Tuesday, 10 June 2025
POLITICS NEWS

‘จตุพร-วัชระ’ จับมือฟาด ‘ทักษิณ’ สร้างบาดแผลให้ประเทศ ชี้!! ทั้งหมดคือการดีล มีเส้นมีสายก็ได้ลดโทษ-รอดนอนคุก

‘จตุพร-วัชระ’ จับมือฟาด ‘ทักษิณ’ บาดแผลประเทศ ‘วัชระ’ กังวลผู้นำการเมืองไม่มีรากเหง้า เป็นเครื่องมือต่างชาติครอบงำความคิดเด็กเยาวชน เป็นอันตรายต่อประเทศ บทสะท้อนชั้น 14 มีเส้นมีสายก็ไม่ต้องติดคุก เชื่อ!! ไปจบที่ศาลอาญาทุจริต ‘จตุพร’ ย้ำ อภัยโทษเฉพาะรายทักษิณ จาก 8 ปีเหลือ 1 ปี แต่ติดไม่ถึง 1 วัน บาดแผลใหญ่แต่ทั้งหมดมาจากการดีล ชี้!! จุดแข็ง ‘ก้าวไกล’ ยังไม่เคยเป็นรัฐบาลแบกความหวังไว้ทั้งหมด จ่อยึดกลไกประเทศ ผู้มีอำนาจทนไม่ได้ หวั่นจบแบบรัฐประหาร 22 พ.ค.

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 67 ที่ห้องประชุมสำนักกีผฬา มหาวิทยาลัยรามคำแหง สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดงาน ‘กินขนมจีน ซดกาแฟ ดูแลเพื่อน’ และ ‘Newstalk for friends’ โดยบนเวทีมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมพูดคุยระดมความคิดการฟื้นฟูกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง และทวงถามยุติธรรมในบ้านเมือง โดยมีนายปรเมษฐ์ ภู่โต อดีตผู้ดำเนินรายการรายการคุยถึงแก่น ช่อง NBT ดำเนินรายการ โดยบนเวที นายวัชระกับนายจตุพร ซึ่งเคยทำกิจกรรมในรั้วรามคำแหงด้วย และเคยมีจุดยืนทางการเมืองตรงข้าม ได้จับมือสร้างความสมานฉันท์กันด้วย

นายวัชระ เพชรทอง กล่าวว่า “จะบอกว่าเราลูกพ่อขุน เราเกิดจากรามคำแหง เราออกไปรับใช้พี่น้องประชาชน นายจตุพร พรหมพันธุ์ อาจจะมีประสบการณ์มากกว่าผมในหลายๆ เรื่อง และในที่สุดเราก็มาจับมือกันที่รามคำแหง เพื่อพี่น้องประชาชนต่อไปในอนาคต ส่วนจะมีกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง และเราจะตกเป็นจำเลยอะไรร่วมกันบ้าง ก็ค่อยว่ากันในอนาคต ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่า เป็นลูกพ่อขุน ที่เราเรียนรามแท้ๆ เราเรียนจริงๆ อาจจะจบนานหน่อยไม่เหมือนกับ ‘นายบรรหาร ศิลปอาชา’ หรือ ‘นายเฉลิม อยู่บำรุง’ ที่จบอย่างรวดเร็วด้วยการอุปถัมภ์ค้ำจุนจาก คุณอารังสรรค์ แสงสุข

เมื่อเราเห็นว่าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ในฐานะที่เรารักความเป็นธรรม เราก็ใช้สิทธิของความเป็นพลเมือง สิทธิตามรัฐธรรมนูญไปทำหน้าที่ ที่พึงกระทำอย่างไม่ผิดกฎหมาย และเป็นสิทธิที่เราสามารถจะดำเนินการได้ในฐานะประชาชนธรรมดา ซึ่งสิ่งที่หล่อหลอมให้พวกเรามีความกล้าที่จะไปทำการสิ่งนั้น ก็เพราะรั้วรามคำแหงสอนให้เรามีความกล้าหาญ กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับอธิการบดีที่ไม่ยุติธรรม เราทะเลาะกับอธิการบดี และเราก็ได้เผยแพร่แนวคิดทางการเมืองที่รักชาติ รักความยุติธรรม และสิ่งที่พวกเราทำมาทั้งหมดเรา รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ และไม่เคยทรยศต่อประชาชนไม่เคยทรยศต่อแผ่นดิน”

“เมื่อเราเห็นแล้วว่าสภาพบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ภายใต้พรรคการเมืองที่เราเห็น ในฐานะที่เราแพ้น้องส้ม เราแพ้น้องส้มทั้งประเทศ ก็ยอมรับว่าน้องส้มเก่ง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยที่มาจากอเมริกาหรือสิ่งที่ไรามองไม่เห็น แต่เป็นที่รับรู้กันว่า การเมืองนอกประเทศก็เข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในประเทศ และเข้ามาแทรกแซงถึงรั้วมหาวิทยาลัย โดยเรานั้นกลายเป็นคนที่ล้าหลัง คนที่ตามไม่ทันกับสื่อเหล่านั้น และเขาก็ได้ไปครอบงำความคิดของเด็กๆ เยาวชนจำนวนมาก จำนวนหนึ่งให้มีทัศนคติอย่างนั้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อประเทศของเรา ซึ่งควรจะอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารอย่างสงบและร่มเย็นตามประสาคนไทย ด้วยวิถีของอัตลักษณ์ของความเป็นไทย แต่สิ่งที่แทรกซึม แทรกแซงเข้ามานั้น กำลังจะทำให้ประเทศของเรากลายเป็นประเทศยูเครนในอนาคต เราอาจจะได้ผู้นำทางการเมืองที่ไม่มีความรู้ในประวัติศาสตร์ของชาติ มุ่งแต่เป็นเครื่องมือของประเทศนอกประเทศของเรา ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าเป็นประเทศไหน ตรงนี้อันตราย”

