Wednesday, 11 June 2025
POLITICS NEWS

‘รทสช.’ ชี้!! เงินบริจาคผ่านระบบภาษีให้พรรคพุ่งเป็นอันดับ 3 สะท้อน!! ปชช.เชื่อมั่นในแนวทาง ‘พรรคอนุรักษ์นิยมสมัยใหม่’

(26 ม.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่ร่วมสนับสนุนบริจาคเงินภาษีและเงินอุดหนุนให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งในปีนี้ได้ถึง 10 ล้านกว่าบาท ได้มากเป็นอันดับที่ 3 ของพรรคการเมืองที่จดทะเบียน ยอดบริจาคในปีนี้เพิ่มมากขึ้นถ้าเปรียบเทียบกับปีก่อนที่ได้เพียง 4 แสนกว่าบาท แม้พรรครวมไทยสร้างชาติจะเป็นพรรคการเมืองน้องใหม่ ทำการเมืองมาปีกว่าๆ แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ได้ทำให้ผู้บริหารพรรคและสมาชิกพรรคมีกำลังใจ ดีใจที่เห็นพี่น้องประชาชนทั่วประเทศสนับสนุน ทำให้มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน ดูแลรับใช้ประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยพรรคจะยืนหยัดในอุดมการณ์ของพรรคอย่างมั่นคง ในแนวทาง ‘พรรคอนุรักษ์นิยมสมัยใหม่’ โดยพร้อมเปิดกว้างพร้อมรับแนวร่วมคนทุกรุ่นทุกเพศทุกวัยเข้ามาสร้างพรรคให้เติบโต ตามแนวทางของพรรคที่ยังจะรักษาสิ่งที่ดีงามในอดีตของประเทศไว้ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่าที่มีความจำเป็น

นายอัครเดช กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้คนรุ่นใหม่และคนรุ่นใหญ่มาร่วมสนับสนุนแนวทางการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติให้มากยิ่งขึ้น พรรคจะพยายามทำงานแสดงจุดยืนทางการเมืองให้ชัดเจนว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมสมัยใหม่ ที่สามารถตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แต่ยังคงรักษาสิ่งที่ดีงามในอดีตไว้

เมื่อถามว่า การที่มีประชาชนบริจาคเงินสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นแสดงว่าแนวทางของพรรคที่เดินมาถูกทางแล้วใช่หรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ยอดเงินบริจาคที่เพิ่มขึ้นสะท้อนว่าประชาชนเชื่อมั่น ในแนวทางของพรรคโดยเฉพาะจุดยืนมีความชัดเจน และ ผลงานของพรรคที่ทำมา แม้จะเข้าร่วมรัฐบาลได้ไม่นาน ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนหันมาสนับสนุน พรรครวมไทยสร้างชาติเรามีบุคลากรที่พร้อมจะเข้ามาบริหารประเทศและพร้อมเข้ามาทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงในสภาผู้แทนราษฎร

เมื่อถามว่า จะเดินตามแนวทางนี้ของพรรคต่อไปไม่เปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า พรรคจะยึดมั่นแนวทางนี้ต่อไปเพราะเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์พี่น้องประชาชนได้ ดูได้จากมีคนมาบริจาคเงิน ผ่านระบบการเสียภาษี ให้พรรคเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ในปีต่อไปขอให้พี่น้องประชาชนมาร่วมบริจาคเงินให้พรรครวมไทยสร้างชาติเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้พรรคยืนหยัดในแนวทางและอุดมการณ์ของพรรคที่ได้ประกาศไว้ต่อพี่น้องประชาชนอย่างมั่นคง

จับตาด่านสอง ‘พิธา-ก้าวไกล’ ‘คดี ม.112-ล้มล้างฯ’ มีเสียว!!

นับเป็นโชคดีของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ที่ได้กลับสู่สภาฯ อีกครั้ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัยว่าแม้พิธาจะถือหุ้นไอทีวีอยู่จริง แต่ในขณะนั้นไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ ไม่มีรายได้ ฯลฯ จึงไม่นับเป็นหุ้นสื่อ ไม่มีลักษณะต้องห้ามมาตรารัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ที่ห้ามถือหุ้นสื่อ...จึงไม่พ้นสมาชิกภาพความเป็น สส.ตามมาตรา101 (6)

ส่วนตัว ‘เล็ก เลียบด่วน’ ต้องขอแสดงความยินดีกับ พิธา...และเชื่อว่าหากจากนี้ไปหากพิธาซื่อตรงกับข้อเท็จจริงในทุกเรื่อง รวมทั้งชีวิตส่วนตัว...แปลไทยเป็นไทยว่า อย่าพูดโกหกไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็จะจำเริญรุ่งเรือง เพราะคนไทยเชื่อในพุทธภาษิต “คนพูดโกหกไม่ทำชั่วไม่มี” แก้ตรงนี้เสีย...อนาคตก็จะก้าวไกลเหมือนชื่อพรรค เฉพาะหน้าประชุมใหญ่วิสามัญเดือน เม.ย.ก็น่าจะได้คัมแบ็ก นั่งหัวหน้าพรรค และสเตปต์ต่อไปก็คือ เป็นผู้นำฝ่ายค้านสภาผู้แทนราษฎร…

สมัยนี้ก็เป็นผู้นำฝ่ายค้าน เป็นนายกฯ รถแห่ หรือ นายกฯ ว่าวไปก่อน...บำเพ็ญเพียรบารมี ยกระดับวุฒิภาวะอีกขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เลือกตั้งรอบหน้าระเบิดเถิดเทิง

อย่างไรก็ตามวันพุธที่ 31 ม.ค. 67 มีอีกด่านที่ พิธา ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกลผู้ถูกร้องที่ 2 จะต้องลุ้นระทึกคือ คดีที่ถูกร้องเรื่องการหาเสียงที่เดินหน้าแก้ไขมาตรา 112 สืบเนื่องถึงปัจจุบัน เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง...หรือไม่?

