Tuesday, 10 June 2025
POLITICS NEWS

เผยข้อความไลน์หลุด!! ถ้ายุบ 'ก้าวไกล' สมรภูมิต่อสู้จะแรงกว่าเดิม เจอตอกกลับ 'ก็ดี จะได้จบๆ' รอดูจะอยู่สู้หรือหลบไปต่างประเทศ

(16 ก.พ. 67) กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองขึ้นมาทันที หลัง ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ออกมาเปิดเผยเผยภาพแคปชั่นจากกลุ่มไลน์ โดยระบุข้อความว่า “อ่านไลน์หลุดเก่าจะเข้าใจนะครับว่าใครบงการ”

ทั้งนี้ ภาพข้อความดังกล่าว ระบุว่า “วัตถุประสงค์ของแคมเปญนี้ คือ ทำให้คนที่ ignorant ทางการเมือง หรือคนที่เกิดเติบโตไม่ทัน ได้รู้จักการสังหารหมู่ทางการเมือง แล้วไม่ต้องรับผิด ตั้งแต่ 16 19 35 53 ซึ่งผลตอบรับดีมาก คนยิ่งติดตาม

ผม คุณช่อ ที่รับผิดชอบโครงการนี้ พร้อมเสี่ยงกับการถูกดำเนินคดีทั้งหมด เพื่อยกระดับการต่อสู้ ขยับเพดานของเสรีภาพขึ้นเรื่อย ๆ หากเราไม่ทำ ทุกอย่างก็จะเงียบหมด ขอบคุณเพื่อน สส. ที่ทวิตให้กำลังใจครับ”

ขณะที่ผู้ใช้ชื่อ ‘อ.ปิยบุตร’ ได้แท็กข้อความของผู้ใช้ชื่อ ‘ณัฐวุฒิ ส.ส.กก.’ ซึ่งระบุว่า “@กาย สส.กก. @อ๋อง สส.กก. เอาไงเอากัน ไปถามพี่แมวหน่อย แกมีพรรคในมือ…” 

โดยผู้ใช้ ‘อ.ปิยบุตร’ เขียนตอบว่า “ไม่ต้องกังวลครับ มีอีกหลายพรรค แต่ถ้ามันบ้ายุบก้าวไกลอีกรอบ มันจะไม่ใช่แค่เรื่องยุบพรรคแล้วครับ สมรภูมิการต่อสู้จะเปลี่ยนไปแรง ไกล ก้าวหน้ากว่าเดิมแบบที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน”

จากนั้นเป็นข้อความของผู้ใช้ ‘เติร์ด ส.ส.ก.ก.’ ซึ่งระบุว่า “ยินดีครับอาจารย์ เราแค่สอบถามหาความจริงเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้นครับ ส่วนตัวผมยังเห็น… ” และปรากฏข้อความต่ออีกว่า “องค์การสส.กก. หลวงพ่อท่านบอกว่า…สติมาปัญญาเกิด…”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อความไลน์หลุดดังกล่าว ได้ถูกนำไปเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยหนึ่งในนั้นคือ ผู้ใช้ชื่อว่า Thepmontri Limpaphayorm ระบุว่า “ไลน์หลุดที่อาจารย์มาโพสต์ผมชอบนะครับ โดยเฉพาะคนที่ใช้ชื่อว่าปิยบุตร ซึ่งมันคงไม่เคยเห็น สงครามกลางเมือง บางทีถ้าเกิดขึ้นจริงก็ดี จะได้ทำให้มันจบ ๆ ปล่อยแบบนี้มานานมากแล้ว”

ขณะที่มีคนเข้าไปคอมเมนต์ตอบว่า “แต่เวลาเกิดจริง ๆ คนพวกนี้ก็ไม่อยู่สู้ แต่หลบไปต่างประเทศครับ แล้วก็กลับมาโกยตอนจบ”

'ก้าวไกล' กับพื้นที่ ที่เริ่มไม่ปลอดภัย ส่วน 'ทักษิณ' พักโทษ แต่ 'คปท.' รุกต่อ

ต้องบอกว่าสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์เดือดของเหตุบ้านการเมือง โดยเฉพาะวันที่ 14 ก.พ. 67 กลายเป็นวาเลนไทน์เดือด หวุดหวิดจะได้เลือด...หากสถานที่ดังกล่าวไม่ใช่สภาฯ...ขณะเดียวกันมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ควรแก่การ 'สรุป-บันทึก' หมายเหตุให้แฟนรายการคอลัมน์ 'เลียบการเมือง' ได้รับทราบ ติดตามดังนี้...

1) กรณีญัตติด่วนเรื่อง การทบทวนมาตราการ การรักษาความปลอดภัยขบวนเสด็จ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอ และประชาธิปัตย์ขอพ่วงท้าย และอภิปรายกันจนเป็นวาเลนไทน์เดือด

บทสรุปก็คือ ส่งผลการพิจารณาญัตติด่วนให้รัฐบาลและ กมธ.วิสามัญ พิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม  ส่วนที่ กมธ.ความมั่นฯ ที่รังสิมันต์ โรม ขอกลางสภาฯ ด้วยนั้น ประธานสภาฯ จะจัดส่งให้เป็นกรณีต่างหาก ซึ่งดูเหมือนจะสร้างความผิดหวังให้กับพรรคก้าวไกลพอประมาณ เพราะพรรคก้าวไกลถูก 'ชาดา ไทยเศรษฐ์' รมช.มหาดไทย ที่อภิปรายตอบโต้รังสิมันต์ โรม แฉกลับว่ามีผู้ช่วย สส.ของบางพรรคให้เงินสนับสนุนเยาวชนเคลื่อนไหวด้อยค่าสถาบัน