นายวัชระ ยังกล่าวอีกว่า ถ้าเราได้ผู้นำทางการเมืองที่ไม่ประสีประสา ไม่มีรากเหง้าความเป็นไทย และนำประเทศไปสู่สงครามระหว่างประเทศในอนาคตเหมือนกับประเทศยูเครน ก็จะตกอยู่ในอันตราย ในฐานะที่เราจบรามคำแหง เราเป็นลูกพ่อขุน เราก็ต้องกล้าที่จะบอกว่าความจริงนั้นคืออะไร และให้ความรู้กับเยาวชนคนหนุ่มสาว ตั้งแต่ในท้องถิ่นของตนเอง ไปถึงในระดับภาพกว้างว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำและถ้าพวกเรายังจะรักษาประเทศนี้ ภายใต้อัตลักษณ์ของความเป็นไทย เราก็ควรที่จะออกไปพูดในความจริงและบอกกับทุกๆ คนว่า ความจริงนั้นเป็นอย่างไร และอย่ากลัวว่าจะเสียคะแนนนิยม เมื่อเราเห็นว่าทักษิณกลับประเทศและเห็นว่าหลักการ ระบบนิติรัฐ นิติธรรม กระบวนการยุติธรรมถูกทำลาย เราก็ต้องจะต้องกล้าพูด กล้ายื่นหนังสือ ถ้าเราไปยื่นหนังสือถึงหน่วยราชการ หน่วยราชการนั้นๆ ก็ต้องปฏิบัติหรือตอบหนังสือของเรามา ว่าเขาทำหรือไม่ทำอย่างไรและสิ่งต่างๆ เหล่านั้น หนังสือที่เขาตอบมาเหล่านั้น ก็จะเป็นพยานหลักฐานที่สามารถที่จะเอาผิดในอนาคต กับหน่วยราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้

“ถ้าเขาละเว้นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่ปฏิบัติตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม ไม่ว่าหน่วยราชการใด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ปปช. หรือนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและเมื่อเราไปทำแล้วเราได้หนังสือกลับมาแล้ว แน่นอนว่าในอนาคตเราจะได้เห็นว่า เรื่องนี้จะไปจบที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง จะต้องไปจบที่นั่น ข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองที่ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ที่ทำให้เกิดอภิสิทธิ์ชนให้นักโทษชายคนหนึ่งมีอภิสิทธิ์หนือกว่านักโทษทั้งประเทศ ซึ่งในขณะนี้มีประมาณ 280,000 คน ทุกเรือนจำทั่วประเทศ ปรากฎว่ามีนักโทษคนเดียวที่ไม่เคยติดคุกเลยแม้แต่วันเดียว และมีรายงานว่าป่วยแต่ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ และได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ จนถึงบัดนี้เป็นเวลานานมากจนเรียกได้ว่า พี่น้องประชาชนทั่วประเทศไม่เชื่อว่ามีการป่วยจริง ตรงนี้ก็ต้องมีการพิสูจน์กันในอนาคต”

นายวัชระ กล่าวว่า คนที่รู้เรื่องราวเหล่านี้มากกว่าตนก็คือ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ เพราะว่าจตุพรกับทนายนกเขาได้เกาะติด และติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น แต่สิ่งที่พี่ปอง อัญชลี ได้พูดคุยในรายการของแนวหน้า Talk ซึ่งพี่ปองอัญชลีก็ได้พูดกับ พี่บุญยอด สุขถิ่นไทย บอกว่า น.ช.ทักษิณ ชินวัตร นั้นไปที่ 3 แห่งหมุนเวียนกันก็คือ 1 ไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า 2 ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงแรมชื่อภาษาอังกฤษ แล้วอยู่ใกล้ๆ กับไอคอนสยาม ซึ่งตรงนั้นก็ไม่ทราบว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ได้สิทธิพิเศษอะไรถึงไม่ได้ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 ตลอดเวลา ไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ไปที่คอนโดแห่งหนึ่ง แล้วก็ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง รวม 3 ที่ ตรงนี้มันก็สะท้อน และคนที่ติดคุกก็คือคนจน คนที่เป็นลูกหลานประชาชนที่ไม่มีเงินถึงต้องติดคุก คนที่ไม่มีเส้นไม่มีสายก็ติดคุก แต่คนที่มีเงินก็ไม่ต้องติดคุก เสี่ยเปี๋ยงที่ร่วมทุจริตในคดีจำนำข้าว ก็มาพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนข้างนอก ตั้งนานแล้ว

“กรมราชทัณฑ์ก็อึดอัดแต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ หรือแม้แต่อดีตอธิบดี ‘ธาริต เพ็งดิษฐ์’ ซึ่งปัจจุบันก็นอนอยู่ที่ชั้น 7 โรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในแดนต่างๆ คือ ถ้าเป็นคนที่มีเส้นมีสายก็ไม่ต้องติดคุก แต่ว่าท่านอดีตบอร์ดองค์การโทรศัพท์ เห็นว่าก็ยังนอนอยู่ในเรือนจำ ซึ่งจริงๆ แล้ว ท่านก็ทำงานให้กับชั้น 14 ในอดีต ก็ควรที่จะได้รับสิทธิในการ ที่จะไปรักษาตัวที่ชั้น 14 ในโรงพยาบาลตำรวจด้วย แต่ทำไมเขาถึงไม่ได้ไป ซึ่งตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าถ้าไม่มีเส้น ไม่มีสาย ไม่มีเงินก็ไม่สามารถที่จะอยู่อย่างสะดวกสบายได้ และสิ่งที่ผมในฐานะลูกพ่อขุนได้ ไปทำตามที่พี่น้องประชาชนได้บอกให้ไปทำ ขอให้ไปดำเนินการ เราก็ได้ไปทำเป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องประชาชนซึ่ง เชื่อว่าคุณจตุพร ก็จะพูดในประเด็นนี้และรู้รายละเอียด ทั้งหลายทั้งปวงได้ดีกว่าผม” นายวัชระ กล่าว

