Tuesday, 10 June 2025
POLITICS NEWS

‘ศาล รธน.’ วินิจฉัย!! พรรคก้าวไกลเสนอแก้ 112 และเป็นนายประกันให้ผู้ต้องหาคดี 112 เข้าข่ายแล้วล้มล้างการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“พฤติการณ์เรียกร้องของ นายพิธา ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค และสมาชิกพรรคที่เป็นกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ตลอดจน สส. ที่เรียกร้องให้แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 รวมทั้งไปเป็นนายประกันให้กับผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 สะท้อนให้เห็นความมุ่งหมายในการยกเลิกมาตรา 112 อันเป็นการลดการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์”

‘เทพมนตรี’ เผย คดี ‘ปิยบุตร’ หมิ่นสถาบันฯ อัยการให้ ตร.สอบเพิ่ม ด้าน ‘หมอวรงค์’ ชี้!! มีขบวนการปั่น-ล้มล้างฯ เร่งปลุกคนไทยต้าน

เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 67 นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thepmontri Limpaphayorm’ ถึงคดีของ ‘นายปิยบุตร แสงกนกกุล’ เลขาธิการคณะก้าวหน้า กรณีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ระบุว่า…

“วันนี้ต้องมาสถานีตำรวจนครบาลดุสิตอีกรอบ

อาจารย์ปิยบุตรเป็นบุคคลสาธารณะ อันที่จริงไม่ได้มีความบาดหมางส่วนตัวอะไรกันเลย ผิดแผกตรงที่ผมไม่เห็นด้วยในการพูดและเขียนของเขา โดยเฉพาะประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ และทำให้เด็กเยาวชนน้อมนำไปปฏิบัติคล้ายๆ ได้รับแรงบันดาลใจ

ตำรวจใช้เวลาเกือบ 2 ปี กว่าจะสรุปสำนวน อัยการก็ใช้เวลาพิจารณาจะครบปีแล้ว วันนี้ก็ต้องมาสถานีตำรวจนครบาลดุสิต เพราะท่านอัยการมีข้อคำถามกลับมาให้สอบต่อ เพื่อยืนยันข้อความ 3 โพสต์ว่าเป็นจริงตามที่เสนอไป

สงสัยคดีอาจารย์ปิยบุตรจะครบ 3 ปีแน่ๆ และคงต้องสู้คดีกันต่อไปอีกหลายปี

อคติ ความไม่ชอบ ความไม่ลงรอยระหว่างตัวบุคคลที่มีความเห็นแตกต่างกัน ทั้งๆที่ถ้ามองแบบวิชาการมันก็คิดอีกอย่าง

พอดีมันเป็นเรื่องกฎหมาย และผมก็มาร้องอยู่คนเดียวมันก็เลยทำให้นางไม่พอใจผมเป็นแน่ ผมไม่ใช่นักร้องน้องรัก ไม่เคยเรียกรับเงินใครสักบาท ไม่รับบริจาคหรืออามิสสินจ้างอะไร ที่ทำไปก็ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ที่อยากเห็นบ้านเมืองนี้มีความยุติธรรมให้เท่าเทียมกันทุกๆคน ทั้งที่เป็นเรื่องยากมาก

อยากบอกอาจารย์ปิยบุตรให้นางได้รับทราบและเตรียมตัวเอาไว้ ถ้าได้เจอกันก็ทักทายกันครับ แต่เรื่องเจ้าเรื่องสถาบันเพลาๆลงบ้างก็จะดี”

ขณะเดียวกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ ‘ขบวนการล้มล้างการปกครอง’ โดยระบุว่า…

“หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล มีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นหลากหลาย มีความพยายามที่จะบิดเบือนคำวินิจฉัยของศาล เพื่อสร้างความรู้สึกว่าถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรม บางคนถึงขนาดที่ต้องตอบโต้หาว่าศาลรัฐธรรมนูญล้ำแดน ต้องใช้อำนาจโต้กลับ และมีการใช้คำพูดถากถางในโซเชียล

สิ่งที่พี่น้องประชาชนต้องเข้าใจ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่สรุปว่า มีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น

แต่เคยเกิดขึ้น ในปี พ.ศ. 2564 ที่มีการชุมนุมในปี 2563 ประกาศ ‘ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์’ แต่แฝงเร้นคำพูดให้เยาวชนทั่วไปเข้าใจผิดว่า ต้องการให้สถาบันฯ อยู่เคียงคู่กับประชาชนได้อย่างสงบสุข และการชุมนุมครั้งนั้น ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า เข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ เช่นกัน