ผู้ร้องคือ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษตร ศิษย์เอกคนหนึ่งของอดีตพระพุทธะอิสระ...

เป็นคดีที่ผู้ร้องต่อยอดมาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 10 พ.ย. 64 กรณีการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ ที่มีการเสนอ 10 ข้อแบบ ‘ทะลุเพดาน’ ให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งศาลสั่งให้นายอานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก และ รุ้ง ปนัสยา รวมทั้งองค์เครือข่ายหยุดการดำเนินการเพราะเป็นการเคลื่อนที่ไหวที่ “มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป..”

นายธีรยุทธเห็นว่าพรรคก้าวไกลดำเนินการขัดกับคำวินิจฉัย จึงใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ยื่นร้อง และศาลมีมติรับคำร้องเมื่อ 12 ก.ค. 66

ตอนท้ายของหน้าที่ 18 ของคำร้อง นายธีรยุทธ ขอให้ศาลวินิจฉัยว่า…

“...เพื่อเป็นมาตรการป้องกันความเสียร้ายแรงที่อาจจะเกิดกับสถาบันหลักของประเทศไว้ก่อน อันเป็นรัฐประศาสโนบายที่จำเป็นเพื่อดับไฟกองใหญ่ไว้แต่ต้นล้ม ผู้ร้องจึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญโปรดพิจารณาวินิจฉัยสั่งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกดำเนินการใด ๆ หรือกระทำการใด ๆ เพื่อยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และให้เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  ที่กระทำอย่าและเลิกดำเนินการใด ๆ หรือกระทำการใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสอง”

ดูตามคำร้องคำขอ...คดีนี้ ก็คงไม่ไปไกลถึงขั้นยุบพรรคอะไรที่ไหนหรอก...แต่ที่ควรจับตามองคือ รายละเอียดและข้อเท็จจริงบางช่วงตอนที่ศาลจะวินิจฉัยเกี่ยวกับพฤติการณ์ของพิธาและก้าวไกลว่าเกี่ยวโยงกับคำวินิจฉัยของศาลรธน.10 พ.ย. 64 หรือไม่และอย่างไร?...ซึ่งตรงนั้นอาจเป็นเชื้อหรือสารตั้งต้น ให้บรรดา ‘นักร้อง’ นำไปทำหน้าที่กันต่อไป…

‘พิธา-ก้าวไกล’ อย่ามองข้ามความปลอดภัย...!!

ชาวบ้านร้องกรมโรงงานฯ ตรวจสอบ สส.ก้าวไกล ถามตั้งโรงงานถูกต้องหรือไม่ หลังเป็นพื้นที่สีเขียว

(25 ม.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า…

“ทุกคนคะ ชาวบ้านร้องตรวจสอบ โรงงาน สส.พรรคดัง จ.ฉะเชิงเทรา

โรงงานแห่งนี้รับผลิตกล่องกระดาษ แจ้งว่ากำลังผลิตวันละไม่ต่ำกว่า 100,000 กล่อง/วัน เป็นของ สส.ลักแกง ก่อนจะโอนให้แม่ก่อนเป็น สส.

ตรวจสอบจากเว็บไซต์กรมโรงงาน ไม่พบชื่อโรงงานแห่งนี้ในฐานข้อมูล ตรวจสอบพื้นที่ตั้งโรงงานพบว่าอยู่ในโซนสีเขียว เขตห้ามสร้างโรงงาน

จึงขอร้องเรียนไปทางกระทรวงอุตสาหกรรม ช่วยตรวจสอบใบอนุญาตและประเภทของกิจการว่าถูกต้องหรือไม่

หรือว่า สส.ชื่อดัง เป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่ จึงไม่กล้าตรวจสอบคะ”

‘รมว.ปุ้ย’ รับสื่อสารคลาดเคลื่อนกรณีแร่ลิเทียม แต่ยัน!! มีอยู่จริงในปริมาณหินที่มีการแทรกอยู่

