Tuesday, 10 June 2025
POLITICS NEWS

'ธนาธร' ชิ่งทัพนักข่าว!! หลังรู้ผลศาลรัฐธรรมนูญ กรณี ‘พิธา-ก้าวไกล’ แก้ ม.112 ล้มล้างการปกครอง

(31 ม.ค. 67) ความคืบหน้าศาลรัฐธรรมนูญมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่าการกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ และสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น 

เมื่อเวลา 15.00 น. ที่รัฐสภา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เดินทางเข้ารับฟังการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีใช้นโยบายแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 หาเสียงของพรรคก้าวไกล ร่วมกับ สส.ของพรรคก้าวไกล ที่ห้องวอร์รูมของพรรคก้าวไกล ชั้น 6 ห้อง 607 

โดยนายธนาธร กล่าวสั้นๆ ก่อนเข้าห้องวอร์รูมว่า “ผมยังไม่รู้ ขอไปหาเพื่อนนิดนึง ผมยังไม่ได้ฟังคำวินิจฉัย เพิ่งประชุมเสร็จ จึงยังไม่สามารถให้ความเห็นใดๆ ได้”

เมื่อถามถึงแนวโน้มอาจจะไม่ดีเหมือนที่ประเมินไว้ใช่หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ยังไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้า

ต่อมาในช่วงที่นายธนาธรกำลังเดินเข้าห้องวอร์รูมของพรรคก้าวไกล ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยออกมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนายธนาธรได้หลบหน้าผู้สื่อข่าว พร้อมเดินออกจากห้องประชุมผ่านไปทางทางหนีไฟ

‘ชัยธวัช’ ชี้!! ต้องหยุดนำสถาบันมายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองไทยได้แล้ว

เมื่อวานนี้ (30 ม.ค. 67) นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ เปิดปากกับภาคภูมิ ทางไทยรัฐ ในประเด็น ‘หยุดเอาเรื่องสถาบันฯ เข้ามาเกี่ยวพันการเมืองไทยได้แล้ว’ โดยระบุว่า

“ต้องหยุดเอาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองไทยได้แล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เริ่มต้นโดยพรรคก้าวไกลด้วยซ้ำ แต่เริ่มต้นโดยคณะกรรมการอิสระที่ตั้งโดยรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์”

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า มีคนเอาเรื่องสถาบันมาเป็นเหตุผลในการยุบพรรคการเมือง สอยนักการเมือง สร้างความเกลียดชังให้กับกลุ่มที่มีความขัดแย้งกัน พวกเรา (พรรคก้าวไกล) ก็หวังว่าจะเหลือพื้นที่ให้กับกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นพื้นที่ที่จะหาข้อยุติความเห็นต่างอย่างมีวุฒิภาวะโดยกระบวนการประชาธิปไตย

นายชัยธวัช กล่าวถึงกรณีหากมีการยุบพรรคก้าวไกล จากสารตั้งต้นในเรื่อง ม.112 ว่า ก็ต้องดูรายละเอียดสําคัญ สส.พรรคก้าวไกลก็เห็นตรงกันว่าการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงบทบัญญัติมันมีปัญหาที่ควรที่จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุง ดังนั้นก็รอดูอยู่ว่าคําวินิจฉัยจะมีรายละเอียดยังไง และก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องเอามาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาในการดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปของพรรคก้าวไกล 

นายชัยธวัช ระบุต่อว่า มาตรา 112 ยังมีความสำคัญในการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทย และยังมีปัญหาทั้งในเชิงตัวบทกฎหมายและการบังคับใช้ และหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่ พรรคก้าวไกลก็ยังจะให้ความสำคัญต่อไป ส่วนจะดำเนินการแบบใด จะต้องพิจารณากันอีกที เพราะยังมีหลายเรื่องที่ต้องการผลักดันให้สำเร็จ

จับตา!! ‘เพื่อไทย’ ขอตั้ง กมธ.วิสามัญ ศึกษานิรโทษกรรม หวังยืดเวลาเพื่อใคร?