การถูกชี้ว่าล้มล้างการปกครองในครั้งนั้น จะขายคำว่า ‘ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง’ แต่ครั้งล่าสุดที่เสนอแก้ไขมาตรา112 แต่จริงๆ แล้วก็คือซ่อนเร้นการยกเลิกมาตรา 112 และไปเขียนกฎหมายใหม่ เพราะประชาชนอาจรู้ไม่เท่าทัน

ประเด็นสำคัญที่ต้องการสื่อคือ วันนี้แผนการล้มล้างการปกครองระบอบนี้ฯ ได้มีการตั้งข้อสงสัยว่า มีการวางแผนทำกันเป็นขบวนการหรือไม่? จะจริงหรือที่การเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่มนั้นต่างฝ่ายต่างทำ บนความเชื่อของตนเอง

เพราะการล้มล้างทั้งสองเหตุการณ์นั้น มีการขับเคลื่อนของผู้แสดงที่หนุนซึ่งกันและกัน กลุ่มเยาวชนหนุนพรรค และพรรคก็หนุนเยาวชน มี NGO ที่รับเงินต่างชาติมาขับเคลื่อนในทิศทางเดียวกัน

ขานรับกับสื่อที่เขามีอยู่ในมือจำนวนมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นี่ยังไม่นับรวมรัฐบาลต่างประเทศ หรือวงการทูตที่แสดงออก ในการแทรกแซงการเมืองไทย แบบไม่ต้องเกรงอกเกรงใจรัฐบาลไทย

อยากบอกพี่น้องประชาชนว่า เรากำลังเผชิญกับขบวนการการล่าอาณานิคมยุคใหม่ ที่ไม่ต้องใช้เรือปืนมาปิดปากอ่าวไทย เพียงแค่ใช้คำว่าประชาธิปไตย มาปั่นให้กับคนกลุ่มหนึ่ง และอาศัยสื่อสมัยใหม่ แค่นี้ก็สั่นคลอนประเทศได้

ถึงเวลาที่พี่น้องไทย ต้องร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว ถ้าเขาทำลายศรัทธาสถาบันฯ ที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวประเทศได้ เท่ากับเขาล้มระบบนี้ได้ และอาจจะสถาปนาระบบใหม่ที่เลวร้ายกว่าเดิม ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดินิยม แต่มีคำสวยหรูคือประชาธิปไตย

ขอเตือนเหล่าขบวนการนี้ว่า พวกคุณคิดจะตัดรากแก้วต้นไม้ ถ้าอายุต้นไม้ไม่มากคุณตัดได้และไปล้อมปลูกได้ แต่ไม้ใหญ่ที่อายุร่วม 700 – 800 ปี ที่ให้ความสงบร่มเย็นแก่ผู้อาศัย ขอบอกไว้เลยว่ายาก แต่ถ้าไปเอาคนต่างถิ่นมาช่วยตัด ถ้าตัดได้ ทุกอย่างก็ต้องล่มสลายตามกันไป รวมทั้งพวกคุณด้วย”

เปิดฉาก!! 'แก้นิรโทษกรรม-ประชามติ-รธน.' ปฏิบัติการ 'กึ่งยิงกึ่งผ่าน' ของ 'เพื่อไทย'

ครับ!! เป็นไปตามที่ 'เล็ก เลียบด่วน' รายงานไว้เมื่อต้นสัปดาห์ว่า พรรคเพื่อไทยเขาจะ 'หักเหลี่ยมโหด' เสนอญัตติด่วนเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม และขอลัดคิวพิจารณา...ซึ่งวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ทุกอย่างก็จบลงด้วยความเรียบร้อยโรงเรียนเพื่อไทย...มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมา 35 คน เวลาศึกษา 2 เดือน...

ทำใจเป็นกลางก็พอจะพูดได้ว่า...เพื่อไทยต้องการให้รอบคอบ และคงมีความตั้งใจที่จะออกกฎหมายนี้อยู่พอประมาณ...สังเกตจากชื่อญัตติด่วนชื่อ ‘ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม’

แบ่บว่า...มีการยกระดับขึ้นมานิดหนึ่ง ไม่ใช่ศึกษาแนวทางปรองดอง แต่ศึกษา 'การตรากฎหมาย'

พูดก็พูดเหอะ 'เล็ก เลียบด่วน' เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับผู้สันทัดกรณีที่มองว่า...ลีลาฝ่ายกฎหมายและการเมืองของพรรคเพื่อไทยที่มี 'ชูศักดิ์ ศิรินิล' เป็นเสนาธิการใหญ่...เป็นลีลาเกมฟุตบอลช็อตที่เรียกว่า 'กึ่งยิงกึ่งผ่าน' มีแต่ได้กับได้ เป็นการเช็กกระแสพรรคการเมืองและกระแสสังคมไปในตัว...และได้ยืดเวลาไปตั้งสติได้อีกเล็กน้อย

ไม่เพียงกึ่งยิงกึ่งผ่านเรื่องนิรโทษกรรมเท่านั้น วันเดียวกันพรรคเพื่อไทยนำโดย อ.ชูศักดิ์ แอบไปจัดดีลเล็ก ๆ กับพรรคก้าวไกล ยื่นขอแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประชามติ พ.ศ. 2558 เป้าหมายลึกเป็นที่รู้ ๆ กันมานานว่าต้องการแก้มาตรา 13 ที่บัญญัติการใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้นหรือ Double Majority ว่า...

“การออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติในเรื่องที่จัดทำประชามติ ต้องมีผู้ใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียงและมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น”

แปลไทยเป็นไทยสมมุติผู้มีสิทธิออกเสียง 50 ล้าน ด่านแรก ต้องมาออกมาใช้สิทธิ์อย่างน้อย 25 ล้านคน ด่านสอง ใน 25 ล้านคนนั้นต้องเห็นชอบไม่น้อยกว่าครึ่งหรือ 12.5 ล้าน...

ซึ่งทั้งเพื่อไทยและก้าวไกลเกิดอาการป๊อดว่า...ถ้าไม่แก้กฎหมายประชามติ อาจจะตกม้าตายตั้งแต่ด่านแรก...การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเดินต่อไม่ได้ เสียหายหลายแสน เพราะไปหาเสียงเอาไว้ใหญ่โต...!!

การยื่นแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติหนนี้จึงเป็นหนึ่งในปฏิบัติการ...กึ่งยิงกึ่งผ่าน...เช่นเดียวกัน

แต่จะว่าไป...กึ่งยิงกึ่งผ่านของพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านี้ก็ค่อนข้างชัดเจน นั่นคือการที่ อ.ชูศักดิ์ นำทีม 122 สส.ย่องไปยืนแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ว่าด้วยการแก้ไขจัดทำรัฐธรรมนูญซึ่งต้องถามประชามติ...เป้าหมายส่วนลึก อ.ชูศักดิ์ยอมรับว่า ประธานรัฐสภาคงไม่กล้าบรรจุเป็นวาระประชุม เพื่อไทยจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าใครถูกใครผิด และจะได้ถามในคราวเดียวกันไปเลยว่าการจัดทำประชามติต้องทำกี่ครั้งกันแน่ แต่สำหรับพรรคเพื่อไทยเห็นว่าสองครั้งเท่านั้น ประหยัดงบประมาณได้ 3-4 พันล้านบาท...

ก็ได้แต่ภาวนาว่า...ขอให้ปฏิบัติการกึ่งยิงกึ่งผ่าน 3 ลูกของพรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จหรือเข้าประตูได้สักลูก...โดยเฉพาะกรณีนิรโทษกรรมที่ชายชั้น 14 สามารถไถ่บาปให้ตัวเองได้ด้วยการส่งสัญญาณให้พลพรรคเพื่อไทยเดินหน้า ปลดล็อกความขัดแย้งให้ได้ แม้ปลดได้ไม่ทั้งหมดแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย..

ฝากคุณหนูอุ๊งอิ๊งไปกระซิบข้างหูคุณพ่อด้วยนะจ๊ะ!!

'ปภส.' ยื่นผู้ตรวจฯ วินิจฉัยปม 'ธนาธร' ถูกตัดสิทธิ์การเมือง แต่ยังโผล่นั่ง 'กมธ.' เปรียบ 'ปารีณา' ถูกตัดสิทธิ์ ยังไม่สามารถเข้ามาทำงานการเมืองได้เลย

(2 ก.พ.67) กลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน (ปภส.) นำโดยนายทรงชัย เนียมหอม ประธานกลุ่มฯ ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินผ่านนายเอกพจน์ ถิรวณิชย์ ผู้อำนวยการส่วนตรวจสอบและปฏิบัติการเร่งด่วนสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ซึ่งเป็นบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปอยู่หน่วยงานอื่นที่เหมาะสมนั้นเป็นการกระทำที่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2563 ลงวันที่ 21 ก.พ.63 หรือไม่