(25 ม.ค. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณากระทู้ถามสดที่นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ สอบถามนายกรัฐมนตรีถึงกรณีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐาน และการเหมืองแร่ แถลงระบุประเทศไทยพบแหล่งแร่ลิเทียม จ.พังงา ที่มีมากเป็นอันดับ 3 ของโลก เพื่อใช้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า แสดงให้เห็นสัญญาณดีประเทศไทยอาจเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก แต่นักวิชาการหลายคนมองว่า ไม่น่าจะมีมากเป็นอันดับ 3 ของโลก อยากทราบว่า พบมาเป็นอันดับ 3 ของโลกจริงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็เป็นเฟกนิวส์ของรัฐบาล ไม่ได้หลอกคนไทย แต่หลอกไปทั่วโลก ศูนย์เฟกนิวส์ต้องตรวจสอบให้ดีว่า ข่าวรัฐบาลเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ และการทำเหมืองแร่ลิเทียมจะส่งผลกระทบต่อธรรมชาติ ดังนั้นรัฐบาลมีแนวทางบริหารจัดการผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างไร

ด้านน.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงว่า ประเทศไทยมีการสำรวจแหล่งแร่ลิเทียม 2 แหล่ง ที่ จ.พังงา คือแหล่งเรืองเกียรติ และแหล่งบางอีตุ้ม เป็นแหล่งที่เข้าไปสำรวจแล้ว พบมีหินที่มีแร่ลิเทียมเป็นองค์ประกอบ โดยเฉพาะแหล่งเรืองเกียรติมีปริมาณหินที่มีลิเทียมแทรกอยู่ 14.8 ล้านตัน ความสับสนที่เกิดขึ้นเป็นศัพท์เทคนิคของเหมืองที่เข้าใจยาก 14.8 ล้านตันที่พบเป็นปริมาณหินที่มีแร่ลิเทียมแทรก ไม่ใช่จำนวนแร่ลิเทียม ให้กรมฯ ไปอธิบายให้ประชาชนเข้าใจแล้ว ยืนยันมีแหล่งแร่อยู่จริง 

แต่ด้วยความที่ทุกคนตื่นเต้น การสื่อสาร ความเข้าใจศัพท์เทคนิคอาจไม่เป็นทางเดียวกัน ยอมรับมีการสื่อสารผิดพลาดเกิดขึ้น จะพยายามใช้ศัพท์ให้ตรงกันมากขึ้น เลี่ยงใช้ศัพท์เทคนิค แต่เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนว่า เรามีสารตั้งต้นผลิตแบตเตอรี่ ไม่ว่าจะอยู่ลำดับใด ไม่ควรด้อยค่ากัน ให้ภูมิใจประเทศไทยมีแหล่งแร่ลิเทียม เป็นฮับผลิตรถอีวี จะมีการบริหารจัดการที่ดีเรื่องแร่ลิเทียมให้สามารถอยู่คู่กับชุมชน ไม่ต้องกังวล 

‘นายกฯ-ปธน.เยอรมนี’ ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศผสม ก่อนหารือข้อราชการเต็มคณะ ในฐานะแขกของรัฐบาล

(25 ม.ค. 67) ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมภริยา ให้การต้อนรับ ต้อนรับ ดร.ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และภริยา ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็น
โดยทันทีที่เดินทันถึง นายกรัฐมนตรี ได้ให้การต้อนรับ พร้อมนำประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสม และเมื่อเสร็จสิ้นพิธีต้อนรับและตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ นายกรัฐมนตรีเชิญประธานาธิบดีเยอรมนี และภริยา เข้าสู่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อถ่ายภาพร่วมกัน ณ บันไดโถงกลางตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเชิญประธานาธิบดีเยอรมนี และภริยา ไปยังห้องสีม่วง เพื่อแนะนำคณะรัฐมนตรี และลงนามในสมุดเยี่ยมของรัฐบาล

หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเยอรมนี พร้อมบุคคลสำคัญฝ่ายไทย ได้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมทั้งบุคคลสำคัญฝ่ายเยอรมนี ได้แก่ นาย Hubertus Heil รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและกิจการสังคม และนาย Michael Kellner รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ ร่วมหารือข้อราชการ ณ ห้องสีงาช้าง ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะหารือร่วมกับภาคเอกชน ณ ตึกภักดีบดินทร์ ถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจ และแนวทางส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน

เมื่อเสร็จสิ้นการหารือกับภาคเอกชน นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเยอรมนี ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ก่อนร่วมกันเยี่ยมชมนิทรรศการ ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี และช่วงเที่ยง นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารกลางวัน เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีเยอรมนี และภริยา 

'อัษฎางค์' รวบย่อไทม์ไลน์ 'พิธา' กับ 'ปมหุ้นไอทีวี' บทสรุปการ 'รอด' เพราะศาลวินิจฉัยไม่ได้ทำธุรกิจสื่อแล้ว

(24 ม.ค. 67) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สรุปกรณี 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' ได้ไปต่อหลังรอดปมหุ้มไอทีวี ว่า...