จากญัตติด่วนฯ ครั้งนี้ แม้พรรคก้าวไกลจะพยายามอภิปรายประเด็นสิทธิเสรีภาพ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยของสังคม ฯลฯ โดยไม่มีน้ำเสียงตำหนิ 'ตะวัน' ที่ก่อเหตุ หนำซ้ำยังอภิปรายเชิงปกป้องด้วยวาทกรรมร้อยแปด...นักสังเกตการณ์ทางการเมืองต่างเชื่อว่าจะทำให้กลุ่มกลาง ๆ ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถอยห่างออกมาไม่น้อย

2) กรณีทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษโดยไม่ต้องติดกำไลอีเอ็ม คาดว่าทักษิณจะยังไม่เปิดตัวในมิติที่มีความสุขสดชื่นอย่างแน่นอน เพราะจะย้อนแย้งกับข่าวอาการป่วย เป็นไปได้ที่จะมีการปล่อยภาพการนอนพักรักษาตัวหลุดออกมาโชว์ให้เห็น

ทั้งหลายทั้งปวง ใช่หรือไม่ว่า...ขณะที่ครอบครัวชินวัตรมีความสุขที่ได้ต้อนรับทักษิณกลับบ้าน พร้อมบริการราชทัณฑ์จันทร์ส่องหล้า แต่ประเด็นทางสังคม...ผลทางอ้อมเชิงลบที่ 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร จะได้รับอันเนื่องจากกรณี 'นักโทษเทวดา' ก็จะเป็นมลทินที่ยากจะลบล้าง...

อนึ่งสำหรับ กลุ่มผู้ชุมนุมที่นำโดยเครือข่ายประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) คาดว่าจะมีการชุมนุมไปอีกระยะ เพราะล่าสุดมีการเติมเสบียงและเสริมทัพจากกองทัพธรรม ทั้งนี้เพื่อรอสถานการณ์สะเด็ดน้ำ

3) รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของเศรษฐา ทวีสิน ดูเหมือนจะออกอาการบ้านหมุน ประคับประคองตัวตั้งหลัก...โดยเฉพาะกรณีดิจิทัล วอลเล็ต...คณะกรรมการมีมติยืดเวลาออกไป 30 วันเพื่อศึกษาข้อเสนอ และหาแนวทางป้องกันการทุจริต ซึ่งไป ๆ มา ๆ รวมเวลาทางธุรการกว่าจะกลับมาประชุมกันอีกครั้งก็ร่วมสองเดือน ซึ่งก็ไม่มีหลักประกันที่แข็งแรงใด ๆ ว่าจะจบ...

4) ขณะที่พรรคเพื่อไทย...ฝ่ายกฎหมายก็ออกอาการเสียรังวัด เมื่อจู่ๆ เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 67 นายชูศักดิ์ ศิรินิล ก็ทำหนังสือขอถอนร่างแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ...ที่กำลังจะเข้าที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 16 ก.พ. จนต้องมีการแจ้งยกเลิกประชุมกะทันหัน

สาระหลักของร่างกฎหมายดังกล่าวเปิดโอกาสให้ 'ผู้เสียหาย' สามารถฟ้องร้องได้เองหาก ป.ป.ช.หรืออัยการสูงสุดสั่งยุติเรื่อง เท่ากับเปิดโอกาสให้มีการรื้อคดีสำคัญๆ ในอดีตขึ้นมา กลายเป็นดาบสองคม  เพราะฝ่ายตัวเองก็มีสิทธิ์โดนด้วย...นี่น่าจะเหตุผลหนึ่งที่ถูกสั่งให้ถอนร่างออกมา...

‘โรม’ โต้!! ‘เต้ อาชีวะ’ ปมภาพบู๊ตำรวจปี 57 ยัน!! ปกป้องร่างกายตามสิทธิ - กฎหมาย

(16 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกลุ่มภาคีราชภักดียื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้สอบจริยธรรม กรณีนำภาพขึ้นมาอภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฏรพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจาเกี่ยวกับการทบทวนมาตรการอารักขาขบวนเสด็จ เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา อาจมีการตัดแปะ บิดเบือนว่า ตนยินดีเลย แต่ผู้ร้องต้องไม่ลืมว่ามีสิทธิ์แค่ร้องคนอื่น แต่ต้องรับผิดชอบในการร้องเช่นกัน ยืนยันว่าไม่มีการตัดต่อภาพ การที่ตนนำภาพประกอบขึ้นสภาฯ ในวันนั้น ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการในสภาฯ แล้ว แล้วมีการอนุมัติจากนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุมขณะนั้น รวมถึงกฎหมาย PDPA หรือพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ได้บังคับใช้ครอบคลุมมาถึงการทำหน้าที่ในสภาฯ

“ผมไม่ได้เป็นห่วงอะไรเลย ถ้าจะร้องก็ร้องได้ ยินดี แต่อย่าลืมว่าผู้ร้องมีภาระหน้าที่ทางกฎหมาย ผมยืนยันว่าทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นปรากฎตามข้อมูลที่ถูกต้อง ผมไม่ได้ไปตัดต่อ ปลอมแปลง” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวชี้แจงกรณีที่นายอัครวุธ ไกรศรีสมบัติ หรือ เต้ อาชีวะ ประธานกลุ่มภาคีราชภักดี เปิดเผยข้อมูลในช่วงที่ยังที่ทำกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองปี 2557 หลังมีการรัฐประหาร และมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมย้อนว่าจะมาสอนให้รักสงบได้อย่างไรว่า ในช่วงนั้นตนชุมนุมที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพฯ ยืนยันว่าการชุมนุมขณะนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบหรือขัดขวางการจราจร ต่อมามีการสลายการชุมนุม จับกุมผู้ที่มาร่วมชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากนั้นทหารได้ใช้วอดำทุบไปที่มือของผู้ชุมนุมเพื่อให้เขาปล่อยไม้ที่ถือไว้ โดยปกติถ้าเราเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกกฎหมาย เราสามารถป้องกันตัวเองได้ และตนพยายามเดินคล้องแขนกับกลุ่มเพื่อนไปหาเพื่อนเราที่ถูกจับกุม ตนแทบไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่คิดจะทำอะไรด้วย แต่ตนจำเป็นต้องปกป้องตัวเองตามสิทธิ์ที่จะต้องปกป้องร่างกาย และตนไม่ได้มีการตัดสินถึงขนาดจำคุกในคดีเลย คนที่รัฐประหารต่างหากที่ผิด เพราะทำไมต้องนิรโทษกรรมตัวเอง

