Wednesday, 11 June 2025
POLITICS NEWS

'นายกฯ' เผยข่าวดี หลัง 'หวัง อี้' พร้อมหนุน ส่ง ‘หมีแพนด้า’ มาอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่

(29 ม.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์หลังหารือกับนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรมว.ต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า…

“เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ได้หารือกับนายหวัง อี้ ที่ผ่านมาสวนสัตว์เชียงใหม่เคยมีหมีแพนด้า แต่ปัจจุบันไม่มี และบังเอิญจริงๆ 2-3 วันที่ผ่านมาตนได้ดูใน x ว่าประเทศใดบ้างที่ยังมีหมีแพนด้าอยู่ ซึ่งไล่ลงมาแล้วประเทศไทยเป็นศูนย์ ซึ่งไม่ได้เป็นกระจกสะท้อนที่ดีสำหรับด้านความสัมพันธ์ทางด้านการทูตที่ดี ที่เรามีมากับประเทศจีนตลอด 50 ปีที่ผ่านมา จึงได้เรียนขอกับนายหวัง อี้ ซึ่งท่านยินดีให้การสนับสนุน 

“เราก็จะมีหมีแพนด้ากลับมาอีกครั้งนึง มาอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ส่วนเมื่อไหร่นั้นก็คาดว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด”

'อ.อุ๋ย ปชป.' แนะ!! นายกฯ ควรดึงเงินลงทุนต่างชาติ เพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ควบคู่  วอน!! อย่าปล่อยไทยเป็นแค่แหล่งสูบผลประโยชน์จากต่างชาติจนแห้งเหี่ยว

(29 ม.ค.67) จากกรณีที่ช่วงนี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐบาลเดินสายต่างประเทศ เพื่อชักชวนนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย นั้น 'นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย' หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมาย และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านแพลทฟอร์ม X หรือทวิตเตอร์ ระบุว่า...

ช่วงนี้เห็นท่านนายกเดินสายชวนประเทศนู้นประเทศนี้มาลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทําให้มีเม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนในประเทศ กระจายความมั่งคั่งให้คนไทย 

อย่างไรก็ตาม หนทางเดียวที่จะทําให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนและทําให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางคือการ 'พึ่งตนเอง' ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เพราะการลงทุนจากต่างประเทศ เป็นเพียงแรงดีดสปริงบอร์ดตอนแรกเท่านั้น 

ที่สําคัญคือ ทุกความตกลงในการลงทุนจากต่างประเทศต้องมีข้อกําหนดที่ให้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ผลิตชาวไทย กําหนดมาตรการเพื่อสิ่งแวดล้อม และนําความมั่งคั่งจากการลงทุนจากต่างประเทศมากระจายให้กับชุมชนรอบๆ ให้ได้ เพื่อนําไปสร้างทุนมนุษย์ (Human Capital) หรือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้กับประเทศ เพื่อก้าวไปเป็นประเทศที่ส่งออกนวัตกรรม และเทคโนโลยีขั้นสูง หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางในที่สุด

หาไม่แล้ว!! ประเทศไทยก็จะเป็นเพียงแค่ทรัพย์สมบัติชิ้นหนึ่งที่ให้ต่างชาติเข้ามาสูบผลประโยชน์จนแห้งเหี่ยว โดยที่ประชาชนคนไทยก็ก้มหน้ารับกรรมกับค่าแรงตํ่าๆ ไปตลอดชีวิต รอคอยแต่เศษเงินที่นักการเมืองจะโปรยมาให้ 

ด้วยความปรารถนาดี 

‘เศรษฐา’ รอลุ้น!! เผยเชิญ ‘สี จิ้นผิง’ เยือนไทย ด้านจีนระบุสนใจ ‘แลนด์บริดจ์’ ทั้งรัฐ-เอกชน

(29 ม.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลัง นายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะ ว่า ได้มีการประชุมชั่วโมงกว่ากับ นายหวัง อี้ ซึ่งท่านได้มาตั้งแต่ช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ที่ผ่านมา และมีการพูดคุยกันในหลายมิติ โดยมีการเซ็นสัญญาระหว่าง นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ เกี่ยวกับเรื่องวีซ่าฟรีของทั้งสองประเทศในการเดินทางไปมา เริ่มต้นวันที่ 1 มี.ค. เป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เป็นความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ที่ทั้งสองประเทศมีให้กันและมิตรภาพที่มีต่อกันมา ซึ่งจะครบ 50 ปีในปีหน้านี้ ถือเป็นมิติที่ดีในการที่เราจะสนับสนุนการไปมาหาสู่กันระหว่างสองประเทศ 