ศาลตัดสินคดีพิธาถือหุ้นไอทีวี

1. ถือหุ้นสื่อ 1 หุ้นก็ถือว่า ผิด
2. พิธา อ้างว่าเป็นเพียงผู้จัดการมรดก แต่ศาลวินิจฉัยว่า พิธาเป็นทั้งผู้จัดการมรดก และทายาทผู้ได้มรดกเป็นหุ้นไอทีวีด้วย
3. พิธา อ้างว่าเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ถือหุ้นสื่อ
4. แต่ พิธา ยังอ้างว่าโอนหุ้นโดยปากเปล่า ก่อนสมัคร สส. (อันนี้เป็นพฤติกรรมดิ้น เอามาอ้างไม่ได้)
5. ทำใหัศาลสงสัยว่า ถ้าพิธามั่นใจว่าไม่ได้ถือหุ้นสื่อแล้วจะโอนหุ้นทำไม
6. สรุปว่าพิธาถือหุ้นไอทีวี ในวันที่สมัคร สส.จริง
7. แต่ศาลวินิจฉัยว่า ไอทีวี ไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อแล้ว
8. ศาลจึงตัดสินว่า พิธา รอด

‘พิธา’ รอด!! กรณีถือหุ้นสื่อไอทีวี

(24 ม.ค.67) ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยกรณี กกต. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สมาชิกภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) กรณีถือหุ้นไอทีวี

โดยก่อนอ่านคำวินิจฉัยศาลได้ชี้แจงว่าเคยได้แจ้งให้ทราบว่าคดีนี้ผู้ถูกร้องขอขยายเวลาการชี้แจงสองครั้งครั้งละ 30 วัน ความจริงคดีนี้ควรจะเสร็จสิ้นไปก่อนหกสิบวันที่แล้วไม่ใช่ศาลล่าช้า และขอแจ้งว่าการไปแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีในสื่อถือว่าเป็นการไม่เหมาะสมเพราะการแสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะบวกหรือลบก่อนศาลวินิจฉัยจะเป็นการชี้นำและกดดันศาลจึงขอเตือนไว้ด้วย

มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพสิ้นสุดลงหรือไม่และนับแต่เมื่อไหร่ โดยเห็นว่า รธน. มาตรา98 บัญญัติเรื่องการห้ามลงสมัคร สส. ในกรณีการห้ามถือหุ้นเป็นเจ้าของกิจการสื่อ

การจะพิจารณาว่ากิจการใดเป็นกิจการสื่อ ต้องดูว่ามีเจตนาและยังมีการประกอบกิจการและมีรายได้จากการประกอบกิจการหรือไม่

โดยเมื่อมี พ.ร.ฎ.ยุบสภาเมื่อปี 2566 กำหนดให้วันที่ 4 เม.ย. เป็นวันรับสมัครเลือกตั้ง โดยพรรคก้าวไกล ยื่นรายชื่อนายพิธาเป็นผู้สมัครลำดับที่ 1 และต่อมาก็ได้รับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ แต่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวี ลำดับที่ 7,061 จำนวนสี่หมื่นสองพันหุ้น และถือเรื่อยมา จน 15 พ.ค.2566 จึงโอนหุ้นให้นาย ภาษิน ลิ้มเจริญรัตน์ และมีการระบุวัตถุประสงค์ของบริษัทว่าเป็นสื่อโทรทัศน์

โดยนายพิธาโต้ว่าไม่มีอำนาจครอบงำ เพราะกฎหมายหลักทรัพย์บัญญัติให้ตนเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ถึงร้อยละ 25 จึงเป็นการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำ ยกเว้นเป็นการได้มาโดยมรดก และจำนวนหุ้น 42,000 หุ้น แต่หุ้นไอทีวีมี หนึ่งพันสองร้อยหกล้านหุ้น ร้อยละ 0.00348 เป็นสัดส่วนที่น้อยมาก จึงไม่เข้าข่ายการครอบงำ โดยศาลเห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าววางหลักว่า รัฐธรรมนูญห้ามการถือหุ้นบริษัทต้องห้ามโดยไม่ได้ระบุว่าจะถือหุ้นเท่าใด หรือมีอำนาจบริหารหรือไม่ การถือเพียงหุ้นเดียวก็เป็นการถือแล้ว การบัญญัติก็เพื่อไม่ให้ใช้เป็นช่องทางในการแสวงหาตำแหน่งหน้าที่ จึงห้าม สส. ถือหุ้นกิจการสื่อโดยไม่ได้ระบุว่าต้องถือหุ้นเท่าไหร่ หรือมีอำนาจครอบงำหรือไม่ การเถือเพียงหุ้นเดียวจึงเข้าข่ายตามรัฐธรรมนูญแล้ว

ต่อมาต้องพิจารณาว่าวันสมัครได้ถือหุ้นหรือไม่ โดยนายพิธาอ้างว่า บัญชีผู้ถือหุ้นในลำดับที่ 7,061 โดยระบุว่าถือในนามตัวเองแต่ไม่ได้ถือนามผู้จัดการมรดกแต่อย่างใดและต่อมาวันที่ 15 พ.ค. จึงโอนหุ้นให้นายภาษิน

