครูมานิตย์ กล่าว

จากนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วินิจฉัยว่า ผู้อภิปรายยังคงอภิปรายอยู่ในประเด็น แต่ขอให้นายจุรินทร์หลีกเลี่ยงไม่ระบุชื่อบุคคลภายนอก ในขณะที่นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคปชป. ได้ลุกขึ้นประท้วงนายครูมานิตย์ โดยกล่าวว่า ตนขอประท้วงและขอให้นายครูมานิตย์ถอนคำพูด ที่ระบุว่า นายจุรินทร์ล้มเหลว เพราะพูดเป็นเท็จในสภาฯ นี้ ถือเป็นการกล่าวหาเสียดสีอย่างร้ายแรง สภาฯ แห่งนี้ทรงเกียรติ คำพูดที่ออกมาต้องมีเหตุผล มีข้อเท็จจริง

ประธานสภาฯ จึงกล่าวว่า เป็นการพูดแสดงความคิดเห็น ไม่ได้ผิดข้อบังคับ แต่นายชัยชนะ ยังขอให้ถอนคำพูดที่กล่าวหาว่าล้มเหลว ต้องบอกว่าล้มเหลวตรงไหน หากไม่ถอนก็ขอให้บันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อสภาฯ จะได้มีบรรทัดฐาน ถ้าบอกว่าล้มเหลว ก็ถือรัฐบาลนี้ก็ล้มเหลวเช่นกัน แต่ประธานสภาฯ วินิจฉัยว่า ไม่ได้ผิดข้อบังคับ และขอให้นายจุรินทร์ อภิปรายต่อจนจบ ซึ่งนายจุรินทร์ ยืนยันว่า ตนเคารพกติกาเสมอ ขอให้สบายใจ

'เอกนัฎ' ชม!! ตั้งงบประมาณแบบขาดดุล ถือว่ามาถูกทาง วอน 'สส.ฝ่ายค้าน-รัฐบาล' เปิดใจให้โอกาสกับประเทศ 

(3 ม.ค.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายว่า ตนเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันก็จะสามารถปรับวิธีคิดในการบริหารจัดการใช้งบประมาณ ตนเชื่อว่าเราจะสามารถสร้างโอกาสจากวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ตนไม่อยากให้โอกาสที่เป็นของประเทศที่เกิดจากวิกฤตต้องสูญเสียไป ขณะที่ประเทศไทยมองประเทศเพื่อนบ้านตาปริบ ๆ จีดีพีเพิ่ม 5-6 เปอร์เซนต์ ที่เราคาดการกันไว้จีดีพีประเทศไทยปีนี้อย่างดีก็เพิ่มประมาณ 3 เปอร์เซนต์กว่า ถ้าจะทำได้ต้องรีบใช้งบฯ ฉบับนี้ ตนยังมีความหวังกับประเทศนี้

นายเอกนัฎ กล่าวต่อว่า งบประมาณฉบับนี้มีการตั้งงบขาดดุลไว้ 6.93 แสนล้านบาท ส่วนงบลงทุนที่มีการตั้งงบไว้ 7.18 แสนล้านบาท ถือว่ามาถูกทางแล้ว มีการตั้งงบรายจ่ายสูงกว่าเงินที่เรารับมาในสัดส่วนที่ตรงกับเงินที่นำไปลงทุน แบบนี้ตนถือว่าเริ่มติดกระดุมถูกเม็ด เพราะเห็นความสำคัญกับงบลงทุน เพื่อไปเติมเต็มขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างรายได้ อย่ามองแค่เฉพาะยอดเงินที่ปรากฏในงบประมาณเท่านั้น จะต้องใช้งบลงทุนอย่างมียุทธศาสตร์ ขอให้รัฐบาลมีระบบการรวมศูนย์การใช้งบประมาณ รวมถึงการเร่งสานต่อโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ, รถไฟรางคู่, รถไฟความเร็วสูง หลังจากพิจารณาผ่านร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้แล้ว จะต้องเร่งใช้เงินภายใน 4-5 เดือน ให้ทันภายในปีงบประมาณ 2567 โดยให้ท้องถิ่นนำไปกระจายใช้ 

ส่วนการดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าการใช้งบประมาณเกิดการทุจริต ดังนั้นงบประมาณที่นำไปใช้จ่ายต้องถึงประชาชนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ควรให้แต่ละหน่วยงานเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าตรวจสอบการใช้งบ ให้การใช้งบเกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญคือบรรยากาศ จะไม่มีประโยชน์อะไรถ้าใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความขัดแย้งประชาชน 

“สำหรับรัฐบาลชุดนี้เราเห็นสัญญาณของการยุติความขัดแย้ง ผ่านการเลือกตั้งมา 2 รอบแล้วผมหวังว่า จะเป็นการสิ้นสุดวาทกรรมเรื่องเผด็จการและประชาธิปไตย ผมหวังว่าสส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล จะช่วยกันพิจารณาผลักดันผ่านงบประมาณโดยเร็ว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน เราอยากมีเงินมาลงทุนกับคุณภาพชีวิต ให้กับประชาชน หวังว่าสส.ทุกท่านจะเปิดใจให้โอกาสกับประเทศ ขอให้สส.ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างและเป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชน และใช้โอกาสนี้ในการรวมมือกันทำงานไม่ใช่แค่พิจารณางบฯ เท่านั้น แต่ต้องติดตามการใช้งบต่างๆ ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ มีความโปร่งใส เกิดประโยชน์สูงสุด ผมมั่นใจว่าถ้าเราร่วมมือกันเราทำได้” นายเอกนัฎ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top