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เรื่องการท่องเที่ยวถือเป็นเรื่องความสำคัญกับเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างสูง ได้มีการพูดคุยกัน นายหวัง อี้ บอกว่าประเทศจีนมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย อยากให้นักท่องเที่ยวไทยไปด้วย ซึ่งตรงนี้ตนยืนยันว่าเราสนับสนุนการเดินทางไปมาของประชาชนทั้งสองประเทศ อีกทั้งยังบอกไปด้วยในเรื่องของจำนวนเที่ยวบินที่ยังไม่กลับเข้ามาสู่จำนวนปกติ ซึ่งก่อนโควิด-19 ไม่แน่ใจจำนวนอาจจะประมาณ 2,000 ไฟล์ท ปัจจุบันเหลือแค่ 1,200 ไฟล์ท ก็จะมีการยกระดับการเดินทางสองประเทศเพื่อให้การไปมาหาสู่สะดวกสบายยิ่งขึ้น และเริ่มมั่นใจว่าอนาคตอันใกล้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาสูงขึ้น ขณะที่ประเทศไทยจะไปท่องเที่ยวประเทศจีนที่มีวัฒนธรรมอันดีงามด้วย จะเป็นผลดีของทั้งสองประเทศ 

นายเศรษฐา กล่าวว่า ประเทศไทยยืนยันเจตนารมณ์ว่าเราให้การสนับสนุนการเป็นประเทศกลาง ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนได้มีการพูดคุยกันในหลาย ๆ มิติ และต่อไปในอนาคตก็ยินดีสนับสนุนให้มีการเจรจาในลักษณะนี้เกิดขึ้น โดยตอนที่ดำริว่าจะมีการพูดคุยกันก็บอกให้เป็นประเทศในเอเชีย ซึ่งจีนเลยบอกว่าเป็นประเทศไทย นั่นบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่เรามีมิตรไมตรีที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ทำให้เขาเลือกประเทศไทย ถือเป็นการประชุมประวัติศาสตร์ครั้งแรกก็ว่าได้ เป็นที่น่ายินดีสำหรับประเทศไทย

นายเศรษฐา กล่าวว่า ส่วนเรื่องการค้าระหว่างประเทศได้มีการพูดคุยกันในหลายมิติ ทั้งเรื่องการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆไม่ใช่แค่รถอีวีอย่างเดียว เรื่องการไปมาหาสู่รถไฟความเร็วสูง ที่จะมีขึ้นจากประเทศไทยผ่านหนองคาย ผ่านลาว และเข้าประเทศจีน ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ว่าเรื่องการเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าได้มีการพูดคุยกัน โดยให้คณะทำงานของสองประเทศมาทำงานร่วมกันต่อ รวมถึงการค้าขายด้านการเกษตรกรรม ทั้งเรื่องการค้าโค ซึ่งจีนมีความต้องการอย่างมาก แต่ด่านกักกันตรวจเชื้อโรคอยู่ที่ลาว ทำให้การค้าระหว่างสองประเทศไม่สะดวกจึงได้ขอร้องอย่าให้มีด่านกักกัน และตรวจโรคนี้เกิดขึ้นในไทย ซึ่งประเทศจีนก็รับปากที่จะดำเนินการในเรื่องนี้

นายกฯ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีการเซ็นสัญญาด้านเกษตรกรรมระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ และทูตจีนด้วย 

เมื่อถามว่า คาดว่ามูลค่าทางการค้าจะเพิ่มกี่เปอร์เซ็น นายเศรษฐา กล่าวว่า คาดเดาไม่ได้จะเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะนี่เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้นจากการที่เรามีความสัมพันธ์กันดีมาอย่างยาวนาน และปีหน้าจะครบ 50 ปี ตนได้เรียนเชิญ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มาเยือนประเทศไทยด้วย

เมื่อถามถึงความคืบหน้ารถไฟไทย-จีน นายเศรษฐา กล่าวว่า มีแผนงานอยู่แล้ว ขอให้แผนงานทั้งหมดออกมาเป็นรายละเอียดแล้วจะแถลงให้ทราบอีกที