โดยศาลเห็นว่า สำเนาบัญชีผู้ถือที่ระบุว่าถือ 42,000 หุ้น รายงานการโอนและรับโอนหลักทรัพย์ ว่าวันที่ 5 ก.ย.2550 รับโอนหลักทรัพย์จากบิดา โดยเป็นการโอนในกรณีผู้จัดการมรดก เมื่อมีฐานะเป็นทายาทอีกทาง รวมถึงหุ้นบริษัทไอทีวี มีผลให้เป็นทั้งผู้จัดการมรดกและทายาท จึงเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทไอทีวีตั้งแต่ปี 2550 และหนังสือโอนหุ้นกับนายภาษิน บอกว่าจะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองจึงโอนหุ้นให้และไม่สอดคล้องที่บอกว่าเป็นกิจการต้องห้าม เพราะตามความเข้าใจของผู้ถูกร้องไม่จำเป็นต้องโอน และการยื่นต่อ ป.ป.ช. นายพิธาไม่ได้ระบุถึงการโอนหุ้น และการที่เบิกความว่าหุ้นไอทีวี เป็นหุ้นที่โอนได้ตามตลาดเพราะไม่ได้อนุญาตให้ซื้อขายจึงไม่ได้โอนให้ทายาทอื่น แต่ต่อมาปี 2566 ได้รับคำแนะนำให้โอนทางทะเบียนได้ แสดงว่าการไม่ดำเนินการตั้งแต่ปี 2562 เป็นความคลาดเคลื่อนและเข้าใจของผู้ถูกร้องเอง

เมื่อพิจารณาจากข้อพิรุธ จึงฟังไม่ได้ว่าโอนหุ้นดังกล่าว และเป็นผู้ถือหุ้นในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง

ส่วนกรณีไอทีวีเป็นสื่อหรือไม่ศาลเห็นว่าการพิจารณานิติบุคคลใดเป็นสื่อหรือไม่ ไม่อาจพิจารณาแต่เพียงวัตถุประสงค์ แต่จะพิจารณาควบคู่ไปพฤติการณ์ว่าประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์หรือไม่ โดยปี 2538 ได้ดำเนินการกิจการโทรทัศน์และมีสัญญา 30 ปี และต่อมา สปน. ปี 2550 มีหนังสือบอกเลิกสัญญา การแจ้งย่อมเป็นผลทำให้การร่วมงานสิ้นสุดลง สอดคล้องว่าเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2550 แจ้งประกันสังคมว่าบริษัทหยุดกิจการชั่วคราวเพราะไม่มีพนักงาน ถึงปัจจุบันก็ปรากฏว่าหยุดกิจการชั่วคราวตั้งแต่ 8 มี.ค. 2550

นอกจากนี้ไอทีวีเคยดำเนินกิจการโทรทัศน์แต่ถูกเลิกสัญญาและบอกว่ามีรายได้จากผลตอบแทนการลงทุน และบริษัทย่อยก็ต้องหยุดกิจการไปด้วย แต่เมื่อดู ภงด. 50 บอกว่าประกอบกิจการเผยแพร่ภาพยนตร์ แต่มีรายได้ 0 บาทจากการผลิตสื่อ แต่รายได้อื่นมาจากดอกเบี้ยรับ

ส่วนรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ที่บอกว่ายังประกอบกิจการอยู่ ไม่ได้เป็นการประกอบกิจการสื่อมวลชนและหากศาลปกครองพิพากษาให้ชนะจะพิจารณาอีกครั้งว่าจะประกอบกิจการหรือไม่ ดังนั้นการที่วัตุประสงค์บอกว่าประกอบกิจการโทรทัศน์ แต่ต้องดูงบการเงินด้วย และยังไม่มีคลื่นความถี่ที่จะประกอบกิจการ และไอทีวีก็ไม่ได้มีการฟ้องร้องให้คืนสิทธิ์แก่ตนเองแต่อย่างใด

ข้อพิพาทดังกล่าวหากท้ายที่สุดไอทีวีชนะก็ไม่ได้มีผลให้ไอทีวีได้รับมอบคืนคลื่นความถี่ ปรากฏจึงสรุปว่าไอทีวีไม่มีสิทธิ์ประกอบกิจการสื่อตั้งแต่ 7 มี.ค. 2550 และการคงสถานะเพื่อดำเนินคดีที่ค้างในศาลเท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อ การที่มีการเบิกความว่าหากชนะคดีจะมีการพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินกิจการหรือไม่ จึงเป็นเรื่องในอนาคต ดังนั้นแต่ สปน. เลิกสัญญาก็ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อมวลชน และไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสื่อ ดังนั้น ณ วันที่นายพิธาสมัคร ไอทีวีมิได้ประกอบกิจการสื่อ การถือหุ้นไอทีวี จึงไม่ทำให้มีลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิรับสมัครเลือกตั้ง

จึงวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของนายพิธาไม่สิ้นสุดลง 

‘สว.สมชาย’ ฟันธง!! ‘ไอทีวี’ ยังเป็นสื่่อ เชื่อ ‘พิธา’ ตกม้าตายซ้ำรอย ‘ธนาธร’

(23 ม.ค. 67) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ทำไมหุ้น ไอทีวี ยังเป็นหุ้นสื่อมวลชน และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อาจขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้าม เห็นพรรคการเมือง และผู้นำทางความคิดของพรรคก้าวไกลออกมาสื่อสารกับสังคมต่อเนื่อง อาจทำให้สังคมไขว้เขว หรือทำให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เบี่ยงเบน ขาดความน่าเชื่อถือ ตนเสนอความเห็นส่วนตัว ดังนี้ 