เมื่อสัปดาห์ก่อน พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ยื่นร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมในชื่อ ‘ร่างพ.ร.บ.เสริมสร้างสันติสุข พ.ศ....’ นับเป็นร่างนิรโทษกรรมฉบับที่ 3 ต่อจากพรรคก้าวไกลและพรรคครูไทยเพื่อประชาชน หลายคนก็ลุ้นกันว่า แล้วพรรคเพื่อไทยที่ชูธงนโยบายจะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ จะเอาไง…ว่าอย่างไร

ล่าสุดก่อนปั่นต้นฉบับชิ้นนี้ตอนเที่ยงวันที่ 30 ม.ค. ‘เล็ก เลียบด่วน’ ได้รับแจ้งว่าพรรคเพื่อไทยยืนยัน นั่งยันที่จะขอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษาแนวทางการปรองดอง-นิรโทษ โดยจะปฏิบัติการให้จบในวันนี้ พรุ่งนี้

แบบว่า…ยื่นปุ๊บ วันนี้ อีกวันก็ขอให้สภาฯ ลัดคิวเอาญัตตินี้ขึ้นมาพิจารณา เมื่อตั้ง กมธ.วิสามัญแล้วก็ศึกษากันไป 3-4 เดือนตามสูตรสำเร็จ แล้วรายงานต่อสภาฯ จากนั้นสภาฯ ก็ส่งรายงานให้รัฐบาล รัฐบาลก็จะนำไปส่องดูว่าควรดำเนินการอย่างไร

พูดไปทำไมมี…เรื่องนี้แทบไม่ต้องวิเคราะห์กันให้เมื่อยตุ้ม ฟันธงลงไปเลยว่า เป็นเกมยืดเวลา...ขอเวลาตั้งหลักของพรรคเพื่อไทยนั่นเอง...

ขยายความว่า...นาทีนี้พรรคเพื่อไทยยังคิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรกับกรณีความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งตามร่างของพรรครทสช. และพรรคครูไทยนั้นไม่เอาด้วย แต่พรรคเพื่อไทยหลายส่วนเห็นว่าน่าจะครอบคลุมไปด้วย นายใหญ่ที่ชื่อ ‘ทักษิณ’ ที่ติดบ่วงคดี 112 อยู่ด้วยจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย

เช่นเดียวกันกับความผิดคดีทุจริต ตามร่างของพรรครทสช. และพรรคครูไทย ยืนยันว่าจะไม่นิรโทษกรรมให้…ดังนั้นใครต่อใครที่ติดบ่วงคดีนี้ รวมทั้งคนชื่อ ‘ยิ่งลักษณ์’ ก็จะไม่ได้รับอานิสงส์...

อันที่จริงผลการศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการปรองดองสมานฉันท์ในห้วง 10 ปีมานี้ มีการศึกษากันมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ครั้งในช่วง สปช .และ สปท. หลังการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 และล่าสุด กมธ.กฎหมายและยุติธรรมของสภาฯ ชุดที่แล้ว ก็ศึกษารายงานรัฐบาลลุงตู่ไปเก็บไว้บนหิ้งด้วยเช่นกัน…

ว่ากันตามเนื้อหาของสถานการณ์จริง ๆ ในขณะนี้ การนิรโทษกรรมกลายเป็นของร้อนขึ้นมาก็เพราะความเห็นต่างกรณีจะนิรโทษกรรมให้ความผิดมาตรา 112 ด้วยหรือไม่นั่นเอง พรรคเพื่อไทยไม่อยากถือเรื่องนี้ไว้ในมือ จึงโยนเผือกร้อนไปที่สภา…ซื้อเวลา...เพราะในมือยังมีเผือกร้อนอีกเรื่องที่ต้องจัดการ…

ถึงบรรทัดนี้แทบจะสรุปได้ว่า…มหกรรมการปรองดองภายใต้ดีลลับหรือดีลเปิดจนถึงนาทีนี้คนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือคนชื่อ ‘ทักษิณ’ แม้จะได้ไม่เต็มร้อย...แต่ก็ถือว่า..วิน...