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่า เคยมาพูดที่รามหลายครั้ง ในช่วงที่ยังไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าผมมีส่วนกับ ‘พลตรีจำลอง ศรีเมือง’ ได้ร่วมกันสู้ในเหตุการณ์พฤษภา ปี 2535 กันมา วันหนึ่งเขาก็ไปยกพรรคไปกับคุณทักษิณ วันที่เขาเป็นหัวหน้าพรรควันแรก เขายังไม่ประสีประสาเลย ผมได้กำหนดหัวข้อให้เขามาพูดว่ากว่าจะเป็นวันนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเป็นเรื่องหัวข้อที่ง่ายที่สุดทางการเมือง และก็อยู่กันมายาวนาน ผมเป็นคนหนึ่งที่เห็นต่าง และอยู่ในพรรคนั้นๆ ได้นานที่สุดคนหนึ่ง เพราะปกติคนเห็นต่างก็จะต้องถูกเตะออกไป แต่ผมเป็นคนที่เห็นต่างและก็ยังอยู่กันได้ คือผมนี้ถ้าถือหลักว่าให้ทิ้งกันก่อนมันก็คงจะไม่ใช่วิสัย ก็กล้ำกลืนกัน เห็นต่างนี่ก็ซัดกันต่อหน้า ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ เช่นกรณีสุดซอยนี่ผมหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่เอานะ และผมหันหลังเลยวันนั้นผมบอกถ้ายังดื้อดึงกันแบบนี้ คนจะฆ่าตัวตายไม่รู้จะห้ามยังไงนะผมพูดอย่างนี้เลย ผมนี่หันหลังออกและท้ายที่สุดก็มาตาม เพราะว่าประเมินสถานการณ์แล้วว่ากำลังจะมีการยึดอำนาจ แต่นั่นอีกแหละ ท้ายที่สุดเมื่อจนมุม ก็ไปดีลกันก่อนที่จะมีการยึดอำนาจ เอาประชาชนที่ชุมนุมออกจากที่ชุมนุม ผมที่เป็นแกนนำก็ต้องรู้จึงไม่มีทางเลือก ต้องไปเจรจากับพลเอกประยุทธ์ในวันนั้น

“เรื่องราวต่างๆ ก็เป็นไปดังที่เล่าให้ฟังกัน เมื่อท้ายที่สุดนั้นเมื่อแยกกันคือความจริง ช่วงอยู่กันผมยังยืนยันอีกครั้งว่ามีเรื่องจำนวนมาก ที่เห็นไม่เหมือนกันฟาดกัน เพียงแต่ว่าผมไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ว่าเขาต้องให้อะไรและต้องไปเกรงใจอะไร เราก็เป็นตัวของเราแบบนักกิจกรรมสมัยอยู่รามคำแหงอย่างไรผมก็ปฏิบัติตัวกันอย่างนั้น และก็จนกระทั่งหันหลังกันอย่างเด็ดขาด กรณีเรื่องชั้น 14 นั้น เรื่องนี้เป็นบาดแผลของสังคมไทยระยะยาวเพราะ มันเป็นที่มาของการจัดตั้งรัฐบาลทั้งปวง ประหลาด ไม่เคยพบเคยเจอเคยเห็นในประวัติศาสตร์ ความเป็นจริงนั้นทุกครั้งของการที่คิดจะกลับบ้านก็มีการ ดีลการต่อรองกันทั้งสิ้น”

นายจตุพร กล่าวว่า “วันหนึ่งผมก็เอะใจ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยผมเรื่องถูกขัง และไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ ว่าขาดคุณสมบัติก็ไปขังและไม่ให้ไปใช้สิทธิ์ ผมเป็น สส.ไม่รู้ว่าจะเป็นคนแรก หรือมีบุคคลอื่นหรือเปล่า ที่เขียนใบสมัครรับเลือกตั้งอยู่ในเรือนจำ ประทับตราเรือนจำพิเศษ และก็ไปสมัครรับเลือกตั้ง กกต. บอกว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนแต่ กกต.ท่านหนึ่งคุณสดศรี บอกว่าต้องไปใช้สิทธิ์นะ ถ้าไม่ไปใช้สิทธิ์ก็จะเป็นปัญหา ผมก็ร้องต่อศาล ว่าขอไปใช้สิทธิ์อ้างคุณสดศรี ศาลก็บอกว่าเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของคุณสดศรีเท่านั้น และปรากฏว่ารับรองผมเป็นคนที่ 500 เลย คือต้องการขังไว้ต่อเกือบร่วมเดือน”

“แต่เอาล่ะนั่นมันเป็นเรื่องเล็ก แต่วันหนึ่งเรื่องมาถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผมไม่รู้ว่าเป็นการดีลกันก่อนโดยที่ผมก็ไม่รู้ ศาลรัฐธรรมนูญนักอ่านวันที่ 18 พฤษภาคม ซึ่งตอนนั้นกระแสเสื้อแดงยังแรงกัน จะมีการรำลึกราชประสงค์วันที่ 19 พฤษภาคม ผมก็สงสัยว่าอยู่ดีๆ นัดก่อนวันชุมนุมได้อย่างไร และก็ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านด้วยเสียง 8 ต่อ 1 มี คุณชัช ชลวร ประธานศาลคนเดียวที่ให้พูดที่เหลือ บอกไม่ไปใช้สิทธิ์ก็ขาดคุณสมบัติ ทั้งที่ กกต. เขต บอกมีเหตุอันสมควรจะไม่เกี่ยว วันรุ่งขึ้นคนก็จากที่มาแสนก็มา 2 แสน”