1.บริษัท ไอทีวี ยังคงเป็นสื่อ โดยมีสถานะความเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีวัตถุประสงค์ จดแจ้งไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเกี่ยวกับสื่อ รวม 5 ข้อ จนถึงปัจจุบันไอทีวียังไม่มีการจดทะเบียนเลิกบริษัท หรือจดยกเลิกวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับสื่อดังกล่าว สอดรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 14/2562 วินิจฉัยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้าม ในคดีการถือหุ้น บริษัทวีลัคมีเดีย ที่อ้างว่า ปิดกิจการแล้ว แต่ไม่จดทะเบียนยกเลิกบริษัท ศาลเห็นว่า ยังสามารถประกอบกิจการสื่อมวลชนได้ตลอดเวลา ตราบใดที่ไม่ได้จดเลิกบริษัท

นายสมชาย ระบุว่า 2.บริษัท ไอทีวี ชนะคดีเบื้องต้นแล้ว 2 ยก รัฐต้องคืนคลื่นความถี่ ชดใช้ค่าเสียหาย โดยไอทีวีถูกปิดสถานี และยึดคลื่นคืน เมื่อ 17 ปีก่อน ได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ ขอให้สำนัดปลัดสำนักนายกฯ ชดเชยความเสียหายตามสัญญาเข้าร่วมงานฯ - คณะอนุญาโตตุลาการ ชี้ขาดให้ไอทีวีชนะ ได้รับเงินเยียวยา คืนคลื่นความถี่ - สปน.นำคดีสู่ต่อ ศาลปกครองกลาง แต่ศาลพิพากษายกคำร้อง - สปน.ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อ - สถานะปัจจุบัน ศาลปกครองสูงสุด ยังไม่มีคำพิพากษาในคดีนี้ 

จึงเห็นว่า นายพิธา น่าจะขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้าม เพราะคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ และศาลปกครองกลาง ให้ไอทีวี เป็นผู้ชนะคดี ได้รับการเยียวยา และคืนสัมปทานคลื่นความถี่โทรทัศน์ ไอทีวี จึงอยู่ในฐานะที่พร้อมประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ได้ 

3.บริษัทไอทีวี ไม่ได้ประกอบกิจการแล้ว แต่ยังมีบริษัทลูกประกอบกิจการสื่อ มีรายรับ จากบริษัทอาร์ตแวร์มีเดีย ที่ไอทีวี เป็นผู้ถือหุ้น 99% โดยมีผลประกอบกิจการจดทะเบียนทำสื่อโฆษณา รายการให้เช่าเครื่องมือ ลิขสิทธิ์ และอื่น ๆ ฯลฯ ที่ถือได้ว่าเป็นธุรกิจสื่อ

นายสมชาย กล่าวว่า 4.นายพิธา ถือหุ้นไอทีวี เพียงแค่เล็กน้อย ทำไมจึงผิด ศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัยที่ 12-14/2553 ในคดีถือหุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานรัฐ ที่วินิจฉัยให้ รมต. สส. สว.พ้นจากสมาชิกภาพ และเคยวินิจฉัยไว้ว่า หุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานเป็นลักษณะต้องห้ามแม้ถือหุ้นเพียง1หุ้น ก็ขาดคุณสมบัติ  การที่นายพิธา อ้างว่าถือหุ้นไอทีวีเพียง 42,000 หุ้น จาก 1,206,697,400 หุ้น คิดเป็น 0.0035 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีอํานาจสั่งการบริษัท ข้อโต้แย้งนี้นายพิธาจึงฟังไม่ขึ้น ไม่อาจหักล้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่เคยวางแนวไว้เดิม พร้อมน้อมรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีที่ศาลจะมีคำวินิจฉัย คดีการถือหุ้นสื่อไอทีวี ไม่ว่าจะออกมาในแนวทางใด

'ถวิล' ยื่นเรื่องถึงอัยการสูงสุดให้อุทธรณ์ ฟ้อง 'ยิ่งลักษณ์' คดีโยกย้ายไม่เป็นธรรม

(23 ม.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายถวิล เปลี่ยนศรี สว.อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ทำจดหมายด่วนที่สุดถึงอัยการสูงสุด ลงวันที่ 23 ม.ค. เพื่อขอให้อัยการสูงสุด ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีที่ยื่นฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในฐานะจำเลย ในการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อ 26 ธ.ค. 2666

โดยระบุถ้อยคำในจดหมายว่า ตนในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าว ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาที่ได้ยกฟ้อง ทั้งที่พยานหลักฐานที่อัยการนำเข้าสืบต่อศาลนั้นมีความชัดเจนว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์กระทำผิดจริง รวมถึงตนเห็นว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ กระทำความผิดตามฟ้อง

“ข้าพเจ้าจึงมีความประสงค์ให้ อัยการสูงสุด ฐานะโจทก์ ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาดังกล่าว ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ แต่หากท่านไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ทันเวลา ก็ขอให้ท่านยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปเพื่อยื่นอุทธรณ์ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย ในอันที่จะให้คดีที่อ้างถึงข้างต้นถึงที่สุดตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป” นายถวิล ระบุ

‘ธนาธร’ ตอกย้ำ!! สังคมไทยในวันที่รัฐสวัสดิการไม่ทั่วถึง ต้องแก้ที่อำนาจ ให้พลังประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ

จากงานสัมมนา Learning From the Past, Addressing the Present, and Embracing the Future
ซึ่งจัดขึ้นโดย ‘สามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์’ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.67 ณ Brunei Gallery, SOAS University of London ได้เปิดช่วงเวลาหนึ่งให้แก่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้พูดคุยถึงประเด็นความสำคัญของรัฐสวัสดิการ มีเนื้อหาโดยประมาณ ดังนี้…

เหตุผล 10 ปีที่ผ่านมา ไทยถดถอยลงเมื่อเทียบกับโลกและเพื่อนบ้าน และ ‘Welfare States and Why it Matters’ (ความสำคัญของรัฐสวัสดิการ) คือหัวข้อที่ผมจะมาพูดวันนี้ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า คุณผู้ฟังจะอยากฟังเรื่องนี้มากกว่า หรือ อยากฟังเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลล้มเหลวมากกว่า

ก่อนอื่น ขอเริ่มจากจำนวนประชากรคนไทยที่ 66 ล้านคน ทราบหรือไม่ว่ามีกลุ่มคนที่รายได้น้อยที่สุดโดยเฉพาะอยู่ที่ 7,000 บาทต่อปี ตก 155 บาทต่อวัน ส่วนค่าเฉลี่ยต่อครัวเรือน ก็จะมีรายได้ประมาณ 20,000 บาท ซึ่งเงินเท่านี้ในยุคนี้ สถานการณ์ค่าครองชีพ ราคาพลังงาน และอื่น ๆ จะสามารถทำอะไรได้ 

แน่นอนว่า โดยส่วนตัวแล้ว ผมเกิดในครอบครัวที่มีฐานะ ทําให้ตอนเด็ก ๆ ไม่รู้จักหน้าตาของความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยสักเท่าไร จนกระทั่งได้เข้ามารู้จักกับความเหลื่อมล้ำผ่านมุมของคนไทยในหลากหลายกลุ่ม หลากหลายครัวเรือนของประเทศ ซึ่งนับวันยิ่งจะเป็นปัญหาที่ทวีคูณ และพร้อมซ้ำต่อไปสู่คนรุ่นหลัง ๆ มากยิ่งขึ้น

ผมขอยกตัวอย่างเป็นรายกรณีแบบนี้ ตั้งแต่ เรื่องของการเดินทาง ถ้าในกรุงเทพฯ คุณไม่ต้องมีรถยนต์ ก็ยังสามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟฟ้า หรือคมนาคมหลากหลายส่วนที่มีการพัฒนาขึ้น จะเดินทางไปทำงานหรือหาหมอก็ง่าย แต่กับคนต่างจังหวัดนั้นต่างกันมาก เพราะไม่มีสาธารณูปโภคด้านคมนาคม ถ้าเกิดต้องไปหาหมอในโรงพยาบาลดี ๆ ต้องเดินทางกันมากกว่า 10 กิโลเมตรขึ้นไป…นี่คือความเหลื่อมล้ำ

ในส่วนของน้ำประปา ผมขอยกกรณีชาวบ้านในต่างจังหวัด แต่ที่พบเห็นมากับตัวคือชาวบ้านประมาณพันกว่าคนที่อยู่ในมหาสารคาม ไม่สามารถนำน้ำประปามาดื่ม หรือแม้แต่ใช้ซักผ้าได้ เพราะมันเป็นน้ำประปาแดง และมีจำนวนคนอีกเป็นล้าน ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงน้ำประปาที่มีคุณภาพ และเข้าไม่ถึงตลอด 24 ชั่วโมง 365 วันต่อปี ซึ่งนี่คือภาพที่เกิดขึ้นจริงในต่างจังหวัด แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นกับคนกรุงเทพฯ…นี่คือความเหลื่อมล้ำ

โรงพยาบาลในต่างจังหวัด หลายคนคงนึกไม่ถึงความเหลื่อมล้ำว่ามีหน้าตาอย่างไร ผมยกตัวอย่างแบบนี้ ในกรุงเทพฯ จะพบแพทย์ 1 คนต่อประชากร 500 คน อันดับสองภูเก็ตจะพบแพทย์ 1 คนต่อประชากร 900 คนอันดับ 3 สมุทรสาคร แพทย์ 1 คนต่อประชากร 900 คน ส่วนจังหวัดที่แย่ที่สุดในประเทศไทย คือ บึงกาฬ มีหมอหนึ่งคนต่อประชากร 6,000 คน ขณะที่ความแออัดของระบบสาธารณสุขไทย ทําให้ประชาชนต้องติดต่อคิวยาวทั้งทั้งที่การเดินทาง ก็ลําบากอยู่แล้ว เพราะในต่างจังหวัดโรงพยาบาลดี ๆ ไม่ได้อยู่ใกล้บ้าน…นี่คือความเหลื่อมล้ำ จากโอกาสชีวิตที่เลือกไม่ได้

นี่แค่ส่วนหนึ่งของความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ที่ลากกระทบไปถึงเรื่องอื่น ๆ 