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า นายหวัง อี้ได้พูดขึ้นมาเองว่า ทางการจีนสนใจโครงการแลนด์บริดจ์และต้องการข้อมูลเพิ่ม และไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาลจีนเพียงอย่างเดียว แต่เอกชนจีนก็สนใจที่จะส่วนร่วม เพราะเขาทราบดีว่าหนึ่งในเหตุผลหลักที่เราดำริขึ้นมาว่าควรจะมีแลนด์บริดจ์ เพราะการลงทุนที่จะข้ามมาจากประเทศจีนในช่วงหลายปีหลังบริษัทใหญ่ ๆ ในประเทศจีนมาลงทุนสร้างโรงงานผลิตและโรงงานอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากในเมืองไทย และไม่ใช่แค่มาสนองตอบแค่ความต้องการของคนในประเทศไทยอย่างเดียว แต่จะเป็นศูนย์กลางการส่งออกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องมีท่าเรือน้ำลึก มีโครงการเมกกะโปรเจกใหญ่ ๆ อย่างแลนด์บริดจ์ ที่จะมาซับพอร์ตตรงนี้ ซึ่งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ก็จะเดินทางไปประเทศจีนในเร็ว ๆ นี้ เพื่อจัดทำโรดโชว์

‘สว.สมชาย’ ฟัน!! ‘พิธา-ก้าวไกล’ ไม่รอดคดี ม.112 ชี้!! ‘ร่างแก้ไข ม.112’ มัดตัว!! เจตนาล้มล้างไม่ใช่ปฏิรูป

(29 ม.ค. 67) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า (ep.2) เหตุใดคดีที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่ถูกนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในพุธที่ 31 ม.ค. 2567 นี้ จึงมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกวินิจฉัยให้มีความผิด หรือให้ยุติการกระทำตามคำร้อง และอาจนำไปสู่การร้องดำเนินคดีที่หนักขึ้น

ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่พรรคก้าวไกลเข้าชื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ถึง 2 ครั้ง แต่ถูกประธานสภาฯ สั่งไม่ให้บรรจุวาระด้วยขัดรัฐธรรมนูญ ยังถูกขับเคลื่อนต่อในนโยบายพรรคและการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

โดยหากพิจารณาในเนื้อหาที่ยกร่างแก้ไขกฎหมายเข้าสู่สภาฯ ยิ่งชัดเจนในการลดมาตรการในกฎหมายคุ้มครองพระประมุข ในเกือบทุกมาตราลงจนอาจต่ำกว่ากฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปด้วยซ้ำ

สอดรับควบคู่กับการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ขององค์กรเครือข่ายต่าง ๆ ที่เสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 เนื่องจากเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว รวมถึงการอภิปรายในเวทีต่าง ๆ การใช้สิทธิ สส. ประกันตัวผู้ต้องหามาตรา 112 ฯลฯ

ทำให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 ที่สั่งการให้ผู้ถูกร้องและองค์กรเครือข่ายหยุดการกระทำดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เพราะการกระทําของผู้ถูกร้องแสดงให้เห็นมูลเหตุจูงใจว่าการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป

การใช้สิทธิหรือเสรีภาพของผู้ถูกร้องเป็นการแสดงความคิดเห็น โดยไม่สุจริต เป็นการละเมิดกฎหมาย มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง

ส่วนตัวจึงมีความเห็นว่าร่างแก้ไขมาตรา 112 นี้ อาจเป็นพยานหลักฐานอีกชิ้นสำคัญที่ถูกยื่นไต่สวนในศาลรัฐธรรมนูญ และมีน้ำหนักที่อาจทำให้นายพิธาและพรรคก้าวไกล มีความสุ่มเสี่ยงในคดีเพิ่มขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา นายสมชาย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ep.1 เหตุใดคดีที่พิธาและพรรคก้าวไกลที่ถูกนายธีรยุทธร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยในพุธที่ 31 ม.ค. 2567 จึงมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกวินิจฉัยให้มีความผิด หรือให้ยุติการกระทำตามคำร้อง และอาจนำไปสู่การร้องดำเนินคดีที่หนักขึ้นในก้าวต่อไป ดังนี้

1) คำร้องประกอบหลักฐานนั้นค่อนข้างแน่นหนา ในการชี้ให้เห็นถึงการกระทำต่าง ๆ ต่อเนื่องหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 สั่งห้ามการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่ยังปรากฏการเคลื่อนไหวขององค์กรเครือข่ายต่อเนื่อง อาทิ การกำหนดเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายพรรค การเดินสายในเวทีหาเสียงต่างกรรมต่างวาระ การพูดอภิปรายในรัฐสภา การให้สัมภาษณ์สื่อไทยและต่างประเทศ มีการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่อาจถูกชี้ให้เห็นว่ามีส่วนร่วมอย่างไม่เป็นทางการในหลายกรณี ที่ชัดเจนต่อสถาบัน ทั้งการเสนอร่างแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เป็นกฎหมายความมั่นคงคุ้มครองพระประมุข

2) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่19/2564 ระบุถึงพฤติการณ์และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการกระทําของผู้ถูกร้องแสดงให้เห็นมูลเหตุจูงใจว่าการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป การใช้สิทธิหรือเสรีภาพของผู้ถูกร้องเป็นการแสดงความคิดเห็น โดยไม่สุจริต เป็นการละเมิดกฎหมาย มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และสั่งการให้ผู้ถูกร้องกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทําการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง ด้วย แต่ยังปรากฎการกระทำดังกล่าวโดยกลุ่มบุคคลและพรรคการเมืองต่อเนื่องเรื่อยมา

ศาลยกฟ้อง 'ไอซ์' เคส 2 พิธีกร 'ปอง-กนก' ฟ้องหมิ่นประมาท หลังขึ้นปราศรัย วิจารณ์การทำงานสื่อมวลชน

(29 ม.ค. 67) ศาลแขวงพระนครเหนือ นัดฟังคำพิพากษาคดีที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก หรือ ไอซ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาท ‘เจ๊ปอง’ อัญชะลี ไพรีรัก และ กนก รัตน์วงศ์สกุล 2 พิธีกรจัดรายการทางสถานีโทรทัศน์ช่องท็อปนิวส์

กรณีปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อมวลชนในการชุมนุม #ม็อบ6มีนา ของกลุ่มรีเด็ม (REDEM) บริเวณหน้าศาลอาญา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2564 นั้น

ความคืบหน้าล่าสุด น.ส.รักชนก ศรีนอก หรือ ไอซ์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก รักชนก ศรีนอก - Rukchanok Srinork แจ้งผลคำพิพากษา ความว่า “ศาลยกฟ้อง คดีหมิ่นประมาท กนก-เจ๊ปอง พิธีกรช่องท็อปนิวส์ ด้วยโจทก์เป็นบุคคลสาธารณะและเป็นการติชมโดยสุจริต”

วิชามาร!! ใช้คดี ‘ศรีสุวรรณ’ ทำลาย ‘พีระพันธุ์’ ขัดขวาง ‘รื้อโครงสร้างพลังงาน-แคนดิเดตนายกฯ’

จากกรณี ตำรวจ บก.ปปป. นำกำลังร่วมเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. บุกจับกุมนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน นักเคลื่อนไหวชื่อดังที่บ้านในจังหวัดปทุมธานี พร้อมของกลางเงินสด 5 แสนบาท และจับกุมนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ ‘เจ๋ง ดอกจิก’ ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ กับ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อบ่ายวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา หลังทั้งหมดมีพฤติกรรมร่วมกัน ข่มขู่เรียกเงิน นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว 1.5 ล้านบาท แลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนผลิตด้านการปลูกข้าว และปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว หลังอ้างว่าพบพิรุธในทางทุจริต ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ล่าสุด วันนี้ (28 ม.ค. 67) ผู้ใช้ติ๊กต็อกช่องหนึ่ง ชื่อ ‘@dr.brahm_isara_inya’ หรือ ‘ดร.พราหมณ์อิศรา อินทร์ยา’ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า…

“ผมไม่เคยนึกชื่นชม ชื่นชอบ คุณศรีสุวรรณ จรรยา เป็นการส่วนตัวเลยนะครับ แอบยิ้ม แอบสะใจด้วยซ้ำ พอแกโดนจับคดีรีดไถเองเสียบ้าง แต่ว่าคดีนี้ มีบางประเด็นที่อยากจะชี้ชวนให้พี่น้องประชาชนมาช่วยกันคิดครับ

เพราะว่าคดีนี้ มีผู้ต้องหาร่วมอีก 2 คนคือ คุณเจ๋ง ดอกจิก กับ อดีตผู้สมัคร สส.หญิงของพรรคร่วมไทยสร้างชาติ ทั้ง 3 คนนี้ จะผิด จะถูกอย่างไร ก็ให้ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรมนะครับ แต่ถ้าพี่น้องทุกท่าน สังเกตดีๆ จะเห็นว่าคดีนี้มีความพยายามที่จะขยายผลความเสียหายให้ลามไปจนถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ และให้ลุกลามไปถึง ท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์ เลยด้วยซ้ำ