“ผมไม่รู้ว่าอดีตนายกทักษิณเขาไปพูดว่าคนที่พายเรือมาส่ง ไม่ต้องตามผมมาแล้ว ต่อไปนี้ผมไปเองได้แล้ว บนเวทีนี้เลิกรักหมด ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง สักพักโทรศัพท์เข้ามาบอกว่ากำลังจะได้กลับบ้าน ผมก็ถามว่ากลับวันไหนล่ะ สัปดาห์หน้าเจอกันที่กรุงเทพฯ เห็นไหมการดีล คือพร้อมจะทิ้งเลย และก็เพื่อจะลากคนให้มาเต็มเอาเหตุของผมมาตัดสินก่อน 1 วัน ความจริงตัดสินหลัง 1 วันก็ได้ เห็นไหม ดังนั้น พอดีลก็ปรากฏว่าไม่สำเร็จ และก็ดีลต่างกรรมต่างวาระจนกระทั่งมา ผ่านมา 20 ครั้ง จนกระทั่งมาวันที่ 22 สิงหาคม 22 สิงหานี้นะ กลับมาประเทศไทยถ้าไม่มีการดีล 1 เมื่อผู้ต้องหาถูกออกหมายจับหนีฟังคำพิพากษา มีคดีที่ศาลอ่านไปทั้งหมดแล้ว 12 ปี ขาดอายุความ ไป 2 เหลืออีก 10 นัดพร้อม 1 ก็เหลือ 8 ตำรวจต้องควบ” นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย

‘อานนท์’ เขียนจดหมาย ‘จะได้ไม่ลืมกัน’ ถึงลูกๆ ทั้ง 2 คน หวังเป็นสื่อเชื่อมสัมพันธ์พ่อ-ลูก รับ!! อาจเป็นฉบับสุดท้าย

(4 ก.พ. 67) นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษ กรุงเทพมหานคร จากคดีอาญา มาตรา 112 โพสต์จดหมายถึงลูกๆ มีเนื้อหาดังนี้…

“นี่อาจเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่พ่อเขียนด้วยความมุ่งหมายให้ลูกทั้งสองได้อ่าน ในอนาคตที่ลูกพอจะรู้ความ พ่อหวังว่าลูกทั้งสองจะใช้จดหมายเหล่านี้เป็นสื่อ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของพวกเรา ในห้วงเวลาที่เราพลัดพรากกันระหว่างที่พ่อติดคุก นั่นคือความมุ่งหมายแรกที่พ่อเริ่มเขียนจดหมาย แต่ตอนนี้จดหมายต่อจากนี้มันอาจกลายเป็นสื่อสัมพันธ์ให้พ่อได้อ่าน ในวันที่ความทรงจำของพ่อไม่เหมือนเดิมแล้ว

วันนี้พ่อถูกเปิดตัวไปศาลเหมือนเช่นทุกวัน และมันก็อาจเป็นเหมือนเช่นทุกวัน ถ้าหากมันไม่เกิดเหตุการณ์ช่วงท้ายท้าย ก่อนที่พ่อจะเดินจากทุกคนมาจากห้องพิจารณา 805 และมันอาจทำให้ความคิดพ่อยังวกวนกับการกลัวลูกจำไม่ได้ กลัวลูกลืมพ่อคนนี้ไปจากความทรงจำ

มันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่หลังจากศาลลงไปจากบัลลังก์ แม่ยื่นเจ้าขาลให้พ่ออุ้มและเดินออกจากห้องพิจารณา สักพักถ้าเป็นเมื่อก่อนเจ้าขาลจะงอแงโผไปหาแม่ แต่วันนี้เจ้าขาลกลับกอดพ่อแน่นและไม่ยอมปล่อย แม้แม่จะพยายามมาแกะตัวเจ้าขาลไป

พ่อคิดว่าเจ้าขาลคงจำพ่อได้ และมีความผูกพันกับคนคนนี้ คนที่แม่พามาเจอทุกวันที่ศาล และเป็นคนที่ก่อนหน้านี้ 9 เดือนได้นอนด้วยกันทุกวัน

อีกมุมหนึ่งในเรือนจำ พ่อกลับรู้สึกว่าความทรงจำบางเรื่องเพราะเริ่มหายไป เขียนคำบางคำที่เคยเขียนได้ผิดเพี้ยนไป บางเรื่องต้องนึกอยู่นานกว่าจะจำได้ พ่อจึงเริ่มกลัวว่าถ้าในอนาคตพ่อจำอะไรอะไรไม่ได้เหมือนเดิม ความสัมพันธ์พ่อ-ลูกของเราจะมีอะไรให้จดจำ หรือเป็นหลักฐานทางความทรงจำว่า 10-20 ปีระหว่างพ่อติดคุกเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ถ้าพ่อต้องติดคุก 10-20 ปี และในวันที่พ่อพ้นโทษพ่อจำลูกทั้งสองไม่ได้แล้ว ให้เอาจดหมายทั้งหมดที่พ่อเขียนระหว่างนี้ให้พ่ออ่านนะ เราจะได้ไม่ลืมกัน

2 ก.พ.67
อานนท์ นำภา”

‘ศาล รธน.’ วินิจฉัย!! ‘พิธาและพรรคก้าวไกล’ ใช้เสรีภาพที่มีเพื่อล้มล้างการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองตามคำวินิจฉัยศาลฯ สะท้อนการใช้สิทธิหรือเสรีภาพการปกครองเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จึงสั่งให้เลิกการกระทำดังกล่าวและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