ส่วนใครที่วาดหวังว่าดีลลับดีลลึก...เมื่อเอาทักษิณกลับบ้านแล้วจะวิน-วิน กันทุกฝ่าย นิรโทษกรรมคดีกันไป เพื่อปลดล็อกความขัดแย้งของประเทศนั้น...ดูท่าจะมืดมัว

และดูเหมือนเมฆหมอกความขัดแย้งจะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง…เว้นแต่คนชั้น 14 คิดยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตัว กดปุ่มให้พรรคเดินหน้า พ.ร.บ.นิรโทษในสมัยประชุมหน้า...หลัง กมธ.วิสามัญศึกษาสำเร็จ...
เพื่อวิน วิน…กันทุกพรรค วิน..วิน กันทุกฝ่าย!!

‘ชายไทย’ หนีทหาร ไม่ควรเป็น สส. ผู้ทรงเกียรติ เพราะไม่เหลือ ‘เกียรติ’ ให้ ปชช. ‘เชื่อใจ-นับถือ’

นับวันสังคมไทยยิ่งจะเห็น สส. จาก ‘พรรคล้มสถาบัน’ เริ่มลายออกกันแบบรายวัน ภายใต้บาดแผลอันเน่าเหม็นถูกปิดปากจนเผยอออกมาให้สังคมรับรู้ไม่จบไม่สิ้น ขึ้นศาลกันจนหัวบันไดศาลอาญาไม่แห้ง ยังไม่ทันจบคดี 112 ที่ทั้งพรรค ทั้งสมาชิก ต่างลุ้นคำตัดสินกันจนตัวโก่ง ยังมีลิ่วล้อเด็ก ๆ ที่ถูกหลอกใช้ให้มาติดคุกแทนอีกเพียบ ก็มาต่อด้วยกรณี ‘หนีทหาร’ ของ สส. ผู้ทรงเกียรติให้สังคมเอือมระอาต่อ จริงหรือไม่จริงอีกไม่นานก็จะปรากฏชัด

ถามว่าคนเราหากมี ‘สามัญสำนึกของความเป็นคน’ ให้เกียรติสังคม ให้ความเคารพนับถือตัวเอง หากรู้ตัวว่าเป็น ‘คนหนีทหาร’ จนเคยถูกดำเนินคดี จะหน้าด้านแอบปกปิดพฤติกรรม ‘โกงความเป็นชาย’ มาสมัครเป็นผู้แทนของประชาชนหรือ?

สำหรับผมขอตอบว่า..ไม่ 

ยกเว้นชายใจชั่ว ใจคด ใจสกปรก

ขณะที่ชายไทยทั่วประเทศเมื่อมีอายุ 20 ย่าง 21 ปี ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดก็ต้องไปจับใบดำใบแดงเหมือนการเสี่ยงโชค ถ้าไม่อยากเกณฑ์ทหารก็ต้องเป็นนักศึกษาวิชาทหาร เรียน ร.ด. ให้จบตามหลักสูตร สมควรต้องมี ‘น้ำใจลูกผู้ชาย’ ที่ต้องแสดงออกอย่างเทียมเท่ากับผู้ชายไทยทั้งประเทศ   

การที่ให้ผู้ชายไทยที่เคยหนีทหาร มาเสนอหน้ามาเป็น สส. กินเงินเดือนที่มาจากหยาดเหงื่อภาษีของประชาชนอีก เป็นคนไทยแบบไหนกัน? ไม่อับอายตัวเองสักนิดเลยหรือ? 