เมื่อถามว่า กลุ่มภาคีราชภักดี ยังเปิดรูปที่ถ่ายร่วมกับแกนนำกลุ่มทะลุวัง อย่างน.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ อาจถูกมองว่าเป็นการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในขณะนั้นตนอยู่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมายการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาฯ ถ้า กมธ. ไม่ลงพื้นที่ไปติดตามข้อมูล เราจะทำหน้าที่ปกป้องสิทธิมนุษยชนได้อย่างไร ยืนยันว่าตนทำหน้าที่ โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งใด ๆ หากมีประเด็นอะไร ตนก็สามารถนำเข้าที่ประชุม กมธ. ได้ ต่อให้ตนไปร่วมชุมนุม มันก็ไม่ได้หมายความว่าตนเป็นท่อน้ำเลี้ยง ไม่ได้หมายความว่าม็อบนี้จะเกิดขึ้นได้เพราะตน เท่าที่ทราบกลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษทางกฎหมายใด ๆ ทุกวันนี้นิสิตนักศึกษาที่ออกมาชุมนุมยังต่อสู้คดีอยู่เลย

“ยืนยันว่าไม่ได้เป็นเบื้องหลังแน่นอน ในวันที่ผมเป็นผู้ชุมนุมทางการเมือง ก็ยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เบื้องหลังผม ในวันที่ผมมาเป็นการนักการเมืองก็ไม่ได้ไปอยู่เบื้องหลังใคร เยาวชนคนรุ่นใหม่ยุคนี้เขาไม่ยอมให้ใครมาอยู่เบื้องหลัง ตรงกันข้ามผม ผมไม่แน่ใจว่ากลุ่ม ศปปส. ที่ไปทำร้ายร่างกายประชาชนใจกลางเมืองหลวง ผมไม่แน่ใจว่ามีการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีใด ๆ ไปแล้วบ้าง ผมไม่ทราบ” นายรังสิมันต์ กล่าว

‘สรรเพชญ’ ห่วง!! ‘ค่าตั๋วเครื่องบิน’ ในประเทศพุ่ง จี้!! ภาครัฐเร่งแก้ปัญหา-ควบคุมราคาที่สูงเกินจริง

(16 ก.พ.67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา ได้ออกมาแสดงความเห็นจี้ถามภาครัฐ ในการทำหน้าที่ควบคุม ‘ราคาตั๋วเครื่องบิน’ ซึ่งในปัจจุบันมีการปล่อยให้ราคาพุ่งสูงขึ้นมาก จนกลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง โดยเฉพาะใน Social Media ว่า “...ตนรู้สึกเป็นห่วงประชาชน ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางในช่วงนี้ ที่ต้องเจอกับปัญหาราคาตั๋วแพงเกินความเป็นจริง จนหลายคนได้ล้มเลิกการเดินทางสัญจรออกไป ทั้งการเดินทางกลับบ้าน การท่องเที่ยว การติดต่อธุรกิจ ฯลฯ พร้อมติงภาครัฐ ที่ปล่อยให้ราคาตั๋วเครื่องบินแพงเกินความเป็นจริง จนอาจทำลายระบบเศรษฐกิจที่ต้องการกระตุ้น และกระจายรายได้ 

“...ผมรู้สึกเป็นห่วงประชาชน ที่จำเป็นต้องเดินทางโดยเครื่องบินในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเพื่อกลับไปเยี่ยมเยือนบ้าน เพื่อท่องเที่ยว หรือติดต่อธุรกิจก็ตาม เพราะขณะนี้ต้องเจอกับราคาตั๋วเครื่องบินภายในประเทศที่แพงขึ้น โดยไม่มีกลไกควบคุมราคาค่าตั๋วเครื่องบิน ที่แพงเกินความเป็นจริง จนกลายเป็นการทำลายโอกาสของพ่อแม่พี่น้อง และทำลายรายได้ที่จะเกิดขึ้นตามมา จนผมเริ่มไม่แน่ใจว่าแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ และกระจายรายได้ ยังเป็นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้หรือไม่ หรือกระตุ้นเพียงคนรวย ตามที่เป็นข่าว ท่านลองคิดดูแล้วกัน หากจะบินจากกรุงเทพฯ ไปภูเก็ต ท่านต้องเสียค่าตั๋วเกือบ 15,000 บาท ต่อให้ท่านเป็นคนรวย ท่านอาจจะคิดไม่ตกแน่นอนว่าจะเดินทางดีหรือไม่? หากไม่สำคัญจริง ๆ อาจจะเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน แล้วหากประชาชนมีธุระสำคัญต้องเดินทางโดยปัจจุบันทันด่วนล่ะ ? วันนี้เราต้องยอมรับนะครับ ค่าตั๋วสายการบินราคาประหยัด หรือสายการบินต้นทุนต่ำ (Low Cost) ภายในประเทศหากสูงกว่า 5,000 บาท ก็ถือว่าแพงมากแล้ว แต่ตอนนี้ราคาค่าตั๋วภายในประเทศทะลุไปหลักหมื่น ความรู้สึกมันไม่ใช่ มันฝืนความรู้สึกไปมาก เอาเปรียบประชาชนผู้โดยสารมากเกินไป ทั้งด้านคุณภาพและการบริการต่าง ๆ ก็สวนทางกัน ภาครัฐจำเป็นต้องควบคุมราคาตั๋วเครื่องบินไม่ให้สูงเหมือนในขณะนี้ และในขณะเดียวกันเมื่อผู้โดยสารต้องจ่ายราคาค่าตั๋วเครื่องบินที่สูงขึ้นแล้ว ก็หวังว่าสายการบินจะช่วยปรับปรุงการบริการต่าง ๆ ให้ดีขึ้นด้วย” 