‘ดร.หิมาลัย’ ชี้ชัด!! รทสช.เป็นพรรคการเมือง ไม่ใช่โรงเรียนอนุบาล ยืนยัน!! อุดมการณ์ทำเพื่อชาติ อดมื้อ กินมื้อ ก็ต้องพร้อมทำใจ

(3 ก.พ. 67) จากกรณีของคุณเจ๋ง ดอกจิก โดนกล่าวหาว่าไปพัวพันกับขบวนการตบทรัพย์ท่านอธิบดีกรมข้าวที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้ ด้าน ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) และประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า…

ต้องเรียนพี่น้องประชาชนทุกท่านเลยนะครับ ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณเจ๋งล้วนๆ เป็นเรื่องที่คุณเจ๋งจะต้องไปตอบสังคมและต่อสู้คดีเอาเอง    

คุณเจ๋ง ดอกจิกเข้าร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติตามโครงการสมานฉันท์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ต้องการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ภายใต้แนวความคิดของการอยู่ร่วมกันบนความเห็นต่าง ที่ไม่ต้องการให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนในชาติแบ่งแยกกันเป็นก๊ก เป็นเหล่า เป็นสีอีกต่อไป เรียกว่าเป็นการสลายสีเสื้อ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งพรรคร่วมไทยสร้างชาตินั้นเปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองในการที่จะสร้างสรรค์พัฒนาประเทศชาติ บำรุงรักษาศาสนา ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข 

การร่วมงานตามอุดมการณ์ของพรรค ทุกคนจึงมีอิสระในการทำงานตามแนวทางของตัวเอง แต่ที่นี่ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ให้แสวงหา การบริหารพรรคโดยท่านหัวหน้าพรรค นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และท่านเลขาธิการพรรค นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ผู้ที่มีโอกาสได้บริหารงานราชการการเมืองในตำแหน่งต่างๆ จึงต้องเร่งขยันสร้างผลงานให้ปรากฏต่อสายตาของพ่อแม่พี่น้องประชาชน ผู้เป็นผู้หยิบยื่นโอกาสให้พรรครวมไทยสร้างชาติได้ทำงานรับใช้พวกท่านทั้งหลาย

จุดแข็งเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตของพรรค ในบางครั้งอาจกลายเป็นจุดอ่อน หากผู้เข้ามาร่วมงานการเมืองของพรรค ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือลาภอันมิควรได้ บุคคลเหล่านี้จึงอาจจะต้องไปหาหนทางจากที่อื่น ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของพรรค

พรรคการเมืองจึงเป็นที่รวบรวมคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองเหมือนกัน มาช่วยกันทำงานเพื่อประเทศชาติตามนโยบายและแนวทางของพรรคนั้นๆ ไม่ใช่โรงเรียนอนุบาลที่จะมานั่งคอยอบรมสั่งสอนควบคุมความประพฤติของสมาชิกและผู้ร่วมงาน แต่ละท่านที่มาร่วมอุดมการณ์ย่อมต้องระวังตัว ควบคุมจิตใจตัวเองให้ยึดมั่นและมั่นคงในอุดมการณ์แม้จะต้องอยู่อย่างยากลำบาก อดมื้อกินมื้อ แต่นั้นคือเกียรติยศทางการเมืองของแต่ละท่าน 

เรื่องที่เกิดขึ้น จึงเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ที่จะเข้าสู่ถนนการเมืองได้พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ ส่วนคุณเจ๋ง ดอกจิกนั้น คงต้องเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน ที่จะต้องไปพิสูจน์ตัวเองตามวิถีทางของขบวนการยุติธรรมและบริบทของสังคมต่อไป

‘ศาล รธน.’ วินิจฉัย!! หากปล่อยก้าวไกลเดินหน้าแก้ 112 จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“แม้การขอเสนอแก้ไข 112 จะผ่านพ้น แต่การรณรงค์ให้แก้ไขหรือยกเลิกยังคงอยู่ ทั้งการชุมนุม จัดกิจกรรม และการใช้สื่อออนไลน์ หากยังปล่อยให้นายพิธา และพรรคก้าวไกล กระทำการดังกล่าวต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"

‘นายกฯ’ เผย!! ยังรอข้อเสนอแนะจาก ป.ป.ช. ปมดิจิทัลวอลเล็ต ลั่น!! ประชาชนคอยไม่ได้ สัปดาห์หน้าจะสอบถามว่าต้องการอะไร

(3 ก.พ. 67) ที่ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการแจกเงินประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ตว่า จะมีการพูดคุยกับ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องยอมรับว่าจะต้องรอคำเสนอแนะจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งก็รอมานานแล้ว ตนคิดว่าต้องมีวิธีการอื่นรองรับ เพราะคำเสนอแนะยังไม่มาสักที พี่น้องประชาชนเขาคอยไม่ได้

เมื่อถามว่าทาง ป.ป.ช.รอการดำเนินการความชัดเจนจากรัฐบาล และรัฐบาลก็รอข้อเสนอแนะจาก ป.ป.ช. จะทำให้ไทม์ไลน์ขยับไปมากหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ค่อยแน่ใจว่า ป.ป.ช. รอรัฐบาลเรื่องอะไร จึงต้องขอสอบถามก่อนดีกว่า อย่าให้พูดไปโดยไม่มีข้อมูล ขอเป็นต้นสัปดาห์หน้า