ปากก็บอกสู้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สู้เพื่อความเท่าเทียม แต่สิ่งที่เผยออกมาให้เห็นแต่ละดอกจากนักการเมืองเลว ๆ พรรคนี้ มีแต่สิ่งที่เอาเปรียบสังคม เอาเปรียบหัวใจของเพื่อนมนุษย์ แสดงความเห็นแก่ตัวต่อคนร่วมชาติเดียวกัน แสดงความย้อนแย้งออกมาอย่างหน้าด้าน ๆ ราวกับว่าประชาชนที่พบเห็นนั้นต่าง ‘กินหญ้าแทนข้าว’ เหมือนเหล่าสาวกโง่ ๆ ของตัวเอง 

นี่ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งมีเลือดเนื้อเชื้อสายและใช้นามสกุลเดียวกันกับผม ถ้าผมมารู้ภายหลังว่าเคยหนีทหารแล้วไปสมัครผู้แทน ไม่ต้องถึงกับได้เป็น สส. หรอก 

ผมจะตบให้หัวคว่ำเลย โทษฐานที่ทำให้นามสกุลของผมมัวหมอง

'ไอติม' ชี้!! กรณี 'จิรัฏฐ์' ต้องแยกจากพรรค ลั่น!! ยินดีให้ทุกฝ่ายได้ตรวจสอบ

(30 ม.ค. 67) ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่กองทัพบกไม่พบต้นขั้วใบ สด.43 ของนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ว่า เรื่องนี้ต้องแยกส่วนของนายจิรัฏฐ์และของพรรค ซึ่งทราบว่านายจิรัฏฐ์ ยืนยันว่าได้รับใบ สด.43 มาจากเจ้าหน้าที่จริงๆ จึงต้องไปถามนายจิรัฏฐ์ ซึ่งคิดว่าทางนายจิรัฏฐ์ พร้อมจะให้ทุกฝ่ายตรวจสอบว่าเอกสารได้มาเช่นไร หรือมีที่มาที่ไปอย่างไร

นายพริษฐ์​ กล่าวต่อว่า ในส่วนของพรรคก้าวไกล ตนพูดในเชิงหลักการ กรณีที่มีการตรวจสอบสมาชิกของพรรค ก็ยินดีให้ทุกฝ่ายตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นภาคประชาชนหรือใครก็ตามเข้ามาตรวจสอบการทำงานของ สส.พรรคก้าวไกล และถ้ามีกระบวนการอะไรที่ต้องอาศัยความร่วมมือใช้กระบวนการทางกฎหมาย ทางพรรคก็ยินดีให้ความร่วมมือ ซึ่งพรรคในฐานะพรรคการเมืองที่เข้ามาทำงานเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของประเทศ และได้เงินเดือนมาจากภาษีของประชาชน ก็ยินดีให้ตรวจสอบการทำงานอยู่แล้ว รวมถึงมีการดำเนินการฟ้องร้องถึงชั้นศาล และต้องการความร่วมมือผ่านกระบวนการทางกฎหมายเราก็ยินดีอยู่แล้ว

‘พีระพันธุ์’ ย้อนอดีต!! ปรับเกณฑ์ ‘กองทุนยุติธรรม’ ปลดทุกข์ 898 ครอบครัว หลังยุคหนึ่งคนทำมาหากินถูกโกงหนัก ต้อง 'ขึ้นศาล-จ้างทนาย' จนหมดตัว

(30 ม.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เล่าเหตุการณ์ในอดีต หลังตนหยิบยก ‘กองทุนยุติธรรม’ ขึ้นมาปรับนโยบายและหลักเกณฑ์ใหม่ เพื่อเดินหน้าช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อนจากการฟ้องร้องคดีความ โดยระบุว่า…

มีลูกน้องมารายงานผม เรื่องที่ไปพบชาวบ้าน จ.พิษณุโลกที่วัด แล้วเจอเหตุการณ์ชาวบ้าน 70 กว่าคน ไปขอยืมเงินพระแสนนึงเพื่อไปจ่ายค่าทนาย ซึ่งเขาได้บอกว่าชาวนากลุ่มนี้มีทั้งหมดประมาณ 71 ราย แต่วันนั้นพบ 70 ราย โดยที่หายไปหนึ่งรายเพราะเพิ่งผูกคอตาย ... จากการขายข้าวไปแล้วไม่ได้เงิน เพราะคนซื้อไม่จ่ายเงิน ซึ่งก็ต้องสู้คดีฟ้องกันไป