นายทรงชัย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 21 ก.พ.63 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง (3) และวรรคสอง ประกอบมาตรา 72 เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ 2 ม.ค. 62 หรือ 11 เม.ย.62 ซึ่งเป็นวันที่มีการกระทำอันเป็นเหตุให้ยุบพรรคเป็นเวลา 10 ปี โดยนายธนาธรเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แต่กลับพบว่าเมื่อวันที่ 25 ม.ค. นายปฏิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุมได้พิจารณาญัตติของนางสาวเบญจาแสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ที่ขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนหน้าที่การให้บริการไฟฟ้า ที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการของกองทัพไปอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง รวมถึงการถ่ายโอนธุรกิจต่างๆ ของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาล ซึ่งนายวันมูหะมัดนอร์ มะทาประธานสภา ก็แจ้งว่าดูแล้วสมาชิกทุกคนเห็นตรงกันให้ตั้งกรรมาธิการจึงเห็นชอบให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดดังกล่าวมีจำนวน 25 คน โดยกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล มีนายธนาธรมาเป็นกรรมาธิการด้วยมีระยะเวลาการพิจารณา 90วัน และนายธนาธรได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการนัดแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ซึ่งตนเห็นว่าเมื่อนายธนาธรถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครแล้วก็ไม่ควรที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวในทางการเมืองอีก

"ผมจึงต้องใช้ช่องทางของผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการที่เขากระทำการเลี่ยงบาลีอย่างนี้มันถูกต้องหรือไม่เมื่อเทียบกับคนที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองคนอื่นๆ อย่างเช่น น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ เขาก็ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถเข้ามาทำงานในทางการเมืองได้เลย แล้วทำไมนายธนาธรจึงทำได้หรือเพราะเป็นนักการเมือง และถ้าเป็นผมซึ่งเป็นประชาชนถ้าถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจะสามารถทำอย่างนั้นได้บ้างหรือไม่ จึงอยากให้ทั้งผู้ตรวจการแผ่นดินและศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องนี้ให้ชัดเจน" นายทรงชัย กล่าว

‘ศาล รธน.’ วินิฉัย!! พรรคก้าวไกลเสนอแก้ ม.112 หวังผลการเลือกตั้ง-เจตนาบ่อนทำลาย-ล้มล้างการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“การที่นายพิธาและพรรคก้าวไกล เสนอแก้ 112 เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ถือเป็นการดึงสถาบันฯ ลงมาเพื่อหวังผลในการได้คะแนนเสียงและประโยชน์ในทางการเมือง อันจะเป็นผลให้สถาบันฯ ตกเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน ส่อเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองฯ ได้ในที่สุด”

‘กลาโหม’ จับมือ ‘กมธ.ทหาร’ ผลักดันโครงการพลทหารปลอดภัย เปิดช่องร้องเรียนหากพบพฤติกรรมไม่เหมาะสมในค่ายทหาร

(2 ก.พ. 67) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม พร้อม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้าหารือกันประมาณ 2 ชม. ว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยดี มีการพูดคุยซักถามกันหลายประเด็น ถือเป็นความร่วมมือระหว่างกัน

สำหรับไฮไลต์สำคัญอยู่ที่โครงการพลทหารปลอดภัย ที่ทางคณะกรรมาธิการการทหาร มาบอกเล่าให้ทางกระทรวงกลาโหมได้รับรับทราบ ซึ่งเกิดจากความเป็นห่วงพลทหาร ที่มีทหารออกนอกลู่นอกรอย ในการถูกลงโทษลงทัณฑ์พลทหาร ทางคณะกรรมาธิการทหารจึงได้เกิดโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะเปิดช่องทาง ให้ทหารเกณฑ์หรือทหารกองประจำการ ได้มีการสื่อสารหากได้รับวิธีการลงโทษที่ไม่ถูกต้อง

ซึ่งทางกระทรวงกลาโหมก็มีความยินดีให้ความร่วมมือ จะได้ช่วยทางกระทรวงกลาโหมกำกับดูแล แม้ว่าเราจะมีนโยบายที่ดีที่ดีและกวดขัน ขนาดไหนก็ตาม ก็ยังมีกำลังพลบางส่วนที่ยังไม่สนองนโยบาย หรืออาจจะนอกลู่นอกรอย ซึ่งทางคณะกรรมาธิการการทหารมีโครงการอย่างนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงกลาโหม

เรียกได้ว่าเป็น ‘โซเชียลคอนโทรล’ ก็จะทำให้พฤติกรรมนอกลู่นอกรอยดีขึ้น จึงถือว่าทางคณะกรรมาธิการการทหารและกระทรวงกลาโหมได้ร่วมมือกันทำให้โครงการนี้สำเร็จ โดยหลังจากนี้ก็จะมอบหมายให้หลังจากนี้จะพิจารณาว่าจะมอบหมายให้หน่วยงานใดในกองทัพเป็นผู้ประสานงานกับทางกรรมาธิการการทหารอาจเป็นหน่วยงานด้านกิจการพลเรือน