นอกจากนี้ นายสรรเพชญ ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกว่า “ในช่วงเทศกาลเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะถือเป็นการทำลายโอกาสทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากการเดินทางสัญจร และการท่องเที่ยวภายในประเทศ นโยบายของรัฐบาลเองต้องการกระจายรายได้ และการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลไกการควบคุมราคาตั๋วเครื่องบินภายในประเทศกลับสวนทาง จากข่าวสารที่มีการพูดถึงในสังคมออนไลน์ขณะนี้ ผมจึงอยากเรียกร้องให้ กระทรวงคมนาคม โดยเฉพาะท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรลงมาติดตามและแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะมันคือโอกาสต่าง ๆ ของเรา ของพี่น้องประชาชน” 

ในตอนท้าย นายสรรเพชญ ยังตั้งข้อสังเกตถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรับผิดชอบการกำกับดูแลราคาค่าตั๋วเครื่องบิน ให้ออกมาชี้แจงความกระจ่างให้สังคมได้รับรู้ถึงแนวทางการกำหนดราคาตั๋วว่า “เท่าที่ทราบ หน่วยงานหลักที่กำกับราคาตั๋วเครื่องบิน คือ คณะกรรมการการบินพลเรือน โดยยึดตามประกาศคณะกรรมการการบินพลเรือน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณค่าโดยสารและค่าระวางสำหรับอากาศยานขนส่งในเส้นทางบินภายในประเทศ พ.ศ. 2561 ที่มีการกำหนดราคาเพดานขั้นสูงเอาไว้ ผมจึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาทำความเข้าใจถึงแนวทางการปรับลดราคา การกำหนดราคาตั๋วเครื่องบิน ต่อสาธารณชนเป็นระยะ ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป เพราะหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่า หากไม่มีการควบคุมค่าตั๋วเครื่องบิน มันจะแพงขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นการเพิ่มภาระค่าครองชีพแก่ประชาชนอย่างมาก และอาจส่งผลให้ประชาชนเดินทางน้อยลงในอนาคตได้” นายสรรเพชญ กล่าวทิ้งท้าย

‘อัครเดช’ จี้!! ‘ปดิพัทธ์’ รับผิดชอบ ต้นตอ ‘ชาดา-พิเชษฐ์’ โต้เดือด เหตุใช้ดุลพินิจวินิจฉัยให้อภิปรายต่อ จนทำสภาฯ เกิดความวุ่นวาย

(16 ก.พ.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีเหตุโต้แย้งกันระหว่าง นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กับ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ในการประชุมสภาฯ เรื่องการเสนอญัตติด่วนมาตรการการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ ว่า การปะทะกันดังกล่าว ทำให้การประชุมไม่ราบรื่น แต่ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุมขณะนั้น ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยให้อภิปรายต่อ ทั้งที่โดยหลักการแล้ว ประธานควรต้องฟังเจตนารมณ์เจ้าของญัตติ จนทำให้เกิดความวุ่นวายเสียหายต่อภาพลักษณ์ของสภาฯ และยังทำให้นายชาดา และนายพิเชษฐ์ ต้องออกมาโต้แย้งกันจนทั้งสองฝ่ายโดนสื่อโซเชียลถล่ม ดังนั้น นายปดิพัทธ์ จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร

‘พิชิต ไชยมงคล’ ชี้!! ‘คปท.’ ไม่ได้แพ้ ขอให้ติดตามกันต่อไป เชื่อ!! ทักษิณได้พักโทษคือมะเร็งร้าย ที่จะย้อนทำลาย รบ.เพื่อไทย

(15 ก.พ. 67) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“ชนะศึกแพ้สงคราม

ยกแรก ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษแน่นอน มีคนปรามาสว่านี่คือความพ่ายแพ้ของ คปท. ทักษิณ ชนะแล้ว

ไม่หรอก ทักษิณพักโทษเหมือนชนะศึก แต่ คปท. ก็ไม่ได้แพ้ศึกนี้นะ การเปิดพื้นที่ทวงคืนความยุติธรรม สร้างป้ายแขวนคอที่ถอดออกไม่ได้ให้ ทักษิณ ว่าเป็นนักโทษเทวดา สร้างความเหลื่อมล้ำ ไปทั้งชีวิตที่เหลือ นี่คือชัยชนะของ ประชาชน แล้ว

ทักษิณ พ้นโทษไปแบบมีชนักติดคอไปตลอด พักโทษเหมือนชนะศึกแต่ คปท.  ก็ไม่ได้แพ้

ทักษิณบาดเจ็บหนักกว่า คปท.เยอะ ใครกันแน่ที่ชนะศึกนี้คิดดูดีๆ

กลศึกสงครามจึงไม่ได้ตัดสินที่ผลการศึกอย่างเดียว

แน่นอนว่า หลังจากการพักโทษจะมีเรื่องราวให้ติดตามอีกมาก ทักษิณนี่ละจะเป็นมะเร็งร้ายที่ลุกลามทำลายรัฐบาลเศรษฐา ทักษิณจะเป็นจุดอ่อน เป็นรอยด่าง ในรัฐบาลเพื่อไทย

รอยด่างนี้เหมือนแผลมะเร็งที่รักษาไม่หายเพราะมันเกิดขึ้นบนความเหลื่อมล้ำ คิดมองทั้งกระดานยาว ๆ สงครามความถูกต้อง ใครมีบาดแผล สงครามความเหลื่อมล้ำ ใครสร้างบาดแผลให้ใคร
ในสงคราม กองทัพไหนมีจุดอ่อนให้ถูกโจมตี กองทัพนั้นย่อมถูกทำลายในที่สุด