ฟ้องกันมา ประมาณ 10 ปีแล้ว คำถาม คือ แล้ว 10 ปีที่ผ่านมาชาวบ้านก็ยังต้องทํามาหากิน แต่ทํามาหากินแล้วได้เงินมา ก็ต้องเอาไปจ่ายค่าทนาย จนหมดตัว แต่ก็ต้องหาทางจ่ายอีก เพราะยังสู้คดีไม่หมด ซึ่งทำให้เขาต้องมายืมเงินวัดกัน โดย 71 ราย มียอดเงิน 2 ล้านกว่าบาท ซึ่งในระบบราชการเงิน 2 ล้านกว่าบาททํางบประมาณแค่ขี้ผง แต่นี่ชีวิตคนตั้ง 70 กว่าคน ต้องอยู่กับเรื่องนี้มา 10 ปี คุณนึกถึงที่ว่าชาวบ้านชาวนาเขาอยู่กันมาได้ยังไง รอดมาได้ก็บุญแล้ว…

ดังนั้น ผมจึงมานั่งคิดว่าจะทํายังไงถึงช่วยเขาได้ จนนึกถึง ‘กองทุนยุติธรรม’ ที่มีอยู่ จึงเอามาปรับหลักเกณฑ์ ซึ่งตอนนั้นมีเงินอยู่ 70 ล้านบาท ไม่ได้ขยับอะไรเลย .... ผมจึงปรับนโยบาย ปรับแนวทางใหม่ และบอกให้เอาเงินก้อนนี้ลงไปช่วยชาวบ้าน ซึ่งก็ได้ใช้หลักเกณฑ์ตามกฎหมายแพ่ง โดยเอาเงินจากกองทุนยุติธรรมนี้ เอาไปให้เขาเลย 2 ล้านกว่าบาท เพื่อช่วยชีวิต 71 ครอบครัว 

แน่นอนว่า ตรงนี้ก็จะถือเป็นภาระกระทรวงของแล้ว เพราะเป็นเงินหลวง เราจึงต้องจัดทนายความไปช่วยไปสู้คดีให้พวกเขา ภายใต้ข้อตกลงเมื่อชนะคดี ก็จะนำเงินมาทยอยคืน 

และเวลานี้ก็มีรายงานว่า ชาวบ้านทยอยคืนเงินจากการชนะคดีมาบ้างแล้ว 70 ครอบครัว เรียกได้ว่าเงินหลวงไม่ได้สูญเปล่า แต่ว่าให้ไปก่อน ชาวบ้านก็ได้เงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย ... เพราะเมื่อเราสู้คดี และชนะคดี ศาลก็ต้องสั่งให้คู่กรณีจ่ายดอกเบี้ยให้เราอยู่แล้ว

หลังปรากฏว่าพอข่าวนี้แพร่ออกไป ตอนนั้นจึงมีสถานีรายการอื่นเอาไปโปรโมต พอไปโปรโมตที่นี้มาใหญ่เลย จากเริ่มต้นที่พิษณุโลก กลายเป็นสิงห์บุรี, ชัยนาท, อ่างทอง ก็มากันหมด สรุปแล้วในช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรียุติธรรมอยู่ ผมใช้กองทุนยุติธรรมกับนโยบายโครงการนี้ ไปช่วยเคสในลักษณะเดียวกันได้ 898 ครอบครัว ใช้เงินไปทั้งหมด 38 ล้านเอง แต่สามารถช่วยชีวิตคนได้ 898 ครอบครัว…

สิ่งนี้คือ การใช้อํานาจทางการบริหารเพื่อช่วยประชาชนอย่างแท้จริง ถ้าเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น หรือไม่ได้มีอํานาจนี้ เราก็ทําไม่ได้ แต่อีกสิ่งที่สำคัญกว่า คือ เรามีความตั้งใจบริหาร ตั้งใจที่จะช่วยเหลือ และใช้อํานาจนั้นเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองของประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ ถ้าใช่ มันทําได้ 