คุณคิดว่าทําไมคนรุ่นใหม่ถึงไม่อยากมีลูก ทําไมอัตราคนเกิดใหม่น้อยลง พวกคุณ (แฟน) นอนด้วยกันน้อยลงงั้นหรือ ผมว่าไม่ใช่นะ แต่คำตอบ คือ ถ้าคุณมีค่าครองชีพ ที่เฉลี่ยแล้วตกประมาณเดือนละ 20,000 บาท คุณก็คงเริ่มคิดว่าจะเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพได้จริงหรือ นี่ยังไม่นับว่าจะต้องหวาดผวาทุกเดือนถึงหารายได้ที่ต้องหามาประคองชีวิตประจำวันอีก

แน่นอนว่า ทุกคนอยากมีเงินเก็บที่พอเพียงแบบที่ไม่ต้องรวยมากก็ได้ ขอแค่ตอนแก่พออยู่ได้อย่างสบาย มีบ้านของตัวเองสักหลัง มีรถสักคัน ส่งลูกเรียนโรงเรียนดี ๆ ได้ ให้ลูกมีชีวิตดีกว่าเราได้ และถ้าเป็นไปได้ถ้าเป็นไปได้และไปเที่ยวต่างประเทศปีละสักครั้งนึง

เชื่อว่านี่คือความฝันที่คนส่วนใหญ่ต้องการ แต่เมื่อรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนมันอยู่เท่านี้ แถมความเหลื่อมล้ำจากสวัสดิการทางสังคมมันยังเป็นแบบนี้ และนี่ยังไม่ได้บวกปัญหาผู้สูงวัยที่เตรียมพุ่ง ซึ่งคนวัยหลักที่กำลังเผชิญสังคมเช่นนี้อยู่ต้องเข้าไปแบกด้วยอีก มันจึงไม่แปลก ที่คนยุคนี้จะเลือกตัดสินใจไม่มีลูกและหมดซึ่งความคิดสร้างสรรค์

ผมอยากจะบอกว่ารัฐสวัสดิการไม่ได้หมายถึง End Game เหมือนแบบสแกนดิเนเวีย แต่มันคือ การตั้งเป้าหมาย และการเดินทางที่จะเดินไปถึงจุดนั้นได้ เพื่อประคองความพ่ายแพ้ของชีวิตคน ให้ยังลุกขึ้นมายืนได้อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์…รัฐต้องสร้าง ‘โซเชียลเซฟตี้’ ให้กับประชาชน…การค่อย ๆ สร้างสวัสดิการสังคมที่เข้มแข็งมากขึ้น มันจะลดความเหลื่อมล้ำได้ 

ทุกวันนี้ ประเทศ สังคม ภาครัฐ บริษัทเอกชน คาดหวังที่จะเห็นประชาชนคนไทยปลดปล่อยศักยภาพ มีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ แต่คุณคิดว่า ความคิดสร้างสรรค์ จะเกิดขึ้นเมื่อไร เมื่อคุณท้องหิว? หรือ เมื่อคุณท้องอิ่ม?

คุณต้องมีความมั่นคงในชีวิตก่อน แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศไม่มีตรงนี้ ไม่มีงานมั่นคงทำ ไม่มีสวัสดิการที่ช่วยให้เกิดความสะดวกต่อการใช้ชีวิตแบบไม่พะวงหน้าพะวงหลัง ยิ่งคนต่างจังหวัดด้วยแล้ว เขาทำได้แค่รับจ้างทำไร่ทำนา ไม่ก็รับจ้างก่อสร้าง เป็นแรงงานรายวัน ที่ไม่มีความมั่นคง

คำถาม คือ งบประมาณประเทศปีละ 3 ล้านล้านบาท 10% คือ 300,000 ล้าน 1% คือ 30,000 ล้าน แต่แนวทางที่มาสามารถนำมาพัฒนาด้านรัฐสวัสดิการจริง ๆ เอาแค่ 0.5% ก็เพียงพอแล้ว ถ้าตั้งใจทำ เพียงแต่ทั้งหมดก็เพราะ ‘อํานาจ’ บางอย่าง ที่ทำให้เกิดขึ้นไม่ได้

อำนาจในการจัดการทรัพยากร? อำนาจไหนที่สามารถจัดการเรื่องน้ำ? อำนาจ คืออะไร? 

90 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ โดยเฉลี่ยเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ 4.5 ปีต่อหนึ่งฉบับ เรามีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 29 คน มีรัฐประหาร 13 ครั้ง 

หากเราจะอยู่ร่วมกันในสังคมไทยสันติ ต้องมีรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน ต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่สะท้อนให้เห็นถึงอำนาจการจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง แต่เมื่อวันนี้อำนาจไม่ใช่ของประชาชน ประชาชนจะเอาอะไรไปต่อรอง ‘ดอกผลแห่งการพัฒนา’ เพื่อมาเป็นส่วนแบ่งให้แก่ตนเองบ้าง

การรวมตัวเรียกร้อง สิทธิในการรวมตัวเรียกร้อง ซึ่งถูกลิดรอนอย่างที่เป็นอยู่ จึงไม่แปลกใจที่ดอกผลของการพัฒนาไม่ถึง คนจน เรารวมตัวกันเรียกร้องไม่ได้ ผมเชื่อว่าประเทศไทย มีศักยภาพเพียงพอในการจัดสรรสวัสดิการ ถ้าอำนาจนั้น ๆ ถูกใช้อย่างถูกต้อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top