‘ศาล รธน.’ วินิจฉัย!! พิธาติดสติ๊กเกอร์ ‘ยกเลิกม.112’ ส่อเจตนาบ่อนทำลายการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“กิจกรรมปราศรัยใหญ่ก้าวไกล เมื่อ 24 มี.ค.66 จ.ชลบุรี นายพิธา ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้น ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นติดสติ๊กเกอร์ในกิจกรรมของกลุ่มทะลุวังว่า ‘ยกเลิกม.112’ สะท้อนทัศนคติที่พร้อมจะยกเลิก 112 เพื่อทำให้บทบัญญัติที่คุ้มครองกษัตริย์หมดสิ้นไป เป็นการกระทำที่เซาะกร่อนบ่อนทำลาย”

สำรวจผลโพล ‘วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต’ ประเด็นนโยบายรัฐ ‘แลนด์บริดจ์’ ฉลุย!! คนอยากให้เดินหน้า ส่วน ‘แจกเงินดิจิทัล’ อยากให้ระงับ

(3 ก.พ. 67) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดตัวโครงการ ‘Leadership Poll’ ภายในงานมีการแถลงข่าวผลสำรวจความคิดเห็นลีดเดอร์ชิพโพล ครั้งที่ 1/2567 โดย รองศาสตราจารย์ ร.ต.อ.ดร.จอมเดช ตรีเมฆ รองคณบดีฝ่ายวิชาการวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม ในฐานะหัวหน้าลีดเดอร์ชิพโพลล์ นำเสนอผลสำรวจความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ 

สำหรับ Leadership Poll หรือ โพลผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง จัดทำโดยวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้นำภาคสังคม, ธุรกิจและการเมือง ต่อนโยบายภาครัฐที่อยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการในปัจจุบัน 

โดยมีการเก็บข้อมูลทั้งสิ้น 543 ตัวอย่างในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 จากกลุ่มผู้นำภาคสังคม, ธุรกิจและการเมือง โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ...

1.) ผู้นำภาคธุรกิจ : ตัวแทนนักธุรกิจที่ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่
2.) ภาคประชาสังคม : ตัวแทนภาคประชาสังคม NGO และมูลนิธิต่างๆ ในประเทศไทย
3.) ภาคการเมือง : นักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี นายกและรองนายก อบจ. นายกและรองนายก อบต. ในทุกภูมิภาคของประเทศ
4.) ภาคการศึกษา : นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี รองคณบดี ในมหาวิทยาลัยรัฐ และมหาวิทยาลัยเอกชน

สำหรับสาระสำคัญในการสอบถามความคิดเห็นต่อนโยบายรัฐบาล ประกอบไปด้วยประเด็นดังต่อไปนี้...

1.) ความคิดเห็นต่อนโยบาย ‘เงินหมื่นดิจิทัล’ ของรัฐบาล ผลการสำรวจพบว่า...
- 62.20 % ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวเห็นควรให้ระงับการดำเนินการ
- 21.30 % เห็นด้วยกับการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวแต่เห็นควรให้ชะลอการดำเนินการหรือมีการทบทวนการดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง
- 13.00 % เห็นด้วยตามที่รัฐบาลนำเสนอและควรเร่งดำเนินการตามกรอบเวลา
- 3.50 % ความคิดเห็นอื่นๆ เช่น...
(ยังไม่ได้ศึกษามากพอที่จะออกความคิดเห็น)
(ไม่แน่ใจ)
(ไม่ค่อยสนใจ)

2.) ความคิดเห็นต่อโครงการ ‘แลนด์บริดจ์’ ของรัฐบาล ผลสำรวจพบว่า...

- 36.70 % เห็นด้วยกับการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวแต่เห็นควรให้ชะลอการดำเนินการหรือมีการทบทวนการดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง
- 29.60 % ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวเห็นควรให้ระงับการดำเนินการ
- 28.00 % เห็นด้วยตามที่รัฐบาลนำเสนอและควรเร่งดำเนินการตามกรอบเวลา
- 5.70 % ความคิดเห็นอื่นๆ เช่น...
(ไม่ทราบรายละเอียด)
(ต้องการข้อมูลที่ศึกษา)
(ไม่แน่ใจ)

3.) ความคิดเห็นต่อยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของรัฐบาล ผลสำรวจพบว่า...
- 41.10 % เห็นด้วยตามที่รัฐบาลนำเสนอและควรเร่งดำเนินการตามกรอบเวลา
- 37.30 % เห็นด้วยกับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวแต่เห็นควรให้ชะลอการดำเนินการหรือมีการทบทวนการจัดสรรงบประมาณอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง
- 14.50 % ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวเห็นควรให้ระงับการดำเนินการ
-1.40 % ความคิดเห็นอื่นๆ เช่น...
(ไม่ทราบรายละเอียด)
(เห็นด้วยเป็นบางอย่าง)
(ยังเข้าใจไม่ชัดเจน)

4.) ความคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผลสำรวจพบว่า...
- 52.40 % เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา
- 28.8 % เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
- 14.5% ไม่เห็นด้วย
- 4.3% ความคิดเห็นอื่นๆ เช่น...
(ไม่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 112)
(แก้ไขบางมาตราที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนจริงๆ)
(นำรัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้และพิจารณาปรับปรุงหลักการในบางมาตรา)

5.) ความคิดเห็นต่อความมุ่งมั่นตั้งใจในการขับเคลื่อนนโยบาย เพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ผบ.สำรวจพบว่า...
- 51.20 % ยังคงขาดความมุ่งมั่นในการดำเนินการ
- 34.90 % มีความมุ่งมั่นแต่ยังไม่มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม
- 9.40 % มีความมุ่งมั่น
- 4.50 % ความคิดเห็นอื่นๆ เช่น...
(ยังไม่ได้ศึกษามากพอที่จะออกความคิดเห็น)
(ไม่ทราบแน่ชัด)
(ไม่แน่ใจ ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งยังน้อยเกินกว่าที่จะประเมิน)