ตัวผมนั้นไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่ได้มีส่วนได้ ส่วนเสียอะไรกับพรรคเค้าหรอกนะครับ แต่มองด้วยใจที่เป็นธรรม ผมเห็นว่าท่านรัฐมนตรีพีระพันธุ์ เป็นคนเก่ง เป็นคนดีคนหนึ่งเลย เรื่องคดีโฮปเวลล์ เรื่องเหมืองทองอัครา ท่านก็ช่วยสู้คดีให้พวกเราทุกคนจนชนะนะครับ

ช่วยทำให้ประเทศไทยประหยัดเงิน ไม่ต้องเสียค่าโง่ได้หลายหมื่นล้านบาท คุ้มค่าตัวจริงๆ จ้างเงินเดือน เดือนละแสนกว่าบาท แต่หาเงินให้ประเทศชาติได้แสนล้านบาท

แถมพอมาอยู่กระทรวงพลังงาน หากพี่น้องประชาชนที่ติดตามข่าวก็จะรู้ว่าราคาพลังงานของบ้านเรานั้น ค่าวัตถุดิบ ค่าดําเนินการ ค่าภาษี ค่านั่น ค่านี่บวกเข้ามาไม่รู้กี่สเต็ปครับ สุดท้ายหักภาระให้พวกเราเป็นคนจ่าย ให้ประชาชนเป็นฝ่ายแบกรับอยู่ข้างเดียว แบบนี้มันไม่แฟร์ครับ

แต่พอท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์ เข้ามาบริหาร ท่านก็บอกว่าโครงสร้างแบบนี้มันแก้ไม่ได้แล้ว ต้อง ‘รื้อทําลาย สร้างใหม่’ อย่างเดียว

สิ่งนี้ส่งผลสั่นสะเทือนมหาศาลนะครับ หากท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์ ทําสําเร็จ พวกเราประชาชนได้ประโยชน์แน่นอน เพราะค่าพลังงานจะถูกลง แต่คนที่เขากุมอํานาจในโครงสร้างนี้อยู่ ผู้ที่มีอํานาจเหนือกว่าอํานาจรัฐไทย เขาจะเป็นฝ่ายเสียหาย เขาจะเป็นฝ่ายที่เสียผลประโยชน์

แล้วแบบนี้… จะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเริ่มกระบวนการในการทําลายท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์ก่อน โดยขยายผลจากคดีของคุณศรีสุวรรณนี่แหละ”

ดร.พราหมณ์อิศรา ยังกล่าวต่ออีกว่า อีกประเด็นหนึ่งผู้ที่ติดตามข่าวก็จะรู้ว่านักวิเคราะห์มากมาย ฟันธงเลยว่า ถ้ารัฐบาลคุณเศรษฐาไปไม่รอด ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง มีการพลิกผันท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์นี่แหละ จะเป็นคนหนึ่งที่อาจมีสิทธิ์ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

“นี่ไม่ได้กล่าวหาใคร ไม่ได้ว่าคุณเศรษฐาหรือใครนะ แต่ธรรมชาติของนักการเมือง มันต้องอิจฉาริษยา ชิ่งเด่นกันอยู่แล้ว

มีความเป็นไปได้ไหม ที่จะดิสเครดิตทําลายภาพลักษณ์ของท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์ โดยการใช้คดีของคุณศรีสุวรรณเป็นเครื่องมือ

และก็อย่างที่บอกว่าผมนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพรรคเขาหรอก แต่มองด้วยใจเป็นธรรมครับ” ดร.พราหมณ์อิศรา กล่าว

นอกจากนี้ ดร.พราหมณ์อิศรา ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ท่านรัฐมนตรี พีระพันธุ์ กําลังทํางานหนัก ท่านกําลังสู้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ประเทศชาติบ้านเมืองของเรา และผลงานของท่านก็พิสูจน์ว่า ท่านลุยงานไหน งานนั้นก็สําเร็จ…

เพราะฉะนั้น มีความเป็นไปได้นะครับ ที่คนไม่หวังดีจะชิงลงมือทําลายท่านเสียก่อน ก่อนที่ท่านจะทําอะไรสําเร็จขึ้นมาได้

ผมอยากเรียกร้องแก่พี่น้องประชาชนครับ อย่าเพิ่งไปเชื่อกระแสข่าวลือ อย่าเพิ่งไปเชื่อสิ่งที่เขาปั่น เพื่อทําลายภาพลักษณ์ เพื่อทําลายภาพพจน์ของคนดีๆ เลยครับ เสียดายของครับ คนดีมีฝีมือควรถูกเก็บไว้ใช้งาน เก็บไว้ทําประโยชน์ให้บ้านเมืองดีกว่าครับ”