กองทัพ ประชาชนไม่มีรอยด่าง มีแต่ความจริง การเมืองก็เช่นกัน

ทักษิณ ศึกนี้ดูเหมือนชนะแต่ไม่ชนะ แถมมีชนักที่แกะไม่ออกและมันเป็นชนักเรื่องความเหลื่มล้ำของกฎหมาย กระดานสงครามจึงพอมองเห็นว่าจะเป็นเช่นไร

ทักษิณและพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเศรษฐา จะแพ้ทั้งศึกและแพ้ทั้งสงคราม อย่างหลีกหนีไม่พ้น

เราจะเดินสู้ต่อ สู้กันยาว ๆ วัดกันทั้งกระดาน

'โรม' แซะ!! 'ชาดา' อย่าให้เขาหาว่ารัฐบาลอยู่เบื้องหลังปลุกผี ด้าน 'ชาดา' ไม่ทน ซัดกลับอย่าโยงมั่ว พร้อมแฉขบวนการล้มเจ้า

(14 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดย นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นอภิปรายญัตติด่วนเพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนมาตรการถวายความปลอดภัยของขบวนเสด็จฯ ตอนหนึ่ง โดยได้นำภาพประกอบขึ้นสไลด์เป็นภาพแกนนำกลุ่มอาชีวะราชภักดีถ่ายร่วมกับ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย และมีข้อความระบุพร้อมเซ็นเซอร์ข้อความบางส่วนในภาพว่า "พรุ่งนี้เจอปะทะไม่เจรจา ถ้า...ไม่พร้อม ทำดีไม่ได้ อย่าเนรคุณ เจอกันพรุ่งนี้ทะลุวัง ผู้ใหญ่ที่รู้จักของดนะครับ" และอภิปรายว่า วันนี้เราเห็นสัญญาณที่ชัดเจนในการสร้างความหวาดกลัว กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) มีการโพสต์ข้อความในโซเชียล ระบุว่า จะเชือดไก่ให้ลิงดูเก็บคุณตะวัน (น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ แกนนำกลุ่มทะลุวัง) เป็นคนแรก ขู่ฆ่าน้องหยก (ธนลภย์ ผลัญชัย สมาชิกกลุ่มทะลุวัง) ที่อายุ 15 ปี หรือกลุ่มอาชีวะราชภักดีที่ขู่ว่าจะจัดการนายสายน้ำ นี่คือกลุ่มคนที่จะนำความรุนแรง ความหวาดกลัวเข้ามาสู่สังคม ผ่านบุคคลสำคัญคือ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ที่มีการพูดถึงการเนรคุณแผ่นดินการปลุกปั่นแบบนี้ เป็นการปลุกปั่นให้สถานการณ์มันร้ายแรงกว่าความเป็นจริงมาก การปลุกปั่นแบบนี้จะทำให้คนทั้งสังคมไม่รู้สึกปลอดภัยแล้วท่านจะสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัยในเมื่อสุดท้ายผีที่ท่านสร้างขึ้นมาก็มาจากพวกท่านเอง

"ผู้นำของประเทศต้องห้ามปราม ไม่ให้คนฆ่าฟันกัน ตนพยายามดึงสติ หากความรุนแรงมันเกิดขึ้น สุดท้ายผู้ที่ใช้ความรุนแรงซึ่งวันนี้รู้สึกว่าใช้ความรุนแรงโดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร คนเขาจะหาว่ารัฐบาล คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มคนเหล่านี้อย่าให้ไปถึงจุดนั้นเลย" นายรังสิมันต์ กล่าว

ทำให้นายชาดา ลุกขึ้นตอบโต้นายรังสิมันต์ ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ว่า ส่อเจตนาที่ไม่ดีไม่ดีอย่างมาก สร้างความแตกแยกและคุณกำลังจะนำตนไปสู่สิ่งที่ไม่ถูกต้องและสร้างความเข้าใจผิดกับพี่น้องประชาชน ตนไม่ได้คิดจะอภิปรายแต่สิ่งที่ผู้แต่งเสียหาย เป็นการชี้จูงทางความคิดที่ท่านให้เด็กทำอยู่นั่น คือ ความรู้สึกของคนอกตัญญู มันไม่ใช่ความรู้สึกของคนที่ดี การกระทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง และไม่ใช่ลักษณะการอภิปรายเชิงสร้างสรรค์ ปากพูดบอกว่า ต้องการความสงบ ให้มองตั้งอยู่ตรงกลางแต่พฤติกรรมไม่ใช่ ตนอยู่ฟังตลอดเวลา เป็นการกระทำที่เสียหาย ประธานที่ประชุมอนุญาตได้อย่างไร มีบุคคลแบบนี้ เสนอแบบนี้ อนุญาตได้อย่างไร ถ้าตนจะเสนอแบบนี้จะมีปัญหาหรือไม่

"ผมไม่อยากพูดว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และไม่เกี่ยวกับญัตติ ประธานอนุญาตได้อย่างไร ประธานต้องมาขอโทษผมว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นกลาง การที่ท่านเอารูปบุคคลใดออกมาแล้วมีผม ผมไม่ฟ้องญัตตินี้เป็นเรื่องของขบวนเสด็จที่ทำร้ายจิตใจประชาชน แต่ท่านกำลังเอาเรื่องนอกประเด็นเอาเรื่องผลของกระทำมาผมจะพูดให้ฟังเด็กกระทำผิดกฎหมายกี่ครั้งแล้ว ถ้าเป็นการแสดงออกด้วยหัวใจของคนไทยไม่มีปัญหาแต่มันมีขบวนการในประเทศนี้ที่จะล้มล้างบั่นทอน อย่าพูดว่าไม่มี ถ้าพูดแบบนี้ ทำกับผมแบบนี้ เดี๋ยวผมจะพูดให้หมด ผมไม่อยากจะพูด เพราะวันนี้หัวใจรักชาติของผมมันเต็มเปี่ยม แต่สิ่งที่ท่านทำมันไม่ใช่ความคิดสร้างสรรค์ แต่ปากบอกสร้างสรรค์ ปากบอกพัฒนา แต่สิ่งทำเมื่อกี๊นี้ ผมขออนุญาตบอกว่าเลวทรามมาก ในความรู้สึกผม" นายชาดา กล่าว