>> สำหรับข้อเสนอแนะอื่นๆ ที่ได้จากการสำรวจ...
1.) เท่าที่ผ่านมายังไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรมเท่าที่ควร อย่างน้อยนโยบายที่ใช้หาเสียงก็ควรมีการดำเนินการตามที่เคยพูดไว้ยังมองไม่ออกว่าอะไรที่ทำไปแล้ว และอะไรที่ยังไม่ได้ทำก็ควรชี้แจง

2.) รัฐบาลต้องเคารพกฎหมาย เป็นตัวอย่างของการรักษาความยุติธรรม ไม่ให้อภิสิทธิ์ใครให้อยู่เหนือกฎหมาย

3.) การพัฒนาประเทศควรใช้สิ่งที่ไทยได้เปรียบเป็นสารตั้งต้นสำคัญ นโยบายสาธารณะที่ดีบางครั้งเกิดจากนวัตกรรมทางกระบวนการ แค่ปรับเปลี่ยนวิธีการก็อาจมีผลดีอย่างมีนัยสำคัญ ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมหาศาล
 
4.) รัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหา ในเรื่องของยาเสพติด ควบคู่กับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเร่งด่วน

5.) รัฐบาลควรลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะการทุจริต การศึกษาและการทำงานของข้าราชการที่ล่าช้าและไม่สอดคล้องกับสภาวะการปัจจุบัน

6.) รัฐบาลยังคงกังวลเรื่องคะแนนเสียงมากกว่าการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังและจริงใจ

7.) โครงการแลนด์บริดจ์ ที่ดูไม่ได้รับความสนใจ เพราะต้องขนของจากเรือที่ฝั่งอ่าวไทย ขนขึ้นรถไฟ แล้วขนลงเรืออีกครั้งที่ฝั่งอันดามัน ไม่สมเหตุสมผลในทางปฏิบัติจริง ควรเปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่น ที่ไม่ต้องขนของขึ้นๆลงๆ จากเรือ คือให้เรือทั้งลำแล่นผ่านไปได้เลย

8.) ควรให้ความสนใจปัญหาโครงสร้างทางสังคมและการศึกษาในระดับแรกๆ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อนาคตของประเทศไทยดูแล้วมีแต่ถอยหลังเพราะเยาวชนของชาติไม่มีคุณภาพ คนไทยไม่ชอบใช้เหตุผล ใช้อารมณ์และความชอบส่วนตัวในการตัดสินใจปัญหา สนใจไสยศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์

9.) เข้าใจว่าผู้นำหลายท่านกังวลกับวิกฤติเศรษฐกิจ แต่วิกฤติความขัดแย้งที่เป็นผลเรื้อรังมานับสิบปีก็ยังคงมีอยู่ ซึ่งหากไม่มีแผนการดำเนินงานดังกล่าว ประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่จะตกอยู่ในภาวะ Burnout และเลือกที่จะชะลอการสร้างผลผลิต (Productivity) หรือเลือกที่จะไม่พัฒนาศักยภาพ (Capacity) ซึ่งจะเกิดปัญหาเรื้อรังต่อไปในอนาคต โดยอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศของการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศ หรือสร้างความภูมิใจร่วมที่คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงได้

10.) เรื่องการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท รัฐบาลต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่า ประเทศเกิดภาวะที่จะเรียกว่าวิกฤตหรือไม่ อย่างไร ถ้าจะแจก ควรกำหนดกลุ่มผู้เดือดร้อนให้ชัดเจน และเมื่อเป็นเงินกู้ เหตุใดจึงต้องจ่ายเป็นเงินดิจิทัล ทำไมไม่จ่ายเป็นเงินบาท ใครเป็นผู้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับอัตราการแลกเปลี่ยน และมีค่าใช้จ่ายในการแปลงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างไร

‘ศาล รธน.’ วินิจฉัย!! พรรคก้าวไกลเสนอแก้ 112 และเป็นนายประกันให้ผู้ต้องหาคดี 112 เข้าข่ายแล้วล้มล้างการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“พฤติการณ์เรียกร้องของ นายพิธา ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค และสมาชิกพรรคที่เป็นกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ตลอดจน สส. ที่เรียกร้องให้แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 รวมทั้งไปเป็นนายประกันให้กับผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 สะท้อนให้เห็นความมุ่งหมายในการยกเลิกมาตรา 112 อันเป็นการลดการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์”

‘เทพมนตรี’ เผย คดี ‘ปิยบุตร’ หมิ่นสถาบันฯ อัยการให้ ตร.สอบเพิ่ม ด้าน ‘หมอวรงค์’ ชี้!! มีขบวนการปั่น-ล้มล้างฯ เร่งปลุกคนไทยต้าน

เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 67 นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thepmontri Limpaphayorm’ ถึงคดีของ ‘นายปิยบุตร แสงกนกกุล’ เลขาธิการคณะก้าวหน้า กรณีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ระบุว่า…

“วันนี้ต้องมาสถานีตำรวจนครบาลดุสิตอีกรอบ

อาจารย์ปิยบุตรเป็นบุคคลสาธารณะ อันที่จริงไม่ได้มีความบาดหมางส่วนตัวอะไรกันเลย ผิดแผกตรงที่ผมไม่เห็นด้วยในการพูดและเขียนของเขา โดยเฉพาะประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ และทำให้เด็กเยาวชนน้อมนำไปปฏิบัติคล้ายๆ ได้รับแรงบันดาลใจ