‘นิด้าโพล’ เผย!! คนไทยส่วนใหญ่ไม่โกรธนายกฯ หากต้องยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต

(28 ม.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘วิกฤติเศรษฐกิจ กับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 22-24 มกราคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจกับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต

จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 63.51 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน, รองลงมา ร้อยละ 20.15 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ ต้องหาทางแก้ไขแต่ไม่เร่งด่วน, ร้อยละ 10.08 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ไม่น่าวิตกกังวลใดๆ, ร้อยละ 5.65 ระบุว่า ไม่ได้เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ และร้อยละ 0.61 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับการเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจของประชาชนในขณะนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.72 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเร่งด่วน, รองลงมา ร้อยละ 31.91 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่สามารถรับมือได้ด้วยตนเอง, ร้อยละ 20.45 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ไม่เร่งด่วน และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่ได้เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจใดๆ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พบว่า

- ร้อยละ 34.66 ระบุว่า ควรหยุดการดำเนินการในนโยบายนี้ได้แล้ว
- ร้อยละ 18.55 ระบุว่า ดำเนินนโยบายต่อไปในปีนี้ แต่แจกเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางทางเศรษฐกิจ
- ร้อยละ 5.88 ระบุว่า เลื่อนการดำเนินนโยบายไปในปี 2568
- ร้อยละ 4.58 ระบุว่า เลื่อนการดำเนินนโยบายไปในปี 2568 แต่แจกเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางทางเศรษฐกิจ
- ร้อยละ 2.67 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนหากนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ตัดสินใจยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พบว่า

- ร้อยละ 68.85 ระบุว่า ไม่โกรธเลย
- ร้อยละ 12.37 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ
- ร้อยละ 9.39 ระบุว่า โกรธมาก
- ร้อยละ 8.85 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ
- ร้อยละ 0.54 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เช็กความพร้อม ‘เจ้ต้อย’ พร้อมลงนายกฯ อบจ.เมืองคอนอีกสมัย ฟาก ‘แทน’ ยัน สส.ประชาธิปัตย์ทุกคนสนับสนุนแน่นอน

‘เจ้ต้อย’ ลั่น!! ลงรักษาแชมป์นายกฯ อบจ.นครศรีฯ อีกสมัยแน่นอน ‘แทน’ ยัน สส.ประชาธิปัตย์ทุกคนสนับสนุน เตรียมแผนเดินสายพบผู้นำทั้ง 23 อำเภอ

ย่ำค่ำของวันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ ‘ชัยชนะ เดชเดโช’ และ ‘พิทักษ์เดช เดชเดโช’ สส.สองพี่น้อง แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ทายาทโดยธรรมของ ‘กนกพร เดชเดโช’ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช และ ‘วิฑูรย์ เดชเดโช’ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช นัดพบปะสังสรรค์ปีใหม่กับผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำท้องที่ในอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช

“แม่ผมจะลงสมัครรักษาแชมป์นายกฯ อบจ.อีก 1 สมัยแน่นอน” ชัยชนะกล่าว ซึ่งจะต้องขอแรงสนับสนุนจากพวกเรา ที่ถือเป็นพรรคพวกเพื่อนฝูงกัน

ชัยชนะกล่าวอีกว่า ที่ แม่ ‘เจ้ต้อย’ จะลงสมัครในนามกลุ่มพลังเมืองนคร และได้รับการสนับสนุนจาก สส.ประชาธิปัตย์ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้ง 6 คน

“เราไม่รู้ว่าคู่แข่งคือใครบ้าง เพราะยังไม่มีใครเปิดตัว แต่วาระของเราจะหมดในเดือนธันวาคมปีนี้ และจะมีการเลือกตั้งใหม่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568”

กนกพร กล่าวยืนยันว่า จะลงสมัครอีกสมัย เราในฐานะแชมป์ก็ต้องเตรียมความพร้อมในทุกด้าน และเต็มที่กับทุกงาน

สำหรับการนัดพบปะสังสรรค์ปีใหม่ครั้งนี้ มีผู้นำท้องถิ่น ท้องที่จากทุกตำบลในอำเภอหัวไทร เข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 200 คน และ 100% พร้อมให้การสนับสนุนตระกูล ‘เดชเดโช’ และน่าจะถือได้ว่าเป็นเวทีประเดิม และเจตนาของเจ้ต้อยจะไปพบกับผู้นำท้องถิ่น ท้องที่ในทุกอำเภอทั้ง 23 อำเภอ