ด้าน นายวิโรจน์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการพูดคุยในเรื่องความเข้าใจในบทบาทซึ่งกันและกัน ซึ่งคณะกรรมาธิการการทหารก็มีอำนาจในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่ง นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ยังมีสถานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถือว่าเป็น สส.อาวุโส ได้เข้าใจบทบาทคณะกรรมาธิการเป็นอย่างดี ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ณ ปัจจุบันนี้การขอข้อมูล ข้อเท็จจริงใด ๆ จากกองทัพ จะได้รับการประสานงานและแนบแน่น ได้รับข้อมูลครบถ้วนและถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเรื่องการกู้เรือหลวงสุโขทัยและการจัดซื้อเรือดำน้ำ ธุรกิจกองทัพ หรือประเด็นปัญหาต่าง ๆ นับจากนี้ ก็จะได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่ จากกระทรวงกลาโหม

"เป็นที่น่ายินดีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ตกปากรับคำว่าจะ ดำเนินโครงการพลทหารปลอดภัย ถือว่าเป็นข่าวดีให้กับคุณพ่อคุณแม่ และจะดำเนินการในโครงการนี้ ก่อนที่จะมีการเกณฑ์ทหาร จับใบดำใบแดง ในปี 2567 นี้ และจะได้ ทำงานร่วมกับทางกองทัพอย่างใกล้ชิดเพื่อสกัดกั้นการนอกลู่นอกรอย และอาจจะผิดหลัก สิทธิ มนุษยชน" นายวิโรจน์ กล่าว

พิสูจน์ระบบคุณธรรม จะด่างพร้อยหรือไม่? หากยังพยายามดันอาวุโสน้อยสุดขึ้นมาอีก

ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะว่างลงในเดือนตุลาคม 2567 นี้ เนื่องจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จะเกษียณอายุราชการ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (กตร.) จึงต้องสรรหา ผบ.ตร.คนใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่ง กตร. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทางนายกรัฐมนตรีจะต้องเสนอชื่อให้ กตร.พิจารณา

ในปัจจุบัน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุด เกษียณกันยายน 2567 ดูเหมือนชีวิตข้าราชการตำรวจกลายเป็น 'ผู้ให้' และจำยอมหลีกทางให้ รอง ผบ.ตร.คนอื่นที่มีอาวุโสน้อยได้ไต่ขึ้นไปชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.อยู่ร่ำไป

เมื่อกันยายน 2566 พล.ต.อ.รอย มีสิทธิชอบธรรมตามหลักอาวุโส ซึ่งเป็นระบบคุณธรรมของการเติบโตในสายงานราชการตำรวจที่ควรได้รับคัดเลือกให้เป็น ผบ.ตร. แล้วชีวิตของเขาเหมือนถูกสาปจนจำต้องหลีกทางให้ รอง ผบ.ตร.อาวุโสน้อยกว่า แต่เส้นใหญ่สุดปาดหน้าไปเป็น ผบ.ตร.อย่างหน้าชื่นอกตรมมาแล้ว

ภาพสะท้อนอาการ 'ผิดหวัง' ในระบบคุณธรรมตำรวจที่พยายามเดินหลีกหนีระบบเส้นสายเบียดแทรกพุ่งพรวดไปเป็น ผบ.ตร.นั้น ในวันที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ประชุมพิจารณาเห็นชอบแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ พล.ต.อ.รอย ไม่เข้าร่วมประชุมด้วย

คงไม่ใช่วาสนา พล.ต.อ.รอย ไม่ถึง ผบ.ตร. แต่ระบบคัดเลือกที่ขาดคุณธรรม และถูกกลุ่มอำนาจไม่ยึดบรรทัดฐานตามกฎหมายขัดขวางไม่ให้ก้าวไปสู่ตำแหน่งปรารถนาของนายตำรวจยศ 'พล.ต.อ.' ซึ่งไต่เต้าจนมีสิทธิไขว่คว้าได้ แล้วระบบคุณธรรมก็ถูกอำนาจอื่นมาทำให้วงการตำรวจด่างพร้อยซ้ำซากอีก

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อไร้โอกาสไปถึง ผบ.ตร.แล้ว พล.ต.อ.รอย ที่อยู่ในวงการตำรวจมาทั้งชีวิต ผ่านร้อนผ่านหนาวจากอำนาจการเมืองกดทับจำเจ แน่นอนชีวิตตำรวจที่เหลืออยู่ เขาย่อมต้องการเกษียณในตำแหน่งสุดท้ายของงานตำรวจในกันยายนปี 2567 