ตำรวจใช้เวลาเกือบ 2 ปี กว่าจะสรุปสำนวน อัยการก็ใช้เวลาพิจารณาจะครบปีแล้ว วันนี้ก็ต้องมาสถานีตำรวจนครบาลดุสิต เพราะท่านอัยการมีข้อคำถามกลับมาให้สอบต่อ เพื่อยืนยันข้อความ 3 โพสต์ว่าเป็นจริงตามที่เสนอไป

สงสัยคดีอาจารย์ปิยบุตรจะครบ 3 ปีแน่ๆ และคงต้องสู้คดีกันต่อไปอีกหลายปี

อคติ ความไม่ชอบ ความไม่ลงรอยระหว่างตัวบุคคลที่มีความเห็นแตกต่างกัน ทั้งๆที่ถ้ามองแบบวิชาการมันก็คิดอีกอย่าง

พอดีมันเป็นเรื่องกฎหมาย และผมก็มาร้องอยู่คนเดียวมันก็เลยทำให้นางไม่พอใจผมเป็นแน่ ผมไม่ใช่นักร้องน้องรัก ไม่เคยเรียกรับเงินใครสักบาท ไม่รับบริจาคหรืออามิสสินจ้างอะไร ที่ทำไปก็ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ที่อยากเห็นบ้านเมืองนี้มีความยุติธรรมให้เท่าเทียมกันทุกๆคน ทั้งที่เป็นเรื่องยากมาก

อยากบอกอาจารย์ปิยบุตรให้นางได้รับทราบและเตรียมตัวเอาไว้ ถ้าได้เจอกันก็ทักทายกันครับ แต่เรื่องเจ้าเรื่องสถาบันเพลาๆลงบ้างก็จะดี”

ขณะเดียวกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ ‘ขบวนการล้มล้างการปกครอง’ โดยระบุว่า…

“หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล มีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นหลากหลาย มีความพยายามที่จะบิดเบือนคำวินิจฉัยของศาล เพื่อสร้างความรู้สึกว่าถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรม บางคนถึงขนาดที่ต้องตอบโต้หาว่าศาลรัฐธรรมนูญล้ำแดน ต้องใช้อำนาจโต้กลับ และมีการใช้คำพูดถากถางในโซเชียล

สิ่งที่พี่น้องประชาชนต้องเข้าใจ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่สรุปว่า มีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น

แต่เคยเกิดขึ้น ในปี พ.ศ. 2564 ที่มีการชุมนุมในปี 2563 ประกาศ ‘ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์’ แต่แฝงเร้นคำพูดให้เยาวชนทั่วไปเข้าใจผิดว่า ต้องการให้สถาบันฯ อยู่เคียงคู่กับประชาชนได้อย่างสงบสุข และการชุมนุมครั้งนั้น ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า เข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ เช่นกัน

การถูกชี้ว่าล้มล้างการปกครองในครั้งนั้น จะขายคำว่า ‘ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง’ แต่ครั้งล่าสุดที่เสนอแก้ไขมาตรา112 แต่จริงๆ แล้วก็คือซ่อนเร้นการยกเลิกมาตรา 112 และไปเขียนกฎหมายใหม่ เพราะประชาชนอาจรู้ไม่เท่าทัน

ประเด็นสำคัญที่ต้องการสื่อคือ วันนี้แผนการล้มล้างการปกครองระบอบนี้ฯ ได้มีการตั้งข้อสงสัยว่า มีการวางแผนทำกันเป็นขบวนการหรือไม่? จะจริงหรือที่การเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่มนั้นต่างฝ่ายต่างทำ บนความเชื่อของตนเอง

เพราะการล้มล้างทั้งสองเหตุการณ์นั้น มีการขับเคลื่อนของผู้แสดงที่หนุนซึ่งกันและกัน กลุ่มเยาวชนหนุนพรรค และพรรคก็หนุนเยาวชน มี NGO ที่รับเงินต่างชาติมาขับเคลื่อนในทิศทางเดียวกัน

ขานรับกับสื่อที่เขามีอยู่ในมือจำนวนมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นี่ยังไม่นับรวมรัฐบาลต่างประเทศ หรือวงการทูตที่แสดงออก ในการแทรกแซงการเมืองไทย แบบไม่ต้องเกรงอกเกรงใจรัฐบาลไทย

อยากบอกพี่น้องประชาชนว่า เรากำลังเผชิญกับขบวนการการล่าอาณานิคมยุคใหม่ ที่ไม่ต้องใช้เรือปืนมาปิดปากอ่าวไทย เพียงแค่ใช้คำว่าประชาธิปไตย มาปั่นให้กับคนกลุ่มหนึ่ง และอาศัยสื่อสมัยใหม่ แค่นี้ก็สั่นคลอนประเทศได้

ถึงเวลาที่พี่น้องไทย ต้องร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว ถ้าเขาทำลายศรัทธาสถาบันฯ ที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวประเทศได้ เท่ากับเขาล้มระบบนี้ได้ และอาจจะสถาปนาระบบใหม่ที่เลวร้ายกว่าเดิม ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดินิยม แต่มีคำสวยหรูคือประชาธิปไตย

ขอเตือนเหล่าขบวนการนี้ว่า พวกคุณคิดจะตัดรากแก้วต้นไม้ ถ้าอายุต้นไม้ไม่มากคุณตัดได้และไปล้อมปลูกได้ แต่ไม้ใหญ่ที่อายุร่วม 700 – 800 ปี ที่ให้ความสงบร่มเย็นแก่ผู้อาศัย ขอบอกไว้เลยว่ายาก แต่ถ้าไปเอาคนต่างถิ่นมาช่วยตัด ถ้าตัดได้ ทุกอย่างก็ต้องล่มสลายตามกันไป รวมทั้งพวกคุณด้วย”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top