นายชาดา กล่าวต่อว่า ใครเป็นคนปล่อยภาพนี้ออกมา ตนขอถามประธาน อภิปรายอยู่ดีๆ สร้างปัญหาเอง อย่าพูดว่าไม่มีขบวนการล้มเจ้า มันมี ตนพร้อมไปพูดกับทุกคนที่ปกป้องสถาบัน แต่เขาจะเอาไปทำอะไร ตนไม่รู้ ตนไม่เกี่ยว มันคนละเรื่อง มันต้องมีสามัญสำนึกในการกระทำ อย่ามาพูดูดีแต่ปฏิบัติไม่ดี เดี๋ยวตนจะลุกโต้ทุกคนที่พูด อย่ามาขัดแย้งและทำในสิ่งไม่ถูกต้องกับตน อย่ามาเล่นใต้ดินกับตน และเรียกร้องไม่ให้คนอื่นเล่นใต้ดิน ดังนั้นประธานต้องบอกว่าใครอนุญาตให้นำรูปขึ้นสไลด์ ประธานในที่ประชุม หรือประธานรัฐสภา หรือเจ้าหน้าที่มีวิจารณญาณ มีสมองหรือไม่เราชอบพอกัน ความคิดเห็นย่อมแตกต่าง ตนเข้าใจเมื่อวันที่ท่านไม่ได้เป็นนายกฯ แต่ตนไม่เคยสร้างความขัดแย้งกับพรรคการเมือง หรือนักการเมือง คิดต่างไม่เป็นไร แต่อย่ามาทำมือถือสากปากถือศีล

ทำให้ นายพิเชษฐ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ซึ่งมารับช่วงทำหน้าที่ประธานที่ประชุมต่อจาก นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ชี้แจงว่า ตนไม่ได้ดูจริงๆ ว่ามีการพาดพิง และมีการนำเสนอไปแบบนั้น แต่ตนจะหาคำตอบให้ว่าอนุญาตได้อย่างไร ก็ขอให้นายรังสิมันต์ อย่าตอบโต้ เพราะเขาคือผู้เสียหายต้องให้ชี้แจง

ขณะที่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า นายชาดามีสิทธิ์ชี้แจง แต่ขอให้ใจเย็นๆ นิดหนึ่ง เพราะถ้าฟังการอภิปรายตนขึ้นรูป เราไม่ได้ปรักปรำว่านายชาดาไปอยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งที่ต้องบันทึกไว้ แน่นอนว่านายชาดาไม่ได้อยู่เบื้องหลัง แต่ผู้ที่เขานำไปกระทำความรุนแรงต่างๆ ล่ะ โดยนายรังสิมันต์ได้ขอให้ประธานที่ประชุมนำภาพดังกล่าวขึ้นสไลด์อีกครั้ง พร้อมระบุว่า ประโยคที่อยู่ในภาพไม่ใช่คำพูดของนายชาดา แต่เป็นประโยคของผู้ที่กระทำความรุนแรง ซึ่งเขาอาจคิดด้วยซ้ำว่าเขาได้รับแบ็คอัพ ทั้งที่ความเป็นจริงอาจไม่มีคนอยู่เบื้องหลังก็ได้ ดังนั้น เรานักการเมืองทั้งหลายถูกโยงกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ จึงอยากให้มีสติ

ทำให้ นายชาดา ลุกขึ้นกล่าวโต้อีกครั้งว่า การกระทำมันบ่งบอกถึงเจตนาชัดเจน แต่คนที่พิจารณากฎหมายก็มีอยู่ คาดตา ปิดหน้าก็ได้ แต่อย่ามาบอกว่านักการเมืองถูกโยง เจตนาท่านบอกว่าตนอยู่เบื้องหลัง ถ้าตนอยู่เบื้องหลังสนุกกว่านี้เยอะ อย่าให้มีพฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นในสภาฯ อีก ตนถือว่านายรังสิมันต์ไม่ใช้สติในการพิจารณาการกระทำ ถ้ารับไม่ได้ก็ไปอยู่ประเทศอื่น คนไทยทุกคนยอมรับได้ จะรอซักเท่าไหร่ มีแผ่นดินอยู่ มีแผ่นดินคุ้มกะลาหัว

ชำแหละ 'พรรคปากกล้า' แต่ขาสั่น!! ซุกตัวอยู่เบื้องหลัง ผลักดันเด็กเดินหน้ากัดเซาะ ล้มล้างสถาบันแทนตัวเอง

ถึงวันนี้ถ้าใครยังมองไม่ออกว่าประเทศไทยของเรามีพรรคการเมืองอยู่หนึ่งพรรค ที่เกลียดชังสถาบันกษัตริย์เข้ากระดูกดำ และจ้องจะล้มล้างทำลายอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีโอกาส ก็ต้องบอกว่าเป็นคนไทยที่ 'บ้องตื้น' และ 'เบาปัญญา' มาก  

แต่พรรคการเมืองรวมทั้ง สส. ของพรรคนี้ ไม่กล้าเดินหน้าจัดการสิ่งที่ตนเองอยากกำจัดตรงๆ ก็เลยต้องใช้วิธี 'ยืมมือคนอื่นฆ่า' และหนึ่งในเหยื่อที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือมาตลอดหลายปีก็คือเหล่าบรรดาเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่เปราะบางทางความคิด เด็กที่ขาดการเอาใจใส่เลี้ยงดูจากครอบครัวอย่างถูกวิธี เด็กอยากเด่นอยากดัง และเด็กที่มีพื้นฐานทางธรรมที่ต่ำกว่าปกติ จะถูก 'ล้างสมอง' ให้ออกมาทิ่มแทงสถาบันที่คนไทยรักแทน 