แล้ว พล.ต.อ.รอย กลายเป็น 'ผู้ให้' ต้องยอมหลีกทางอีกครั้ง ขณะที่เวลาจะเกษียณเหลืออีก 8-9 เดือน เขาต้องถูกมติ ครม.ให้ย้ายขาดจากตำแหน่งรอง ผบ.ตร.สูงสุดที่หมดโอกาสได้เป็น ผบ.ตร.แล้ว ไปเป็น 'เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ' (สมช.) ที่ว่างเว้นอยู่

ดูเหมือนรัฐบาลเชิดชูเอออวยว่า พล.ต.อ.รอย มีความเหมาะสม มากความรู้ (แต่ไม่ได้เป็น ผบ.ตร.ตามระบบคุณธรรม) ในตำแหน่ง เลขา สมช. ก็ว่ากันไป ส่วนด้านลึกที่ไม่ยกยอกันนั้น คือ คำสั่ง 'ย้ายไปที่ใหม่' เป็นการเปิดทางให้ รอง ผบ.ตร.ว่างลง แล้ว ผู้ช่วย ผบ.ตร.อาวุโสสูงคนหนึ่งจะได้มีที่ลงในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เพื่อบ่มเพาะให้ไปเป็นคู่ชิง ผบ.ตร. คนใหม่ที่จะแต่งตั้งช่วงสิงหาคม-กันยายน 2567 

อย่ากระพริบ ดันอาวุโสน้อยสุด ข้ามหัว 'บิ๊กโจ๊ก'

ว่ากันว่า ผู้ช่วย ผบ.ตร.อาวุโส ยศ 'พล.ต.ท.' ตามหลักเกณฑ์การเลื่อนชั้นครองยศ 'พล.ต.อ.' ตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. คือ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข นรต.รุ่น 39 เกษียณกันยายนปี 2568 ขึ้นมาเป็น รอง ผบ.ตร.ที่ว่างลง

ผู้สันทัดกรณีระดับเขี้ยวล้วนปักใจเชื่อตรงกันว่า พล.ต.ท.ประจวบ คือ ผู้ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร. คนใหม่กับ รอง ผบ.ตร.ที่อยู่ในโผมีสิทธิเป็น ผบ.ตร.ทั้งหมด ซึ่งเหลืออยู่อีก 4 คน เรียงลำดับอาวุโสในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ดังนี้...

- พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เกษียณปี 2574 
- พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เกษียณปี 2569
- พล.ต.อ. สราวุฒิ การพานิช เกษียณปี 2567 
- พล.ต.อ. ธนา ชูวงศ์ เกษียณปี 2569 

ขณะที่ พล.ต.ท.ประจวบ เกษียณปี 2568 และเมื่อได้เลื่อนยศเป็น พล.ต.อ. ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. จะมีอาวุโสน้อยสุด

การประเมินว่า แม้ พล.ต.ท.ประจวบ มีอาวุโสน้อยสุดก็ตาม แต่จะสามารถไขว่คว้าตำแหน่ง ผบ.ตร. มาครองได้เช่นกัน เพราะการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ล่าสุดเมื่อกันยายน 2566 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้มีอาวุโสรั้งบ๊วยสามารถทำได้สำเร็จมาแล้ว และเป็น ผบ.ตร.คนปัจจุบันซึ่งจะเกษียณกันยายนปี 2567 

การปักใจเชื่อมั่นเช่นนั้น ส่วนสำคัญมาจากแรงผลักดัน 2 ส่วนทั้งมีกฎหมายและเป็นอำนาจการเมืองต้องการ โดยด้านกฎหมายอ้างถึง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 มาตรา 77 (1) ซึ่งผู้ได้รับแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.ไม่เกี่ยวกับหลักอาวุโสแต่อย่างใด นั่นเท่ากับสะท้อนระบบคุณธรรมเป็นปัจจัยเล็กน้อยที่จะถูกคัดเลือกให้เป็น ผบ.ตร.

มาตรา 77 (1) ระบุว่า ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากข้าราชการตำรวจยศพลตำรวจเอกซึ่งดำรงตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติหรือรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

แน่ละเมื่อพิจารณาเพียงชั่วเวลาลมผ่านวูบแล้ว มาตรา 77 (1) ไม่ได้ระบุถึงหลักอาวุโสให้เป็น ผบ.ตร. ซึ่งเป็นความจริง แต่หากพิจารณาประกอบกับมาตรา 78 (1) ระบุหลักเกณฑ์คัดเลือกตำรวจยศ พล.ต.อ.ไปเป็น ผบ.ตร. ไว้ดังนี้...

"การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 77 (1) ให้นายกรัฐมนตรีคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 77 (1) โดยคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปรามเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง"

โปรดสังเกตุว่า มาตรา 78 (1) กำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือก รอง ผบ.ตร. เป็น ผบ.ตร.ตามมาตรา 77 (1) นั้น ได้เน้นถึงระบบอาวุโสมาเป็นส่วนประกอบสำคัญด้วย และไม่ต้องตีความให้ซับซ้อนอีกเลย เพราะคำว่า ‘คำนึงถึงอาวุโส…’ ย่อมไม่เท่ากับ ‘ผู้มีอาวุโสน้อยสุด’ ต้องได้เป็น ผบ.ตร.

ดังนั้น การคำนึงถึงหลักอาวุโสจึงแปลเป็นอื่นไม่ได้ โดยต้องเคร่งครัดถึงระดับอาวุโสที่มากกว่าคนอาวุโสน้อยสุดจึงควรถูกคัดเลือกให้ได้เป็น ผบ.ตร. เพราะจะเป็นที่ยอมรับของข้าราชการตำรวจ และนี่คือ 'ระบบคุณธรรม' ส่วนคนมีอาวุโสน้อยสุดได้เป็น ผบ.ตร.จึงแสดงถึงส่วนหนึ่งเป็นความต้องการของอำนาจการเมืองผลักดัน

หากอำนาจการเมืองหนุนดันยศ พล.ต.อ.อาวุโสน้อยสุดเป็น ผบ.ตร. แล้วนายกฯ คัดเลือกหยิบชื่อส่งให้ ก.ตร.พิจารณา พร้อมล็อบบี้ให้แต่งตั้ง ด้วยพฤติการเช่นนี้ย่อมเป็นการทำให้ระบบคุณธรรมด่างพร้อย ข้าราชการตำรวจย่อมอ่อนโรยในการทำหน้าที่ แล้วเสียงสังคมก็ดังกระหึ่มกระตุ้นให้ปฏิรูปตำรวจพ้นจากระบบเส้นสายของการเมืองต้องการ

กล่าวอย่างแจ่มชัดเฉพาะ พล.ต.ท.ประจวบ หากได้เลื่อนยศมาเป็น พล.ต.อ.ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เขาจะมีอาวุโสน้อยสุดเพียงเป็น รอง ผบ.ตร.ตั้งแต่การโยกย้ายปกติเมษายนถึงได้รับโปรดเกล้าฯ กระทั่งถึงสิงหาคมและกันยายนปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงการชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.กับรอง ผบ.ตร.คนอื่นคึกคัก ลุ้นระทึก แต่เขามีอาวุโสประมาณ 5-6 เดือนเท่านั้น 

ด้วยอาวุโสน้อยสุดเช่นนี้ หากทะลุไปถึงตำแหน่ง ผบ.ตร.ในกันยายนปี 2567 ความครหาได้เพราะอำนาจการเมืองผลักดัน โดยเป็นอำนาจการเมืองที่ พล.ต.ท.ประจวบ คุ้นเคยพื้นที่เชียงใหม่ แล้วอาจมีสัมพันธ์กับนักการเมืองเชียงใหม่ที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในพรรคเพื่อไทยต้องการให้เป็น ผบ.ตร

ดังนั้น ศักดิ์ศรีของ พล.ต.ท.ประจวบ ย่อมมั่วหมองด้วยเส้นสายของอำนาจนัการเมือง ถูกกล่าวหาเป็นตำรวจที่ทำให้ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจด่างพร้อย แต่ถึงที่สุดเขาอาจไม่ต้องการเป็นตำรวจด้วยระบบเส้นสายก็ได้

การคาดหมายว่า พล.ต.ท.ประจวบ คือ ผบ.ตร.ในอนาคต มาจากผู้สันทัดกรณีวิเคราะห์เอาทางภววิสัยที่เป็นตำรวจภาค 5 มาก่อน เป็นคนจัดระเบียบรอรับทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านเมื่อ 22 สิงหาคม 2566 แล้วประเมินว่า อำนาจการเมืองต้องการให้เป็น ผบ.ตร.

แต่ด้านลึกที่เป็นอัตวิสัยแล้ว พล.ต.ท.ประจวบ ย่อมไม่ต้องการ ผบ.ตร.ด้วยทางลัดตามอำนาจการเมืองก็เป็นไปได้ เพราะเขารู้ตัวเองว่า อาวุโสใน รอง ผบ.ตร.เพียง 5-6 เดือนมันน้อยนิดที่เป็น ผบ.ตร.ด้วยระบบคุณธรรมและทำให้องค์กรตำรวจภาคภูมิใจได้ 

ดังนั้น ยังมีเวลาและปัจจัยแห่งอนาคตอีกที่จะประเมินและฟันธงว่า พล.ต.ท.ประจวบ เมื่อได้เลื่อนยศเป็น พล.ต.อ.ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. คือ ผบ.ตร.ตามอำนาจการเมืองเพื่อไทยหมายปองไว้หรือไม่