‘ติ๊กต็อกดัง’ มั่นใจ!! ‘พีระพันธุ์’ แม่นกฎหมาย-ข้อมูลเป๊ะ เชื่อ!! ไม่เข้าข้าง-ช่วยเหลือ ‘เจ๋ง ดอกจิก’ ให้พ้นผิด

เมื่อวานนี้ (29 ม.ค. 67) ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อก ‘sparkupdate’ ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับกรณีตำรวจควบคุมตัวนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ภายในทำเนียบรัฐบาล หลังมีการกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการข่มขู่เรียกเงินอธิบดีกรมการข้าว จำนวน 3 ล้านบาท ว่า…

“มีประเด็นใหม่ที่น่าสนใจ โดยที่ปรึกษากฎหมายของทางอธิบดีกรมการข้าว ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า…พรรครวมไทยสร้างชาติ ‘อาจจะ’ ช่วยเหลือเจ๋ง ดอกจิก เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ (ข่มขู่ รีดเงิน) หากยังมีตำแหน่งทางราชการ หรือมีการแต่งตั้งทางราชการ ก็จะต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งถือเป็นโทษที่หนักมาก แต่หากได้มีการปลดหรือลงจากตำแหน่งมาก่อนแล้ว กลายเป็นบุคคลธรรมดา จะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี”

ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายนี้ ยังระบุต่อว่า “มีหลายคนตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะเข้ามาช่วยเหลือกันเองหรือเปล่า ซึ่งทางเรามั่นใจนะว่า ‘ไม่’ เพราะคนที่ออกมาให้ข่าวว่าตำแหน่งของ เจ๋ง ดอกจิก หลุดไปตั้งแต่เดือนธันวาคมแล้วคือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งเรามั่นใจมากว่าทางคุณพีระพันธุ์แม่นยำเรื่องกฎหมาย เรื่องเอกสาร เรื่องความชัดเจน เราเชื่อว่าจะไม่มีการปกป้องคนผิด เพราะก็เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อนด้วย”

“ส่วนอีกประเด็นก็คือคุณขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้ออกมาเปิดโอกาสให้ร้องเรียนได้ หากใครโดนคนของพรรคแอบอ้างหรือทุจริต ก็สามารถส่งข้อความร้องทุกข์ได้ เป็นการถือโอกาสนี้เพื่อสะสาง กวาดล้างให้สะอาด ส่วนใครที่แต่งตั้งตำแหน่งอะไรไว้ ก็จะให้ทำรายงานและส่งกลับมาให้พรรคดูอีกทีหนึ่ง ซึ่งนี่ก็เป็นท่าทีของพรรครวมไทยสร้างชาติหลังเกิดกรณีของเจ๋งดอกจิก”

‘เอกนัฏ’ ยัน!! ไม่ปกป้อง ‘เจ๋งดอกจิก-พิมณัฏฐา’ เตรียมเสนอ ‘ขับพ้นพรรค-ถอดชื่อ’ จากทีมทำงาน

(29 ม.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์) ดังนี้...

กรณีนายเจ๋งและนางสาวพิมณัฏฐา

พรรคและผู้บริหารพรรคยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เต็มที่เพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

ผมได้ให้นายทะเบียนตรวจสอบสถานะความเป็นสมาชิก 1) นายยศวริศ (เจ๋ง ดอกจิก) ไม่ปรากฏว่าเป็นสมาชิกพรรค 2) นางสาวพิมณัฏฐา ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ. 2566 และชำระค่าสมาชิกในวันเดียวกัน

การประชุมกรรมการบริหารพรรคและประชุม สส. พรรคในวันพรุ่งนี้ผมจะเสนอให้…

(1) ตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อเสนอกรรมการบริหารพรรคให้มีมติขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรคของ นางสาวพิมณัฏฐา และทุกคนที่เกี่ยวข้อง กรณีกระทำผิดวินัยหรือจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับพรรค

(2) ให้รัฐมนตรี ประธานกรรมาธิการ กรรมาธิการ สส. ตรวจสอบและรายงานการตั้งคณะทำงาน ที่ปรึกษา ผู้ช่วย หากยังมีนายยศวริศ (เจ๋ง ดอกจิก) หรือ นางสาวพิมณัฏฐา อยู่ ก็จะประสานขอให้ถอนชื่อออกโดยทันทีเพื่อไม่ให้นำไปแอบอ้าง

ทั้งนี้พรรคฯ จะไม่ปกป้องการกระทำความผิดของสมาชิก และยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อมูล ผลสอบ หลักฐานต่างๆ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม และนำผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีต่อไป

'นายกฯ' เผยข่าวดี หลัง 'หวัง อี้' พร้อมหนุน ส่ง ‘หมีแพนด้า’ มาอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่

(29 ม.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์หลังหารือกับนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรมว.ต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า…

“เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ได้หารือกับนายหวัง อี้ ที่ผ่านมาสวนสัตว์เชียงใหม่เคยมีหมีแพนด้า แต่ปัจจุบันไม่มี และบังเอิญจริงๆ 2-3 วันที่ผ่านมาตนได้ดูใน x ว่าประเทศใดบ้างที่ยังมีหมีแพนด้าอยู่ ซึ่งไล่ลงมาแล้วประเทศไทยเป็นศูนย์ ซึ่งไม่ได้เป็นกระจกสะท้อนที่ดีสำหรับด้านความสัมพันธ์ทางด้านการทูตที่ดี ที่เรามีมากับประเทศจีนตลอด 50 ปีที่ผ่านมา จึงได้เรียนขอกับนายหวัง อี้ ซึ่งท่านยินดีให้การสนับสนุน 

“เราก็จะมีหมีแพนด้ากลับมาอีกครั้งนึง มาอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ส่วนเมื่อไหร่นั้นก็คาดว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด”

'อ.อุ๋ย ปชป.' แนะ!! นายกฯ ควรดึงเงินลงทุนต่างชาติ เพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ควบคู่  วอน!! อย่าปล่อยไทยเป็นแค่แหล่งสูบผลประโยชน์จากต่างชาติจนแห้งเหี่ยว

(29 ม.ค.67) จากกรณีที่ช่วงนี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐบาลเดินสายต่างประเทศ เพื่อชักชวนนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย นั้น 'นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย' หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมาย และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านแพลทฟอร์ม X หรือทวิตเตอร์ ระบุว่า...

ช่วงนี้เห็นท่านนายกเดินสายชวนประเทศนู้นประเทศนี้มาลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทําให้มีเม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนในประเทศ กระจายความมั่งคั่งให้คนไทย 

อย่างไรก็ตาม หนทางเดียวที่จะทําให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนและทําให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางคือการ 'พึ่งตนเอง' ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เพราะการลงทุนจากต่างประเทศ เป็นเพียงแรงดีดสปริงบอร์ดตอนแรกเท่านั้น 

ที่สําคัญคือ ทุกความตกลงในการลงทุนจากต่างประเทศต้องมีข้อกําหนดที่ให้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ผลิตชาวไทย กําหนดมาตรการเพื่อสิ่งแวดล้อม และนําความมั่งคั่งจากการลงทุนจากต่างประเทศมากระจายให้กับชุมชนรอบๆ ให้ได้ เพื่อนําไปสร้างทุนมนุษย์ (Human Capital) หรือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้กับประเทศ เพื่อก้าวไปเป็นประเทศที่ส่งออกนวัตกรรม และเทคโนโลยีขั้นสูง หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางในที่สุด

หาไม่แล้ว!! ประเทศไทยก็จะเป็นเพียงแค่ทรัพย์สมบัติชิ้นหนึ่งที่ให้ต่างชาติเข้ามาสูบผลประโยชน์จนแห้งเหี่ยว โดยที่ประชาชนคนไทยก็ก้มหน้ารับกรรมกับค่าแรงตํ่าๆ ไปตลอดชีวิต รอคอยแต่เศษเงินที่นักการเมืองจะโปรยมาให้ 

ด้วยความปรารถนาดี 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top