ซ้ำยังมีกลุ่มทุนต่างชาติที่อยากเห็นสถาบันกษัตริย์ไทยพังพินาศ คอยอัดฉีดเงินหนาๆ ผ่าน 'คนไทยสันดานชั่ว' จำนวนหนึ่ง ให้มาปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา  

ตั้งแต่มีพรรคการเมืองพรรคนี้เกิดขึ้นในบ้านเรา สังคมไทยมีแต่ความวุ่นวาย เด็กวัยรุ่นวัยเรียนมีนิสัยก้าวร้าว ไม่มีความเคารพในกฎกติกาของสังคม โหยหาแต่ความเท่าเทียมจอมปลอมดังที่พรรคการเมืองพรรคนี้ยัดข้อมูลที่ผิดเพี้ยนใส่หัวเด็กให้กล้าทำในทางที่ผิด โดยเฉพาะการยุยงให้เด็กจงเกลียดจงชังสถาบันเบื้องสูง เพื่อที่จะใช้เด็กออกหน้าเป็นพลังขับเคลื่อนให้ตนเองบรรลุเป้าหมาย

แต่แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ใครคิดคดทรยศสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทยก็จะมีอันเป็นไปเสียทุกราย เด็กวัยรุ่นจำนวนมาก รวมถึง ส.ส. เลวๆ จากพรรคการเมืองพรรคนี้โดนคดี 112 นับไม่ถ้วน เด็กจำนวนไม่น้อยก็ติดคุกต้องเสียอนาคต และอีกมากที่กำลังรอการตัดสินของศาล

ไม่กี่วันที่ผ่านมา หนึ่งในเด็กสาวที่เคยถูกคดี 112 และเคยได้รับความช่วยเหลือจาก 'นักการเมืองโรคจิต' จากพรรคล้มสถาบันพรรคนี้ ได้กระทำการเหิมเกริมหนักกว่าเก่าด้วยการขับรถบีบแตรไล่จี้ขบวนเสด็จ พฤติกรรมที่เห็นทำให้คนไทยที่รักสถาบันเกินจะอดทนไหวอีกต่อไป 

แต่นักการเมืองพรรคนี้แต่ละคน กลับให้สัมภาษณ์ในเชิงเข้าใจที่เด็กกระทำเช่นนั้น ไม่มีสักคนที่บอกว่าการกระทำเช่นนี้ผิด เปลือยให้เห็นชัดเจนว่าทุกคนในพรรคนี้เป็น 'กลุ่มคนที่เป็นอันตราย' ต่อสถาบันกษัตริย์ไทยอย่างไม่ต้องสงสัย

‘เอกนัฏ รทสช.’ เสนอญัตติด่วน ทบทวนถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จฯ

(14 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุมพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อให้รัฐบาลเร่งดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมาย ทบทวนระเบียบแผน และมาตรการ การถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เหมาะสม ทันสมัย มีการฝึกซ้อม และประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชนเป็นการถวายความปลอดภัยให้สมกับเกียรติยศ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักชาติ เสนอโดย นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 

โดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ชี้แจงว่า เหตุผลที่ตนได้เสนอญัตตินี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการไปรบกวน ก่อกวนขบวนเสด็จฯ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้ประชาชนคนไทย ตนเห็นว่า กรณีนี้หากไม่มีการบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน จะทำให้สถานการณ์บานปลาย กระทบต่อความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดี โดยเฉพาะความมั่นคงของประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวตนเห็นคลิปจากสื่อมวลชน ทำให้รู้สึกตกใจ เนื่องจากชัดเจนว่าขบวนเสด็จฯที่กำลังใช้ช่องทางสัญจรเป็นขบวนที่สั้นมาก การถวายความปลอดภัยในวันนั้นดำเนินการด้วยความระมัดระวังไม่ให้กระทบประชาชน นอกจากนี้ยังไม่ปรากฎว่ามีการปิดถนนเส้นนั้นเลย แต่รถผู้ก่อนเหตุวิ่งมาด้วยความเร็ว เจตนาชัดเจนว่าพยายามขับรถไล่ขบวนเสด็จฯ จากนั้นได้ปรากฎอีกคลิปที่ทำให้เห็นเจตนาของผู้ก่อเหตุคืออะไร

“ในขณะที่ผมรู้สึกโกรธจนเกือบถึงขีดสุดจนกระทั่งจะเกิดเป็นความรังเกียจกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้น มีประโยคหนึ่งที่แว่วเข้ามาบันดาลใจให้ผมดึงสติลดความโทสะลง คือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ท่านได้ทรงตรัสไว้ว่า Thailand is the land of compromise ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความประนีประนอม หลังจากเกิดกรณีไปรบกวนขบวนเสด็จฯ เมื่อช่วงปลายปี 2563” นายเอกนัฏ กล่าว

นายเอกนัฏ ชี้แจงต่อว่า ตนเฝ้ารออยู่ว่า เมื่อเหตุเกิดขึ้นในวันที่ 4 ก.พ. ในที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะออกมาอย่างไรบ้าง จะบังคับใช้กฎหมายอย่างไร แต่ตนรอหลังเหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 1 สัปดาห์ ต้องบอกว่าการแสดงท่าทีไม่ชัดเจน จนกระทั่งวันที่ 10 ก.พ.ผู้ก่อเหตุเหิมเกริมไปทำโพลที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม จนกระทั่งมีการกระทบกระทั่งกับอีกฝ่ายที่ไม่พอใจ ยืนยันว่า ตนไม่อยากซ้ำเติมความร้าวฉานที่เกิดขึ้นต่อทั้ง 2 ฝั่ง แต่ไม่อยากให้เกิดเหตุแบบนี้อีก หากเราไม่รีบบริหารจัดการสถานการณ์จะบานปลายไปสู่ความแตกแยกปะทุไปสู่ระดับประเทศ จึงขอส่งสัญญาณ และเสนอไปยังรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดดำเนินการยับยั้งไม่ให้สถานการณ์บานปลาย ดังนี้…

1. ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการบังคับใช้กฎหมายทันที ไม่ใช่เป็นการล่าแม่มด หรือต้องการประหัตถ์ประหารใช้ศาลเตี้ยวินิจฉัย แต่เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การใช้สิทธิเสรีภาพมีกรอบชัดเจนต้องไม่ไปละเมิดสิทธิคนอื่นและไม่ทำผิดกฎหมาย

2. ขอให้มีการทบทวนปรับปรุงระเบียบและแผนมาตรการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จที่ใช้มาตั้งแต่ปี2548 เนื่องจากบริบท และภัยคุกคามเปลี่ยนไป ให้มีความเข้มงวด กระชับ ชัดเจน มีเจ้าภาพ เหมาะสมทันสมัย มีการซ้อมแผนเผชิญเหตุ มีขอบเขตพื้นที่แบ่งความรับผิดชอบให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำจนกลายเป็นแฟชั่น หรือค่านิยมใหม่ที่เกิดขึ้น เข้าใจว่า เจ้าหน้าที่อาจกังวลว่าจะมีความเชื่อมโยงไปสู่ความยัดแย้งทางการเมือง หากปฏิบัติเข้มงวดไปจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ แต่ตนยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะตำรวจไม่ใช่เซลล์ที่ต้องมาคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้า ผู้ก่อเหตุกระทำการอย่างเหิมเกริมท้าทาย แต่เจ้าหน้าที่ดำเนินการล่าช้าไป ดังนั้น เมื่อพ.ร.บ.ถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 อัพเดตแล้วระเบียบและมาตการดังกล่าวต้องอัพเดตด้วย ภารกิจถวายความปลอดภัยถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องดำเนินการแบบไร้รอยต่อ

“สุดท้ายข้อเสนอที่ 3. ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชน ว่าสามารถทำอะไรบ้าง อาจมีผลกระทบอย่างไรบ้าง และที่สำคัญที่สุดประชาชนจะต้องทำตัวอย่างไร เพราะต้องยอมรับว่า ภารกิจการถวายความปลอดภัยไม่มีที่ไหนในโลกที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณพระเมตตา พยายามให้การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ หรือเส้นทางการสัญจรรบกวนประชาชนให้น้อยที่สุด ผมเชื่อว่า มีประชาชนหลายคนต้องการให้ความร่วมมือ และช่วยเป็นหูเป็นตาไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะหากปล่อยปละละเลยไม่เข้มงวดเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนำไปสู่ความวุ่นวายการปะทะให้หมู่ประชาชนจนแตกแยก ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เราอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ไม่อยากเห็นค่านิยมเป็นแฟชั่นไปบั่นทอนสถาบันหลักของประเทศ จึงขอให้มีการทบทวนมาตรการต่างๆ เพื่อถวายความปลอดภัยให้สมพระเกียรติ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันเสาหลักของชาติ” นายเอกนัฏ ระบุ 

ทั้งนี้ สส.ฝ่ายรัฐบาล ได้มีการลุกขึ้นสนับสนุน ญัตติด่วนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ สส.ฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ยังคงมองว่าต้องแก้ปัญหาจากต้นตอ ด้วยการแก้ ม.112 ต่อไป

'สุริยะ' ห่วงภาระคุ้มทุน หลัง 'การบินไทย' เล็งซื้อเครื่องบินฝูงใหญ่ แจง!! รัฐไม่อาจก้าวล่วง ต้องปล่อยผู้บริหารแผนฟื้นฟูดำเนินการ

(13 ก.พ. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสื่อต่างชาตินำเสนอว่าบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มีแผนจัดซื้อเครื่องบินฝูงใหม่จำนวน 45 ลำ ว่าถ้ายังจำได้การบินไทยอยู่ในแผนการฟื้นฟูกิจการ เพราะฉะนั้นผู้บริหารแผนฟื้นฟูเป็นผู้ดำเนินการ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม เพราะมีอำนาจในเรื่องนี้ เราเองก็พยายามจะถามว่า การจัดซื้อเมื่อลงทุนไปแล้วคุ้มค่าหรือไม่ แต่อำนาจของเราไม่มีไม่สามารถไปล้วงลูกในส่วนนี้ได้ เป็นเรื่องที่เขาต้องทำตามแผนฟื้นฟู 

"จริงๆ กระทรวงคมนาคมเป็นห่วงมาก เรื่องซื้อเครื่องบินมันมีภาระคุ้มทุนหรือไม่อย่างไร" นายสุริยะ กล่าว

เมื่อถามว่า ภาระดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับงบประมาณของรัฐบาลหรือไม่ หากซื้อมาแล้วเกิดขาดทุน? นายสุริยะ กล่าวว่า "เรื่องนี้การบินไทยในช่วงที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งหลังจากนั้นการบินไทยผลประกอบการไม่ดี เป็นช่วงที่รัฐบาลที่แล้วไปขอเงินเพื่อจะมาซื้อเครื่องบิน แต่ทางรัฐบาลสมัยนั้นไม่อนุญาตที่จะเพิ่มทุน ทางการบินไทยก็เลยล้มละลาย และเข้าสู่กระบวนการตามศาล ล้มละลาย ผู้บริหารจึงได้จัดทำแผนฟื้นฟูยื่นต่อศาลล้มละลาย เพราะฉะนั้นกระบวนการตอนนี้ก็อยู่ที่ศาลฯ โดยรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถึงแม้เราจะมีความเห็นใดไปก็ตาม ถามว่าเราสบายใจหรือไม่ เราก็เป็นห่วง แต่เราไม่มีอำนาจตรงนั้น"

เมื่อถามว่า ข้อห่วงใยตรงนี้สะท้อนนอกจากที่รัฐบาลได้สะท้อนไปแล้ว ยังสามารถดำเนินการอย่างอื่นได้หรือไม่ หรือต้องให้เป็นไปตามแผนฟื้นฟูกิจการ? นายสุริยะ กล่าวว่า "ใช่ครับ อำนาจเราไม่มี"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top