โปรดย้อยรอยศึกษาอำนาจแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็น ผบ.ตร. คนที่ 8 เมื่อ 26 ตุลาคม 2554-30 กันยายน 2555 ล้วนละม้ายคล้ายคลึงกับการย้าย พล.ต.อ.รอย ไปเป็น เลขา สมช.ยิ่งนัก

หนึ่งในคำวินิจฉัยจาก ‘ศาล รธน.’ กรณีพรรคก้าวไกลเสนอแก้ ม.112 ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“การเสนอให้ความผิด ม.112 ยอมความได้ มาตรา 139/1 และ วรรคสอง ให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์และเป็นผู้เสียหาย ถือเป็นความมุ่งหมายให้การกระทำ ม.112 เป็นการลดสถานะ และไม่ให้ความคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ จนกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนโดยตรง”

‘ศาลรธน.’ ชี้ การเสนอย้าย ม.112 ออกจากความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ถือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“การที่นายพิธา และพรรคก้าวไกล เสนอให้ย้ายมาตรา 112 ออกจากความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ถือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ และเป็นความผิดที่ร้ายแรงในระดับเดียวกันกับลักษณะอื่น”

‘เศรษฐา’ ฟิต!! เตรียมยกหูถึง ‘นายกฯ กัมพูชา’ ลุยหารือแก้ฝุ่น PM 2.5 หลังพัดเข้าไทย

(2 ก.พ. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางเข้าปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลตามปกติแล้ว หลังจากได้ลาป่วยตามคำแนะนำของแพทย์ จากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เป็นเวลา 2 วัน โดยระหว่างเลี้ยวรถเข้าทำเนียบรัฐบาล หน้าบริเวณประตู 1 นายกรัฐมนตรี ได้ให้ขบวนรถจอด พร้อมกับลงมา ทักทายสื่อมวลชน โดยก่อนลงจากรถนายกรัฐมนตรี ได้สวมหน้ากากอนามัย ซึ่งพบว่ายังมี สีหน้าที่อิดโรย แววตาฉ่ำจากพิษไข้ พร้อมกล่าวทักทายสวัสดีสื่อมวลชน

ผู้สื่อข่าวถามว่าหายดีแล้วใช่หรือไม่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตอนนี้พ้นระยะติดเชื้อแล้ว แต่ขอใส่แมสไว้หน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวเขาจะว่าเอา ไม่มีไข้ไม่มีอะไรแล้ว วันนี้ได้มาทำงานตามปกติ 

เมื่อถามว่ายังสามารถเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศศรีลังกา ระหว่างวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์นี้ ได้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โอ๊ย สบายมากไม่มีปัญหาครับ วันนี้ก็มีนัดแน่นเอี้ยด โดยเวลา 09.30 น. ทางผู้บริหารธนาคารกรุงเทพจะพาธนาคารจีนมา และยังจะมีประชุมอีกทั้งวัน นอกจากนี้นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็จะมาพูดคุย และรายงานเรื่องการท่องเที่ยวที่ได้ไปประชุมมา ที่จะรวบรวม 4-5 ประเทศ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลาง

"ไม่ต้องห่วงครับสบายมากครับ เมื่อวานนี้ผมยังได้สั่งการไปหลายเรื่อง ซึ่งวันนี้เป็นห่วงเรื่องฝุ่น PM 2.5 ที่มาจากทางกัมพูชา โดยอีกสักครู่จะโทรศัพท์คุยกับพล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อีกรอบ เพราะเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะดูจากแผนภาพความร้อน heatMap ของไทยมีน้อยมาก แต่ heat Mat อยู่ที่กัมพูชา เพราะลมพัดจากตะวันออกมาตะวันตก" นายเศรษฐา กล่าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า เดี๋ยวจะกำชับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาประเทศไทย ในสัปดาห์หน้าเพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น พอดี อีกทั้งจะกำชับไปทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในเรื่องของระบบจะต้องไม่ล่มเนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา ล่มไปอีกรอบ แต่ก็แก้ได้เร็ว ก็ต้องไปดูว่า Back up System ระบบสำรองข้อมูล และเรื่องต่างๆ อีกมาก ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน

"ไม่ต้องห่วงครับ ไม่มีอะไรเดี๋ยวเจอกัน ซึ่งภารกิจวันนี้น่าเสียดายในตอนเย็นเดิมมีนัดเตะฟุตบอล กับท่านทูต ที่สนาม Polo Football park แต่ผมก็จะไปเฉยๆ คงไปยืนดูนิดๆ ก็พอครับ ความจริงอยากลงเตะเหมือนกัน" นายเศรษฐา กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top