กล่าวสำหรับคู่แข่งของเจ้ต้อยในการชิงเก้าอี้นายกฯ อบจ.นครศรีธรรมราช ยังไม่ปรากฏชัดว่ามีใครบ้าง ยังไม่มีใครเปิดตัวชัดเจน แต่เชื่อว่าสำหรับนครศรีธรรมราชแล้ว จะต้องมีคู่แข่งแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากพรรคก้าวไกล หรือคณะก้าวหน้า และตัวแทนจากฝั่งตรงข้ามของเดชเดโช

ที่ต้องจับตา คือ ‘เสนพงศ์’ จะส่งใครลงชิง และอยู่สังกัดไหน แต่การออกตัวแรงของ ‘เทพไท เสนพงศ์’ อดีต สส.หลายสมัยของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งออกมาจากห้องคุมประพฤติ กับการเชียร์แนวทางของก้าวไกล และใส่เสื้อสีส้ม ก็น่าจะสะท้อนทิศทางของ ‘เสนพงศ์’ ได้ไม่น้อย เพียงแต่จะคัดสรรใครมาลงชิง และจะมีปัญหากับก้าวไกลเก่าหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นจาก ‘ฝั่งชลจิตร์’ และฝั่ง ‘ไกรสินธุ์’

แต่การขยับตัวครั้งสำคัญตั้งแต่เนิ่นของ ‘เดชเดโช’ ที่มีเวลาอีกตั้ง 11 เดือนกว่า ถือว่า ‘พร้อม’ ซึ่งหมายถึงพร้อมทั้งขุมกำลัง และปัจจัยเกื้อหนุน ที่จะนำไปสู่ชัยชนะ รักษาแชมป์ไว้ได้อีกสมัยเป็นแน่แท้

ต้องบอกก่อนว่า เป็นการเขียนตามที่เห็นด้วยตาตัวเอง และยังไม่เห็นคู่แข่งที่ชัดเจน การเมือง คือ การเมือง ที่มีโอกาสเปลี่ยนได้ทุกเวลา

‘ปิยบุตร’ ชำแหละ ‘ก้าวไกล’ ไร้เงา 112 ส่งสัญญาณ ‘หมอบ’ ก่อน 31 มกราคม

(27 ม.ค. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล’ ในหัวข้อ ‘กรณีก้าวไกลกับการแก้ 112’ โดยระบุว่า…

ผมมีส่วนร่วมในการตั้งพรรคอนาคตใหม่มา ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมา ยืนยันว่า การเมืองต้องผสมผสานอุดมคติของเรากับสภาพความเป็นจริงทางการเมือง มีรุก มีถอย ตามการประเมินสถานการณ์

ผมเอง ก็เคยถอย มาหลายครั้ง เพื่อองค์กร เพื่อการเดินหน้าตามสถานการณ์ เรื่องพรรค์นี้ คือ การประเมิน ไม่มีอะไรถูกร้อย ไม่มีอะไรผิดร้อย

ดังนั้น การวิจารณ์จังหวะก้าวของพรรคการเมือง จึงอาจมีผู้เห็นด้วย มีผู้เห็นต่าง คนทำพรรค อาจไม่เห็นด้วยกับข้อวิจารณ์ นับเป็นเรื่องปกติ

ผมไม่เห็นด้วยกับการแถลงการณ์แผนการพรรคก้าวไกลในปี 2567

ผมเข้าใจดีว่า ทีมงานของพรรคต้องการจัดแถลงการณ์นี้ขึ้นมา เพื่อต้อนรับการกลับมาของพิธา แต่เมื่อผมเห็นเนื้อหาทั้งหมดแล้ว ผมเห็นว่า… ผิดพลาด โดยเฉพาะ แผนเสนอร่าง พ.ร.บ.47 ฉบับ โดยไม่มีร่างแก้ไข 112

พรรคอาจไม่ได้คิดว่าต้องพูดเรื่องนี้ แต่สื่อเขาคิด และสื่อถาม จี้ ขยายผลว่า สรุป 47 ฉบับในปี 67 ไม่มีแก้ 112 ใช่มั้ย?

กรณีนี้ ส่งผลอย่างไร?

1.) ย้ำความคิดว่า เราต้องยอมรับให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ขึ้นมาอยู่เหนือฝ่ายนิติบัญญัติ การเสนอร่างกฎหมาย ต้องฟังว่าศาลรัฐธรรมนูญว่าอย่างไร?

2.) การไม่เสนอ และพูดว่าไม่เสนอ เพราะ รอศาลรัฐธรรมนูญ เสมือนกับส่งสัญญาณ ‘หมอบ’ ก่อนคำวินิจฉัยในวันที่ 31 นี้

3.) หากพรรคก้าวไกลคิดแบบเฉลียวเจ้าเล่ห์ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องแถลงในวันนี้เลย อดใจรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 31 ม.ค. นี้ก่อนก็ได้ เผื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะหา ‘ทางลง’ ให้พรรคก้าวไกล ด้วยการตีกรอบการแก้ 112 ไว้

ต่อไป พรรคก้าวไกลก็พูดตอบประชาชนโหวตเตอร์ได้ว่า แก้ 112 ไม่ได้ เพราะแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญบอกไว้

ผมไม่ได้ไร้เดียงสา ถึงขนาดว่าจะต้องแก้ 112 ให้ได้ จะต้องทำเรื่องนี้อย่างเดียว โดยไม่ต้องทำเรื่องอื่น

ผมตระหนักดีถึงการรุก/รอ/ถอย แต่ผมเห็นว่า การเคลื่อนตลอดสัปดาห์นี้ไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค.ที่ศาลจะตัดสิน ที่ทำๆกันนั้น ไม่ได้คิดประเมิน รุก ถอย บริหารจัดการความคาดหวังคนเลือก แต่มุ่งไปในทิศทาง ‘หมอบ’ เสียมากกว่า ด้วยคิดว่าจะช่วยทำให้รักษาพรรคได้

แล้วพอเป็นแบบนี้ ก็เข้าทางฝ่ายตรงข้ามที่เขารอ ‘เอาคืน’ จากการที่พวกเขาถูกหาว่า ‘ตระบัดสัตย์’

ผมคาดเดาไว้แล้วว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยแบบใด…

ผมได้แต่หวังว่า คณะผู้นำพรรคก้าวไกลทั้งหมด จะประเมินเรื่องทั้งหมดให้รอบด้าน โดยมิได้ตั้งเป้ารักษาพรรค และกรรมการบริหารพรรค จนถึงขนาดต้องแลกกับทุกอย่าง

ผมคาดหวังว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาแล้ว จะได้ยินเสียงการวิจารณ์จากพรรคก้าวไกลบ้าง หากพรรคก้าวไกลไม่วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญเลย ผมจะออกมาวิจารณ์พรรคก้าวไกลเป็นคนแรกๆ แน่นอน

และผมจะวิจารณ์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ตามปกติครรลองของกระบวนวิชาการตามที่ผมฝึกฝนมา

ปล. ดักคอกองเชียร์พรรคก้าวไกลไว้ก่อน ที่จะมาด่าว่า ทำไมผมไม่ไปบอกก่อน ไม่คุยภายใน ผมไม่รู้เรื่องที่พวกเขาทำกัน ผมเป็นคนนอก รู้เรื่องก็จากการอ่านข่าว รู้พร้อมๆ กับประชาชนคนทั่วไปที่ดูจากสื่อนั่นแหละ

‘รทสช.’ ยัน!! ‘เจ๋ง ดอกจิก’ หลุดคณะทำงานพรรคตั้งแต่ ธันวา 66 ลั่น!! จุดยืนพรรคชัดเจน ‘ทำผิด-หลักฐานชัด’ ขับพ้นสมาชิกลูกเดียว

(27 ม.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหลังตำรวจรวบตัว นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ ‘เจ๋ง ดอกจิก’ สมาชิกพรรค รทสช. ภายในทำเนียบรัฐบาล หลังมีการกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการข่มขู่เรียกเงินอธิบดีกรมการข้าว 3 ล้านบาทว่า…

กรณีของนายยศวริศ ตามที่ปรากฏบนสื่อต่างๆ ขอชี้แจงว่า…

1.) พรรคฯ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพฤติกรรมที่ถูกกล่าวหา และขอสนับสนุนให้พิจารณาไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเจ้าตัวก็มีสิทธิ์ที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง 

2.) กรณีที่มีคำสั่งแต่งตั้ง นายยศวริศ หรือ ‘คุณเจ๋ง’ เป็นคณะทำงานนั้น ได้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่เดือน ธ.ค. 66 แล้ว ส่วนของ น.ส.พิมณัฏฐา ก็ถูกยกเลิกทันทีที่ทราบข่าว 

3.) กรณีที่สมาชิกคนไหนไปกระทำความผิด มีหลักฐานชัดเจน กรรมการบริหารฯ จะพิจารณาขับออกจากสมาชิกตามข้อบังคับ ซึ่งเคสนี้จะมีการนำเข้าเพื่อพิจารณาในการประชุมกรรมการบริหารในรอบต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top